บทที่ 262 อย่าขยับ
บทที่ 262 อย่าขยับ
ไม่เพียงแต่จางอวี้เอ๋อไม่หลบหน้าเท่านั้น ตรงกันข้ามเธอกลับทำท่าทางหยิ่งยโสโดยไม่รู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย
ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนความจำดี เขาคงคิดว่าจางอวี้เอ๋อไม่ใช่คนที่ทำสิ่งนั้นเมื่อคืนนี้ไปแล้ว
ฉู่ซิงอวี่ขมวดคิ้ว ไม่อยากคิดถึงคนที่ทำให้เขารู้สึกขยะแขยง
ชายหนุ่มสงบสติอารมณ์ และเดินผ่านจางอวี้เอ๋อพร้อมกับหลิงเยี่ยราวกับว่าเธอเป็นอากาศธาตุ
จางอวี้เอ๋อพ่นลมหายใจ “เหอะ!” ให้กับด้านหลังของฉู่ซิงอวี่
ถ้าไม่ใช่เพราะเขา เธอคงไม่ต้อง…
ช่างเถอะ ไม่ว่าจะยังไง จะใช้วิธีไหนก็สามารถบรรลุเป้าหมายของเธอได้เหมือนเดิม คอยดูแล้วกัน!
…
ขณะที่เซี่ยชิงหยวนกำลังคิดเรื่องปี่เหลาซานและปี่ฟู่หมาน เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากกงเหลียนซินซะก่อน
กงเหลียนซินพูดว่า “ตอนนี้ข้าวที่บ้านก็เกี่ยวแล้ว พี่อยากจะถือโอกาสเอาเวลาว่างนี้ไปเที่ยวในเมืองหน่อยน่ะ ไม่รู้ว่าเธอกับน้องเขยจะสะดวกรึเปล่า?”
หลังจากวางสายกับเซี่ยชิงหยวนในวันนั้น กงเหลียนซินก็ไม่สามารถระงับความคิดนี้ของเธอได้
เซี่ยจิ่งเยว่และญาติของเธอก็สนับสนุนเช่นกัน ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะมา
เซี่ยชิงหยวนตอบอย่างตรงไปตรงมา “ทำไมจะไม่สะดวกล่ะพี่สะใภ้ ฉันดีใจนะที่พี่จะมาก่อนที่จะสายเกินไป”
เซี่ยชิงหยวนนำสมุดบันทึกขนาดเล็กออกมาเตรียมจด “พี่สะใภ้จะพาลูก ๆ ของพี่มาที่นี่กับพี่ชายของฉันด้วยไหม? แล้ววางแผนจะออกเดินทางวันไหน ฉันจะได้ซื้อตั๋วให้จากที่นี่น่ะ”
กงเหลียนซินกล่าวว่า “พี่ของเธอบอกว่าเขาจะอยู่บ้านเพื่อดูแลพ่อแม่น่ะ เขาเลยจะไม่มา ส่วนพี่จะพาเซี่ยไป่เหิงไปคนเดียว คราวนี้จะให้เซี่ยไป่อวิ๋นอยู่ที่บ้านก่อนน่ะ”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินว่าเซี่ยจิ่งเยว่และหลานชายตัวน้อยของเธอจะมาไม่ครบ หญิงสาวก็อดนึกเสียดายไม่ได้
แต่การที่กงเหลียนซินออกมาคนเดียว มันสะดวกกว่าที่จะนำหลานทั้งสองมาเพียงคนเดียวจริง ๆ นั่นแหละ
เซี่ยชิงหยวนพูดว่า “ได้ค่ะ พี่บอกมาได้เลยนะว่าจะมาเวลาไหน ฉันจะได้จัดการให้”
ท้ายที่สุดกงเหลียนซินก็ตัดสินใจที่จะมาเตียนเฉิงในอีกหนึ่งสัปดาห์
