บทที่ 261 คุณชอบไหม
บทที่ 261 คุณชอบไหม
จู่ ๆ เซี่ยชิงหยวนก็จำความรู้สึกที่เคยได้สัมผัสเมื่อตอนถูกเกลี้ยกล่อมให้ช่วยเขาที่โรงพยาบาลในวันนั้น
ใจเธอสั่นจนอยากจะถอนมือออก
เสิ่นอี้โจวยกสะโพกของเธอขึ้น และฝ่ามือของเขาก็แตะมันอย่างง่ายดาย
ผ่านเนื้อผ้าชุดนอนที่เรียบลื่น สัมผัสไม่เด่นชัด
อุณหภูมิที่แผดเผาลอดไปถึง ฝ่ามือก็พลันร้อนขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อไม่สามารถขยับมือได้ เซี่ยชิงหยวนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจ้องมองเขา “รีบพาฉันลุกขึ้นเร็ว ๆ ถ้าแม่หรือคนอื่นตื่นขึ้นมาเห็นเข้ามันจะไม่ดีนะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เสิ่นอี้โจวก็หยุดขยับมือแล้วพูดว่า “ในอนาคตเมื่อเราเปลี่ยนไปอยู่บ้านหลังใหญ่ เราสองคนจะครองทั้งชั้นไปเลย”
ขณะที่เขาพูด เขาก็โน้มตัวเข้ามาใกล้หูภรรยา “เมื่อเป็นแบบนั้น เราจะได้ไม่ต้องฝืนทนอะไรอีกแล้ว”
ริมฝีปากของเขาคลี่ยิ้มจาง ๆ “ตัวคุณเองก็จะได้ไม่ต้องกัดหมอนกัดผ้านวมให้มันเป็นรอยฟันและต้องซ่อมบ่อย ๆ ด้วย”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกอับอายมากพลันพูดทันที “หุบปากไปเลย”
ขณะที่พูด หญิงสาวก็พยายามที่จะลุกขึ้น
เสิ่นอี้โจวไม่ปล่อยให้เธอทำสำเร็จ
เขาจับหญิงสาวตรงหน้าไว้ในอ้อมแขน ยกขาเธอข้างหนึ่งพลางโน้มกายลงทับ
เขาเอ่ยว่า “สิ่งที่ผมพูด คุณเห็นด้วยไหม?”
ดวงตาของเขาร้อนแรงเกินไป ซึ่งทำให้เธอรู้สึกตื่นเต้นและต้องมองไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว
จากนั้นน้ำเสียงหวานๆ ก็ดังออกมาจากลำคอของเธอ “ค่ะ”
เสิ่นอี้โจวอารมณ์ดี
เขาจูบแก้มเธออย่างแรง “ดีมาก”
จากนั้นเขาก็ปล่อยเธอและยืนขึ้น “รอผมก่อนนะ ผมจะไปอาบน้ำ”
เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้นมองเขา ชายหนุ่มกำลังถอดเนกไทแบบสบาย ๆ มีความเกียจคร้านอยู่บนใบหน้า ซึ่งเป็นด้านที่เขาจะไม่แสดงตามปกติ
เธอรู้สึกหน้าแดงขึ้นมาอีกครั้ง
เธอก้มศีรษะลงและตอบว่า “อืม”
พลางรีบลุกขึ้นจากโซฟาและกลับไปที่ห้องด้วยความตื่นตระหนก
เมื่อเสิ่นอี้โจวออกมาจากห้องอาบน้ำ มีเพียงไฟกลางคืนดวงเล็ก ๆ ที่เปิดเหลืออยู่ในห้องเท่านั้น
เซี่ยชิงหยวนนอนอยู่บนเตียงโดยหลับตาลง ราวกับว่าเธอหลับไปแล้ว
เสิ่นอี้โจวส่ายหัว แววตาของเขาเอ่อล้นไปด้วยความเสน่หา
