บทที่ 289 ใครกันแน่ที่อำมหิต?
บทที่ 289 ใครกันแน่ที่อำมหิต?
เมื่อเซี่ยชิงหยวนไปถึงสถานีตำรวจ เธอไม่เห็นใครเลย
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่มากับเธออธิบายว่า “บุคคลที่เกี่ยวข้องจะถูกแยกออกจากกันน่ะครับ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ขอบคุณค่ะ”
การสอบปากคำของเซี่ยชิงหยวนนั้นง่ายมาก โดยเน้นที่จางอวี้เอ๋อเป็นหลัก
ในประเด็นเหล่านี้เซี่ยชิงหยวนพูดความจริง
สำหรับจางอวี้เอ๋อ เธอเชื่อว่าแค่คำสารภาพของเพื่อนร่วมงานในศาลากลางนั้นเพียงพอแล้วที่อีกฝ่ายจะไม่สามารถพ้นผิดได้
คำถามสุดท้ายที่เธอถูกถามคือ “คุณรู้ไหมว่าจางอวี้เอ๋อเคยคบหากับผู้ชายที่ชื่อหนี่เจิ้งตอนที่เธอเรียนหนังสือ หรือนอกจากหนี่เจิ้งแล้ว ยังมีผู้ชายคนอื่นอีกไหมครับ?”
ในโรงเรียนมัธยม เซี่ยชิงหยวนและจางอวี้เอ๋อเรียนในโรงเรียนเดียวกัน
เมื่อเทียบกับเซี่ยชิงหยวนที่เรียนหนักตลอดทั้งวัน ความคิดของจางอวี้เอ๋อคือการแต่งตัวและคุยกับเพื่อนร่วมชั้นผู้ชายที่ร่ำรวย
ในเวลานั้น ความทะเยอทะยานของจางอวี้เอ๋อไม่ได้ใหญ่โตนัก เธอเพียงต้องการแต่งงานกับครอบครัวที่ร่ำรวยในเมืองเท่านั้น
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนทำท่าทางเหมือนกำลังครุ่นคิดก่อนจะตอบว่า “นี่…ดูเหมือนว่าจะไม่มีนะคะ…ไม่สิ มันนานเกินไปและฉันจำไม่ค่อยได้แล้วน่ะค่ะ”
เธอมองไปที่บันทึกการให้ปากคำ “ถ้าคุณต้องการข้อมูลนี้จริง ๆ ขอให้ฉันได้กลับไปคิดทบทวนความทรงจำก่อนจะดีกว่าค่ะ ถ้าฉันจำได้ ฉันค่อยกลับมาตอบคุณได้ไหมคะ?”
ทัศนคติของเซี่ยชิงหยวนนั้นจริงใจมากและการแสดงออกก็จริงจัง ผู้สอบสวนไม่สงสัยและพยักหน้า “ได้ครับ หากคุณคิดว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับคดีนี้ โปรดติดต่อเราได้ตลอดเวลาเลยนะครับ”
ตอนนี้จางอวี้เอ๋อและเหอเส้าหยวนกำลังให้การขัดแย้งกัน พวกเขาทำได้เพียงมองหาหลักฐานเพื่อยืนยันคำพูดของแต่ละฝ่ายเท่านั้น
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “แน่นอนค่ะ”
เธอออกไปและหลังจากเดินไปไม่กี่ก้าวประตูห้องข้าง ๆ ก็เปิดออก
คนที่เดินออกมาจากข้างในห้องด้วยอาการตัวสั่นนั่นมันแม่เฒ่าจางไม่ใช่เหรอ?
ย่างก้าวของแม่เฒ่าจางดูเหมือนจะหนักมาก และเรียกได้ว่าลากเท้าเดิน
ใบหน้าของเธอซีดเผือด และแม้แต่ผมก็ยังเป็นสีเทา
เซี่ยชิงหยวนจำได้ว่าแม่เฒ่าจางเคยมาที่บ้านเซี่ยในฐานะแขกมาก่อน เธออายุหกสิบปี ผมส่วนใหญ่มีสีดำและเป็นประกาย
แม่เฒ่าจางยังคุยโม้กับหวังผิงว่าเธอได้เรียนรู้วิธีการดูแลเส้นผมจากคุณยาย ซึ่งรู้มาจากชนกลุ่มน้อยเผ่าไตอีกที เมื่อสระผม หญิงชราจะใส่สมุนไพรหลายชนิด
หวังผิงหงุดหงิดมากเมื่อได้ยินแบบนั้น และเธอก็หันกลับไปบอกเซี่ยโยว่หมิงว่าเธอต้องการทำอะไรแบบนั้นเหมือนกัน
แต่ต่อมาเมื่อถามราคาแล้วจะยังเต็มใจอีกได้ยังไง?