เดิมทีกงเหลียนซินต้องการจะพูดบางสิ่งที่เกี่ยวข้องกับจางอวี้เจียวและจางอวี้เอ๋อ แต่เธอไม่มีความสุขกับมันมากนักหลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอจึงปิดปากเงียบไป
เมื่อเธอไปที่เตียนเฉิง แล้วค่อยรอให้เจอเซี่ยชิงหยวนแล้วค่อยพูดคุยก็ได้
ทางเซี่ยชิงหยวนเองก็มองไปที่ปฏิทิน
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เธอกับอาเซียงไปขายเสื้อผ้าด้วยกัน ซึ่งพวกเธอก็ไปขายแถวศาลากลางและโรงงานบุหรี่ ในเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์นี้ พวกเธอขายเสื้อผ้าได้มากกว่าสามร้อยชิ้นแล้ว
ในมือยังเหลือเสื้อผ้าอีกมากกว่าสี่ร้อยชิ้น ซึ่งมีเวลาพอที่จะไปกว่างโจวก่อนที่กงเหลียนซินและหลานชายคนโตของเธอจะมา
ตอนนี้เป็นช่วงปลายเดือนตุลาคม และยังสามารถซื้อเสื้อผ้าสไตล์ฤดูใบไม้ร่วงได้
ขณะนี้ในเมืองส่วนใหญ่ของจีน เสื้อผ้ากันหนาวได้เริ่มวางจำหน่ายก่อนหน้านี้แล้ว
เธอหวังว่าเมื่อถึงเวลา ตนเองจะได้ซื้อเสื้อผ้าแบบโละขายอีกครั้ง
ที่โต๊ะอาหารเย็น เมื่อเซี่ยชิงหยวนบอกว่ากำลังจะไปเมืองกว่างโจวเพื่อซื้อเสื้อผ้าอีกรอบ เสิ่นอี้โจวก็ดูปกติและพยักหน้า “ตกลง”
ในตอนกลางคืน เสิ่นอี้โจวก็อุ้มเซี่ยชิงหยวน ซึ่งกำลังอยู่ในห้องหนังสือกลับไปที่ห้องนอน
การกระทำนี้ของเขาทำให้เธอกลัวมากจนเตะรองเท้าแตะที่ใส่อยู่ปลิวไป
เขาโยนภรรยาลงบนเตียง และตัวเขาก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อบราวนี่ออนไลน์
เซี่ยชิงหยวนตกตะลึงกับปฏิบัติการรอบนี้ไม่น้อย “นั่นคุณจะทำอะไรน่ะ?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เสิ่นอี้โจวก็หัวเราะออกมา “แน่นอน…ทำเรื่อง…ที่น่าสนใจไง”
เซี่ยชิงหยวน “!”
เธอพยายามต่อรอง “เมื่อวานก็ทำแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้าอย่างจริงจัง “แต่นั่นมันเมื่อวาน ไม่ใช่วันนี้”
เซี่ยชิงหยวนอยากจะร้องไห้ “แต่เอวของฉันยังเจ็บอยู่เลย”
ในขณะที่เธอพูด เสิ่นอี้โจวได้ปลดกระดุมเสื้อของเขาทั้งหมดแล้ว
เขาโยนมันและเสื้อก็ตกลงบนโซฟาที่ปลายเตียง
เขาเอื้อมมือไปแตะข้อเท้าของเธอแล้วจับมันไว้ “ผมคิดว่าวันนี้คุณได้พักผ่อนพอแล้วนะ เมื่อตอนเย็นคุณยังสามารถนั่งเล่นหมากรุกกับอี้หลินได้อยู่เลยไม่ใช่เหรอ?”
