บทที่ 271 ให้เขาเห็นด้วยตาตัวเอง
บทที่ 271 ให้เขาเห็นด้วยตาตัวเอง
กงเหลียนซินเองได้ยินเสียงจึงมองไปเช่นกัน และพบว่าเป็นเซี่ยจิ่งเฉิน
เธอหันมองเซี่ยชิงหยวนทันที พลางส่งสายตาเป็นเชิงถามว่าจะเอายังไงต่อไป
เซี่ยชิงหยวนตบมือของกงเหลียนซินอย่างมั่นใจแล้วลงจากรถ
เซี่ยจิ่งเฉินถือกระเป๋าสัมภาระใบเล็กและถุงตาข่ายใส่ผลไม้ไว้ในมือ เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “พี่เพิ่งถามยามตรงประตูใหญ่มาน่ะ เขาบอกว่าเธอยังอยู่ที่บ้าน อี้โจวออกจากโรงพยาบาลมาพักใหญ่แล้ว แต่ก่อนหน้านี้พี่ไม่มีเวลามาเยี่ยมเลย เพราะงั้นวันนี้พี่ก็เลย…”
เมื่อเห็นว่าเติ้งซูอี้นั่งรถออกไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว เซี่ยชิงหยวนก็หันไปมองเซี่ยจิ่งเฉินที่ผอมลงมากกว่าครั้งล่าสุดที่เจอกัน หลังจากนั้นเหมือนเธอจะตัดสินใจบางอย่างได้ จึงคว้ามือพี่ชายด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว “พี่รองมากับฉัน”
พูดจบเธอก็ดึงเขาขึ้นรถ
ทันทีที่เธอนั่งประจำที่ เซี่ยชิงหยวนก็พูดทันที “เสี่ยวหลิวตามรถที่ขับออกไปเมื่อกี้เร็ว”
เสี่ยวหลิวไม่กล้าชักช้าหรือถามอะไรเพิ่มเติม พลันสตาร์ตรถแล้วเหยียบคันเร่งทันที
เซี่ยจิ่งเฉินขึ้นรถมาจึงเพิ่งรู้ว่ากงเหลียนซินก็อยู่ในรถด้วย
เขาเอ่ยด้วยแปลกใจ “พี่สะใภ้ พี่ก็มาหาชิงหยวนด้วยเหรอ?”
ตอนนี้พวกเขากำลังไปจับจางอวี้เอ๋อที่กำลังเล่นชู้กับสามีคนอื่น แต่จางอวี้เอ๋อก็เป็นน้องภรรยาของเซี่ยจิ่งเฉินด้วย กงเหลียนซินตอบอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก “อืม พี่พาไป่เหิงมาเที่ยวเล่นที่นี่น่ะ”
เซี่ยจิ่งเฉินรู้สึกว่าวันนี้กงเหลียนซินเหมือนจะทำตัวหลบเลี่ยงแปลก ๆ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ
เขาถามเซี่ยชิงหยวน “เธอจะรีบไปไหนเนี่ย?”
พวกเขากำลังแอบตามรถคันข้างหน้าไป ทำตัวคล้ายกับในหนังสายลับทำให้เซี่ยจิ่งเฉินเป็นกังวล
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้คิดจะซ่อนอะไรจากเขา แต่เธออยากให้เขาเห็นทุกอย่างด้วยตาของเขาเอง การได้เห็นกับตาแม้จะน่าตกใจ แต่มันย่อมชัดเจนกว่าคำพูด
เมื่อจางอวี้เจียวขอร้องให้ช่วยในอนาคต เขาจะได้รู้ว่าควรทำแบบไหนถึงจะถูกต้อง
เซี่ยชิงหยวนตอบว่า “เรากำลังติดตามไปจับคนเล่นชู้น่ะ”
“จับคนเล่นชู้?” เซี่ยจิ่งเฉินไม่เคยคิดเลยว่า เซี่ยชิงหยวนจะเป็นพวกชอบยุ่งเรื่องการเล่นชู้ของคนอื่นแบบนี้
เขากล่าวว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ ถ้ามันไม่เกี่ยวอะไรกับเราก็อย่าไปยุ่งด้วยเลย”
ตอนเขายังเด็ก มีอยู่ครั้งหนึ่งด้วยความไม่รู้ของตัวเอง เขาตามพวกผู้ใหญ่ไปดูการจับชู้
ต่อมาเมื่อเขากลับบ้าน เขาถูกแม่ตำหนิอย่างแรง ทำให้เขาจำได้ไม่ลืม
เซี่ยชิงหยวนพึมพำ “คราวนี้ มันอาจมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับเราก็ได้”
เธอมองไปยังกงเหลียนซินที่ขมวดคิ้วแน่น แล้วพูดว่า “ฉันได้ยินมาว่าคนที่แย่งผู้ชายไปคือจางอวี้เอ๋อ”
“อะไรนะ?” เซี่ยจิ่งเฉินพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง “จางอวี้เอ๋อแย่งผู้ชายของคนอื่น!?”