เขาแขวนผ้าเช็ดตัวไว้ที่ราว แล้วนั่งบนขอบเตียง และพอกำลังจะปิดไฟเข้านอน ราวกับว่าเขาค้นพบบางสิ่ง เขาจึงหันศีรษะไปอีก
เขากลับพบว่าเปลือกตาของเซี่ยชิงหยวนที่ปิดอยู่เคลื่อนไหว และขนตาสั่นเล็กน้อย
แสดงว่าแกล้งหลับแน่ ๆ
เสิ่นอี้โจวไม่ได้สะกิดเธอ เขายกมือขึ้นแล้วปิดไฟ
ทั้งห้องตกอยู่ในความมืดทันที เขาคลำหาขอบผ้านวมแล้วล้มตัวลงนอน
ในช่วงเวลาต่อมา สัมผัสที่นุ่มนวลและละเอียดอ่อนก็มาถึง เซี่ยชิงหยวนก็กลิ้งเข้าสู่อ้อมแขนของเขา
ไม่ว่าสัมผัสตรงไหน มันก็เปลือยเปล่า…
ความตกใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเสิ่นอี้โจวก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนอง เซี่ยชิงหยวนก็กลิ้งมาขึ้นคร่อมเขาแล้ว
ในความมืด มีเพียงฟันขาวของเธอเท่านั้นที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อเจ้าตัวยิ้ม
เมื่อรู้สึกได้ทั้งร่างกายของเธอ เขารู้สึกแข็งทื่อไปหมด
เซี่ยชิงหยวนพูดว่า “คุณ…คุณชอบไหม?”
เสียงของเธอสั่น เห็นได้ชัดว่าประหม่ากับเหตุการณ์นี้
ฝ่ามือขนาดใหญ่ของเสิ่นอี้โจวลูบไล้แผ่นหลังของเธอ และไล้ไปตามแผ่นหลังเนียนจนถึงเอว เขาอดไม่ได้ที่จะบีบคลึงมัน
มุมปากของเขายกขึ้นและดวงตาของเขาก็ส่องประกาย “ผมชอบนะ”
หลังจากพูดจบ ฝ่ามือใหญ่อีกข้างของเขาก็โอบหลังคอของเธอ กดภรรยาเข้าหาและมอบจูบทันที
ชายหนุ่มพลิกกลับอีกครั้ง เซี่ยชิงหยวนจึงนอนอยู่ใต้ร่างของเขาอย่างรวดเร็ว
เซี่ยชิงหยวนไม่พอใจกับท่าทางที่พลิกกลับเท่าไหร่นัก และพยายามดิ้นรน
เสิ่นอี้โจวเข้าใจความตั้งใจของเธอและเลิกคิ้วถาม “คุณต้องการที่จะอยู่ด้านบนเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าอย่างจริงใจ
เสิ่นอี้โจวเอ่ย “ไว้เมื่อร่างกายของคุณแข็งแรงดีแล้ว ผมจะให้คุณอยู่ด้านบนแล้วกัน”
ริมฝีปากของเขาค่อย ๆ เข้าหาเธอ “เพราะต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการอยู่ด้านบนเชียวแหละ”
เขาจูบที่ติ่งหูของเธอ “ผมเกรงว่าคุณจะเหนื่อยเปล่าๆ น่ะ”
…
หลังจาก ‘ดิ้นรน’ ตลอดทั้งคืน เซี่ยชิงหยวนก็เกือบจะลุกขึ้นไม่ได้
เสิ่นอี้โจวลูบเอวและขาของเธอเป็นเวลานานก่อนที่จะออกไป
เธอยังคงรู้สึกเจ็บและระบมกาย วันนี้เธอจะไปร้านตรอกเก่าด้วยสิ ดังนั้นเธอจะผิดสัญญาไม่ได้
เธอลากเอวที่ปวดร้าวลุกไปแปรงฟันในขณะที่งัวเงียอยู่
แต่แล้วขณะที่แปรงฟัน เธอก็ได้ยินเสียงของเติ้งซูอี้คุยกับใครบางคน
ผู้หญิงคนหนึ่งถามว่า “สามีของคุณ เมื่อคืนเขาไม่กลับมาบ้านงั้นเหรอ?”
