บทที่ 280 ต้องเจ็บมากถึงจะจำ
บทที่ 280 ต้องเจ็บมากถึงจะจำ
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยิน เธอก็เริ่มสนใจขึ้นมา “วิธีไหน?”
เธอไม่เคยขอให้เขาช่วยต่อสู้ เพราะเธอรู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่เหมาะกับนิสัยของเสิ่นอี้โจวเสียเท่าไหร่
โดยไม่คาดคิด เสิ่นอี้โจวจะกล่าวออกมา “โทรหาเพื่อนเก่าของพี่รองแล้วขอร้องให้พวกเขาไปช่วยไง”
เซี่ยชิงหยวน “…”
ดูเหมือนว่าเธอจะประเมินเขาสูงไปใช่ไหมนะ
แต่หลังจากคิดดูแล้ว สำหรับตอนนี้นี่ดูเหมือนจะเป็นวิธีที่ดีทีเดียว
ตอนนี้เสิ่นอี้โจวเป็นข้าราชการระดับสูงแล้ว ไม่ใช่เรื่องดีนักที่จะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่เข้าไปแทรกแซงเหตุการณ์การกระทบกระทั่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง
ยิ่งไปกว่านั้น สมาชิกตระกูลจางที่เดินเท้าเปล่าไม่กลัวพวกผู้คนที่สวมรองเท้าหนังอยู่แล้ว หากพวกเขาร้องเรียนว่าเจ้าหน้าที่กดขี่ พวกเขาจะอยู่ในสถานะที่เหนือกว่าในแง่ความคิดเห็นของประชาชน
นอกจากนี้มีแค่พวกครอบครัวจางที่กล้ารังแกครอบครัวเธอหรือไง?
แค่เซี่ยจิ่งเฉินขอให้เพื่อนเก่าที่เคยเล่นด้วยกันมาช่วยเหลือ นั่นก็เพียงพอแล้ว
เธอพยักหน้าและพูดว่า “วิธีนี้ดูเหมือนจะได้ผล เมื่อก่อนพี่รองมีเพื่อนมากมายและพวกเพื่อน ๆ ของเขาก็สนิทกันมาก ตอนที่ฉันอยู่ในโรงเรียน ตราบใดที่ฉันบอกว่าเป็นน้องสาวของเซี่ยจิ่งเฉินก็จะไม่มีใครกล้ารังแกฉันเลย”
แต่เมื่อพูดถึงจุดนี้ สีหน้าดีใจ และความคิดถึงของเซี่ยชิงหยวนก็จางหายไปอีกครั้ง “แต่หลังจากพี่รองแต่งงานแล้ว จางอวี้เจียวไม่ชอบเพื่อนของเขา เธอจึงบังคับให้พี่รองเลิกคบเพื่อนทั้งหมด ถ้าพี่รองปฏิเสธ เธอจะชี้ไปที่เพื่อนที่มาบ้านและด่ากราดทุกคน จนสุดท้ายเพื่อน ๆ ก็ค่อย ๆ ขาดการติดต่อไป”
เสิ่นอี้โจวจับมือเธอแล้ววางลงบนเข่าของเขา “ในใจของพวกเขา พวกเพื่อน ๆ ของพี่รองย่อมต้องเข้าใจเหตุผลแน่”
เขาใช้นิ้วลูบไล้เธอจนร้อนวูบวาบแล้วพูดว่า “ของบางอย่างถ้าไม่เจ็บจนถึงที่สุด ก็ไม่มีทางเด็ดขาดได้หรอก”
เหมือนเนื้อเน่าที่ลุกลามตามร่างกาย มันจำเป็นต้องเอาออก ท้ายที่สุดต่อให้ต้องตัดแขนขาก็ต้องยอมเพื่อรักษาชีวิตไว้
หากอาศัยอิทธิพลของเสิ่นอี้โจวในครั้งนี้ ปัญหาจะสามารถแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์ แต่พอผ่านไป ประสบการณ์ที่ไม่ค่อยเจ็บปวดพอก็จะทำให้เนื้อเน่าเหล่านั้นกลับมาอีกครั้ง
สำหรับคนเรามันเป็นเรื่องง่ายที่จะลืมความเจ็บปวดเมื่อแผลหาย แต่จริง ๆ แล้วสาเหตุสำคัญที่สุดประการหนึ่งก็คือ ความเจ็บปวดนั้นยังไม่เพียงพอตั้งแต่แรก
เซี่ยชิงหยวนคุ้นเคยกับความจริงข้อนี้ดี
เธอพูดว่า “พรุ่งนี้ฉันก็มีเรื่องต้องทำด้วย”
“โอ้?” เฉินอี้โจวเลิกคิ้วแล้วมองดูเธอ
เซี่ยชิงหยวนยิ้มให้เขาและพูดว่า “ฉันยังบอกคุณไม่ได้หรอก แต่ยังไงซะ สิ่งที่คุณพูด คุณก็ต้องรับผิดชอบทุกอย่างด้วยนะ”
เสิ่นอี้โจวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เขาดึงรั้งแขนหญิงสาวให้โน้มตัวเข้าหา
เซี่ยชิงหยวนเซตามแรงดึง โน้มตัวเหนือร่างกายของเขา “อะไรเหรอ?”
เสิ่นอี้โจวแนบริมฝีปากกระซิบใกล้ใบหูของเธอ “งั้นคุณอยู่ข้างบน แล้วผมคอยช่วยประคองคุณดีไหม”
เซี่ยชิงหยวน “!”
เสิ่นอี้โจวยืนขึ้นและปลดกระดุมคอเสื้อออก “พรุ่งนี้ยังต้องมีการต่อสู้อันดุเดือดให้เผชิญกัน คืนนี้เราพักผ่อนกันก่อนเถอะ”
เซี่ยชิงหยวน “?”