สีหน้าของเซี่ยชิงหยวนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “มันยังเป็นแค่การสงสัยน่ะ วันนี้ฉันเลยจะตามไปดู”
ศาลากลาง เซี่ยจิ่งเฉินเคยเห็นเหอเส้าหยวนกับเติ้งซูอี้แล้วหลายครั้ง และเขาจำทั้งสองคนได้
ก่อนหน้านี้ตอนที่เขากำลังเดินมาบ้านของเซี่ยชิงหยวน เขาก็บังเอิญเห็นสองคนนั้นด้วย
แต่มันมีความผิดปกติเล็กน้อย เพราะทั้งคู่นั่งรถคนละคันออกไปข้างนอก
ปรากฏว่ามีเรื่องแบบนี้เอง
ถ้าให้พูดก็คือ น้องเขยผู้มีอำนาจมากมายที่จางอวี้เจียวพูดถึงก็คือเหอเส้าหยวน
เมื่อนึกถึงการที่จางอวี้เจียวไม่แยแสเขา และดูถูกทั้งครอบครัวของเขา มาตอนนี้เขาก็เข้าใจทันที
นี่หมายความว่าจางอวี้เอ๋อกำลังปีนกิ่งไม้สูง หนึ่งคนบรรลุเป็นเซียน หมูหมากาไก่รอบตัวก็เลยพลอยได้ดีได้ลอยขึ้นสวรรค์ไปด้วยสินะ?
เขารู้สึกตัวเย็นวาบขึ้นมาทันที ใบหน้าบิดเบี้ยวไม่เป็นทรง
เขาก้มศีรษะลงและกำหมัดแน่น โดยไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
เซี่ยชิงหยวนถอนหายใจ เธอไม่ได้พูดอะไรอีก จดจ่อกับการเฝ้าดูความเคลื่อนไหวตรงหน้าอย่างจริงจังบราวนี่ออนไลน์
เธอเห็นรถคันข้างหน้าขับไปหยุดหน้าประตูบ้านหลังหนึ่ง
ประตูรถเปิดออก ผู้คนจำนวนมากทั้งชายและหญิงกรูกันออกมาจากบ้านหลังนั้น แทบทุกคนถือท่อนไม้ จอบ และคราด แล้วรีบเข้าไปในรถที่เติ้งซูอี้นั่งอยู่ทันที
เมื่อรถของเติ้งซูอี้สตาร์ทออกไป ก็มีรถเก่าอีกคันขับตามหลังไปสมทบเพิ่มด้วย
แน่นอนว่ารถอีกคันเป็นพวกเดียวกับเติ้งซูอี้ เดาได้จากเครื่องมือการเกษตรที่ยื่นออกมาจากหน้าต่างรถ
เห็นชัดว่าเติ้งซูอี้เรียกให้คนกลุ่มนี้ไปกับเธอ เพื่อบุกเข้าไปจับหญิงชู้ให้ได้คาหนังคาเขา
เซี่ยชิงหยวนสั่ง “เสี่ยวหลิวขับห่างออกมาอีกหน่อย ไม่งั้นพวกเขาจะเจอเรา”
เสี่ยวหลิวเพิ่มระยะห่างระหว่างรถตามคำแนะนำของเซี่ยชิงหยวนทันที
รถขับไปอีกประมาณยี่สิบนาที และหยุดลงที่หน้าบ้านหลังเล็ก ๆ อันเงียบสงบหลังหนึ่ง
เซี่ยชิงหยวนขอให้เสี่ยวหลิวจอดรถตรงหัวมุมถนนไม่ไกลมากนัก พวกเขาจะได้สามารถสังเกตการเคลื่อนไหวของฝั่งตรงข้ามได้ง่าย แต่ก็ปลอดภัยจากการถูกจับได้พอสมควร