เติ้งซูอี้พยักหน้า “ใช่”
มีความรู้สึกอวดดีทั้ง ๆ ที่น้ำเสียงเหมือนทำอะไรไม่ถูก “ผู้คนระดับสูงของมณฑลกับเมืองหลวงมาน่ะ หากไม่มีสามีของฉันคอยตามน้ำไป มันก็จะดูไม่เหมาะสมกับสถานการณ์เท่าไหร่ด้วย”
คนหนึ่งชนแก้ว อีกคนก็ชนแก้ว จะไม่เมาได้ยังไง?
สองวันมานี้เธอรู้สึกไม่ค่อยสบาย จึงไม่ได้กลับมาให้เธอดูแล และเลือกที่จะพักผ่อนในหอพักแทน
ผู้หญิงคนนั้นถอนหายใจ “สามีของคุณเขารักคุณจริง ๆ”
เติ้งซูอี้เชิดหน้าชูคอ “ใช่แล้ว ผ้าไหมพันคอที่พันรอบคอของฉันอันนี้เขาก็เป็นคนซื้อให้ฉันเมื่อเดินทางไปทำธุระครั้งที่แล้วด้วยนะ”
ทั้งสองบังเอิญเดินคุยกันผ่านหน้าบ้านของเซี่ยชิงหยวนพอดี
เติ้งซูอี้ไม่พูดอะไร แต่เงยหน้าขึ้นพลางพ่นลมหายใจเบา ๆ แล้วเดินจากไป
ผู้หญิงที่อยู่กับเธอดูกระอักกระอ่วน ทำเพียงทักทายเซี่ยชิงหยวนแล้วตามไปอย่างรวดเร็ว
เซี่ยชิงหยวนชำเลืองมองที่ผ้าไหมพันคอรอบคอของเติ้งซูอี้ พ่นลมหายใจแล้วกลับเข้าไปในบ้าน
ในระหว่างรับประทานอาหารเช้า เซี่ยชิงหยวนนึกถึงสิ่งที่เธอได้ยินในตอนเช้าและถามเสิ่นอี้โจวอย่างสบาย ๆ “เมื่อคืนมีคนเมาเยอะเลยเหรอ?”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “ก็มีไม่น้อยนะ เฉพาะคนที่กินร่วมโต๊ะเดียวกับผมก็มีสามคนแล้วที่กลับบ้านไม่ได้ และต้องค้างที่หอพักของศาลากลาง”
หลังจากได้ยินคำพูดของเสิ่นอี้โจว เซี่ยชิงหยวนก็มีความคิดหนึ่งขึ้นมาทันที เธอจึงถามว่า “เมื่อคืนคุณเห็นจางอวี้เอ๋อรึเปล่า?”
มือของเสิ่นอี้โจวที่ถือชามหยุดลง ราวกับว่าเขาเข้าใจอะไรบางอย่าง
เมื่อนึกถึงร่างหนึ่งที่เห็นแวบ ๆ เมื่อคืนนี้เขาก็ครุ่นคิด “ผมเห็นใครบางคนตอนก่อนงานเลี้ยงจะเลิกนะ แต่ผมไม่แน่ใจว่าใช่เธอรึเปล่า”
เขาหยุดชั่วคราวราวกับล้อเลียน “ยังไงซะ เธอก็เลือกเอง ไม่ว่าจะดีหรือร้ายจะมาโทษคนอื่นทีหลังไม่ได้”
ในโอกาสเช่นเมื่อคืนนี้ โรงอาหารจะยุ่งมากเช่นเดียวกับแผนกบริการและสำนักเลขาธิการ ไม่ว่าในกรณีใดจางอวี้เอ๋อควรจะไม่อยู่ที่นั่น
แต่ถ้าจางอวี้เอ๋ออยู่ที่นั่นจริง ๆ เขาก็ไม่ใส่ใจที่จะหาเหตุผล
เพราะเขาดูถูกผู้หญิงคนนั้นจริง ๆ
มีหรือที่เซี่ยชิงหยวนจะไม่เข้าใจ
หญิงสาวเพียงแค่ต้องรอให้เวลามาถึงแล้วค่อยผลักมัน แต่แล้วจางอวี้เอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะกระโดดออกไปเอง
เธอพยักหน้า และยิ้มให้เสิ่นอี้โจว “คุณพูดถูก”
ณ ศาลากลาง
ถึงเวลาพักเที่ยง ทุกคนไปโรงอาหารเพื่อกินข้าว
ฉู่ซิงอวี่กำลังเดินไปที่โรงอาหาร ย่างก้าวของเขาอ่อนแรง
อาการเมาค้างจากเมื่อคืนทำให้เขาวิงเวียนศีรษะ
หลิงเยี่ยไล่ตามเขาจากด้านหลัง “เมื่อคืนนายดื่มเยอะมากรึไง?”
