บทที่ 279 ยังไม่ได้เด็ดดาวให้คุณ
บทที่ 279 ยังไม่ได้เด็ดดาวให้คุณ
เมื่อได้ยินแบบนั้น เซี่ยชิงหยวนก็จับมือกงเหลียนซินแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้คะ ฉันรู้สึกขอบคุณมากจริง ๆ ที่พี่ยินดีทำสิ่งนี้เพื่อพี่รองและครอบครัว แต่ยังไงซะ นี่ก็คือสิ่งที่พี่รองต้องเผชิญด้วยตัวเอง”
ไม่ว่าจะช่วยอะไรไม่ได้หรือไม่เต็มใจช่วย ทุกคนควรรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตนเอง
เนื่องจากเซี่ยจิ่งเฉินเลือกที่จะปกปิดความจริงของเรื่องในอดีตและแต่งงานกับจางอวี้เจียว เพราะงั้นเขาจะต้องชดใช้ราคาทั้งหมดด้วยตัวเอง
การเสียชีวิตของคุณปู่ ความผิดหวังในตัวเอง รวมถึงการห่างเหินจากพี่น้อง สิ่งเหล่านี้คือผลตามมาที่เขาควรแบกรับ
ตอนนี้เธอตั้งใจแน่วแน่ที่จะช่วยเหลือเขา โดยมีเงื่อนไขว่าเขาต้องมีความมุ่งมั่นและความสามารถ เพียงพอจะลุกขึ้นยืนอีกครั้งด้วยตัวเอง
มีเส้นทางบางสายที่คนอื่นไม่สามารถเดินแทนเขาได้
กงเหลียนซินถอนหายใจ พยักหน้าแล้วพูดว่า “พี่เข้าใจแล้ว เธอและพี่เขยไม่ต้องกังวลนะ”
หากไม่ได้ผล เมื่อเกิดเรื่องขึ้นเธอก็จะส่งลูก ๆ กลับไปบ้านแม่สักสองสามวัน และเมื่อเรื่องของเซี่ยจิ่งเฉินกับจางอวี้เจียวได้รับการแก้ไขแล้วค่อยไปรับลูกกลับมาอีกครั้ง
ไม่อย่างนั้นมันคงยิ่งวุ่นวาย ถ้าตระกูลจางทำเรื่องน่ารังเกียจต่อหน้าเด็ก ๆ ทั้งหมด
มุมปากของเซี่ยชิงหยวนยกขึ้น “ขอบคุณค่ะพี่สะใภ้”
กงเหลียนซินกล่าวว่า “เราทุกคนล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องเอ่ยคำขอบคุณหรอก ในอดีตพี่ก็ยังไม่แน่ใจว่าน้องรองกำลังคิดอะไร และแม่ก็เอาแต่ปกป้องทุกคนอยู่เสมอ ดังนั้นพี่จึงไม่สามารถพูดอะไรได้”
“แต่ตอนนี้เมื่อน้องรองคิดได้แล้ว ในฐานะพี่ชายของเขาและพี่สะใภ้ พวกเรารู้ดีว่าต้องทำอะไรต่อไป”
กงเหลียนซินบีบมือของเซี่ยชิงหยวนแน่น “จากนี้ไปพี่จะไม่ปล่อยให้ใครต้องทนทุกข์อีกต่อไปแล้ว”
ชิงหยวนเองก็จับมือของกงเหลียนซินแน่น ดวงตาของเธอมีน้ำตาคลอ “พี่สะใภ้”
ถัดมาเสิ่นอี้โจวได้รับสายโทรศัพท์ โดยบอกว่าหยางฉุนอี้และหนิงเซี่ยวเฉิงกำลังตามหาเขาอยู่
เขาออกไปข้างนอก และกว่าจะกลับมาก็ถึงเวลานอนแล้ว
เซี่ยชิงหยวนกำลังรอเขาอยู่ในห้องนั่งเล่น “เป็นเพราะจางอวี้เอ๋อใช่ไหม?”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “ใช่ ผู้อำนวยการหยางบอกว่าการสอบสวนจะเริ่มในอีกสองวัน และไม่นานคำตัดสินก็ออกมาแล้วล่ะ”
เขาหยุดชั่วคราว “คนในครอบครัวของเหอเส้าหยวนกำลังใช้เส้นสาย และเมื่อถึงเวลา พวกเขาน่าจะโยนความผิดทั้งหมดให้เป็นของจางอวี้เอ๋อ”
เซี่ยชิงหยวนพ่นลมหายใจเบา ๆ “เห็น ๆ กันอยู่ว่าเขาทำผิด คราวนี้เขาจะปฏิเสธมันได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำเหรอ?”