หลังจากพูดจบ เขาก็ดึงเธอมาใต้ร่างทันที
เขาลดกายลงจูบหญิงสาว ปิดกั้นสิ่งที่เธอต้องการจะเอ่ย
อีกมือหนึ่งก็โอบขาที่เตะไปมาของเธอไว้อย่างง่ายดาย “นี่ อย่าขยับสิ”
เซี่ยชิงหยวน “…”
เธอพบว่าทุกครั้งก่อนไปเมืองกว่างโจว เสิ่นอี้โจวจะชอบทำแบบนี้ก่อนเข้านอนไปอีกหลายวัน
ถ้าเธอรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เธอควรจะบอกเขาในตอนเช้าก่อนออกเดินทางมากกว่า
…
เซี่ยชิงหยวนไปที่เมืองกว่างโจวครั้งนี้ เธอนำอาเซียงไปด้วย
ส่วนงานขายเสื้อผ้านั้น เธอฝากไว้กับอาจ้วง
เซี่ยชิงหยวนพูดกับอาจ้วง ซึ่งกำลังมองดูกองเสื้อผ้าด้วยความขมขื่นและไม่มั่นใจ
“อย่ากดดันไป แค่ขายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก็พอ”
อาจ้วงอยากบอกว่าเขาไม่กลัวที่จะขายเสื้อผ้า แต่เขากลัวพวกหนุ่ม ๆ หรือสาว ๆ ที่อายุมากกว่าจะรุมล้อมและล้อเลียนเขา
หลังจากได้รับการจ้องมองอย่างเอาเป็นเอาตายจากพี่สาวของตัวเอง เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพยักหน้า “ตกลง ผมเข้าใจแล้ว”
นี่เป็นครั้งที่สองที่อาเซียงไปกว่างโจวกับเซี่ยชิงหยวน
เมื่อเทียบกับความแปลกใหม่และความตื่นเต้นในครั้งแรก ครั้งนี้เธอสงบลงอย่างเห็นได้ชัด
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “น่าจะมีสินค้าสำหรับฤดูหนาวในเมืองกว่างโจวอยู่แล้ว และพี่จะพาเธอไปดูรอบ ๆ ไปเลย เพื่อที่คราวหน้าเธอจะได้สามารถมาซื้อสินค้ากับเหล่าไต้ได้ด้วยตัวเองโดยตรงนะ”
เมื่ออาเซียงได้ยินเซี่ยชิงหยวนมอบหมายเรื่องสำคัญเช่นนี้ให้ เธอก็กลืนน้ำลายตัวเองอย่างรวดเร็ว “ค่ะพี่สาวเซี่ย”
คราวนี้ยังคงเป็นเฮ่ออวี้เฟิงที่มารอรับที่สถานีรถไฟ
เมื่ออาเซียงเห็นเฮ่ออวี้เฟิง เสียงของเธอก็อดไม่ได้ที่จะตึงเครียด “พี่สาวเซี่ย คนคนนี้ดูดุร้ายมากเลยค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนลูบหัวอาเซียงด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “เขาเป็นคนดีมาก แค่ไม่ค่อยพูดน่ะ”
อาเซียงพยักหน้า และเดินไปอีกด้านของเซี่ยชิงหยวนเห็นได้ชัดว่ายังคงกลัวเฮ่ออวี้เฟิงอยู่
เฮ่ออวี้เฟิงชำเลืองมองอาเซียง ซึ่งผิวเข้มกว่าเซี่ยชิงหยวนพอสมควร และไม่พูดอะไร
ครั้งนี้เฮ่ออวี้เฟิงจัดโรงแรมให้พวกเธอห่างจากร้านซ่อมรถของเขาหนึ่งถนน
ทั้งสองคนมีความเข้าใจทันทีและไม่ได้กล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในกองเพลิง
เหล่าไต้เห็นเซี่ยชิงหยวนและถอนหายใจ “ตั้งแต่ลูกพี่โจวตาย สถานที่นี้ก็ไม่สงบเหมือนเมื่อก่อนเลย”
พอได้ยินแบบนั้น ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนก็พลันแข็งค้างไป “เขาตายจริงเหรอ?”
เหล่าไต้พูดต่อ “มีคนเห็นด้วยตาตัวเองว่าเขาวิ่งไปข้างในโรงแรมที่ไฟไหม้ แต่ก็ไม่ได้ออกมาอีกเลยน่ะ”
“ไฟไหม้ใหญ่ขนาดนั้นจะรอดได้ยังไง? ถ้าเขาไม่ตาย ทำไมเขาถึงไม่ปรากฏตัวล่ะ?”
“ตอนนี้พื้นที่รอบ ๆ ถูกปกครองโดยแก๊งชิงเฉิงไปแล้ว”
“ตอนนี้มันยุ่งเหยิงจริง ๆ ฉันจ่ายค่าคุ้มครองครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ฉันก็ยังรู้สึกไม่สบายใจเลย”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เหล่าไต้ยังคงคิดถึงวันที่ลูกพี่โจวอยู่ใกล้ๆ
อย่างน้อยภายใต้การคุ้มครองของเขาก็ไม่มีการกดขี่
อาเซียงฟังเหล่าไต้และอดไม่ได้ที่จะถาม “พี่สาวเซี่ย ลูกพี่โจวที่พูดถึงกันอยู่คือนักเลงหัวไม้ที่ไปสถานีตำรวจกับเราครั้งล่าสุดใช่ไหมคะ?”