เติ้งซูอี้และผู้หญิงวัยใกล้เคียงกันลงมาจากรถ พวกเธอแอบเดินตามเหอเส้าหยวนที่กำลังเดินเข้าไปในบ้านใกล้ ๆ โดยไม่ทันรู้ตัวเลยว่าถูกสะกดรอยตามมา
คนของเติ้งซูอี้ที่เหลือยังคงรออยู่บนรถไม่ได้ลงตามไป
กงเหลียนซินมองเซี่ยชิงหยวนแล้วถามว่า “ชิงหยวนแล้วพวกเราล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนพูดอย่างใจเย็น “รอเดี๋ยวก่อน”
ดูเหมือนว่าเติ้งซูอี้และหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของเธอจะยังไม่ลงมือ พวกเขาน่าจะกำลังรอให้เหอเส้าหยวนกับจางอวี้เอ๋อเข้าด้ายเข้าเข็มกันก่อนจึงจะบุกเข้าไป
เซี่ยชิงหยวนไม่สนใจจะไปร่วมฟังคำพูดหยาบคายของคนเหล่านี้ ดังนั้นเธอควรรอดูอยูห่าง ๆ จากข้างนอกดีกว่า
เติ้งซูอี้กับพี่สาวคนโตของตระกูลเติ้งแอบเดินตามเหอเส้าหยวนเข้าไปในสนามหญ้าของบ้านหลังเล็ก ๆ นั่นจากทางเข้าหลัก โชคดีสนามมีต้นไม้อยู่พอสมควร จึงพอสามารถใช้บังสายตาผู้คนได้
บ้านละแวกนี้น่าจะเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ และพื้นที่ก็อยู่ห่างไกลจากเมืองเตียนเฉิง จึงมีคนอาศัยอยู่ไม่มากนัก
เหอเส้าหยวนเดินไปที่ห้องชั้นในสุด แล้วเคาะประตูสามครั้งก่อน จากนั้นจึงเคาะอีกหนึ่งครั้ง
สักพักประตูก็เปิดออกจากด้านใน
ผู้หญิงคนหนึ่งยื่นมือออกมาจากใจห้อง แล้วใช้ท่อนแขนโอบรอบคอเหอเส้าหยวน พลางส่งรอยยิ้มที่ทรงเสน่ห์ยั่วยวน
เธอดึงเขาเข้าไปข้างใน เมื่อประตูปิดลงก็มีเสียงหัวเราะดังลอดออกมา
เติ้งซูอี้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ความหวังสุดท้ายในใจเธอก็พังทลายลงทันที
แม้เมื่อก่อนจะเคยสงสัยขนาดไหน แต่มันก็ไม่มีอะไรทำให้เดือดดาลใจไปมากกว่าการได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้ว
เหอเส้าหยวนทรยศต่อเธอและครอบครัวของเธอจริง ๆ!
ร่างกายของเธอสั่นด้วยแรงโกรธและเกลียดชัง
เธออยากจะรีบเข้าไปเสียตอนนี้ แล้วฉีกทึ้งร่างสุนัขทั้งตัวเมียตัวผู้ที่อยู่ในห้องให้ขาดเป็นชิ้น ๆ!
พี่สาวคนโตของตระกูลเติ้งเองก็โกรธมากเช่นกัน ตาขอเธอแดงก่ำ กัดฟันกรอดและสบถว่า “ไอ้เหอเส้าหยวน ไอ้คนไร้ยางอาย!”