ไม่ว่าจะเป็นการเลื่อนตำแหน่งงานให้กับจางอวี้เอ๋อหรือการเช่าบ้านใหม่ให้เธอ สิ่งเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถลบล้างได้
ยิ่งไปกว่านั้น จางอวี้เอ๋อไม่ใช่ผู้หญิงที่จัดการได้ง่าย ๆ
ตราบใดที่เธอเก็บหลักฐานว่าทั้งสองอยู่ด้วยกัน เช่น ผ้าพันคอหรือสิ่งอื่น ๆ มันก็เพียงพอแล้วสำหรับเหอเส้าหยวนที่จะแก้ต่างไม่ได้
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “แน่นอนว่าคุณจะต้องไปให้ปากคำ พูดง่ายๆ คือในช่วงสองวันหลังจากนี้คุณจะถูกเรียกตัวไป แต่คุณสามารถพูดอะไรก็ได้ที่ต้องการ และผมจะดูแลทุกอย่างให้เอง”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม และตอบว่า “ฉันเข้าใจแล้ว”
เธอเห็นดวงตาที่ชัดเจนแฝงอ่อนโยนของเสิ่นอี้โจว ซึ่งมันทำให้ความกระวนกระวายใจและความไม่สบายใจของเธอค่อย ๆ สงบลง
ชายคนนี้มีใบหน้าที่หล่อเหลา ลมหายใจแผ่วเบา และเสน่ห์ของชายแบบผู้ใหญ่ที่สั่งสมมาตามกาลเวลา
เขาทำให้เธอรู้สึกสบายใจ
เธอโน้มตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้วถอนหายใจ “ในชีวิตนี้ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ครอบครัวของฉันอาจจะยังใช้ชีวิตวุ่นวายเหมือนในอดีตก็ได้”
แม้ว่าเธอจะเกิดใหม่ แต่ก็ยังต้องสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเองอย่างค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปอยู่
ตอนนี้เสิ่นอี้โจวให้ความมั่นใจแก่เธอล่วงหน้าแล้ว
เสิ่นอี้โจวกอดเธอและแนบคางของเขาไว้บนหน้าผากของภรรยา “ชีวิตของผม นอกจากการรักคุณแล้ว เป้าหมายเดียวคือการได้สนับสนุนคุณไงล่ะ”
เขาโน้มตัวและจูบริมฝีปากของเธอเบา ๆ “ดังนั้นได้โปรดใช้ผมเท่าที่คุณต้องการเลย”
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยรักของเขาแล้วยิ้ม
มุมปากของเธอเม้มแน่น รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้
คืนนี้มีเรื่องสะเทือนใจเธอมากเกินไปจริง ๆ
เธอกอดเอวของเขาให้แน่นขึ้น และปลายนิ้วก็แตะกับเสื้อเชิ้ตที่เรียบร้อยของเขา
เธอพูดจากใจ “อี้โจว คุณดีกับฉันมากจริง ๆ”
เสิ่นอี้โจวก้มศีรษะลงคลอเคลียแล้วถูไถปลายจมูกของเขากับเธอ “ไม่ ยังไม่เพียงพอหรอก”
น้ำเสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยความยินดี แต่แล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง “ผมต้องทำงานให้หนักมากขึ้น เพราะตอนนี้ผมยังไม่ได้เด็ดดวงจันทร์ให้คุณเลย”
ดังนั้นความรักของเขาที่มอบให้เธอจะไม่มีวันหมดลง
คิ้วและดวงตาของเซี่ยชิงหยวนโค้งขึ้น “คุณอยากจะเด็ดดวงจันทร์ให้ฉันเหรอ? ถ้าอย่างนั้นคุณจะต้องปฏิบัติต่อฉันอย่างดีตลอดชีวิตเลยนะ”
เสิ่นอี้โจวจับคางของเธอ “แน่นอน ผมจะปฏิบัติต่อคุณอย่างดีตลอดชีวิตที่เหลือของผม”
เขาไม่ต้องการเห็นน้ำตาของเธออีกเลย แม้ว่าคนที่สร้างเรื่องจะเป็นสมาชิกในครอบครัวของเธอก็ตาม
เขามอบจูบลงบนริมฝีปากเธออย่างแผ่วเบาก่อนจะผละออก แล้วจึงประทับจูบลงไปอีกครั้งแล้วผละออก ทำอยู่เช่นนี้ซ้ำ ๆ ไปมา
เช่นเดียวกับฝนที่ตกลงมาในฤดูใบไม้ผลิ มันให้ความชุ่มชื้น สงบเย็น และไม่มีที่สิ้นสุด
ตรงช่องเล็ก ๆ ของประตู หัวกลมเล็ก ๆ ทั้งสองโผล่เข้ามาพร้อมกัน แล้วชะงักไปครู่หนึ่ง
เซี่ยไป่เหิงจับเป้าของเขา “พี่ชาย ผมปวดฉี่มากเลย”
เสิ่นอี้หลินขี้เกียจเกินกว่าจะช่วยอีกฝ่าย
เขาทำท่าให้อีกฝ่ายเงียบ แล้วดึงเซี่ยไป่เหิงขึ้นไปบนเตียง “ชู่วววว ทนไว้ก่อน”
เซี่ยไป่เหิงหน้ามุ่ย “แต่ผมทนไม่ไหวแล้ว”
ในขณะที่เขาพูด เขาดันเตะขาพลาดไปชนโต๊ะจนเกิดเสียงขึ้น ตอนนี้พวกเขาทั้งสองตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว
เสียงที่เกิดขึ้นทำให้คนทั้งสองในห้องนั่งเล่นตื่นตระหนก เซี่ยชิงหยวนรีบผลักเสิ่นอี้โจวออกทันที
ปากของพวกเขาแดงขึ้นและบวมนิดหน่อย ทั้งคู่หันมองไปที่ช่องเล็ก ๆ ของประตู
เสิ่นอี้โจวกระแอมไอในลำคอและพูดเสียงต่ำ “อี้หลิน?”
เสิ่นอี้หลินเปิดประตูด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนแล้วเดินเข้ามา ตามด้วยเซี่ยไป่เหิง
เนื่องจากจะกลับพรุ่งนี้แล้ว เซี่ยไป่เหิงจึงรบเร้าขอนอนกับเสิ่นอี้หลิน และหลินตงซิ่วก็นอนกับกงเหลียนซิน
เมื่อตอนค่ำเซี่ยไป่เหิงดื่มน้ำมากเกินไป เขาจึงตื่นขึ้นมากลางดึก เพราะอยากเข้าห้องงน้ำ และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้
เสิ่นอี้หลินก้มศีรษะลงแล้วเอ่ยทักเสียงอ่อย “พี่ชาย พี่สะใภ้”
มันจบแล้ว! พรุ่งนี้เสิ่นอี้โจวจะตีเขาแน่นอน!