เมื่อได้ยินอาเซียงพูดถึงโจวจินจื่อ เซี่ยชิงหยวนก็พยักหน้าและพูดว่า “ใช่”
มีคนเพิ่งเดินผ่านไป และเหล่าไต้พูดว่า “คราวหน้าอย่าพูดถึงคนคนนี้อีกนะ และระวังอย่าให้ใครได้ยินด้วย นอกจากนี้เวลาออกไปดูสินค้าในอนาคตควรพยายามออกไปแต่ตอนกลางวันเท่านั้น ช่วงนี้ตอนกลางคืนฉันไม่กล้าพาพวกเธอไปตลาดเลย”
เซี่ยชิงหยวนตอบกลับ “ได้ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว”
เมื่อออกไปข้างนอก จะดีที่สุดคือใช้เวลาให้น้อยลงเพื่อเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิด
ท้ายที่สุดไม่ใช่นักเลงทุกคนที่เหมือนโจวจิ่นจือ
แต่ใครจะรู้ แม้ว่าเธอจะระมัดระวังมากแค่ไหน แต่ก็ยังมีบางสิ่งเกิดขึ้นอยู่ดี
บทที่ 256 เผชิญหน้า
บทที่ 256 เผชิญหน้า
เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนเดินเข้ามา อาเซียงและคนอื่น ๆ ก็ราวกับได้เจอผู้ช่วยชีวิต
เมื่อมองไปที่ใบหน้าของเซี่ยชิงหยวน อาเซียงก็ตกตะลึงไปชั่วขณะและทักทายเธอทันที
อาเซียงพูดด้วยความโกรธ “ถูกต้อง พี่สาวเพ่ยหลานหย่าร้างแล้ว แล้วเธอยังมาก่อปัญหาที่นี่ทุกวันอีก ไร้ยางอายจริง ๆ!”
ติงเหม่ยเซียนยังจำเซี่ยชิงหยวนได้
เธอรู้ว่าตอนนี้เซี่ยชิงหยวนเป็นภรรยาของเลขาธิการ ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
แต่ว่าตอนนี้หญิงชรากำลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอจึงจำใจมาที่นี่
เธอยังคงจับขาของเจียงเพ่ยหลานและพูดว่า “เธอจะรังแกหญิงชราที่ไม่มีใครให้พึ่งพาอย่างฉันเชียวเหรอ? ถึงจะหย่าร้างไปแล้วแต่ทำไมเธอถึงช่วยฉันไม่ได้ล่ะ?”
“ลูกชายของฉันกระดูกขาหัก และเส้นเอ็นก็ยังไม่สมานดีเลยนะ”
“ไม่ว่าจะยังไงจื้อเฉียงก็เป็นพ่อของอี้ตั่ว เขาได้รับบาดเจ็บเพราะไปดับไฟ เธอจะเพิกเฉยต่อเขาได้เชียวเหรอ? เธอมันใจร้ายมากจริงๆ!”
“ในอนาคตเธอเองก็จะถูกแทงข้างหลังเหมือนกัน!”
เซี่ยชิงหยวนเดิมทีต้องการสั่งสอนบทเรียนให้แก่ติงเหม่ยเซียน แต่เมื่อดวงตาของเธอมองไปที่เจียงเพ่ยหลาน ซึ่งกำลังแสดงสีหน้าไม่พอใจและอดกลั้น เธอรั้งตัวเองไว้ก่อน
เธอสามารถช่วยเจียงเพ่ยหลานได้ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่ตลอดไป
ไม่อย่างนั้นตามนิสัยของติงเหม่ยเซียน หญิงชราก็จะมารบกวนเจียงเพ่ยหลานเรื่อย ๆ ในอนาคต
เช่นเดียวกับตอนที่หย่าร้าง ถ้าเจียงเพ่ยหลานไม่ตาสว่างด้วยตัวเอง มันก็ไม่มีใครทำอะไรได้
เซี่ยชิงหยวนมองไปที่เจียงเพ่ยหลาน “เพ่ยหลาน เธอจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ อาเซียงก็พูดทันที “แน่นอนว่าปล่อยให้เธอไปเผชิญกับความยากลำบากเอาเองเลย! ลูกชายของเธอเป็นอัมพาตแล้วยังไง มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับพี่สาวเพ่ยหลานเลยสักนิดเดียว”
“พี่สาวเพ่ยหลาน พี่ต้องไม่สับสนนะ!”