เธอดึงเติ้งซูอี้ที่กำลังจะคลุ้มคลั่งไว้ “อย่าเพิ่งรีบร้อนสิ รอให้ทั้งสองคนถอดเสื้อผ้าออกก่อน แล้วเราค่อยพาคนบุกเข้าไป ถึงเวลานั้นพวกเขาจะต้องพังพินาศแน่!”
พวกที่กล้ารังแกตระกูลเติ้ง เกรงว่าพวกเขาคงเขียนคำว่า ‘ตาย’ ไม่เป็นใช่ไหม?
เติ้งซูอี้ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมา พลางเธอพูดอย่างขมขื่น
“พี่สาวไม่ต้องห่วง ฉันเข้าใจแล้ว”
เมื่อเห็นว่าน้องสาวสงบลงแล้ว พี่สาวคนโตของตระกูลเติ้งก็โล่งใจเล็กน้อย
เธอดึงเติ้งซูอี้เข้ามาใกล้ และนั่งยอง ๆ ลงข้างประตู เอาหูแนบเพื่อฟังการเคลื่อนไหวภายใน
พวกเธอคิดว่าจะต้องรอเป็นเวลานาน แต่ที่ไหนได้ทั้งสองคนไม่คิดเลยว่าเหอเส้าหยวนจะลากจางอวี้เอ๋อไปหาเตียงทันทีที่เขาเข้าประตูไป
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้ยินเสียงครวญครางของผู้หญิงคนหนึ่งดังลอดออกมา
จางอวี้เอ๋อพูดด้วยความโกรธ “ทำแรงขนาดนี้คุณต้องการให้ฉันตายรึไง?”
เหอเส้าหยวนหอบหนัก “แต่เธอก็ชอบไม่ใช่เหรอ? เมียฉันที่บ้าน เวลาจะแตะต้องเข้าหน่อยก็ต้องขึ้นอยู่กับอารมณ์ของเจ้าหล่อน แต่กับเธอยัยคนใจง่ายที่ยอมทุกอย่างแบบนี้ ฉันไม่สนใจเธอหรอก”
เติ้งซูอี้นั่งยอง ๆ อยู่ข้างนอกฟังการเคลื่อนไหวข้างใน เธอกำมือแน่นจนเล็บเจาะฝ่ามือและมีเลือดไหลซึมออกมา
ขณะเดียวกัน พี่สาวคนโตก็วิ่งกลับไปที่ประตูลานเพื่อเรียกคนเข้ามาแล้ว
เพียงไม่กี่วินาที คนของเติ้วซูอี้แปดเก้าคนพร้อมอาวุธครบมือก็เดินเข้ามา เห็นแบบนั้นเติ้งซูอี้ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอกระซิบสั่งชายร่างสูงประมาณ 1.8 เมตร “พังประตูเวรนั่นให้ฉันที!”