เซี่ยชิงหยวนเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “คุณป้าคะ”
แม่เฒ่าจางดูเหมือนจะยังไม่คืนสติจากบรรยากาศตึงเครียดในห้องเมื่อกี้ พอเธอเห็นเซี่ยชิงหยวน หญิงชราก็สะดุ้งและดวงตาฉายแววด้วยความเกลียดชัง
เมื่อหญิงชรากำลังจะรีบเดินหนีไป เซี่ยชิงหยวนก็เอ่ยเบา ๆ
“คุณป้าตอนนี้เราอยู่ที่สถานีตำรวจนะคะ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ แม่เฒ่าจางก็หยุดการเคลื่อนไหวและได้แต่จ้องมองเซี่ยชิงหยวนอย่างเกลียดชัง
เซี่ยชิงหยวนยิ้มแล้วเดินเข้าหาอีกฝ่าย “คุณป้ารู้ไหม เมื่อกี้ตำรวจถามอะไรฉันบ้าง? พวกเขาถามฉันว่ารู้ไหมจางอวี้เอ๋อเคยคบหากับคนที่ชื่อหนี่เจิ้งมาก่อน”
เซี่ยชิงหยวนมองลึกเข้าไปในดวงตาของแม่เฒ่าจางที่เบิกกว้างอย่างกะทันหัน หญิงสาวพอใจมากกับปฏิกิริยาของอีกฝ่าย “บอกฉันทีสิคะคุณป้า ว่าฉันควรตอบไปยังไงดี?”
แม่เฒ่าจางมองดูเซี่ยชิงหยวนเขม็ง ใครจะคิดว่าหญิงสาวตัวเล็ก ๆ จะกล้าพูดคำที่น่ากลัวเช่นนี้ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มนั่น!
หญิงชราโกรธมากจนตัวสั่นไปทั้งตัว
“คุณป้า อย่าโกรธสิค่ะ” เซี่ยชิงหยวนทำท่าทางตบหลังอีกฝ่าย “ถ้าคุณโกรธมากจนตายตอนนี้ คุณจะไม่ทันได้เห็นจางอวี้เอ๋ออยู่ในคุกเอานะ”
พอได้ยินแบบนั้น ดวงตาของแม่เฒ่าจางมืดหม่นจนแทบจะร่วงหล่นทันที
หญิงชราชี้ไปที่เซี่ยชิงหยวน ริมฝีปากของเธอสั่นเทา “แก…แกมันจิตใจอำมหิต!”
เซี่ยชิงหยวนยังคงยิ้มและพูดว่า “ในแง่ของความอำมหิต ฉันจะเทียบกับคุณและลูกสาวของคุณได้ยังไงล่ะ?”
“พวกคุณทำให้ขาทั้งสองข้างของหนี่เจิ้งพิการ ใช้เด็กเป็นเงื่อนไขในการชำระหนี้ของตัวเอง แม้กระทั่งแยกพี่รองของฉันออกจากคนรักของเขาด้วยวิธีที่น่ารังเกียจ รอจนกระทั่งท้องของจางอวี้เจียวอายุได้เจ็ดเดือนก่อนจึงวิ่งมาที่บ้านของฉันและโวยวายเรียกร้อง…บอกฉันทีสิ แบบนี้เรียกว่าอำมหิตกว่าไหม?”