หญิงชราใช้ประโยชน์จากการที่เซี่ยชิงหยวนไม่อยู่ มาที่นี่ทุกวันเพื่อสร้างความวุ่นวาย และธุรกิจของร้านตรอกเก่าก็ได้รับผลกระทบจากเธอด้วย
อาเซียงยังรู้ความจริงข้อนี้แล้วเจียงเพ่ยหลานจะไม่เข้าใจได้ยังไง
หลังจากได้รับการจ้องมองที่ให้กำลังใจจากเซี่ยชิงหยวนแล้ว เจียงเพ่ยหลานก็เข้าใจว่าเซี่ยชิงหยวนหมายถึงอะไร
ก่อนหน้านี้ ติงเม่ยเซียนและลูกชายปฏิบัติต่อเธอกับลูกสาวของเธอยังไง เธอจำได้ไม่ลืม เธอไม่ควรสนใจชีวิตของพวกเขาอีกต่อไป
แต่บางความคิดเธอก็เกลี้ยกล่อมตัวเองว่า ไม่ว่ายังไงหลินจื้อเฉียงก็เป็นพ่อของลูก
แต่แล้วฉากจากอดีตก็ฉายซ้ำในใจ และในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้
เจียงเพ่ยหลานพูดด้วยดวงตาสีแดงก่ำ “ฉันกับหลินจื้อเฉียงหย่ากันแล้ว และเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันอีก คุณไปได้แล้ว!”
ขณะที่พูด เธอก็กำลังจะดึงขาออกมา
ติงเหม่ยเซียนจะคาดคิดได้ยังไงว่าทัศนคติของเจียงเพ่ยหลานจะเปลี่ยนไปทันทีที่เซี่ยชิงหยวนมา
หญิงชรากอดขาของเจียงเพ่ยหลานแน่นขึ้น และเริ่มร้องไห้อีกครั้ง “นังหญิงเลว เธอมันไม่มีมโนธรรม! เธอจำไม่ได้เหรอว่าตอนอยู่บ้านของฉัน ฉันปฏิบัติต่อเธอยังไงบ้าง!”
“ไม่ว่าเธอจะกินอะไรใช้อะไร สำหรับเธอสองแม่ลูกแล้วฉันเคยหวงไหม?”
“แต่พอมาตอนนี้ เธอปฏิบัติกับฉันยังไง?”
“ฉันแก่ขนาดนี้แล้วจะดูแลจื้อเฉียงได้ยังไง ไม่สงสารหญิงชราอย่างฉันบ้างเหรอ? ฉันต้องการเช็ดตัวเขา แต่ฉันก็อุ้มเขาไม่ไหว!”