เมื่อเห็นอีกฝ่าย ฉู่ซิงอวี่ก็พยักหน้า “นายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หลิงเยี่ยพยักหน้า “เมื่อเช้านี้เอง พอฉันกลับมาที่หอพัก ฉันเห็นว่าเตียงของนายว่างเปล่า ฉันเลยสงสัยว่าเมื่อคืนนายไม่ได้กลับไปนอนสินะ”
ฉู่ซิงอวี่นวดขมับของเขา “มีแขกมาประมาณสิบคนได้ มีทั้งคนระดับกลางและระดับสูง ศาลากลางของเราถูกเรียกตัวมาทักทายเป็นจำนวนมาก และกว่างานเลี้ยงจะเลิกมันก็ดึกแล้ว ดังนั้นฉันจึงนอนพักที่หอพักของศาลากลางไปเลยน่ะ”
ฉากเมื่อคืนนี้ปรากฏขึ้นในใจของฉู่ซิงอวี่อีกครั้ง มันทำให้เขารู้สึกขยะแขยงผู้หญิงคนนั้นมาก
เมื่อมองไปทางอื่น ดวงตาของเขาแข็งค้างอีกครั้ง
หลิงเยี่ยที่กำลังฟัง ทันใดนั้นเขาเห็นฉู่ซิงอวี่หยุดกะทันหันและจ้องมองไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
หลิงเยี่ยถามขึ้นมา “มีอะไรเหรอ?”
จางอวี้เอ๋อออกมากินข้าวกลางวันด้วย แต่เธอไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับฉู่ซิงอวี่
เธอต้องการซ่อนตัวโดยไม่รู้ตัว แต่ทันใดนั้นก็หยุดและเชิดหน้าอกขึ้นสูงดูเหมือนคนร้ายที่ไร้ยางอาย
ฉู่ซิงอวี่มองไปทางจางอวี้เอ๋อด้วยสีหน้าสงบ “ไม่มีอะไร เราไปกันเถอะ”
เขาจำได้ว่าผู้หญิงในห้องเมื่อคืนนี้เป็นจางอวี้เอ๋อที่อยู่ตรงหน้าเขา
เขาเคยเห็นเธอสองสามครั้งในโรงอาหารมาก่อน ปกติเธอจะแสดงสีหน้าอบอุ่นและสุภาพต่อหน้าเขามาก
เดิมทีเขาคิดว่าการบุกเข้ามาในห้องตอนที่เขาเมานั่นคือจุดสูงสุดของสิ่งที่เธอจะทำได้ แต่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะไร้ยางอายได้ขนาดนี้
จางอวี้เอ๋อไม่ได้แสดงอาการรู้สึกผิดเมื่อเห็นเขาเลย
บทที่ 255 โรงเรียนประถมหยวนหมาน
บทที่ 255 โรงเรียนประถมหยวนหมาน
ตอนนี้เซี่ยชิงหยวนเพิ่งจำได้ว่าเธอไม่ได้บอกเสิ่นอี้โจวเกี่ยวกับการได้พบกับอาจารย์
หญิงสาวจึงพูดเรื่องสำคัญระหว่างเธอกับอาจารย์ให้เขาฟัง
เธอถอนหายใจ “เมื่อฉันออกจากโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า ฉันก็ไม่มีที่ไป เลยต้องเร่ร่อนไปทั่วประเทศ ถ้าฉันไม่ได้พบอาจารย์ ฉันก็คงไม่รู้ว่าชีวิตของฉันไปจบอยู่ไหนเหมือนกัน”