เซี่ยชิงหยวนและทั้งสามยังคงนั่งอยู่ในรถ และไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย
โดยเฉพาะเซี่ยจิ่งเฉิน เขามีสีหน้าเศร้าหมองมาก
เซี่ยชิงหยวนไม่สนใจจะอธิบายให้เขาฟัง
หากพี่รองของเธอยังทำตัวเหมือนเดิม ทั้ง ๆ ที่เห็นเหตุการณ์พวกนี้แล้ว อย่างนั้นในอนาคตก็อย่าได้ตำหนิเธอที่จะไม่สนใจครอบครัวของเขาเลยก็แล้วกัน
ขณะที่หญิงสาวกำลังเบื่อหน่ายกับการมองไปทางประตู
ในที่สุดเธอก็เห็นพี่สาวคนโตของตระกูลเติ้งออกมาเรียกคนของตน ทันใดนั้นกลุ่มคนก็รีบลงจากรถทันที
กงเหลียนซินเหลือบมองเซี่ยจิ่งเฉินอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเห็นกลุ่มคนเดินเข้าไปในลานบ้าน เซี่ยชิงหยวนก็แก้มัดผม ปล่อยให้ผมกระจายปิดบังแก้มทั้งสองข้าง ปิดครึ่งล่างของใบหน้าตัวเองด้วยผ้าพันคอ และทำแบบนี้ให้กับกงเหลียนซินด้วยเช่นเดียวกัน
พวกเขายืนอยู่ที่ประตูลานบ้านและได้ยินเสียงดังมาจากข้างใน พร้อมด้วยเสียงร้องของชายหญิงที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
ผู้คนที่อาศัยอยู่ในละแวกบ้านใกล้เคียงก็ออกมาจากบ้าน และมองหน้ากันเองด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป
มีคนเห็นเซี่ยชิงหยวนยืนอยู่ที่นั่น จึงก้าวเข้ามาถามว่า “พี่สาว คุณรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”
เซี่ยชิงหยวนแสร้งทำสีหน้ากระอักกระอ่วน “ฉันก็ไม่แน่ใจนะ แต่เมื่อกี้เหมือนฉันได้ยินคนข้างในสบถด่าคำว่านังจิ้งจอกและชายไร้หัวใจด้วยน่ะ”
ฟังแค่นี้ทุกคนก็เข้าใจแล้ว
ในกรณีนี้ไม่จำเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลืออะไรทั้งสิ้น กลับกัน มีแต่จะเข้าไปร่วมสนุกแทน
จากนั้นผู้คนทั้งหลายก็ห้อมล้อมรอบลานบ้านเต็มไปหมด
เซี่ยชิงหยวนมองย้อนกลับไปที่รถ เซี่ยจิ่งเฉินยังคงนั่งอยู่บนนั้นและไม่ได้ลงมา
เธอเลยเพิกเฉยเขาและดึงกงเหลียนซิน “พี่สะใภ้ไปดูกันเถอะ”
———————
บทที่ 265 หัวใจหวั่นไหว
บทที่ 265 หัวใจหวั่นไหว
เช้าวันรุ่งขึ้น เหล่าไต้และพี่สาวฟ่างลากถุงกระสอบมาถึงโรงแรมที่เซี่ยชิงหยวนพัก
พี่สาวฟ่างหยิบถุงใบหนึ่งออกมา “ในถุงใบนี้เป็นของที่น้องสาวเซี่ยหยิบเลือกเมื่อวานนะ”
ขณะเดียวกันก็ชี้ไปที่อีกใบหนึ่ง “และนั่นคือของที่เหลือ ซึ่งน้องสาวเซี่ยยังไม่ได้เลือกดู”
เหล่าไต้เปิดถุงกระสอบใบใหญ่ที่สุดบนไหล่ของเขา “มันเป็นสินค้าพิเศษส่วนตัวที่ญาติของฉันเก็บไว้น่ะ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณสำหรับบริการที่เอาใจใส่ของพวกคุณมากนะคะ”
ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน หลายคนก็มองหน้ากันและหัวเราะ
เซี่ยชิงหยวนเลือกชุดชั้นในออกมาอีกอย่างรวดเร็วมากกว่าสามร้อยชุด และบางชุดที่มีคุณภาพดีกว่า เธอก็หยิบอีกหนึ่งร้อยชุด
พลางพูดว่า “ฉันจะเอากลับไปเท่านี้ก่อนเพื่อทดลองตลาดก่อน และถ้าฉันขายมันได้ ฉันจะมารับสินค้าจากพี่สาวฟ่างอีกนะคะ”
พี่สาวฟ่างมีความสุขมากกับการที่เธอขายชุดชั้นในได้ถึงห้าร้อยชิ้นแค่เพียงเช้าวันเดียว