หญิงชราพูดอย่างเศร้ามากและร้องไห้อีกครั้ง
บางคนอดไม่ได้ที่จะเห็นใจหลังจากได้ยินคำพูดของติงเหม่ยเซียน
ปรากฏการณ์ที่น่าขันคือผู้ที่ดูอ่อนแอโดยผิวเผินมักจะได้รับความเห็นอกเห็นใจจากผู้คน
มีคนพูดว่า “ใช่ ยังไงก็ต้องดูแล”
“ยังไงซะพวกเขาก็เคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน แถมยังเป็นพ่อของลูกด้วยนะ”
……
ติงเหม่ยเซียนได้ยินคนรอบข้างพูดอย่างนี้แล้ว เธอก็ยิ่งรู้สึกได้ใจ
เพราะก่อนหน้านี้ที่เจียงเพ่ยหลานและหลินจื้อเฉียงจะหย่าร้างกัน ทุกครั้งที่มีความขัดแย้ง เธอก็ใช้กลอุบายนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อบังคับเจียงเพ่ยหลาน
อาเซียงและอาจ้วงโกรธมากเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้
พวกเขาต้องการพูดแทนเจียงเพ่ยหลาน แต่ถูกเซี่ยชิงหยวนหยุดไว้
การจ้องมองของเซี่ยชิงหยวนสงบราวกับน้ำในทะเลสาบ เธอมองไปที่เจียงเพ่ยหลานที่แก้มแดงก่ำรอการต่อต้านของอีกฝ่าย
ตราบใดที่เจียงเพ่ยหลานมีความแน่วแน่ เธอก็จะช่วยเหลือ
เจียงเพ่ยหลานรู้ว่าเธออ่อนแอไม่ได้อีกต่อไป
ในที่สุดหลังจากรวบรวมความกล้าที่จะหย่าร้างและมีรายได้ที่มั่นคงแล้ว เธอจะไม่ย้อนกลับไปเป็นเหมือนในอดีตอีก
คิ้วและดวงตาของเจียงเพ่ยหลานเย็นชาและเธอก็ตะคอกเสียงดัง “ถามจริง ๆ เถอะ ขณะที่คุณพูดคำเหล่านี้ คุณไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยเหรอ?”
“ฮืออ! เธอมันผู้หญิงใจร้าย! เธอ…”
ติงเหม่ยเซียนยังเหมือนเดิม พยายามที่จะร้องไห้กลบเสียงของเจียงเพ่ยหลาน
แน่นอนว่าคราวนี้ติงเหม่ยเซียนก็ยังไม่สามารถปล่อยให้เจียงเพ่ยหลานพูดบางอย่างได้
โดยไม่คาดคิด เจียงเพ่ยหลานหยิบฝาหม้อเหล็กที่วางไว้ด้านข้างและเขวี้ยงมันลงพื้นอย่างแรง
เคร้ง!! เสียงดังขัดจังหวะคำพูดของติงเหม่ยเซียนอย่างกะทันหัน
เจียงเพ่ยหลานมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา “ฉันกำลังพูด! คุณจะกรีดร้องทำไม? ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ฉันก็ต้องพูดไม่ใช่เหรอ? คุณขัดจังหวะทุกครั้งที่ฉันจะพูด เพราะกลัวว่าฉันจะพูดอะไรที่ไม่ดีเกี่ยวกับคุณใช่ไหม?”
ติงเหม่ยเซียนไม่เคยคิดว่าเจียงเพ่ยหลานจะพูดแบบนี้
เธอจ้องไปที่เจียงเพ่ยหลานอย่างว่างเปล่า ลืมที่จะพูดไปชั่วขณะ
คนข้าง ๆ ก็มีปฏิกิริยาเช่นกัน
มันมีแต่ติงเหม่ยเซียนที่ร้องไห้อยู่เสมอ และดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้ยินเจียงเพ่ยหลานแสดงความคิดเห็นด้านของตัวเองเลย
ผู้คนจำนวนมากในตอนนี้เป็นลูกค้าประจำของร้านตรอกเก่า และพวกเขามักจะมีความประทับใจที่ดีต่อเจียงเพ่ยหลาน เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้วเจียงเพ่ยหลานไม่ควรเป็นคนแบบนั้น
ทันใดนั้นพวกเขาก็เริ่มพูดแทนเจียงเพ่ยหลาน
ติงเหม่ยเซียนโกรธจัดและตะโกนออกมา “ฉันไม่ปล่อยให้เธอพูดตอนไหน? ถ้าเธอต้องการพูดอะไรก็พูดมันออกมาเลย ฉันก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเธอจะแก้ตัวอะไรได้!”
เซี่ยชิงหยวนตะคอกและพูดว่า “งั้นปัญหาคือคุณหุบปากก่อนแล้วฟังกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดซะ ถูกหรือผิด ค่อยว่ากันหลังจากฟังจบ!”