เธอได้เรียนรู้จากอาจารย์ปี่เหลาซาน แม้จะทะเลาะกันบ่อย ๆ หรือชีวิตค่อนข้างขมขื่น แต่มันก็สบายใจและมีความสุขเช่นกัน
ในชีวิตที่แล้ว เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เธอมีความสุขที่สุดในชีวิต
เธอพูดว่า “หลังจากที่ฉันตายไป ฉันก็ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาจารย์บ้าง”
อันที่จริงเธอต้องการถามเสิ่นอี้โจวว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างกับการที่มาเยี่ยมหลุมศพทุกปีหลังจากการตายของเธอ
รวมถึงว่าสาเหตุที่เขาเสียชีวิตเร็วเกินไปนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับเธอหรือไม่
เมื่อคิดดูก็รู้สึกว่ารักครั้งนี้หนักหนานัก จึงไม่กล้าเอ่ยถามออกไป
เสิ่นอี้โจวพึมพำ “อาจารย์คนนั้นของคุณนามสกุลปี่ใช่ไหม?”
ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนประกายขึ้นทันที “คุณรู้จักเขาเหรอ?”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “ผมได้ยินจากอี้หลินว่าเขาเก็บขี้เถ้าของคุณ และแจ้งให้คนนำกลับไป”
ในยุคนี้ ผู้คนเชื่อว่าการถูกฝังลงสู่พื้นดินจะได้พบกับความสงบสุข แต่ผู้ที่เสียชีวิตในต่างแดนเช่นเซี่ยชิงหยวนจะต้องถูกเผาร่างให้กลายเป็นขี้เถ้าก่อนที่จะถูกนำกลับไปยังบ้านเกิด
แต่ในกรณีส่วนใหญ่ คนที่ตายต่างแดนจะถูกฝังไว้ในพื้นที่นั้นไปเลย และพวกเขาจะไม่สามารถกลับไปยังบ้านเกิดได้อีกตลอดชีวิต
เซี่ยชิงหยวนเป็นลูกสาวที่แต่งงานแล้วและหย่าร้าง ซึ่งเสียชีวิตในต่างแดน จริง ๆ แล้วตามประเพณีท้องถิ่นเธอมักจะไม่ถูกพากลับไปที่บ้านเกิด ไม่อย่างนั้นจะถือว่าเป็นโชคร้าย
แต่ในเวลานั้น เซี่ยโยว่หมิงพ่อของเธอพร้อมกับพี่ใหญ่เซี่ยจิ่งเยว่ยืนยันที่จะพาเธอกลับมา
เซี่ยจิ่งเฉินถึงกับปะทะกับเจ้าหน้าที่ในหมู่บ้านที่ต่อต้านพวกเขาและกระทั่งลงมือต่อสู้อย่างรุนแรง
เซี่ยจิ่งเฉินกล่าวว่า “น้องสาวของฉันต้องได้ฝังในทุกที่ที่ฉันต้องการ! ไม่ว่าจะยังไงมันเป็นที่ดินของครอบครัวฉัน พวกแกทุกคนไม่มีสิทธิ์มาเสนอหน้าออกความเห็น!”