โดยไม่คาดคิด เซี่ยไป่เหิงลืมตาปรือปรอยเพราะง่วงนอน และตะโกนออกมาว่า “อาเขย อาชิงหยวน”
เสิ่นอี้หลินตบหน้าผากตัวเอง และกลอกตามองเพดานโดยไม่พูดอะไร
ลืมไปซะเถอะ เขาไม่อยากพูดอะไรอีกแล้ว…
ในทางกลับกัน เซี่ยชิงหยวนหัวเราะออกมาเสียงดัง
เธอก้มลงแล้วถามว่า “เธออยากเข้าห้องน้ำเหรอ?”
เสิ่นอี้หลินผลักเซี่ยไป่เหิงเบา ๆ
เซี่ยไป่เหิงพยักหน้า “คุณอา ผมอยากฉี่”
เซี่ยชิงหยวนกำลังจะพูด แต่เสิ่นอี้โจวพูดก่อนว่า “อี้หลินพาไป่เหิงไปเข้าห้องน้ำสิ”
เสิ่นอี้หลินรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินประโยคนี้ จึงรีบลากเซี่ยไป่เหิงออกไปทันที
เมื่อมองตามแผ่นหลังของเด็กชายตัวเล็ก ๆ ทั้งสองคน สีหน้าของเซี่ยชิงหยวนพลันอ่อนโยนมากขึ้น
“เด็กสองคนนี้น่าสนใจมากจริง ๆ”
เสิ่นอี้โจวกอดเธอจากด้านหลัง “ลูกของเราจะยิ่งน่าสนใจมากกว่านี้อีก”
เขาพูด พลางเป่าลมหายใจร้อนรดต้นคอของเธอ จนเธอรู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ
เซี่ยชิงหยวนรีบผละออกจากอ้อมแขนของสามีพลางจ้องเขาเขม็ง “เดี๋ยวพวกเขาก็ออกจากห้องน้ำแล้วนะ!”
เธอเดินไปที่ข้างโซฟาแล้วนั่งลงพลางพูดว่า “มานี่สิ ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอกคุณ”
เสิ่นอี้โจวยิ้มบาง “เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งที่คุณพูดไม่ใช่เรื่องจริงจัง?”
เขาหยอกเธอ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเดินไปหา
เซี่ยชิงหยวนเพิกเฉยต่อคำหยอกล้อของเขา และพูดว่า “ฉันรู้สึกกังวลเกี่ยวกับบางอย่างน่ะ หากตระกูลจางพาคนมา ฉันเกรงว่าพี่ชายของฉันจะไม่สามารถเอาชนะพวกเขาได้”
ให้เซี่ยจิ่งเฉินแบกรับความรับผิดชอบนี้ด้วยตัวเองมันก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่การป้องกันไม่ให้เขาต้องถูกทุบตีมันก็เป็นอีกเรื่อง
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “ผมมีความคิดดี ๆ อยู่”
บทที่ 273 การเลือกที่ยากลำบาก
บทที่ 273 การเลือกที่ยากลำบาก
เซี่ยชิงหยวนเดินไปที่ข้าง ๆ ของรถและพบว่าเซี่ยจิ่งเฉินยังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งเดิม
เธอพ่นลมหายใจและตะโกนออกมาว่า “พี่รอง!”
เซี่ยจิ่งเฉินเหลือบมองน้องสาวของตนด้วยสายตาที่ซับซ้อน
เซี่ยชิงหยวนไม่สนใจเขา และเข้าไปในรถ
กงเหลียนซินตามมาข้างหลัง โดยรู้ว่าพี่ชายและน้องสาวมีเรื่องจะพูดกัน ดังนั้นเธอจึงนั่งที่เบาะข้างคนขับด้านหน้าแทน
เสี่ยวหลิวเองก็เห็นเหตุการณ์ที่เกิดเช่นกัน
ตอนแรกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมต้องขับรถมาถึงที่นี่ แต่เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวทั้งหมด เขาก็เข้าใจแล้ว
เขาไม่กล้าถามอะไรทั้งสิ้น ทำได้แค่แกล้งหูหนวกและเป็นใบ้เท่านัั้น
เขาเกาหัวแล้วพูดว่า “คุณนายครับ ตอนนี้เราจะไปไหนกันดีครับ?”
เซี่ยชิงหยวนมองไปที่เซี่ยจิ่งเฉิน เธอยิ้มแล้วพูดว่า “พี่รอง พี่คิดว่าเราควรไปที่ไหนกันต่อดี?”
กลับไปที่บ้านเพื่อรอให้จางอวี้เอ๋อมาขอร้อง? หรือจะไปที่ไหนก็ได้แล้วปล่อยให้จางอวี้เอ๋อเผชิญกับปัญหาด้วยตัวเองล่ะ?