มือของเธอยังคงลูบหลังของแม่เฒ่าจางและตบเบา ๆ ซ้ำ ๆบราวนี่ออนไลน์
การสัมผัสที่อ่อนโยนเช่นนี้ทำให้แม่เฒ่าจางรู้สึกเย็นเยือกไปทั่วทั้งร่างกาย
หลังจากฟังคำพูดของเซี่ยชิงหยวน ใบหน้าของหญิงชราซีดเผือดแทบจะเหมือนสีกระดาษ
เซี่ยชิงหยวนโน้มตัวเข้าไปใกล้หูของหญิงชรา ซึ่งในสายตาของคนอื่น ๆ ดูราวกับว่าเธอกำลังช่วยหญิงชราอยู่ “ฉันเพิ่งบอกกับตำรวจว่าฉันขอเวลากลับไปคิดทบทวนเกี่ยวกับเรื่องของจางอวี้เอ๋อและหนี่เจิ้งก่อน อืม…บางทีฉันอาจจะจำมันได้ภายในไม่เกินสองวันก็ได้นะ”
เซี่ยชิงหยวนทำหน้าตาครุ่นคิดอีกครั้ง “ครอบครัวของหนี่เจิ้งดูเหมือนจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านหนิวเจี๋ยทางตะวันตกใช่ไหมนะ?”
จากนั้นดวงตาของเธอเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ในฐานะมนุษย์ คุณจะโลภเกินไปไม่ได้ เมื่อถึงเวลาบางสิ่งที่ควรปล่อยมันก็ต้องปล่อยไป จริงไหม?”
“ฉันจะให้เวลาคุณอีกแค่สองวันเท่านั้น เพื่อให้จางอวี้เจียวไปหย่าให้เสร็จ”
“แต่จงรู้เอาไว้ด้วย ความอดทนของฉันไม่เคยมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ฉันไม่ชอบรออะไรที่นานเกินไปนักหรอกนะ”
หลังจากพูดจบเซี่ยชิงหยวนก็ดึงมือออกแล้วเดินจากไป แม่เฒ่าจางชี้ไปทางที่เซี่ยชิงหยวนกำลังเดินจากไปก่อนจะกรีดร้อง “กรี๊ดดดด! กรี๊ดดดด!”
แต่หญิงชราไม่กล้าพูดอะไรอีก
เมื่อกี้นี้อยู่ในห้องสอบปากคำ ตำรวจถามคำถามเธอมากมาย
เธอกลัวว่าจะขัดกับคำสารภาพของคนอื่น ดังนั้นคำตอบหลายข้อของเธอจึงมีแค่ ‘ไม่ชัดเจน’ และ ‘ไม่รู้’
แน่นอนว่าคำตอบของเธอทำให้ตำรวจไม่พอใจอย่างมาก
เมื่อออกมา แผ่นหลังของเธอชุ่มเหงื่อ
เมื่อหญิงชราเผชิญกับความยากลำบากแบบนี้ และคิดถึงหญิงสาวข้างบ้าน เธอก็สงสัยว่าอีกฝ่ายจะเปิดเผยทุกสิ่งที่รู้หรือไม่ และที่สำคัญที่สุดก็คือข้อมูลที่เซี่ยชิงหยวนรู้
ไม่นะ! เธอต้องโทรหาจางอวี้เจียวและบอกให้หย่ากับเซี่ยจิ่งเฉินทันที!
…
ในขณะที่แม่เฒ่าจางตัดสินใจได้เช่นนี้ จางอวี้เจียวก็กำลังลากพี่ชายคนโตของเธอไปที่บ้านตระกูลเซี่ย
ด้วยเหล้าและเนื้อหายากในมือ ความมั่นใจของพวกเขาเพิ่มขึ้นมาก
แต่โดยไม่คาดคิดเลย ว่าเมื่อไปถึงบ้านตระกูลเซี่ย ประตูกับหน้าต่างถูกปิดและไม่พบใครเลย
จางอวี้เจียวหยิบกุญแจออกมาและต้องการเปิดประตูลานบ้าน แต่พอเธอกำลังจะไขกุญแจ เธอพบว่าแม่กุญแจของบ้านถูกเปลี่ยนใหม่เป็นแม่กุญแจขนาดใหญ่ใหม่เอี่ยม
เกิดอะไรขึ้น?
เปลี่ยนแม่กุญแจแล้วเหรอ?
หรือนี่จะเป็นการตัดความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสกับเธอโดยสิ้นเชิงกัน?