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจหลังจากได้ยินเรื่องนี้ที่เกิดหลังจากการตายของเธอ
ว่ากันว่าคนบางคนจะเพิ่งตื่นรู้ก็หลังจากสูญเสียสิ่งสำคัญไปแล้ว แต่บางคนยังคงไม่ถนอม แม้ว่าจะสูญเสียมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็ตาม
เซี่ยจิ่งเฉินเป็นอย่างแรก
ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจว่าทำไมเสิ่นอี้โจวถึงอดทนต่อเซี่ยจิ่งเฉินในชีวิตนี้มากขึ้น
เสิ่นอี้โจวหยุดชั่วคราวและพูดต่อ “สองปีต่อมา อาจารย์ชราของคุณเสียชีวิต เขาบริจาคสมบัติทั้งหมดในชีวิตของเขาให้กับประเทศและในทิเบต เขาได้ทำการบริจาคและสร้างโรงเรียน ชื่อโรงเรียนประถมหยวนหมาน”
เสิ่นอี้โจวให้ความสนใจกับปี่เหลาซาน ประการแรกเพราะอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ของเซี่ยชิงหยวน และประการที่สองเนื่องจากพฤติกรรมของอีกฝ่ายน่าตกใจอย่างยิ่งในเวลานั้น
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยชิงหยวนรู้สึกอึดอัดอยู่พักหนึ่ง
โรงเรียนประถมหยวนหมาน มันเป็นการตั้งชื่อเพื่อระลึกถึงเธอและปี่ฟู่หมานไม่ใช่เหรอ?
อาจารย์ของเธอรับศิษย์อยู่สามคนในชีวิตของเขา คนหนึ่งจากไปและหายสาบสูญเขาไม่เคยกล่าวถึง ส่วนอีกสองคนนั้นทำให้ผมเขาขาวไปทั้งหัว เขาเศร้าโศกเพียงใดใครจะนึกออก?
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ฉันทิ้งที่อยู่ของเราไว้ให้อาจารย์แล้ว และเดือนนี้ก็ผ่านไปแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะมาหาฉันไหมนะ”
เสิ่นอี้โจวลูบไหล่ของเธอ “ในเมื่อคุณได้จะพบเขาอีกครั้งในชาตินี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นคุณจะได้พบเขาอีกแน่นอน”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ฉันจะบอกยามที่ประตูไว้อีกทีแล้วกัน และขอให้พวกเขาช่วยให้ความสนใจหน่อย”บราวนี่ออนไลน์
เสิ่นอี้โจวจ้องมองที่กำไลของเซี่ยชิงหยวน และคร่ำครวญว่า “กำไลนี้ คุณควรสวมมันไว้บนร่างกายของคุณตลอดเวลานะ”
เซี่ยชิงหยวนเลิกคิ้วทันที “คุณเชื่อเรื่องผู้พิทักษ์หยก*[1] ด้วยเหรอ?”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้เสิ่นอี้โจวก็ยิ้ม “ผมรู้สึกอย่างนั้นเสมอ บางสิ่งก็ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์”
แต่สิ่งที่เขาจำได้ไม่เคยลืมเลือนเลยต่อกำไลหยกนี้คือ การที่เห็นมันแตกออกเสี่ยงๆ โดยมีเลือดแห้งของเซี่ยชิงหยวนติดอยู่
เขาคิดว่าถ้าเซี่ยชิงหยวนไม่มีกำไลหยกนี้บนร่างกายของเธอในระหว่างการแสวงบุญ อาจมีผลลัพธ์ที่แตกต่างออกไปแล้วก็ได้
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
เมื่อกำไลหยกเคลื่อนผ่านนิ้วของเธอไป จนในที่สุดมันก็ไปรั้งอยู่บนข้อมือ
ผิวของเธอตอนนี้ยังมีแผลอยู่ แต่เมื่อสวมกำไลนี้เข้าไป มันราวกับว่าทำให้แผลจางลงไปเหมือนมีพลังพิเศษ