เซี่ยชิงหยวนวางโจทย์ปัญหานี้ตรงหน้าเซี่ยจิ่งเฉิน
กงเหลียนซินอดไม่ได้ที่จะกังวลเมื่อมองดูพี่น้องที่กำลังเผชิญหน้ากัน
เธอรู้ว่าเซี่ยชิงหยวนกำลังให้โอกาสเซี่ยจิ่งเฉิน
นี่เป็นการเลือกที่สำคัญ และยังเป็นการเลือกข้างอีกด้วย
ไม่ว่าเซี่ยจิ่งเฉินจะเลือกข้างไหน เซี่ยชิงหยวนจะพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ความสัมพันธ์ระหว่างพี่ชายและน้องสาวอาจจะหมดลงในวันนี้
เซี่ยจิ่งเฉินเข้าใจความจริงข้อนี้โดยปริยาย
นอกจากนี้เขายังรู้ด้วยว่าเหตุการณ์ในวันนี้เป็นความผิดของจางอวี้เอ๋อโดยสมบูรณ์ เขาไม่สามารถตำหนิใครได้ และสำหรับเหตุการณ์นี้ เขาก็ไม่สามารถตำหนิเซี่ยชิงหยวนได้เช่นกัน
แม้แต่สิ่งที่เขาคิดตอนอยู่ในรถเมื่อกี้ โดยคิดว่าเซี่ยชิงหยวนนั้นโหดเหี้ยมมาก แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นเพราะน้องสาวของเขาต่างหากที่ต้องทำทั้งหมด เพื่อตอบโต้อย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
เขาหลับตา หายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า “นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว เราไปกินข้าวใกล้ ๆ กันเถอะ”
รอยยิ้มจริงใจปรากฏบนริมฝีปากของเซี่ยชิงหยวน หญิงสาวพูดขึ้นว่า “เอาละ ไปกันเถอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยจิ่งเฉิน กงเหลียนซินก็คลายความกังวลอย่างสมบูรณ์
ในที่สุดน้องสามีของเธอคนนี้ก็ไม่เข้าแทรกแซงในช่วงเวลาวิกฤต
เซี่ยชิงหยวนบอกให้เสี่ยวหลิวขับรถไปในทิศทางข้างหน้า และจอดรถในร้านอาหารแห่งหนึ่ง
เสี่ยวหลิวปฏิเสธคำขอของเซี่ยชิงหยวนที่จะชวนเขาไปทานอาหารด้วยกัน ซึ่งชายหนุ่มขอตัวกลับบ้านก่อน “บ้านของผมอยู่ใกล้ ๆ แถวนี้และแม่ของผมก็กำลังรอผมอยู่ที่บ้านน่ะครับ คุณนายรับประทานอาหารตามสบายเถอะครับ”
ได้ยินแบบนั้น เซี่ยชิงหยวนก็ไม่ได้รั้งอีกฝ่ายไว้ และพยักหน้าให้
เซี่ยจิ่งเฉินขับรถได้ แค่ปล่อยให้เขาขับรถกลับทีหลังก็พอ
ทั้งสามนั่งลงที่โต๊ะอาหาร เซี่ยชิงหยวนจัดจานอย่างระมัดระวังและลวกพวกมันด้วยน้ำเดือด
กงเหลียนซินมองอย่างสงสัย “ชิงหยวน เธอไปเรียนรู้เรื่องนี้มาจากไหนน่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “ฉันเคยไปเมืองกว่างโจวสองสามครั้งแล้วน่ะค่ะ คนที่นั่นมักจะลวกของใช้ในน้ำร้อนแบบนี้ ฉันก็เลยติดนิสัยทำแบบนี้มาสักระยะแล้วน่ะ”
กงเหลียนซินพยักหน้า “ทำแบบนี้มันค่อนข้างสะอาดดีจริงๆ นั่นแหละ”
ตั้งแต่ต้นจนจบ เซี่ยจิ่งเฉินไม่ได้พูดอะไรเลยนอกจากการรับประทานอาหาร
ในที่สุดเขาก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “เธอไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเรื่องวันนี้เหรอ?”
เขามองไปที่เซี่ยชิงหยวน มองตาเธออย่างชัดเจนและพูดเสริม “พี่หมายถึงอวี้เอ๋อ…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เขาเองก็ไม่โง่เหมือนกัน
มองจากภายนอกแล้วเซี่ยชิงหยวนเพียงตามไปจับชู้ แต่หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
เหมือน…มีคนแอบชักใยสถานการณ์ทั้งหมดไว้แล้ว
และคนนั้นก็น่าจะเป็นน้องสาวของเขาที่อดทนมาโดยตลอด
เซี่ยชิงหยวนหยิบกาน้ำชาขึ้นมา ค่อย ๆ เทชาให้กับเซี่ยจิ่งเฉินพร้อมกับยิ้มที่มุมปาก “พี่รอง พี่อยากได้ยินอะไรจากฉัน แค่ถามมาก็พอ”
…
อีกด้านหนึ่ง จางอวี้เอ๋อกับเหอเส้าหยวนถูกพากลับไปยังเขตที่พักครอบครัวด้วยสภาพที่สะบักสะบอม ตั้งแต่ถูกถีบให้ลงจากรถที่ประตูใหญ่และพาลากเดินไปจนถึงประตูบ้านของหยางฉุนอี้ มันเกือบจะเหมือนขบวนพาเหรดบนท้องถนน ทุกคนทั่วทั้งเขตที่พักต่างออกมาดู
ขณะเดียวกันก็มีคนวิ่งไปหาหยางฉุนอี้และครอบครัวของหนิงเซี่ยวเฉิงล่วงหน้าแล้ว เพื่อรายงานเหตุการณ์ดังกล่าว
หลังจากได้รับฟังเรื่องคร่าว ๆ หยางฉุนอี้ก็ตะคอกออกมา “นี่มันบ้าบอที่สุด!”
เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็วและถาม “เลขาธิการหนิงและเลขาธิการเสิ่นไปดูแล้วรึยัง?”
ผู้ใต้บังคับบัญชากล่าวว่า “เราส่งคนไปเรียกหาพวกเขาแล้วครับ”
หยางฉุนอี้พยักหน้า “งั้นนายไปหาพวกเขากับฉัน”
หลังจากพูดจบ เขาก็เดินออกจากบ้านทันที
เขารีบเดินไปหาหนิงเซี่ยวเฉิง ทั้งสองมองหน้ากันและส่ายหัว
เติ้งซูอี้กับครอบครัวของเธอมาถึงบ้านแล้วโดยมีจางอวี้เอ๋อและเหอเส้าหยวนถูกลากมาด้วย
บ้านของผู้นำทั้งสี่แห่งศาลากลางตั้งอยู่ติดกัน ทางด้านซ้ายคือบ้านของ เสิ่นอี้โจวกับหนิงเซี่ยวเฉิง และทางด้านขวาคือบ้านของหยางฉุนอี้และ เหอเส้าหยวน
หยางฉุนอี้มองดูกลุ่มคนที่ส่งเสียงดังแล้วดุว่า “เติ้งซูอี้ คุณกำลังทำอะไรอยู่!”