เช้าวันรุ่งขึ้นก่อนรุ่งสาง เซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวไปส่งเซี่ยจิ่งเฉินและคนอื่น ๆ กลับหมู่บ้านซิ่งฮวา
เมื่อเซี่ยชิงหยวนและกงเหลียนซินกล่าวคำอำลา เสิ่นอี้โจวกับเซี่ยจิ่งเฉินที่ยืนข้างกัน ก็หันมาพูดคุยบางอย่างพร้อมก้มศีรษะให้กัน
เสิ่นอี้โจวดูเฉย ๆ ในขณะที่เซี่ยจิ่งเฉินมีใบหน้าที่เงียบงัน
หลังจากส่งทั้งสองขึ้นรถไฟ เซี่ยชิงหยวนก็มองพี่รองทางหน้าต่างรถไฟ เขากำลังนั่งครุ่นคิดเงียบ ๆ และเฝ้าบอกให้ตัวเองเด็ดขาด
ทั้งสองมองดูรถไฟเคลื่อนออกไป ยิ้มให้กัน ก่อนแยกย้ายกันไป
เมื่อกลับถึงบ้านก็เช้าแล้ว หลินตงซิ่วกำลังยุ่งอยู่ในครัว
เมื่อเห็นทั้งสองคน หลินตงซิ่วก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เข้าไปในห้องแล้วนอนพักเอาแรงหน่อยเถอะ แม่กำลังต้มโจ๊กอยู่ ทำเสร็จเมื่อไหร่แม่จะปลุกพวกลูกอีกที”
เซี่ยชิงหยวนมองไปที่หลินตงซิ่วภายใต้แสงไฟ และพูดด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณค่ะแม่”
เสิ่นอี้โจวยังกล่าวอีกว่า “ขอบคุณครับแม่”บราวนี่ออนไลน์
เขาจับมือเธอแล้วพูดว่า “แม่ของผมก็เป็นแม่ของคุณเหมือนกัน แม่ปฏิบัติต่อคุณแบบเดียวกับผม ดังนั้นไม่ว่ายังไง คุณก็ยังมีพวกเราที่รักคุณอยู่นะ”
เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นอี้โจวทันที
จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับจางอวี้เอ๋อจนถึงตอนนี้ เธอมีสิ่งหนึ่งในใจ
เธอคิดว่าเก็บซ่อนดีแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าเสิ่นอี้โจวกลับมองออก
ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของจางอวี้เอ๋อหรือการหย่าร้างของเซี่ยจิ่งเฉิน สิ่งที่น่าหนักใจที่สุดไม่ใช่จางอวี้เจียวหรือครอบครัวจาง แต่เป็นแม่ของเธอ หวังผิง
หลังจากนี้เซี่ยชิงหยวนไม่รู้ว่าจะคุยกับแม่ยังไงดี
เธอปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา แล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น “อื้ม”
เพื่อรอโทรศัพท์ของหวังผิง เสิ่นอี้โจวยังคงนั่งรออยู่ที่บ้านอีกครึ่งชั่วโมงในตอนเช้าก่อนไปทำงาน
เซี่ยชิงหยวนไล่เขาออกไปด้วยรอยยิ้ม “ทุกวันนี้เวลาเพียงหนึ่งหรือสองนาทีของคุณก็มีค่าแล้ว คุณยังมานั่งรออะไรกับฉันที่นี่อีก สุดท้ายแล้วคนที่จะโทรมาก็เป็นแม่ของฉันเอง เธอจะฆ่าฉันได้รึไง?”
เมื่อได้ยินแบบนี้เสิ่นอี้โจวก็ออกไปทำงาน เซี่ยชิงหยวนจึงจัดบ้านอีกครั้ง ดื่มชา และอ่านหนังสือพิมพ์ ราวกับกำลังเพลิดเพลินกับความสงบก่อนเกิดพายุ
อันที่จริงเซี่ยชิงหยวนอยากจะล็อกประตูบ้าน แล้วออกไปข้างนอก เพื่อไม่ต้องการรับรู้อะไรมากกว่า
แต่หากเธอทำแบบนั้น หวังผิงจะไม่หยุดและโทรไปที่สำนักงานของเสิ่นอี้โจว
จะดีกว่าถ้าเธอรอรับโทรศัพท์ที่บ้านเลย
เก้าโมงสี่สิบ ในที่สุดโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เซี่ยชิงหยวนถือถ้วยชา วางหนังสือพิมพ์ลงโดยไม่มีความตื่นตระหนกใด และรับสายโทรศัพท์อย่างใจเย็น “สวัสดีค่ะ?”
ทันทีที่รับสาย เสียงกังวลของหวังผิงก็ดังขึ้น “ชิงหยวน ตอนนี้พี่รองของลูกอยู่ด้วยไหม?”
เซี่ยชิงหยวนตอบกลับ “พี่รองและพี่สะใภ้พาไป่เหิงกลับไปตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ”
“เฮ้อ!” หวังผิงถอนหายใจอย่างหนัก “ทำไมลูกไม่หยุดพวกเขาล่ะ?”
“เมื่อวานนี้สะใภ้รองร้องไห้ฟูมฟายวิ่งกลับบ้าน และเช้านี้ครอบครัวของเธอก็มาสร้างปัญหาอีกแล้ว พวกเขาล้อมบ้านเราทั้งหมดเลย”
“ในเวลานี้ถ้าพี่รองของลูกกลับมา มันจะทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้นไม่ใช่รึไง?”
จางอวี้เจียวร้องห่มร้องไห้ขว้างปาข้าวของ ไม่ต้องพูดถึงการช่วยทำงานบ้านเลย แม้แต่ลูกร้องไห้ต่อหน้า เธอก็ไม่แม้แต่จะมอง ทำเพียงโยนเด็กออกไปเท่านั้น
เซี่ยซือถงมีไข้กลางดึก แต่เธอก็ดุด่าว่า “จะไม่มีบ้านอยู่อยู่แล้ว ตัวร้อนแค่นี้อย่ามาทำเป็นเรื่องใหญ่นะ!”
ด้วยความสิ้นหวัง เซี่ยจิ่งเยว่ทำได้เพียงพาเด็กน้อยไปที่สถานีอนามัยของหมู่บ้าน ปล่อยให้เซี่ยโย่วหมิงและหวังผิงอยู่บ้าน เพื่อดูแลลูกหลานที่เหลือ
หลังจากฉีดยากลับมา คนอื่น ๆ ก็ไม่กล้านอน รอจนกว่าไข้ของเด็กลดลงในตอนเช้าจึงได้งีบหลับกันครู่หนึ่ง
แต่ใครจะรู้ ก่อนที่ทุกคนจะได้พักผ่อน ครอบครัวจางก็มาที่ประตูบ้านแล้ว
แม่ของจางอวี้เจียวพร้อมด้วยลูกชายตัวอ้วนท้วนทั้งสี่ พูดจาตะคอกอย่างดุเดือด
เซี่ยชิงหยวนพูดได้เพียงว่า “แม่คะ พี่รองต้องเผชิญกับเรื่องพวกนี้ เขาซ่อนตัวไปตลอดชีวิตไม่ได้หรอกค่ะ ไม่งั้นตลอดชีวิตแม่กับพ่อจะไม่มีวันสงบสุขเลยเมื่ออยู่กับลูกหลาน”
คำพูดของเซี่ยชิงหยวนดูเหมือนจะปลุกไฟโทสะที่หวังผิงกำลังระงับอยู่ เธออดไม่ได้ที่จะดุออกมา “จะไม่ให้กังวลได้ยังไง? ทุกคนยังต้องร่วมชายคาเดียวกันไม่ใช่เหรอ? อันที่จริงหากลูกมีความกตัญญูบ้าง ลูกควรจะบอกให้อี้โจวช่วยอวี้เอ๋อสิ ไม่อย่างนั้นในอนาคตจะยิ่งมีเรื่องแย่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ พี่รองของลูกกับสะใภ้รองจะต้องหย่าร้างกันแบบนี้เหรอ?”