หน่วยงานอนุญาตให้เสิ่นอี้โจวลางานได้อีกสามวัน เพื่อให้เขาพักฟื้นที่บ้านได้
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “สามวันนี้คุณอยู่บ้านนะ ฉันจะได้ดูแลร่างกายของคุณได้อย่างใกล้ชิดด้วย”
อันที่จริงเธอรู้สึกว่าสามวันสั้นเกินไป
เสิ่นอี้โจวตอบด้วยรอยยิ้ม “ตกลง ตกลง ผมเข้าใจแล้ว”
เสิ่นอี้หลินได้รับคำสั่งให้กลับบ้านเพื่อรับประทานอาหารกลางวันในตอนเที่ยง และเซี่ยชิงหยวนก็วางแผนที่จะไปที่ร้านตรอกเก่ากับหลินตงซิ่ว และซื้อผักระหว่างทางกลับ
โดยไม่คาดคิดเลยว่า ก่อนที่จะได้ออกไปฉู่ซิงอวี่ก็มาถึงที่นี่แล้ว
ดวงตาของเขาเป็นสีน้ำเงินดำที่หายาก และเขาถือกองเอกสารไว้ในมือด้วย
เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวน ฉู่ซิงอวี่พยักหน้าและกล่าวสวัสดี “สวัสดีครับคุณนาย ผมมาที่นี่เพื่อส่งเอกสารให้กับท่านเลขาธิการน่ะครับ”
เซี่ยชิงหยวนหลบไปด้านข้าง พยักหน้าและพูดว่า “อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
เธอพบว่าดวงตาของเขาดูเหมือนอดหลับอดนอน ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ช่วงนี้คุณทำงานหนักไปรึเปล่าคะ?”
ตามคำพูดของเซี่ยชิงหยวน ฉู่ซิงอวี่อดไม่ได้ที่จะนึกถึงตอนที่เขาตื่นขึ้นในตอนเช้าตรู่ และพบว่าตัวเองนอนอยู่ในอ้อมแขนของหลิงเยี่ย จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่งด้วยความตกใจกลัว
หลังจากเจอกับฉากเช่นนั้น เขาจะนอนต่อได้ยังไง? เขารีบปลุกหลิงเยี่ยให้ตื่นทันที
หลิงเยี่ยเกาผมที่ยุ่งเหยิงแล้วพึมพำ “ทำไมเหมือนฉันยังไม่ได้นอนเลยเนี่ย”
หลังจากพูดจบ หลิงเยี่ยก็กลับไปที่ห้องของเขาโดยไม่ได้พูดอะไรอีกกับฉู่ซิงอวี่
ฉู่ซิงอวี่กลับมารู้สึกตัว และส่ายหัว “ผมไม่เป็นไรครับ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็พยักหน้าและเข้าไปในห้องหนังสือ
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้ตามไป เธอยืนอยู่ข้างประตูฟังเสิ่นอี้โจวกระซิบเรื่องงานกับฉู่ซิงอวี่
หลังจากส่งฉู่ซิงอวี่ออกไปแล้วเธอก็หันมาถามทันที “คุณพักฟื้นที่บ้านหรือคุณแค่เปลี่ยนที่ทำงานกันแน่?”
เสิ่นอี้โจวรู้ว่าเซี่ยชิงหยวนกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของเขา
เขาดึงเธอมานั่งบนตัก “ผมทำงานที่บ้าน แต่คุณก็สามารถดูแลผมให้กินและพักผ่อนเพียงพอได้นะ”
เมื่อรู้ว่าเขากังวลเรื่องงาน เซี่ยชิงหยวนก็ถอนหายใจ
“เอาละ คุณพูดขนาดนี้แล้วฉันจะพูดอะไรได้อีก”
หญิงสาวบีบใบหน้าของเขา “ฉันจะออกไปก่อนแล้วจะรีบกลับมานะ”
แต่เสิ่นอี้โจวไม่ยอมให้เธอลุกขึ้นง่ายๆ
เขากดเธอลงกับโต๊ะ พร้อมจูบเธอแรง ๆ แล้วค่อยปล่อยเธอไป
เซี่ยชิงหยวนแตะริมฝีปากที่แดงและบวม พลางจ้องมองที่เขาเขม็ง
แต่แค่แววตาของเขาที่เคลื่อนไหวตอบกลับมาเท่านั้น มันก็เพิ่มเสน่ห์แล้วทำให้ถึงตายได้แล้ว!