จากนั้นเขาชี้ไปที่เหอเส้าหยวนและจางอวี้เอ๋อที่กำลังก้มหน้าก้มตา “ดูสภาพพวกเขาสิ ให้เดินมาในสภาพนี้ได้ยังไง! ช่วยมีมนุษยธรรมกันหน่อย ไปเอาเสื้อผ้ามาให้พวกเขาใส่เร็ว!”
โดยปกติแล้วเติ้งซูอี้คงจะตกใจกับเสียงตะโกนของเขา แต่เมื่อกี้เธอเพิ่งจะต่อสู้กับเหอเส้าหยวนจวนจะตายกันไปข้างอยู่แล้ว ดังนั้นเธอจะสนใจว่าหยางฉุนอี้จะคิดอะไรอีกทำไม
เธอยืนอยู่ที่ทางแยกและมองไปที่หยางฉุนอี้ “ผู้อำนวยการหยาง! ฉันเองก็ไม่ต้องการทำแบบนี้หรอกค่ะ แต่เหอเส้าหยวนคนนี้ชั่วช้าเกินไป! เขาใช้ประโยชน์จากตำแหน่งตัวเองเพื่อติดต่อกับเพื่อนร่วมงานหญิง ซึ่งทั้งสองคนเช่าบ้านข้างนอกไว้เล่นชู้ และคบหาดูใจกันมาระยะหนึ่งแล้ว! เมื่อกี้ฉันเพิ่งจับทั้งคู่ได้ขณะที่พวกเขากำลังขย่มกันอยู่บนเตียง งั้นคุณช่วยบอกมาหน่อยสิ เรื่องนี้ฉันควรทำยังไง!”
พี่สาวเติ้งเป็นผู้นำพี่น้องและญาติของตระกูลเติ้ง พวกเขายกเครื่องมือขึ้นและตะโกน “นั่นคือเรื่องที่คุณต้องอธิบายให้เราฟัง ไม่ใช่ให้เราอธิบายอะไรกับคุณ!”
หยางฉุนอี้แทบจะเป็นลมเมื่อเห็นท่าทางแข็งกร้าวของผู้คนตรงหน้า
แม้จะบอกว่าเขาเป็นหัวหน้าของเหอเส้าหยวน แต่เขาก็ไม่เคยสนใจเกี่ยวกับพฤติกรรมของร่างกายส่วนล่างของลูกน้อง
อะไรคือความแตกต่างระหว่างพวกเขากับอันธพาลกัน?
หนิงเซี่ยวเฉิงยกมือขึ้นเพื่อส่งสัญญาณให้ผู้คนเงียบ จากนั้นเขาพูดกับเติ้งซูอี้ว่า “เราเองก็ไม่ได้อยากให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเหมือนกัน แต่ไม่ว่าเรื่องมันจะเลวร้ายแค่ไหน พวกคุณควรให้ตำรวจจัดการแทน มันไม่สมควรอย่างยิ่งที่พวกคุณจะกระทำการเหมือนเป็นศาลเตี้ยแบบนี้”
“กล่าวอีกนัยหนึ่ง พฤติกรรมของคุณก็ถือเป็นการละเมิดกฎหมายด้วย เข้าใจรึเปล่า?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ พี่สาวเติ้งก็พูดว่า “คุณบอกว่าเราฝ่าฝืนกฎหมายแล้วพวกเขาคืออะไรล่ะ?”
“พวกเขาก่อเหตุเล่นชู้! มีโทษประหารชีวิต!”
เมื่อจางอวี้เอ๋อได้ยินว่าโทษที่อาจจะได้รับคือการตัดสินประหารชีวิต เธอก็ตะโกนด้วยความตกใจทันที “ไม่นะ! ฉันถูกบังคับ!”
เธอห่อร่างตัวเองด้วยผ้าปูที่นอนแล้วชี้ไปที่เหอเส้าหยวน “คืนนั้นเขาบังคับฉัน! และบอกว่าถ้าฉันไม่เชื่อฟังเขา เขาจะไล่ฉันออก!”
เมื่อเห็นจางอวี้เอ๋อใส่ร้ายตัวเอง เหอเส้าหยวนที่อยู่ไม่ไกล ซึ่งใส่ผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ที่มีคนนำมาให้เขาเมื่อกี้ก็ยกมือขึ้นแล้วตบจางอวี้เอ๋ออย่างสุดแรง จนเธอกระอักเลือดออกมาเต็มปาก
คนรอบ ๆ รีบมาดึงเขาออกไปทันที
เหอเส้าหยวนตะโกนด่า “นังสารเลว! เป็นแกต่างหากที่ล่อลวงฉัน! แกวิ่งเข้าในห้องของฉันด้วยตัวเอง ถอดเสื้อผ้าออกแล้วก็ขึ้นคร่อมฉัน! แต่ตอนนี้แกกลับหาว่าฉันบังคับแกงั้นเหรอนังร่าน!”
จากนั้นเขาหันไปหาหยางฉุนอี้ “ผู้อำนวยการหยาง ผมถูกผู้หญิงเลวคนนี้ใส่ร้าย!”
“ถุย!” เติ้งซูอี้ถ่มน้ำลายใส่เขา “บอกว่าหล่อนใส่ร้าย แต่แกกลับซื้อผ้าพันคอให้ เช่าบ้านให้แถมยังเกลือกกลั้วอยู่กับหล่อนทั้งวันเหรอ? พวกแกสองคนเป็นชู้กัน และนังผู้หญิงนี้ก็เป็นโสเภณี!”
เมื่อคิดถึงฉากที่เธอนั่งยอง ๆ อยู่นอกประตู ได้ฟังสิ่งที่เหอเส้าหยวนและ จางอวี้เอ๋อพูด หัวใจของเธอก็เหมือนถูกกรีดแทง!