พี่ใหญ่ตระกูลจางมีสีหน้าซีดเซียวทันที
เขายกเท้าใหญ่ขึ้นแล้วเตะอย่างแรงไปที่ประตูลานบ้าน
“ปัง!” มีเสียงดังขึ้นและประตูลานบ้านยังคงปิดอยู่
พี่ใหญ่ตระกูลจางสบถออกมา “ให้ตายเถอะ แบบนี้มันหยามกันเกินไปแล้ว!”
จางอวี้เจียวก็มีสีหน้าแย่มากเช่นกัน และเธอก็กำลังจะร้องไห้ “เมื่อวานฉันไม่อยากกลับบ้านเลย แต่พวกพี่ทุกคนก็ยืนกรานที่จะพาฉันกลับไป! ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ฉันเข้าบ้านนี้ไม่ได้แล้ว! ฉันผ่านประตูไปไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
พี่ใหญ่ตระกูลจางก็โมโหเช่นกัน “ฉันเคยบอกแล้วไงว่าครอบครัวของเซี่ยจิ่งเฉิน มันไม่ใช่คนดี!”
“นี่! กำลังพูดถึงใครอยู่หะ?” ขณะพี่ใหญ่ตระกูลจางพูดอยู่ ทันใดนั้นเซี่ยจิ่งเฉินก็ปรากฏตัวขึ้นมา
กางเกงกับแขนเสื้อของเขาถูกพับขึ้น และเขาก็แบกจอบไว้บนบ่าราวกับว่าเพิ่งกลับมาจากการทำงานในทุ่งนา
เมื่อเขาเห็นจางอวี้เจียวและพี่ชายของเธอ เขาก็หรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างเย็นชาทันที
บทที่ 277 ฉันจะหย่ากับคุณ
บทที่ 277 ฉันจะหย่ากับคุณ
กงเหลียนซินไม่ได้คาดคิดไว้เลยว่าลูกชายของเธอจะพลั้งปากพูดแบบนี้ออกไป
เธอทำได้เพียงพูดอย่างคลุมเครือเท่านั้น “ดูเหมือนว่าจะมีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้น แต่พี่ก็ไม่ได้รู้อะไรมากเท่าไหร่หรอก”
เซี่ยไป่เหิงคิดไปว่ากงเหลียนซินไม่รู้เรื่องจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงพูดต่อ “ยังมีเสื้อผ้าที่อาผมซื้อให้น้องสาวของผมด้วยนะ แล้วอาสะใภ้รองก็เอาพวกมันทั้งหมดออกไปจากบ้าน มันหายไปหมดเลย”
กงเหลียนซินตกใจมากจนเธอรีบดึงเซี่ยไป่เหิงมาไว้ในอ้อมแขนทันที และถึงกับตีก้นเขาเป็นการเตือน “เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าพูดอะไรไร้สาระ!”
พอโดนแบบนี้เซี่ยไป่เหิงก็รู้สึกเสียใจ “แต่ผมไม่ได้พูดไร้สาระนะ! อาสะใภ้รองพูดอีกด้วยว่าน้องซือถงกับซือเหยียนไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อผ้าดี ๆ ให้เปลืองข้าวของเงินทองหรอก”
ตอนนี้กงเหลียนซินกังวลมากจนเริ่มเหงื่อออก
หากเซี่ยจิ่งเฉินและภรรยาของเขาทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้ จางอวี้เจียวจะต้องเดาว่าเป็นเธอที่พูดออกไปอย่างแน่นอน หลังจากนั้นก็จะมีปัญหาตามมาไม่จบ
อาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ต้องเผชิญกับคนหน้ามืดมนทั้งวันคงไม่มีใครมีความสุข
ทุกครั้งถ้าไม่ใช่เพราะเซี่ยจิ่งเยว่รั้งเธอไว้ และคำนึงถึงความรู้สึกของพ่อแม่สามี ป่านนี้เธอคงเอาเรื่องกับจางอวี้เจียวนานแล้วเช่นกัน