“ครอบครัวสงบลงได้ไม่นาน แต่ตอนนี้กลับเกิดเรื่องขึ้นอีกแล้ว ลูกพยายามทำให้แม่กับพ่อไม่มีความสุขอีกแล้วเหรอ?”
เมื่อฟังคำดุด่าของหวังผิง สีหน้าของเซี่ยชิงหยวนก็เย็นชาอย่างมาก
ดวงตาของเธอดูเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยหมอก และหลังจากผ่านไป ความโศกเศร้าก็ล้นออกมา
เธอหายใจเข้า กดอารมณ์ให้หายไปอย่างรวดเร็ว หน้าอกเหมือนมีของหนักทับอยู่ แต่กลับมีรอยยิ้มเย้ยหยันบนในหน้าของเธอ “แม่คะ ในใจของแม่เห็นหนูเป็นแบบนั้นเองอย่างงั้นเหรอ?”
บทที่ 274 แค่ยังไม่ถึงเวลา
บทที่ 274 แค่ยังไม่ถึงเวลา
ผู้ใต้บังคับบัญชามีสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมา “ในบ้านของเลขาธิการเสิ่นไม่มีใครอยู่เลยครับ และผมเพิ่งโทรไปที่สำนักงานเลขามา เลขาธิการเสิ่นบอกว่า…”
เขาหยุดชั่วคราวและเช็ดเหงื่อจากหน้าผาก “จะแก้ปัญหานี้ยังไงนั้นให้ขึ้นอยู่กับผู้อำนวยการได้เลยครับ แต่ถ้าหากผู้อำนวยการหยางและเลขาธิการหนิงตัดสินใจไม่ได้ก็ให้แจ้งตำรวจไป”
จางอวี้เอ๋อแทบจะเป็นลมเมื่อได้ยินสิ่งนี้
เธอตะโกนกลับไป “ตามหาภรรยาของเลขาธิการเสิ่น! ได้โปรดตามหาภรรยาของเลขาธิการเสิ่นด้วย! ฉันเป็นน้องสาวของพี่สะใภ้รองของเธอ และเธอจะไม่ทิ้งฉันไว้ตามลำพังอย่างแน่นอน!”
ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นรู้สึกว่าพฤติกรรมของจางอวี้เอ๋อช่างน่าสมเพชจริง ๆ
เขาพูดว่า “คุณคิดว่าภรรยาของเลขาธิการเสิ่นเป็นพระเจ้ารึไง? เธอจะสามารถลบล้างสิ่งที่คุณทำลงไปได้ไหม?”
ผู้จัดการโรงอาหารที่รู้บางอย่างเกี่ยวกับจางอวี้เอ๋อและเซี่ยชิงหยวนก็พูดขึ้นเช่นกัน “เธอนี่มันไร้ยางอายที่สุดเลย กล้าพูดมาได้ยังไงว่าเธอกับภรรยาของเลขาธิการเสิ่นเป็นญาติกัน ทั้ง ๆ ที่เธอทำเรื่องเลวทรามกับพวกเขาไว้ตั้งมากมาย!”
เนื่องจากนิสัยของเจ้าตัว ในศาลากลางจางอวี้เอ๋อจึงไม่มีเพื่อนสักคนเดียวที่ยินดีพูดให้เธอ
โดยเฉพาะช่วงเวลาก่อนนี้ที่เธอปีนขึ้นไปบนเตียงของเหอเส้าหยวน ซึ่งทำให้เธอมีอำนาจเหนือกว่าคนอื่น และเธอก็ใช้อำนาจที่ได้มากดขี่ทุกคนที่สามารถทำได้ มันทำให้ทุกคนขุ่นเคืองใจอย่างมาก
โชคดีแค่ไหนแล้วที่ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้ทำให้คนอื่นเดือดร้อนหนัก ดังนั้นแล้วทุกคนจะพูดแทนเธอได้ยังไง?
หนิงเซี่ยวเฉิงและหยางชุนอี้มองหน้ากัน จากนั้นก็พูดออกมาเมื่อใช้ความคิดอย่างรอบคอบแล้ว “ในกรณีนี้ก็แจ้งตำรวจแล้วกัน”
เรื่องนี้ละเมิดกฎหมาย และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดการภายใน
ยิ่งไปกว่านั้น เหอเส้าหยวนมีฐานะเป็นถึงรองผู้อำนวยการศาลากลาง เขามีอิทธิพลมากเกินไป
พวกเขาไม่เหมาะสมที่จะพูดอะไร และการแจ้งตำรวจก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการกับเรื่องนี้
และการที่เติ้งซูอี้นำผู้คนเดินขบวนมาตลอดทางก่อนหน้านี้ ไม่ว่ายังไงตำรวจก็จะมาถึงในไม่ช้าอยู่ดี
เมื่อจางอวี้เอ๋อกับเหอเส้าหยวนได้ยินประโยคนี้ ทั้งสองก็ตกใจมากจนตัวสั่นและขอร้องให้ทุกคนปล่อยพวกเขาไป
ผู้อำนวยการหยางโบกมือ “พาคนอื่นออกไปก่อน หากตำรวจมาเห็นสภาพของทั้งสองคนแบบนี้ ถ้ายังไม่จากไปอีกหลายคนในที่นี้จะต้องรับผิดชอบแน่นอน”
เติ้งซูอี้ตัวแข็งค้างอยู่กับที่
เดิมทีเธอต้องการสร้างสถานการณ์ให้ทุกคนรู้ถึงความชั่วของคู่ชู้รัก เพื่อที่เหอเส้าหยวนจะได้ไม่สามารถออกไปเดินในเมืองเตียนเฉิงได้อีกต่อไป และทำให้เขาเสียใจกับทุกสิ่งที่เขาทำ
แต่เธอไม่คิดจะแจ้งตำรวจเลยจริง ๆ
หากเขาไปถึงสถานีตำรวจ เหอเส้าหยวนก็มีแนวโน้มที่จะถูกตัดสินประหารชีวิตจริง ๆ
ในขณะนี้เหอเส้าหยวนตะโกนใส่เติ้งซูอี้ “นังสารเลว! ตอนนี้แกพอใจแล้วรึยัง!”