หยางฉุนอี้กับหนิงเซี่ยวเฉิงมองดูเหตุการณ์ตรงหน้า และอดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าบิดเบี้ยว
มันน่าเกลียดมาก
จางอวี้เอ๋อรีบคลานไปหาผู้นำทั้งสองอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเธอถูกทุบตีบวมปูดจนแทบจำไม่ได้
เธอก้มหัวให้ทั้งสองคน “ฉันขอร้องพวกคุณค่ะ ช่วยไปบอกเลขาธิการเสิ่นและภรรยาของเขาที พวกเขาจะต้องทวงความเป็นธรรมให้ฉันแน่นอน”
ไม่ใช่ว่าการที่เติ้งซูอี้กล้ารังแกเธอแบบนี้เพราะมีครอบครัวฝั่งตัวเองสนับสนุนเหรอ?
นอกจากนี้จางอวี้เจียวยังเป็นพี่สะใภ้รองของเสิ่นอี้โจวกับเซี่ยชิงหยวน ตราบใดที่เสิ่นอี้โจวและเซี่ยชิงหยวนถูกเรียกออกมา พวกเขาจะต้องช่วยเธออย่างแน่นอน!
หยางฉุนอี้หันไปด้านข้างแล้วถามผู้ใต้บังคับบัญชา “เลขาธิการเสิ่นอยู่ที่ไหน? ทำไมฉันไม่เห็นเขาเลย?”
บทที่ 267 เสิ่นอี้โจวจะเป็นพ่อที่ดี
บทที่ 267 เสิ่นอี้โจวจะเป็นพ่อที่ดี
เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นอี้โจว เขาคว้าเธอแล้วผลักเข้าทางประตู
มีกลิ่นเหล้าจาง ๆ จากปากของเขา ซึ่งจางหายไปในครู่หนึ่ง
เธอจับเสื้อบนหน้าอกเขาแน่น ทั้งกังวลและคาดหวัง
โชคดีที่เซี่ยชิงหยวนไม่ได้เปิดไฟดวงใหญ่ในห้องนั่งเล่น เปิดเพียงไฟดวงเล็กไว้ที่ทางเข้าเท่านั้น
แสงสีเหลืองอ่อนไม่สว่างมากนัก ให้ความรู้สึกคลุมเครือและซ่อนเร้น
ถึงกระนั้น เธอก็ยังกังวลว่าอาจมีใครตื่นขึ้นมาเห็นพวกเขากำลังพลอดรักกันอยู่ตรงนี้ได้
เธอรู้ว่าควรผลักเขาออกไป
หรืออย่างน้องก็เกลี้ยกล่อมเขาเข้าไปในห้อง
แต่…ก็อย่างที่เธอพูดเมื่อกี้ เธอคิดถึงเขา
หลังจากคิดแบบนั้น หญิงสาวก็โอบแขนรอบคอเขาก่อนจะพยักหน้า
เสิ่นอี้โจวไม่ยอมปล่อยภรรยา จนกระทั่งอากาศในปอดของเธอถูกดูดออกไปจนเกือบหมด
น้ำลายเคลือบอยู่บนริมฝีปากของทั้งคู่ และเมื่อพวกเขาผละจากกัน ดวงตาของเสิ่นอี้โจวก็มืดลง เขาจ้องมองริมฝีปากสีแดงก่ำของเซี่ยชิงหยวน อยากจะจูบอีกครั้ง
“อย่า” เซี่ยชิงหยวนหายใจไม่ทันจึงเอื้อมมือไปยังริมฝีปากของเขาไว้
ดวงตาของเขาขุ่นมัวเหมือนมีหมอกหนาและจ้องมองเธอออดอ้อน
“พี่สะใภ้และไป่เหิงอยู่ที่นี่ ระวังว่าพวกเขาจะเห็นเราด้วยสิ”
เมื่อได้ยินคำพูดที่คล้ายกันอีกครั้ง เสิ่นอี้โจวอยากจะเถียงว่าตอนนี้มีเพียงพวกเขาทั้งสองอยู่ตามลำพังข้างนอกเท่านั้น
เขาจูบหน้าผากเรียบเนียนของเธอ “เอาล่ะ ผมจะไม่สร้างปัญหาให้คุณอีกก็ได้”
เซี่ยชิงหยวนผลักเขาออก “มันดึกแล้ว คุณไปอาบน้ำก่อนเถอะ”
เสิ่นอี้โจวยิ้ม “ตกลง”
หลังจากเสิ่นอี้โจวไปอาบน้ำแล้ว เธอก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เขายังไม่ได้ตอบคำถามเธอว่าได้ดื่มหรือเปล่า
เมื่อมองดูประตูห้องน้ำที่ปิดอยู่ เธอก็ตบหน้าผากตัวเอง
ใช่ ชายคนนี้ดื่มเหล้ามานั่นแหละ
เธอได้กลิ่นเหล้าจาง ๆ ในปากของเขา อีกฝ่ายคงดื่มมาแต่อาจจะไม่มาก
วันนี้เซี่ยชิงหยวนก็เหนื่อยมากเช่นกัน เธอกลับไปที่ห้องและหลับไปโดยไม่รอให้เสิ่นอี้โจวอาบน้ำเสร็จ
เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เซี่ยชิงหยวนก็ได้ยินเสียงดังที่นอกประตูแล้ว
เธอเปิดประตูและเห็นว่าเป็นเสิ่นอี้โจว กับเด็กชายทั้งสองคนในบ้าน
เสิ่นอี้โจวกำลังใช้แส้เล่นลูกข่างอยู่บนพื้น
เสียงแหลมดังขึ้นตอนเขาฟาดแส้เข้าที่ด้านบนของลูกข่าง ทำให้มันยิ่งหมุนเร็ว
เขาโบกแส้ในมือขณะสอนเด็กสองคนให้รู้วิธีตีแส้ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าบราวนี่ออนไลน์
เมื่อเห็นอย่างนั้น เสิ่นอี้หลินและเซี่ยไป่เหิงที่รายล้อมก็อดไม่ได้ที่จะปรบมืออย่างตื่นเต้น
“พี่ใหญ่น่าทึ่งมากเลย!”