กงเหลียนซินยิ้มแห้ง ๆ “น้องรอง อย่าคิดมากเลยนะ เด็ก ๆ ยังไม่รู้เหตุรู้ผลน่ะ”
ถึงอย่างนั้น เซี่ยจิ่งเฉินก็เข้าใจเรื่องส่วนใหญ่แล้ว
ริมฝีปากของเขาเม้มเป็นเส้นตรง และพยักหน้า “พี่สะใภ้ ผมเข้าใจแล้วครับ”
เสิ่นอี้โจววางมือบนไหล่ของเขา “อาหารพร้อมแล้ว กินข้าวกันก่อนเถอะ”
เซี่ยชิงหยวนยังกล่าวอีกว่า ” ใช่ มากินข้าวกันก่อนเถอะ อย่าพูดถึงเรื่องพวกนี้เลย”
หญิงสาววางชามและตะเกียบแล้วพูดว่า “ครั้งสุดท้ายที่ฉันไปกว่างโจว ฉันซื้อของมากมายมาฝากพวกเราทุกคนด้วย เมื่อไหร่ที่พี่สะใภ้จะกลับ ฉันวานพี่เอาของต่าง ๆ กลับไปด้วยนะ ฉันซื้อมาเยอะมากจนมันหนักเกินไป ฉันก็เลยยังไม่ได้ส่งไปให้น่ะค่ะ”
ในสถานที่อย่างกว่างโจว นมผงจากต่างประเทศมีขายเยอะมาก และราคาถูกกว่าที่อื่น
ตอนนั้นเหล่าไต้พาเธอไปพบคนรู้จัก เธอได้ซื้อนมผงยี่สิบกระป๋องและส่งกลับมาที่นี่ทางไปรษณีย์พร้อมกับเสื้อผ้า
นมผงในยุคนี้ทั้งบริสุทธิ์และยังได้กลิ่นหอมของนมทันทีที่เปิดกระป๋องอีกด้วย ซึ่งแตกต่างจากนมกระป๋องในยุคหลังอย่างสิ้นเชิง
เนื่องจากช่วงนี้เธอยิ่งอยู่แต่กับเรื่องการจัดการกับจางอวี้เอ๋อ ดังนั้นเซี่ยชิงหยวนจึงลืมที่จะนำพวกมันออกมา
กงเหลียนซินยิ้มและพูดว่า “เราทำให้ชิงหยวนต้องเสียเงินอีกแล้ว”
จากนั้นเธอก็พูดกับเซี่ยไป่เหิงว่า “ขอบคุณคุณอาเร็วเข้า”
เซี่ยไป่เหิงตะโกนอย่างไพเราะทันที “ขอบคุณครับคุณอา!”
เซี่ยชิงหยวนหัวเราะอย่างมีความสุข “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ”
แน่นอนว่าในเมื่อเซี่ยชิงหยวนสามารถซื้อนมผงให้กับพ่อแม่ทั้งสองคนในครอบครัวได้ ดังนั้นเธอจะไม่คำนึงถึงหลานชายและหลานสาวของเธอเองได้ยังไง
แต่ไม่ว่าเซี่ยชิงหยวนจะรวยแค่ไหน เงินก็ไม่ได้หล่นลงมาจากท้องฟ้า ดังนั้นการกล่าว ‘ขอบคุณ’ ยังคงต้องทำอยู่
เรื่องนี้ กงเหลียนซินชัดเจนกว่าจางอวี้เจียวมาก ดังนั้นเซี่ยชิงหยวนจึงยินดีที่จะมอบสิ่งต่าง ๆ ให้พี่สะใภ้ใหญ่ด้วยความเต็มใจ
หลายคนนั่งคุยกันเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ โดยจงใจหลีกเลี่ยงหัวข้อของสองพี่น้องสกุลจาง และบรรยากาศบนโต๊ะอาหารเย็นก็ค่อนข้างมีความสุข
ทันใดนั้นในขณะที่กำลังสนทนากันอย่างชื่นมื่น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
เซี่ยชิงหยวนพูดว่า “ทุกคนกินข้าวไปก่อนนะ ฉันจะไปรับสายเอง”
เธอเดินไปยังโทรศัพท์ที่อยู่ถัดจากโซฟา หยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมา “สวัสดีค่ะ?”
“เซี่ยชิงหยวน?” เสียงสุภาพดังมาจากปลายสาย
มีรอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้นที่มุมริมฝีปากของเซี่ยชิงหยวนทันที ในที่สุดเป้าหมายของเธอก็โทรมา!