เมื่อถูกด่าอย่างไม่สำนึกเช่นนี้ หัวใจที่เห็นอกเห็นใจของเติ้งซูอี้ก็หายไปทันที
เธอหันกลับไปและไม่มองเขาอีก “พี่สาว เราไปกันเถอะ”
พี่สาวเติ้งได้ยินแบบนั้นก็โบกมือให้ครอบครัวของเธอเช่นกัน “มาเถอะ พวกเราไปกัน”
หลังจากนั้นเธอก็ถ่มน้ำลายใส่เหอเส้าหยวนและจางอวี้เอ๋อ
เหอเส้าหยวนเหมือนสูญเสียแรงทั้งหมด และยืนอยู่ที่นั่นเหมือนคนตาย
จางอวี้เอ๋อล้มลงกับพื้น ใบหน้าของเธอไม่เต็มใจ ดวงตามองกลอกไปรอบ ๆ และยังคงคิดว่าจะออกจากสถานการณ์นี้ไปได้ยังไง
ไม่นานนักตำรวจก็มา
หลังจากสอบถามถึงเหตุการณ์แล้ว ทั้งคู่ก็ถูกนำตัวกลับไปที่โรงพัก
…
ภายในร้านอาหาร
เซี่ยจิ่งเฉินมองไปยังเซี่ยชิงหยวนที่กำลังรินชาให้เขา และทันใดนั้นก็รู้สึกแปลก ๆ
เห็นได้ชัดว่าเธอยังคงเป็นเซี่ยชิงหยวนคนเดิม แต่บางมุมก็ให้ความรู้สึกไม่เหมือนกับเป็นเซี่ยชิงหยวน
อย่างน้อยสีหน้าที่สงบของน้องสาวก็เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยมีมาก่อน
เป็นไปได้ไหมว่าหลังจากได้เป็นภรรยาเลขาธิการแล้วเปลี่ยนไป?บราวนี่ออนไลน์
เขาคิดทบทวนคำถามในใจก่อนแล้วพูดออกไป “เธอรู้เรื่องของ…อวี้เอ๋อและรองผู้อำนวยการเหอนานแล้วใช่ไหม?”
หลังจากผ่านไปหลายปี บางอย่างเซี่ยจิ่งเฉินก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
สีหน้าของเซี่ยชิงหยวนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เธอเทชาให้กับเซี่ยจิ่งเฉินและวางไว้ตรงหน้าเขา “พูดได้ว่าไม่นานมานี้”
ดวงตาของเซี่ยจิ่งเฉินแข็งค้าง “ถ้าอย่างนั้นเธอก็รู้ล่วงหน้าว่าพวกเขาจะไปจับชู้กัน?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็หัวเราะ “พี่รองยกย่องฉันมากไปแล้ว วันนี้ฉันเป็นเพียงแมวตาบอดเจอหนูที่ตายแล้วเท่านั้น*[1] มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ”
เธอเข้าใจความหมายโดยนัยจากคำพูดของเซี่ยจิ่งเฉิน
หญิงสาวมองพี่ชายที่กำลังนั่งตัวตรงและมุมปากของเธอก็โค้งขึ้น “เป็นไปได้ไหมที่พี่รองคิดว่าฉันเป็นคนวางแผนทั้งหมดนี้ พี่คิดว่าฉันสามารถบังคับให้จางอวี้เอ๋อปีนขึ้นไปบนเตียงของเหอเส้าหยวนได้เหรอ? หรือฉันสามารถยุยงเธอได้ แล้ววางแผนสำหรับตำแหน่งภรรยารองผู้อำนวยการให้เธอ?”
“หรือพี่รองคิดว่าฉันควรพยายามอย่างเต็มที่เพื่อห้ามปรามจางอวี้เอ๋อเมื่อฉันรู้เรื่องนี้ เพื่อที่เธอจะได้กลับตัวกลับใจได้ทัน?”
น้ำเสียงของเซี่ยชิงหยวนอ่อนโยน แต่คำพูดของเธอไม่สุภาพเลย
เพราะทั้งหมดนี้เป็นความตั้งใจทำของจางอวี้เอ๋อเอง ซึ่งเจ้าตัวยินดีจะเลือกเส้นทางที่ต่ำช้านี้
กระทั่งจางอวี้เจียวเองก็ยังดูพอใจกับทางเลือกนี้ของน้องสาวตัวเองด้วยซ้ำไป
ดังนั้นอย่าได้ตำหนิคนอื่นเลยจะดีกว่า
ปากของเซี่ยจิ่งเฉินอ้าออก แต่เขาไม่สามารถพูดอะไรได้สักคำ
เซี่ยชิงหยวนไม่ยอมแพ้
เธอกล่าวต่อ “พี่รองอาจคิดว่า เมื่อฉันรู้ว่าเติ้งซูอี้กำลังพาคนไปจับชู้ ฉันควรแจ้งจางอวี้เอ๋อล่วงหน้าสินะ”
“แต่ฉันต้องขอถามพี่รองกลับหน่อย ไม่ต้องพูดถึงว่าฉันเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขาไปเล่นชู้กันที่ไหน ต่อให้ฉันรู้ แล้วฉันจะสามารถนำหน้าเติ้งซูอี้ไปบอกจางอวี้เอ๋อทันได้ยังไง?”
“หรือต่อให้ฉันไปบอกก่อนได้สำเร็จ เธอจะเชื่อฉันเหรอ?”
“บางทีเธออาจคิดว่าฉันอิจฉาที่เห็นเธอกำลังปีนขึ้นไปบนกิ่งไม้สูงด้วยซ้ำ และคิดว่าฉันจงใจทำลายโอกาสดีของเธอ”
“พี่รู้แค่ว่าฉันโหดร้ายกับเธอ แต่พี่คงไม่รู้หรอกว่าที่ผ่านมาเธอปฏิบัติต่อฉันมาแล้วยังไงบ้าง”
“เธอพยายามล่อลวงอี้โจวหลายครั้ง และถึงขั้นพูดทำลายชื่อเสียงของฉันด้วยซ้ำว่าฉันไม่มีลูกเพราะฉันมีอดีตที่เน่าเหม็น…”
เธอมองเซี่ยจิ่งเฉินด้วยดวงตาที่เหมือนลุกเป็นไฟ “พี่รู้เรื่องพวกนี้ที่เธอทำลงไปบ้างไหม? แล้วตอนนี้พี่ยังคิดว่าฉันควรพยายามช่วยเธออีกเหรอ?”