พี่สาวฟ่างคล้ายกับเหล่าไต้ นั่นคือเธออดไม่ได้ที่จะซื้อสินค้าดี ๆ บางอย่างที่อาจขายได้ยากมา เธอมักจะรู้สึกว่าสินค้าดี ๆ เหล่านี้ไม่ควรถูกฝัง
พี่สาวฟ่างตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีปัญหา”
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายวานนี้ เธอยังคงมีความกลัวอยู่
โดยเฉพาะชายร่างใหญ่ที่ดูดุดันและการต่อสู้ก็ดุเดือดจริงๆ
ในเวลาต่อมาเมื่อตำรวจมาถึง ก็เหลือเพียงลูกพี่ปินคนนั้นและลูกน้องทั้งสองคนที่ร้องไห้คร่ำครวญ
เธอยังกังวลว่าจะติดต่อเซี่ยชิงหยวนได้อีกครั้งไหม เพราะลูกพี่ปินคนนั้นมีแนวโน้มที่จะล้างแค้นเอาคืนมาก
แต่เมื่อคิดถึงการหารายได้ และความสัมพันธ์ที่ดีกับเหล่าไต้ วันนี้เธอจึงกัดฟันและเดินตามไป
ในตอนท้าย พี่สาวฟ่างก็มอบส่วนลดให้เซี่ยชิงหยวน
ชุดชั้นในแบบครบชุดขายให้ในราคาหนึ่งหยวนแปดเหมา ส่วนชุดชั้นในแบบแยกชิ้น หนึ่งชิ้นราคาหนึ่งหยวนสามเหมา ราคารวมทั้งหมดเป็นเจ็ดร้อยยี่สิบห้าหยวน พี่สาวฟ่างปัดเศษออกให้ สุดท้ายเซี่ยชิงหยวนก็จ่ายเพียงเจ็ดร้อยยี่สิบหยวน
เหล่าไต้ “ครั้งก่อนที่เธอพูดถึงสินค้าของฤดูใบไม้ร่วงที่จะขายแบบโละทิ้ง ฉันไปที่หมานต๋ามาและถามเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วนะ หม่าเก๋อบอกว่าจะมีสินค้าจำนวนมากเหลืออยู่จนถึงกลางเดือนหน้า ตอนนี้พวกมันส่วนใหญ่ขายในราคาลดพิเศษน่ะ”
ฤดูร้อนปีนี้ร้อนขึ้นเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นเสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงจึงมีอายุการใช้งานยาวนานกว่าปีก่อน ๆ
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “เข้าใจแล้วค่ะ”
เธอนิ่งไปชั่วครู่ “ครั้งหน้าอาจเป็นอาเซียงที่มาคนเดียวนะ ดังนั้นฉันรบกวนคุณคอยช่วยเหลือเธอด้วยนะคะ”
เหล่าไต้เหลือบมองอาเซียง ซึ่งกำลังทำหน้าตากล้า ๆ กลัว ๆ อยู่ เขาก็รู้ว่าเซี่ยชิงหยวนทำแบบนี้เพราะเชื่อใจตัวเขามาก
จากนั้นเขาก็ตบหน้าอกและเอ่ยสัญญา “อย่ากังวลไป ฉันจะฝึกเธอให้แน่นอน”
อาเซียงแทบไม่เชื่อตัวเองเลยสักนิด “พี่เซี่ย ฉันไม่เคยแตะเสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงมาก่อนเลยนะ และฉันก็กลัวว่าอันที่ฉันเลือกจะไม่ดีด้วย”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “สองวันหลังจากนี้ เราจะไปที่ร้านของเหล่าไต้กันเพื่อดูงานการขาย พี่จะพาเธอสอนงานต่าง ๆ สักพักก่อนที่เราจะกลับไปเมืองเตียนเฉิง เธอฉลาดมากอยู่แล้ว ดังนั้นเธอเรียนรู้มันได้ทันแน่นอน”
เมื่อได้ยินเซี่ยชิงหยวนพูดเช่นนี้ อาเซียงก็รู้สึกเขินอาย
โดยไม่รู้ตัว สายตาเธอชำเลืองมองไปยังทิศทางของเฮ่ออวี้เฟิง
เธอเห็นเขานั่งอยู่ริมหน้าต่าง ดูเบื่อ ๆ
แล้วบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ก็ถาโถมเข้ามาในหัวใจของหญิงสาว
เธอยังไม่เข้าใจว่าความรู้สึกนี้คืออะไร ในใจมันเปรี้ยวฝาดและเธอไม่สามารถมีความสุขได้
เซี่ยชิงหยวนเลือกซื้อเสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงมาอีกเจ็ดร้อยชิ้น และผ้าพันคอสามร้อยชิ้นจากเหล่าไต้ รวมเป็นราคาหนึ่งพันเจ็ดร้อยห้าสิบแปดหยวน