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาหลายคู่ ติงเหม่ยเซียนแข็งทื่อทันที
หญิงชราจ้องไปที่เจียงเพ่ยหลานด้วยความโกรธ แต่พอคิดอีกครั้งว่าทำไมตนถึงต้องหงุดหงิดด้วยก็ไม่สามารถอธิบายได้
เจียงเพ่ยหลานชำเลืองมองเซี่ยชิงหยวนอย่างซาบซึ้ง และใช้โอกาสนี้พูดต่อ “ตอนที่ฉันเพิ่งคลอดลูกใหม่ ๆ คุณไม่เคยดูแลฉัน ไม่มีแม้แต่ช่วยทำข้าวสักมื้อเดียว ไม่ต้องพูดถึงลูกสาวของฉัน คุณเอาแต่บอกว่าเธอเป็นเด็กผลาญเงิน ไม่อยากจะเลี้ยงดู”
“ตอนนั้นฉันเดินไม่ไหวออกไปข้างนอกเองไม่ได้ ฉันจึงขอให้คุณช่วยฉันออกไปซื้อผักให้หน่อย แต่แล้วคุณกลับไปร้องไห้กับหลินจื้อเฉียง บอกว่าฉันเอาแต่ใช้คุณไม่ยอมใช้คนอื่น เงินทั้งหมดคุณก็เก็บไว้คนเดียว ฉันได้กินแต่ผักดอง เกลือ น้ำข้าวอยู่ทุกวัน และคุณก็เอาแต่โทษว่าฉันไม่มีน้ำนม!”
“ครอบครัวฝั่งของฉันรู้สึกสงสารฉันมาก พวกเขาจึงนำสิ่งของต่าง ๆ มาให้ฉัน แต่คุณก็ฉกเอาของทั้งหมดไปที่บ้านลูกสาวของคุณในพริบตา โดยบอกว่าลูกสาวของคุณต้องการของเหล่านั้นไปบำรุงสุขภาพ”
“คุณไม่เคยซื้อเสื้อผ้าให้ลูกของฉันตั้งแต่เด็กจนโต และคุณยังไม่อนุญาตให้ซื้อโดยบอกว่าเป็นการเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ แต่คุณกลับใช้เงินเดือนของหลินจื้อเฉียงซื้อของให้หลานชายของคุณมากมาย”
“ลูกสาวของฉันน่าสงสารมาก เสื้อผ้าแต่ละตัวที่ลูกสาวฉันใส่ทั้งหมดมันมาจากหลานชายของคุณทั้งนั้นที่ใส่จนขาดแล้วจึงโยนมาให้”
“นอกจากนี้ คุณยังสนับสนุนให้หลินจื้อเฉียงทุบตีฉัน และคุณยังทุบตีฉันร่วมกับเขาด้วย!”
“หลังจากการหย่าร้าง พวกคุณยังใช้เรื่องลูกบังคับให้ฉันออกจากบ้าน แม้ว่าฉันจะไม่มีเงินและไม่มีที่อยู่อาศัย ฉันกับลูกก็ถูกบังคับให้ออกเขตที่พักอาศัยเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อป้องกันไม่ให้ฉันพาลูกไปสถานรับเลี้ยงเด็กฟรีในหอพักของเขา…!”
เจียงเพ่ยหลานมองไปที่ติงเหม่ยเซียน “คุณคิดว่าทั้งหมดนี้มันดีสำหรับฉันงั้นเหรอ!?”
ติงเหม่ยเซียนจะคาดคิดได้ยังไงว่าการปล่อยโอกาสให้เจียงเพ่ยหลานพูด มันกลับทำให้อีกฝ่ายขุดเอาอดีตที่เน่าเฟะของตัวเองออกมาประกาศต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก
เธอตะโกนกลับไป “ไร้สาระ! ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องไร้สาระของเธอทั้งนั้น เธอจงใจใส่ร้ายฉัน!”
เจียงเพ่ยหลานไม่สนใจกับการพูดกลับขาวเป็นดำของอีกฝ่าย และพูดว่า “คุณและลูกชายของคุณทุบตีฉันในตอนนั้น พวกคุณถูกพาไปสำนักงานรักษาความปลอดภัยสาธารณะ”
“หรือคุณต้องการให้ฉันไปที่สำนักงานรักษาความปลอดภัยสาธารณะเพื่อหาพยานไหมล่ะ?”