ในตอนแรกเซี่ยชิงหยวนไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับข่าวลือที่เกิดจากจางอวี้เอ๋อและเติ้งซูอี้ จนกระทั่งเธอได้พบกับแม่ของเฉิงเฟิงโดยบังเอิญ
แม่ของเฉิงเฟิงไม่รู้ว่าเซี่ยชิงหยวนยังไม่รู้เรื่องจริง ที่ว่าทำไมเสิ่นอี้หลินถึงถูกกลั่นแกล้ง ดังนั้นอีกฝ่ายจึงขอโทษเมื่อเห็นเธอทันที
เป็นตอนนั้นเองที่เธอเพิ่งรู้ว่าเสิ่นอี้โจวได้จัดการเรื่องทั้งหมดอย่างลับ ๆ เพื่อไม่ให้เธอเสียใจ
เธอไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กับเสิ่นอี้โจว แต่เก็บมันไว้ในใจ
ไม่ใช่ว่าหญิงสาวจะไม่ประกาศเรื่องนี้ให้คนอื่นรู้ เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาเท่านั้น
ตอนนี้ยังไม่ต้องพูดถึงเซี่ยจิ่งเฉิน แม้แต่กงเหลียนซินก็ยังปิดปากตัวเองเพราะความตกตะลึงหลังจากได้ยินเรื่องนี้
จางอวี้เอ๋อทำเรื่องชั่วช้ามากมายลับหลังจริง ๆ เหรอ?
เธอคิดไม่ออกเลยว่าในตอนนั้นเซี่ยชิงหยวนจะจัดการกับเรื่องพวกนี้ได้ยังไง
เมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่าขณะอยู่ในหมู่บ้านซิ่งฮวา เธอยังไม่ได้ยินข่าวอะไรเลย นั่นก็แสดงว่าเซี่ยชิงหยวนคงเก็บเงียบไว้มาตลอด
ถ้าเป็นเธอ ปากของจางอวี้เอ๋อจะต้องถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ ไปแล้ว!
เมื่อเห็นใบหน้าที่สงบของเซี่ยชิงหยวน กงเหลียนซินก็จับมือเธออย่างเศร้าใจ “พี่เสียใจด้วยจริง ๆ”
เซี่ยชิงหยวนตบมือของกงเหลียนซินเบา ๆ ยิ้มและส่ายหัวแสดงว่าไม่เป็นไร
เซี่ยจิ่งเฉินกำถ้วยชาแน่นจนข้อนิ้วของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาว
ในขณะนี้เขารู้สึกละอายใจ
ในฐานะพี่ชายของเซี่ยชิงหยวน เขารู้สึกละอายใจจริง ๆ
เมื่อกี้เขาถึงขนาดสงสัยเซี่ยชิงหยวนเพราะจางอวี้เอ๋อ!
น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเขา และเขาก็สะอื้นพร้อมกับพูดว่า “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มันเป็นความผิดของพี่เอง”
ถ้าไม่ใช่เพราะความไร้ความสามารถและการทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นของเขา น้องสาวของจางอวี้เจียวก็คงไม่กล้าทำอะไรเกินเลยถึงขนาดนี้
ความคับข้องใจของเซี่ยชิงหยวเกิดขึ้น เพราะเขาที่ไม่เคยห้ามปรามคนของตัวเอง
เขาไม่กล้าสบตากับเซี่ยชิงหยวนโดยตรง “ในเรื่องนี้พี่ไม่โทษเธอแม้แต่น้อย มันเป็นพี่เองที่ผิดพลาด”
เขาเงยหน้าขึ้นราวกับว่าเขาตัดสินใจแล้ว “พี่สัญญากับเธอ จากนี้ไปพี่จะไม่ปล่อยให้เธอเผชิญกับความอยุติธรรมใด ๆ อีกเพราะพี่เด็ดขาด!”
เมื่อนานมาแล้วเขาเคยต้องการที่จะเติบโตเป็นพี่ชายที่สามารถสนับสนุนน้องสาวของเขาได้ และปล่อยให้เธออยู่อย่างสุขสบายโดยไม่มีข้อตำหนิใด ๆ
แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเขาเองที่ทำร้ายเธอ
ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนก็ชื้นเช่นกัน
เธอจับมือของเซี่ยจิ่งเฉิน “พี่รอง”
เซี่ยจิ่งเฉินก็จับมือเธอไว้ “ชิงหยวน”
กงเหลียนซินอดไม่ได้ที่จะเช็ดน้ำตาของตัวเอง
เธอหวังว่าหลังจากนี้ น้องสาวของจางอวี้เจียวจะไม่สามารถหาผลประโยชน์จากเซี่ยชิงหยวนได้อีกต่อไป
เธอมีความรู้สึกว่าตราบใดที่จางอวี้เจียวไม่ควบคุมตัวเอง สิ่งที่รออยู่ก็มีแนวโน้มที่จะจบลงด้วยการหย่าร้าง
ในเวลานี้เองอาหารก็ถูกเสิร์ฟ
เซี่ยชิงหยวนใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ และปล่อยมือของเซี่ยจิ่งเฉินโดยพูดว่า “เที่ยงนี้มากินอะไรง่าย ๆ กันก่อนเถอะ และเมื่อเรากลับถึงบ้าน เย็นนี้ฉันจะทำอาหารอย่างดีให้ทุกคนเอง”
เซี่ยจิ่งเฉินอยากจะบอกปฏิเสธ เขาไม่อยากรบกวน
แต่ทันทีที่เขาเจอกับสายตาที่จริงใจของเซี่ยชิงหยวน เขาก็เปลี่ยนคำพูดไป
“ตกลง”
คำพูดนี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องที่ห่างเหินกันมาหลายปีได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น และมันก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
…
ในสถานีตำรวจ จางอวี้เอ๋อได้เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว และผมของเธอถูกตัดจนสั้นถึงแค่ติ่งหู
มีผู้หญิงหลายคนที่ก่ออาชญากรรมถูกขังไว้กับเธอ ตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอเข้าไปในห้องขัง นักโทษหญิงคนอื่น ๆ ก็มองดูเธออย่างไร้ความเมตตา
เธอยืนอยู่ตรงหัวมุมหนึ่งไม่กล้าคุยกับใครเลย
ผ่านไปสักพัก ในที่สุดเธอก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นและตะโกนออกไปข้างนอกว่า “ฉันอยากโทรศัพท์ ฉันอยากโทรหาพี่สาวของฉัน!”
ผู้คุมเข้ามาเคาะลูกกรงเหล็ก “ตะโกนบ้าบออะไร!”