สำหรับฤดูใบไม้ร่วง มีเสื้อผ้าแขนยาวและชุดกระโปรงยาว รวมถึงกางเกงยีนและเสื้อโค้ตสีอ่อน
ผู้คนส่วนใหญ่ในเตียนเฉิงไม่ได้มีรูปร่างอ้วนมากนัก การใส่ยีนจะสามารถโชว์หุ่นที่ดีได้
เสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงไม่เหมือนกับเสื้อผ้าฤดูร้อน บางครั้งผู้คนจะเปลี่ยนมันวันละสองชุด และราคาก็สูง ดังนั้นเธอจึงซื้อไปไม่มากนัก
นอกจากนี้ อาเซียงจะมาในครั้งต่อไป และเธอไม่จำเป็นต้องซื้ออะไรมากมาย
ท้ายที่สุด เหล่าไต้ก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดกับเซี่ยชิงหยวนว่า “สองวันมานี้ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเลย มีตำรวจสายตรวจจำนวนมากอยู่รอบตลาดค้าส่ง แม้แต่ลูกพี่ปินก็หายไปด้วย”
เขาพูดเสียงเบามากกว่าเดิม “ฉันคิดว่าเขาคงทำให้ผู้ยิ่งใหญ่บางคนขุ่นเคืองใจแน่ๆ จึงไม่กล้าออกมา”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินแบบนั้น หญิงสาวเพียงเลิกคิ้วและไม่พูดอะไร
โดยไม่รู้ตัว เธอกลับนึกถึงบทสนทนาทางโทรศัพท์กับเสิ่นอี้โจวเมื่อวันก่อน
สัญชาตญาณของเธอบอกว่าเป็นฝีมือของเขาแน่ แต่หลังจากคิดดูแล้ว เขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับกว่างโจวเลยไม่ใช่เหรอ?
เธอพูดว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น การมีคนคอยควบคุมเขาถือเป็นพรสำหรับเรานั่นแหละ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องออกมาสร้างความลำบากให้ผู้คนด้วย”
หญิงสาวยังคงคิดว่าถ้าตัวเองมาที่กว่างโจวในอนาคต เธอจะต้องปลอมตัวออกไปข้างนอกซะแล้ว
เหล่าไต้ยิ้มและพูดว่า “ใช่ ไม่ต้องไปกังวลเกี่ยวกับเขามากนัก ตราบใดที่มันไม่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจของเราในอนาคต”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนกำลังจะจากไป เธอก็เชิญเฮ่ออวี้เฟิงและเหล่าไต้ไปรับประทานอาหารเย็นกันที่ร้านอาหาร
เนื่องจากมีการตกลงกันไว้นานแล้ว เฮ่ออวี้เฟิงจึงไม่บ่ายเบี่ยงอีก
ที่โต๊ะอาหารเย็น เซี่ยชิงหยวนชูแก้วเหล้าชนให้กับเฮ่ออวี้เฟิงและเหล่าไต้ตามลำดับ
อาเซียงทำตามเซี่ยชิงหยวนเช่นกัน โดยเป็นการขอบคุณเฮ่ออวี้เฟิงและเหล่าไต้
เมื่อดื่มกับเฮ่ออวี้เฟิง ใบหน้าของอาเซียงก็แดงไปหมด “พี่เฮ่อ ช่วงหลายวันมานี้ฉันรบกวนคุณมากเลย ฉันขอดื่มขอบคุณให้คุณนะคะ”
เฮ่ออวี้เฟิงชนแก้วกับอาเซียงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เขาไม่พูดอะไร และกระดกจนหมดแก้ว
เหล่าไต้ยิ้มและพูดว่า “เด็กสาวตัวน้อยขอชนแก้ว แต่หนุ่มใหญ่กลับไม่ได้พูดอะไรสักคำ ฉากนี้มันช่างน่างุนงงเสียจริง”
เมื่อฟังคำพูดติดตลกของเหล่าไต้ ใบหน้าของอาเซียงก็แดงขึ้นจนถึงคอแล้ว
ถึงผิวของเธอจะไม่ขาวใสมากนัก แต่ก็ยังเห็นได้ชัด
เซี่ยชิงหยวนแสร้งทำเป็นโกรธและจ้องไปที่เหล่าไต้ “อาเซียงยังเป็นสาวน้อยที่ไม่รู้ประสีประสา คุณอย่าพูดแหย่เธอแบบนี้สิ”
เหล่าไต้โบกมือของเขา เทแก้วให้ตัวเองแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้ ๆ ฉันผิดแล้ว ฉันขอลงโทษตัวเองด้วยแก้วหนึ่งก็แล้วกัน!”