“อาเขยสุดยอดมาก!”
เซี่ยชิงหยวนยืนมองดูอยู่ข้าง ๆ จนไม่อยากผละสายตาออกไป
เธออดไม่ได้ที่จะคิดว่าหากพวกเธอมีลูกด้วยกัน เสิ่นอี้โจวจะต้องเป็นพ่อที่ดีมากแน่
กงเหลียนซินกำลังช่วยทำงานบ้าน เธอผ่านมาเห็นสายตาของเซี่ยชิงหยวนก็อดหยอกล้อไม่ได้ “ดูน้องเขยของพี่สิ เขาเลี้ยงเด็กเก่งมากจริง ๆ ตอนเธอสองคนมีลูก ปล่อยให้เป็นหน้าที่เขาเลี้ยงได้เลย”
เนื่องจากที่ชนบทมีผู้ชายตั้งกี่คนที่รู้แต่วิธีทำงานหนักนอกบ้าน และปล่อยงานในบ้านกับลูก ๆ ทิ้งไว้ให้ภรรยารับผิดชอบเพียงลำพัง?
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ยิ้มกริ่มและพยักหน้า ความปรารถนาสะท้อนในดวงตาของเธอ “ใช่ค่ะ”
ตั้งแต่กลับมาจากเมืองหลวงของมณฑลครั้งที่แล้ว เธอก็มั่นใจมากขึ้นเกี่ยวกับการมีลูก
เสิ่นอี้โจวยังคงต้องกินยาอีกระยะหนึ่งเพื่อให้อาการของเขาดีขึ้น และแผนการวางแผนครอบครัวที่เขาโยนทิ้งไปก่อนหน้านี้ก็ถูกยกกลับมาอีกครั้ง
อีกทั้งเขายังเพิ่มความเข้มข้นในการออกกำลังกาย ทำให้ภูมิคุ้มกันและสมรรถภาพทางกายฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้
เธอรู้ว่าเขาต้องการมีลูกที่แข็งแรงร่วมกับเธอ
ขณะที่ผู้หญิงทั้งสองกำลังคุยกัน เซี่ยไป่เหิงเป็นคนแรกที่เห็นเซี่ยชิงหยวน
เขาวิ่งมากอดเอวของหญิงสาวทันที “คุณอา!”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มกว้างพลางกอดหลานชายคนโตของเธอที่โยนตัวเองเข้ามาในอ้อมแขนตั้งแต่เช้า
เธอลูบหัวเขาแล้วถาม “สนุกไหม?”
เซี่ยไป่เหิงนึกถึงลูกข่างที่เขายังคงเล่นอยู่ได้ จึงวิ่งกลับไปที่ด้านข้างของเสิ่นอี้โจว “มันสนุกดีครับ อาเขยเหวี่ยงแส้และลูกข่างก็หมุนด้วย”
เซี่ยชิงหยวนจ้องมองไปที่เสิ่นอี้โจว และเขาก็บังเอิญมองกลับมาหาเธอเช่นกัน
ดวงตาของทั้งสองสบกันกลางอากาศ และมันก็ไม่อาจละจากกันได้อยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า กงเหลียนซินก็อดไม่ได้ที่จะมีรอยยิ้มบนริมฝีปากของเธอ
ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างน้องสามีกับน้องเขยของเธอจะดีจริง ๆ
หลังจากนี้เมื่อถึงเวลาที่เธอกลับไปที่หมู่บ้านซิ่งฮวา แล้วครอบครัวถามถึงเรื่องนี้ เธอบอกกับทุกคนแน่นอน
เสิ่นอี้หลินมองไปที่เซี่ยไป่เหิงที่ยังคงอยู่ในอ้อมแขนของเซี่ยชิงหยวน
มุมตาของเขากระตุกครั้งแล้วครั้งเล่า เขาเองก็อยากทำตัวราวกับเด็กทารกเหมือนเซี่ยไป่เหิงที่ข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของพี่สะใภ้บ้าง
แม้พี่ชายของเขาจะไม่มีกลิ่นเหม็น แถมยังมีกลิ่นหอมที่อธิบายไม่ถูก แต่ร่างกายของเขาแข็งอย่างกับเหล็ก กอดแล้วไม่สบายเลยสักนิด
ไม่เหมือนกับพี่สะใภ้ที่ทั้งหอมและนุ่มนิ่ม
ยังไงซะ ครั้งล่าสุดหลังจากที่เขากอดพี่สะใภ้เพียงครั้งเดียว พี่ชายก็ลากออกไปอบรมที่สนามบ้านนานกว่าครึ่งชั่วโมง
โดยรวมพี่หมายความว่าเขาโตแล้ว และไม่สามารถทำตัวเหมือนเด็กในอ้อมแขนของพี่สะใภ้ได้อีกต่อไป
แม้จะเป็นแบบนั้น เซี่ยไป่เหิงก็อายุน้อยกว่าเขาเพียงหนึ่งปี แต่ทำไมกลับทำได้ล่ะ?
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ริมฝีปากเล็กของเสิ่นอี้หลินก็เบ้ออกมา
แน่นอนว่าเซี่ยชิงหยวนไม่รู้ถึงความคิดเล็กคิดน้อยของเสิ่นอี้หลินแม้สักนิด
เธอลูบหัวเขา “พาไป่เหิงไปล้างตัวเถอะ แล้วหลังอาหารเช้าพี่สะใภ้จะพานายไปโรงเรียนเองนะ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เสิ่นอี้หลินพลันมีความสุข เขาเหลือบมองเซี่ยไป่เหิง จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองเซี่ยชิงหยวน “เขาจะไปด้วยรึเปล่า?”