จางอวี้เอ๋อคว้าราวเหล็กแล้วพูดเสียงดัง “คุณไม่สามารถตัดสินฉันแบบนี้ได้ ฉันถูกใส่ร้าย หรือต่อให้ฉันจะต้องเผชิญกับโทษประหารชีวิต ตำรวจเป็นคนของประชาชนนะ พวกคุณควรให้ฉันได้พูดแก้ต่างบ้างนี่ใช่ไหม?”
สีหน้าของเธออ่อนลง “พี่สาวฉันเป็นพี่สะใภ้รองของเลขาธิการศาลากลาง ตราบใดที่คุณให้ฉันโทรหาเธอ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง เธอจะขอบคุณคุณอย่างแน่นอน!”
แต่ท้ายที่สุดเธอก็ขู่ไปครึ่งหนึ่ง “การที่คนอื่น ๆ กล้าปฏิบัติต่อฉันแบบนี้ก็เพราะว่าในวันนี้เลขาธิการเสิ่นไม่ได้อยู่ด้วย หากคุณปล่อยให้ฉันตายอย่างอยุติธรรมร่วมกับคนเหล่านี้ คุณจะรับผลที่ตามมาได้เหรอ?”
ผู้คุมเป็นชายในวัยสามสิบ แน่นอนว่าเขาได้เห็นความพลิกผันของเรื่องในห้องขังมาหลายครั้งแล้ว
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วไตร่ตรอง “งั้นรอเดี๋ยวก่อน ฉันจะไปขอคำแนะนำจากหัวหน้า”
เซี่ยจิ่งเฉินอยากจะบอกปฏิเสธ เขาไม่อยากรบกวน
แต่ทันทีที่เขาเจอกับสายตาที่จริงใจของเซี่ยชิงหยวน เขาก็เปลี่ยนคำพูดไป
“ตกลง”
คำพูดนี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องที่ห่างเหินกันมาหลายปีได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น และมันก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
…
ในสถานีตำรวจ จางอวี้เอ๋อได้เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว และผมของเธอถูกตัดจนสั้นถึงแค่ติ่งหู
มีผู้หญิงหลายคนที่ก่ออาชญากรรมถูกขังไว้กับเธอ ตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอเข้าไปในห้องขัง นักโทษหญิงคนอื่น ๆ ก็มองดูเธออย่างไร้ความเมตตา
เธอยืนอยู่ตรงหัวมุมหนึ่งไม่กล้าคุยกับใครเลย
ผ่านไปสักพัก ในที่สุดเธอก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นและตะโกนออกไปข้างนอกว่า “ฉันอยากโทรศัพท์ ฉันอยากโทรหาพี่สาวของฉัน!”
ผู้คุมเข้ามาเคาะลูกกรงเหล็ก “ตะโกนบ้าบออะไร!”
จางอวี้เอ๋อคว้าราวเหล็กแล้วพูดเสียงดัง “คุณไม่สามารถตัดสินฉันแบบนี้ได้ ฉันถูกใส่ร้าย หรือต่อให้ฉันจะต้องเผชิญกับโทษประหารชีวิต ตำรวจเป็นคนของประชาชนนะ พวกคุณควรให้ฉันได้พูดแก้ต่างบ้างนี่ใช่ไหม?”
สีหน้าของเธออ่อนลง “พี่สาวฉันเป็นพี่สะใภ้รองของเลขาธิการศาลากลาง ตราบใดที่คุณให้ฉันโทรหาเธอ ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง เธอจะขอบคุณคุณอย่างแน่นอน!”
แต่ท้ายที่สุดเธอก็ขู่ไปครึ่งหนึ่ง “การที่คนอื่น ๆ กล้าปฏิบัติต่อฉันแบบนี้ก็เพราะว่าในวันนี้เลขาธิการเสิ่นไม่ได้อยู่ด้วย หากคุณปล่อยให้ฉันตายอย่างอยุติธรรมร่วมกับคนเหล่านี้ คุณจะรับผลที่ตามมาได้เหรอ?”
ผู้คุมเป็นชายในวัยสามสิบ แน่นอนว่าเขาได้เห็นความพลิกผันของเรื่องในห้องขังมาหลายครั้งแล้ว
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วไตร่ตรอง “งั้นรอเดี๋ยวก่อน ฉันจะไปขอคำแนะนำจากหัวหน้า”
*[1] แมวตาบอดเจอหนูตาย เป็นสำนวนหมายถึง โชคเข้าข้าง
บทที่ 268 สอดแนมความลับ
บทที่ 268 สอดแนมความลับ
เซี่ยชิงหยวนมองไปในทิศทางที่กงเหลียนซินชี้ไป แล้วเห็นว่าจางอวี้เอ๋อกำลังยืนกอดอกอยู่หน้ารถเข็นผัก พลางกระตุ้นให้คนอื่นขนผักด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง “เร็วเข้า! ไม่ได้กินข้าวมารึไงถึงทำงานช้ากันขนาดนี้?”
จางอวี้เอ๋อปรับมุมของผ้าพันคอตัวเองเป็นครั้งคราวให้เห็นอย่างชัดเจน
กลุ่มคนที่เธอกำลังกดขี่อยู่ตอนนี้คือพวกคนที่ขนหมูกับเธอครั้งล่าสุด
กลุ่มคนนี้ไม่ตอบ แต่ดวงตาของพวกเขาแสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจนว่าพวกเขาไม่พอใจมากกับทัศนคติของจางอวี้เอ๋อ
เซี่ยชิงหยวนจ้องมองไปที่ผ้าพันคอของจางอวี้เอ๋อ และพยักหน้าอย่างครุ่นคิดก่อนจะพูดว่า “เป็นเธอนั่นแหละ”
กงเหลียนซินอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เธอเป็นหัวหน้าจริง ๆ เหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนครุ่นคิดกับคำพูดของกงเหลียนซิน
จากนั้นเธอส่ายหัว “ฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกันค่ะพี่สะใภ้”
แม้ว่าเธอจะให้ความสนใจกับการกระทำของจางอวี้เอ๋อ แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เสิ่นอี้โจวจะจับตาดูผู้หญิงคนนี้ได้ตลอด
ไม่อย่างนั้นมันจะน่ารำคาญขนาดไหน?
แค่เห็นหน้าครู่เดียวก็น่าเบื่อเพียงพอแล้ว
เซี่ยชิงหยวนถามอีกครั้งอย่างไม่แน่ใจ “พี่สะใภ้คะ ช่วงนี้พี่สะใภ้รองได้พูดอะไรบางอย่างที่แปลก ๆ บ้างไหม?”