เซี่ยชิงหยวนรีบออกมา เดิมทีเธอวางแผนที่จะไปและกลับอย่างเร็ว แต่ไม่คาดคิดก่อนที่เธอจะเดินไปถึงร้าน เธอเห็นผู้คนมากมายรวมตัวกันอยู่ข้างนอกร้านและมีเสียงโหยหวนของผู้หญิง
เซี่ยชิงหยวนกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนั้นเธอจึงรีบลากหลินตงซิ่วผ่านฝูงชนและเข้าไปด้านใน
ที่ประตูร้าน เจียงเพ่ยหลานกำลังร้องเสียงหลงโดยมีหญิงชราคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนพื้นโดยจับต้นขาของเธอไว้
หญิงชราตะโกนร้องสุดเสียง ตราบใดที่เจียงเพ่ยหลานพูด หญิงชรากลบเสียงของเจียงเพ่ยหลานด้วยเสียงที่ดังกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้เธอพูดอะไรสักคำเลย
คิ้วของเจียงเพ่ยหลานขมวดคิ้วลึกขึ้นเรื่อย ๆ แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้
อาเซียงและอาจ้วงพยายามดึงหญิงชราออกไป แต่ก่อนที่พวกเขาจะแตะต้องหญิงชรา หญิงชราก็เริ่มกรีดร้องพลางร้องบอกว่าพวกเขากำลังรวมหัวกันรังแกเธอ
เป็นผลให้อาเซียงและอาจ้วงไม่กล้าทำอะไรอีก พวกเขาได้แต่รอและกังวล
หญิงชรามีผมกระเซิง และผู้คนก็ไม่แน่ใจว่าเธอร้องไห้จริงหรือปลอม แต่สภาพของเธอก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกสมเพชได้แล้ว
เซี่ยชิงหยวนจำหญิงชราคนนี้ได้ เธอคือติงเหม่ยเซียน อดีตแม่สามีของเจียงเพ่ยหลาน
ติงเหม่ยเซียนจับต้นขาของเจียงเพ่ยหลานโดยไม่ยอมปล่อยพร้อมกับร้องไห้
“ทุกคนมาดูเร็ว ผู้หญิงคนนี้โหดร้ายจริงๆ! ลูกชายของฉันขาหัก เธอเลยไม่สนใจเขา! ฉันอายุปูนนี้แล้วจะไปดูแลลูกชายได้ยังไง ถ้าเธอไม่ดูแลเขาแล้วใครจะดูแลเขา?”
หญิงชราชี้ไปที่เจียงเพ่ยหลาน “ผู้คนพูดว่าเป็นสามีภรรยากันวันเดียวก็เหมือนกับเป็นทั้งชีวิต เธอกับจื้อเฉียงเป็นคู่สามีภรรยากันมานานหลายปี แล้วเธอปฏิบัติต่อเขาแบบนี้ได้ยังไง?”
เซี่ยชิงหยวนจะไม่เข้าใจสถานการณ์ได้ยังไงล่ะ?
เธอก้าวเข้าไปแล้วตะคอกอย่างเย็นชา “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้ยินว่าผู้ชายที่หย่าร้างแล้ว ซึ่งไม่เคยสนใจอดีตภรรยาและลูกสาวมาก่อน พอขาหักขึ้นมากลับต้องการให้อดีตภรรยากลับไปดูแลเนี่ย!”
* ผู้พิทักษ์หยก (玉能护主) เนื่องจากในประเทศจีน เชื่อกันว่า หยก เป็นสิ่งที่มีจิตวิญญาณหรือพลังงานที่สามารถปกป้องเจ้าของหรือผู้สวมใส่ได้
———————