หากนับตามลำดับอาวุโส เสิ่นอี้หลินมีลำดับสูงกว่าเซี่ยไป่เหิงสองขั้น เขาเป็นน้องชายของเสิ่นอี้โจว ดังนั้นเซี่ยไป่เหิงมีศักดิ์เป็นหลานชายของเขา
แต่ตัวเขาเองยังเป็นเด็ก และเขาก็ไม่สามารถเรียกไป่เหิงว่าหลานได้จริง ๆ
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ไป่เหิงก็อยากเห็นโรงเรียนของนาย โรงเรียนของนายสวยมาก นายช่วยพาเขาไปดูได้ไหม?”
เสิ่นอี้หลินเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอน!”
หลังรับประทานอาหารเช้าแล้ว เซี่ยชิงหยวนขี่รถสามล้อพากงเหลียนซินและเด็กน้อยทั้งสองไปโรงเรียน
หลินตงซิ่วกังวลว่าเซี่ยชิงหยวนจะไม่สามารถบังคับรถที่บรรทุกคนจำนวนมากได้ ดังนั้นเธอจึงยืนกรานปฏิเสธที่จะนั่งบนรถ
พอเห็นแบบนี้เสิ่นอี้โจวจึงบอกให้เสี่ยวหลิวเป็นคนไปส่งเธอที่ทางเข้าตลาด
เมื่อพวกเขาไปถึงประตูโรงเรียน เสิ่นอี้หลินก็ชี้ไปที่อาคารเรียนของเขา และวิ่งเข้าไปในโรงเรียนอย่างมีความสุข โดยมีกระเป๋านักเรียนอยู่บนหลัง
เซี่ยไป่เหิงมองไปที่โรงเรียนประถม ซึ่งแตกต่างจากโรงเรียนแถวบ้านของเขาอย่างสิ้นเชิงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉา
เขาจับมือกงเหลียนซิน ดวงตาของเขาไม่เคยจริงจังขนาดนี้มาก่อน
“แม่ ผมอยากเรียนที่โรงเรียนแบบนี้ด้วย!”
กงเหลียนซินมีความคิดนี้อยู่แล้วเหมือนกัน ดังนั้นเมื่อได้ยินเซี่ยไป่เหิงพูดแบบนี้เธอจึงรู้สึกอึดอัด
เธอจับมือลูกชายคนโตแน่นแล้วพูดว่า “ตกลง ถ้าลูกเรียนหนักมากพอ แม่จะให้ลูกได้เรียนในโรงเรียนแบบนี้ในอนาคต ตกลงไหม?”
ความฝันของเด็กนั้นบริสุทธิ์และสวยงามมาก ซึ่งเธอรู้สึกว่าไม่ควรต้องหยุดชะงัก ให้เด็กละทิ้งความฝัน เพียงเพราะความสามารถของเธอเอง
คนเราจะรู้ได้อย่างไรเล่าว่ามันจะทำไม่ได้ถ้ายังไม่ได้ลอง?
เซี่ยชิงหยวนดูฉากนี้ เธอยิ้มและไม่ได้พูดอะไร
เธอต้องการให้พ่อ แม่ พี่ชาย และพี่สะใภ้ ย้ายจากชนบทเข้ามาอยู่ในที่ต่าง ๆ เช่น เมืองเตียนเฉิง หรือเมืองหลวงของมณฑล
แต่ชายชรายึดติดกับบ้านเกิด พี่ใหญ่เป็นคนซื่อสัตย์สมถะและมีความรับผิดชอบ ส่วนพี่รองก็ยังดูแลตัวเองแทบไม่ได้ ดังนั้นคนเดียวที่จะเป็นผู้นำในเรื่องนี้ได้คือกงเหลียนซิน
ตราบใดที่กงเหลียนซินตัดสินใจและผลักดันตัวเอง เรื่องอื่น ๆ ก็คงไม่ยาก
ผู้ใหญ่ทั้งสองมีความกังวลของตัวเอง ในขณะที่เซี่ยไป่เหิงมองไปในทิศทางของโรงเรียนอย่างไม่เต็มใจ และคิดว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อเรียนหนังสือให้ได้จริง ๆ ในอนาคต
กงเหลียนซินมองดูบ้านเรือนที่กระจัดกระจายไปตามถนน ท้องถนนที่พลุกพล่านด้วยผู้คน และเมล็ดพืชที่ปลูกไว้เมื่อนานมาแล้วก็งอกเงยจนทะลุพื้นดิน
ทันทีที่ทั้งสองเข้าไปในตลาด กงเหลียนซินอดไม่ได้ที่จะชื่นชม “ตลาดนี้ใหญ่มากเลยนะ!”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ตลาดแห่งนี้ใหญ่ที่สุดในเมืองเตียนเฉิงเลยค่ะ”
เธอเงยหน้าขึ้นมองพ่อค้าแม่ค้าทั้งสองข้างทาง “พูดตรง ๆ นี่คือตลาดที่ครอบคลุมการขายทุกอย่างเลย”
กงเหลียนซินพยักหน้า “การค้ากำลังเฟื่องฟูจริง ๆ”
เซี่ยชิงหยวนถอนหายใจ “ร้านของฉันเปิดอยู่ข้างในตลาด ถ้าไม่มีผู้คนหลั่งไหลมาขนาดนี้ ฉันเกรงว่าร้านของฉันก็คงดำเนินต่อไปไม่ได้เหมือนกัน”
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนที่จะเต็มใจซื้อสลัดเย็นที่มีราคาหลายเหมาต่อจิน
กงเหลียนซินกับเซี่ยไป่เหิงไม่สามารถหยุดดูภาพตรงหน้าได้ และมีไม่รู้กี่ครั้งที่พวกเขาอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ
แต่ทันใดนั้น กงเหลียนซินก็เห็นอะไรบางอย่างจึงกระซิบว่า “นั่นมันจางอวี้เอ๋อ น้องสาวของจางอวี้เจียวไม่ใช่เหรอ?”
———————