กงเหลียนซินถอนหายใจ “มันไม่ใช่เรื่องที่ฟังแล้วทำให้คนมีความสุขเลยเนี่ยสิ แต่ฉันก็คิดที่จะหาโอกาสบอกเธออยู่เหมือนกัน”
เนื่องจากเห็นจางอวี้เอ๋อ เธอจึงนึกขึ้นได้ว่าจะพูดอะไร
“จำได้ไหมครั้งล่าสุดที่เธอโทรบอกว่าอยากให้พี่มาเที่ยวที่นี่?”
“พอพี่ไปบอกพี่ใหญ่ของเธอกับพ่อแม่ พวกเขาก็ไม่ขัดข้องอะไรเพียง บอกแค่ว่าพี่ควรลองมาเที่ยวดู”
“ยิ่งไปกว่านั้น พี่สะใภ้รองของเธอก็ไม่ได้เอะอะ แถมยังยิ้มแล้วอวยพรให้พี่ไปดีมาดี ระวังผู้คนบนรถไฟด้วย”
“พี่ก็เลยถามเธอว่าเกิดอะไรขึ้น เธอก็บอกว่าน้องสาวของเธอจะเป็นภรรยาของเจ้าหน้าที่รัฐในอนาคต เธอก็จะไปที่เมืองเตียนเฉิงในอนาคตด้วย จางอวี้เอ๋อจะขับรถพิเศษมารับเธออีกต่างหาก”
“ทันทีที่พี่ได้ยิน พี่รู้เลยว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่พอพี่ถามเธออีกครั้ง เธอก็ไม่พูดอะไรอีก”
หลังจากได้ยินแบบนี้ และเห็นการกระทำที่เย่ยหยิ่งของจางอวี้เอ๋อ เซี่ยชิงหยวนกับกงเหลียนซินก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย
ตามคำพูดของจางอวี้เจียว ไม่ใช่ว่ามันชัดเจนแล้วหรือที่จางอวี้เอ๋อมีผู้ชายเป็นข้าราชการแล้ว?
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยิน เธอก็นึกถึงเสิ่นอี้โจวทันที
ท้ายที่สุดแล้ว ความคิดของจางอวี้เอ๋อที่เกี่ยวกับเสิ่นอี้โจวนั้นชัดเจนมาก
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม “จางอวี้เจียวคนนั้นต่างหากที่ควรจะเป็นกังวล”
กงเหลียนซินรู้สึกสับสนกับคำพูดของเซี่ยชิงหยวน
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “พี่สะใภ้เที่ยวเล่นอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามวันเถอะนะ แล้วฉันจะให้พี่ได้ดูการแสดงดี ๆ เอง”
ในขณะที่พูด พวกเธอก็ไปถึงประตูร้านตรอกเก่า
เซี่ยชิงหยวนลงจากรถพร้อมกับอุ้มเซี่ยไป่เหิงลงมาด้วย “พี่สะใภ้ เราถึงแล้วค่ะ”
ความสนใจของกงเหลียนซินถูกดึงดูดจากร้านตรอกเก่า และเธอก็ลืมถามคำถามเซี่ยชิงหยวนไปครู่หนึ่ง
…
หลายชั่วโมงต่อมา
ในโรงแรมเล็ก ๆ แถบชายขอบเมืองเตียนเฉิง
ลมและฝนเพิ่งหยุดไป แต่กลิ่นราคะยังคงอบอวลอยู่ภายในห้อง
เห็นได้ชัดว่าเป็นเวลากลางวัน แต่ม่านก็ถูกดึงปิดไว้เพื่อไม่ให้แสงเข้ามา
เสื้อผ้าของชายและหญิงกระจัดกระจายอยู่บนพื้น ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังกอดกันอยู่บนเตียงบราวนี่ออนไลน์
หญิงสาวมีใบหน้าละเอียดอ่อน แต่แฝงไปด้วยความร้ายกาจ ส่วนชายคนนั้นหัวล้านและดูสูงอายุ เขากำลังจุดบุหรี่ในมือ
เมื่อได้กลิ่นบุหรี่ และมองเห็นผิวหนังหย่อนคล้อยของชายคนนั้นใต้ฝ่ามือของเธอ จางอวี้เอ๋อก็แอบแสดงสีหน้ารังเกียจออกมา
ชายชรามักจะสูบบุหรี่หลังจากเสร็จกิจ และเขาไม่ยอมให้เธอเปิดหน้าต่างเพราะกลัวว่าคนอื่นจะล่วงรู้ความลับระหว่างเขาและเธอ
ทุกครั้งที่เขาชวนเธอออกมา เขามักจะพาเธอมาที่แห่งนี้ สถานที่ที่แม้กระทั่งนกยังไม่มาขี้ ซึ่งทำให้เธอทรมานมาก
จางอวี้เอ๋อผลักเหอเส้าหยวนออกไป “เส้าหยวน สิ่งที่ฉันบอกคุณเมื่อกี้ คุณเห็นด้วยรึเปล่า?”
เหอเส้าหยวนรู้สึกระอาใจ
แต่เขาเพิ่งได้ผู้หญิงคนนี้และยังไม่เบื่อเธอ ดังนั้นเขาจึงยังพยายามเกลี้ยกล่อมเธอต่อ “ที่รัก ฉันก็ให้เธอเป็นผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของโรงอาหารแล้วไง ยังไม่พอใจอีกเหรอ?”
จางอวี้เอ๋อยืดตัวขึ้น ผิวบริเวณหน้าอกเผยออกมา “ตำแหน่งแบบนั้นใครจะไปชอบได้กัน? ต้องวิ่งไปมาทั้งวันไม่ได้หยุดแถมตลาดก็เหม็นมาก แดดก็แรง จะให้ฉันทนทุกข์ทรมานแบบนี้ไปตลอดรึไง?”
เหอเส้าหยวนขมวดคิ้ว “แต่ตำแหน่งเลขานุการที่เธอพูดถึงนั้นมันค่อนข้างยากจริง ๆ นะ”
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจางอวี้เอ๋อไม่มีคุณสมบัติพอ แม้ว่าเธอจะทำได้ เขาก็ไม่กล้าที่จะย้ายเธอไปอยู่ใกล้ ๆ เสิ่นอี้โจวอยู่ดี
ครั้งก่อนในห้องอาหาร จางอวี้เอ๋อพยายามอย่างมากที่จะเกาะขาของเสิ่นอี้โจวไว้ให้ได้ และเขาก็ยังจำมันได้อยู่
แม้แต่ครั้งนี้ เธอก็ฉวยโอกาสตอนที่เขาเมา
ส่วนว่าเขารังแกเธอจริง ๆ หรือไม่ ใครจะพูดได้อย่างชัดเจนกัน? นอกจากนี้หากเธอไม่ต้องการ เธอก็สามารถตะโกนได้
วันนั้นมีคนมากมายในหอพักของศาลากลาง ใครไม่สามารถช่วยเธอได้บ้าง?