ตั้งแต่ต้นจนจบ เฮ่ออวี้เฟิงดูเฉยเมยราวกับว่าเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับกิจกรรมในโต๊ะนี้
เซี่ยชิงหยวนคอยสังเกตอาเซียงอย่างเงียบ ๆ และไม่ได้พูดอะไร
เฮ่ออวี้เฟิงคิดอะไรอยู่ เธอก็ไม่อาจทราบได้หรอก
แต่เห็นได้ชัดว่าเฮ่ออวี้เฟิงทำให้หัวใจของสาวน้อยอาเซียงหวั่นไหวเข้าให้แล้ว
ความกังวลหลัก ๆ ของเซี่ยชิงหยวนคือ อาเซียงยังเด็กเกินไป จึงยังไม่น่าจะรู้ว่าความรู้สึกรักหรือหลงเป็นอย่างไร ส่วนเรื่องการแต่งงานในที่ห่างไกลนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ยิ่งไปกว่านั้น เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่าช่องว่างระหว่างอายุของเฮ่ออวี้เฟิงและอาเซียงนั้นมากเกินไป ไม่เพียงในแง่ของบุคลิกภาพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประสบการณ์ทางชีวิตอีกด้วย
เมื่อเธอกลับไปที่เตียนเฉิง เธอต้องถามเสิ่นอี้โจวเกี่ยวกับเฮ่ออวี้เฟิงเสียแล้ว
…
จากนั้นเซี่ยชิงหยวนก็พาอาเซียงกลับไปที่เมืองเตียนเฉิง
วันออกเดินทางเหล่าไต้ก็มาส่งพวกเธอด้วยเช่นกัน
อาเซียงชำเลืองมองไปข้างหลังเหล่าไต้ ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างผิดหวัง
เซี่ยชิงหยวนพูดว่า “เมื่อเช้าตอนเธอเข้าห้องน้ำ เฮ่ออวี้เฟิงมาหาโดยฝากบอกว่าเขามีเรื่องเร่งด่วนที่บ้านน่ะ เขาเลยไม่ได้มาส่ง”
เหล่าไต้ตอบว่า “ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรหรอก ตอนนี้ที่นี่สงบแล้ว”
แม้ว่าจะเป็นการเสียกำลังตำรวจไปสักหน่อย แต่ตำรวจก็มีหน้าที่รักษากฎหมายไม่ใช่เหรอ?
อาเซียงยิ้มและพยักหน้า “ค่ะ”
เหล่าไต้ช่วยขนของขึ้นรถไฟ และโบกมือให้พวกเธอ “คราวหน้าไว้เจอกันใหม่นะ!”
ขณะที่รถไฟเริ่มออก อาเซียงก็มองออกไปนอกหน้าต่างเป็นเวลานานก่อนที่ในที่สุดจะหันไปคุยกับเซี่ยชิงหยวน
เซี่ยชิงหยวนมองไปที่ใบหน้าที่ดูอ่อนเยาว์และไร้เดียงสาของอาเซียง พลางพูดอย่างลังเลว่า “อาเซียง เธอคิดยังไงกับเฮ่ออวี้เฟิง?”