สรุปคือเขาเห็นผู้หญิงแบบนี้มามากเกินไป
มันก็ดีไม่น้อยที่ได้เปลี่ยนรสชาติสักครั้ง ตราบใดที่เธอเชื่อฟังและไม่สร้างปัญหาอะไร เขาก็สามารถเก็บเธอไว้ได้นานขึ้น
เมื่อได้ยินคำพูดที่ดูไร้สาระของเหอเส้าหยวน จางอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธขึ้นมา
เธอมองเขาอย่างยั่วยวน “ก็ได้ ฉันเข้าใจว่าเรื่องงานมันอาจจะลำบากเกินไปสำหรับคุณ ถ้างั้นเรื่องหย่าคงจะพอเป็นไปได้ใช่ไหม? แค่บอกเวลามาหน่อยก็พอ คุณจะหย่ากับเมียของคุณเมื่อไหร่คะ?”
เมื่อเหอเส้าหยวนได้ยินเธอพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็โกรธขึ้นมาทันที วางบุหรี่ลงในที่เขี่ยบุหรี่ข้างเตียง แล้วพูดว่า “จู่ ๆ ฉันก็เพิ่งจำได้ว่ามีเรื่องต้องทำในที่ทำงาน ฉันขอกลับไปก่อนก็แล้วกันนะ”
ขณะที่เขาพูด ชายชราก็ผลักจางอวี้ออก สวมเสื้อผ้าและกำลังจะออกไป
จางอวี้เอ๋อแทบหายใจไม่ออกและตะโกนใส่ทันที “เหอเส้าหยวน!”
เหอเส้าหยวนตกใจมาก รีบปิดปากของจางอวี้อย่างรวดเร็ว “ที่รัก ระวังหน่อยสิ!”
เขาลดเสียงลง “เรื่องนี้จะต้องคุยกันในระยะยาว ถ้าฉันโดนไล่ออกจากตำแหน่ง เธอจะยังสามารถเพลิดเพลินกับความรุ่งโรจน์ และความมั่งคั่งไปกับฉันได้ยังไงล่ะ?”
เมื่อเห็นสีหน้าของจางอวี้อ่อนลง เขาจึงโน้มน้าวต่อไป “นี่ ให้เวลาฉันเพิ่มอีกหน่อยเถอะ ฉันสัญญาว่าจะทิ้งภรรยาของฉันแน่นอน!”
หลังจากได้ยินคำรับรองของเหอเส้าหยวนแล้ว จางอวี้เอ๋อก็ยอมแพ้ เธอแสร้งทำเป็นรู้สึกผิดและพยักหน้า “ก็ได้ค่ะ แต่ต้องจำไว้ว่าคุณต้องไม่ให้ฉันรอนานเกินไปนะ”
เหอเส้าหยวนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว “แน่นอน ๆ”
เมื่อเห็นเหอเส้าหยวนออกไป สีหน้าสอพลอของจางอวี้เอ๋อก็หายวับทันที เธอเขวี้ยงข้าวของด้วยความเดือดดาล “ให้ตายเถอะ!”
….
กงเหลียนซินไม่เคยหยุดสงสัย ตั้งแต่ที่เซี่ยชิงหยวนบอกให้รอดูการแสดงดี ๆ
แต่ทุกครั้งที่เธอถามเซี่ยชิงหยวน อีกฝ่ายจะตอบว่า “พี่สะใภ้ ฉันแค่คาดเดาน่ะ ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรในการสืบอยู่ดีนะ”
กงเหลียนซินไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากระงับความอยากรู้อยากเห็น และรอวันแล้ววันเล่า
จนกระทั่งหนึ่งสัปดาห์ต่อมาในตอนเช้า เธอและเซี่ยชิงหยวนได้พบกับเติ้งซูอี้และผู้หญิงอีกคนที่หน้าบ้าน
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มให้พวกเธอแล้วพูดว่า “ผ้าพันคอของคุณสวยมากเลยนะคะ”
เธอดึงเติ้งซูอี้ที่อยู่ข้าง ๆ เข้ามา “ดูสิ มันสวยเนอะ?”
ทุกครั้งที่เติ้งซูอี้เห็นเซี่ยชิงหยวน เธอจะไม่พูดอะไรสักคำ ทำให้บรรยากาศดูน่าอึดอัดมาก
ถ้าเธอไม่ได้รู้จักเติ้งซูอี้มาหลายปี เธอเองก็คงไม่อยากคุยด้วย
เมื่อได้ยินแบบนี้ เติ้งซูอี้ตอบเพียง “ฮึ่ม”
เห็นแบบนั้นแล้วผู้หญิงแปลกหน้าก็ลอบถอนหายใจ “ช่างเถอะ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มอย่างสงบ “ผ้าพันคอของเราไม่สามารถเทียบได้กับของคุณนายเหอหรอกค่ะ”
เติ้งซูอี้ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เซี่ยชิงหยวนถึงชมเชยตน แต่เธอก็เชิดคางขึ้นอย่างมีความสุขอีกครั้ง
เธอพูดอย่างมีชัย “นี่มันคือของที่สามีฉันซื้อกลับมาให้จากการเดินทางไปทำงานครั้งล่าสุดน่ะ เขายังบอกอีกว่ามันเป็นงานฝีมือพิเศษที่ไม่เหมือนใครและมันทำมาจากขนสัตว์”
“จริงเหรอคะ?” เซี่ยชิงหยวนทำหน้าตาดูประหลาดใจมาก “แต่ทำไมเหมือนว่าฉันเคยผ้าพันคอที่คล้ายกับของคุณมากที่ไหนสักแห่งมาก่อนเลยนะ”
เติ้งซูอี้พูดทันที “เป็นไปไม่ได้ สามีของฉันบอกว่ามันมีแค่ชิ้นเดียว!”
เซี่ยชิงหยวนมองดูผ้าพันคอด้วยสายตาที่จริงจัง “มันก็จริง ฉันจำได้คร่าว ๆ ว่าสีแตกต่างออกไป แต่นอกนั้นทุกอย่างก็เหมือนกันทุกประการ”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนพูดคำเหล่านี้ กงเหลียนซินรู้สึกว่าเธอดูเหมือนจะสอดแนมความลับบางอย่าง
เธอยืนอยู่ข้าง ๆ และหายใจเบา ๆ
เติ้งซูอี้ถามทันที “เธอเห็นมันที่ไหน?”
……………………………………………………………………………………………………..
**เปลี่ยนเวลาลงเป็น 16.00 น.