เซี่ยชิงหยวนตอบกลับ “ฉันเองค่ะ”
จางอวี้เจียวแทบสำลักเพราะน้ำเสียงเย็นชาของเซี่ยชิงหยวน ด้วยความโกรธในใจเธอพูดว่า “พอเป็นภรรยาของข้าราชการใหญ่ก็เปลี่ยนไปจริง ๆ สินะ เดี๋ยวนี้ไม่เรียกฉันว่าพี่สะใภ้รองแล้วด้วยซ้ำ”
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะก่นด่าอีกฝ่ายว่าโง่เง่าในใจ
จางอวี้เจียวโทรมาเพราะมีเรื่องจะขอร้อง แต่กลับกล้าพูดจาใหญ่โตบราวนี่ออนไลน์
เธอขึ้นเสียง “พี่สะใภ้รองมีอะไร?”
ห้องนั่งเล่นและห้องรับประทานอาหารเชื่อมต่อกัน มีเพียงฉากกั้นตรงกลางง่าย ๆ เท่านั้น คำว่า ‘พี่สะใภ้รอง’ ของเซี่ยชิงหยวน ทำให้ทุกคนในห้องรับประทานอาหารได้ยินไปพร้อม ๆ กัน
เสิ่นอี้หลินกลอกตามองระหว่างผู้ใหญ่หลายคน แล้วก้มหน้ากินข้าวต่อ
เซี่ยไป่เหิงที่นั่งอยู่ข้าง ๆ อย่างโง่เขลา คว้าซี่โครงยาวมากัดคำใหญ่แล้วยิ้มให้ “พี่ชาย มันอร่อยนะ”
เสิ่นอี้หลินกลอกตาของเขา เอื้อมมือออกไปจิ้มหัวของเซี่ยไป่เหิงเบา ๆ “บอกแล้วไงว่าอย่าเรียกฉันว่าพี่ชาย!”
เขาดูเป็นคนอายุมากกว่าเซี่ยไป่เหิงอย่างชัดเจนเลยรึไงกัน?
กงเหลียนซินใช้ตะเกียบคีบผักให้เซี่ยไป่เหิง “อย่ามัวแต่เน้นกินเนื้อสัตว์สิ กินผักที่มีประโยชน์บ้าง”
เนื่องจากเสิ่นอี้โจวและเซี่ยจิ่งเฉินอยู่ที่นี่ทั้งคู่ จึงเป็นการดีกว่าสำหรับเธอที่จะไม่แสดงความคิดเห็นในตอนนี้
เซี่ยจิ่งเฉินวางชามกับตะเกียบลงแล้วลุกขึ้น เขาเดินไปที่ด้านข้างของเซี่ยชิงหยวนพลางกดปุ่มเปิดลำโพง
ยุคนี้โทรศัพท์มีฟังก์ชันลำโพงบ้างแล้ว แต่หลังจากเปิดลำโพง เสียงจะผิดเพี้ยนมาก
ถึงกระนั้นเซี่ยจิ่งเฉินก็จำน้ำเสียงชอบกดขี่ผู้คนของจางอวี้เจียวได้ในทันที
“ท้ายที่สุดแล้วเราก็เป็นญาติกันทั้งนั้น เธอและสามีคงไม่สามารถเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้ถูกไหม? เห็นได้ชัดว่าคนพวกนั้นขุดหลุมพลาง เพื่อให้อวี้เอ๋อกระโดดลงไป อวี้เอ๋อถูกจัดฉาก!”
“นอกจากนี้ หากอวี้เอ๋อกลายเป็นภรรยาของรองผอ. ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นการช่วยให้สามีของเธอมีตำแหน่งมั่นคงขึ้นเหรอ? ถ้าอวี้เอ๋อถูกตัดสินลงโทษฐานเล่นชู้ เธอกับสามีจะได้ประโยชน์อะไรล่ะ?”
“และเธอไม่กลัวคนอื่นจะว่าตัวเองมีญาติเป็นคนผิดรึไง? นี่มันจะไม่กระทบกับอาชีพของสามีของเธอเหรอ? มันเป็นหลักการง่าย ๆ ที่ไม่ต้องสอนกันด้วยซ้ำ ทำไมเธอถึงเข้าใจอะไรยากแบบนี้?”
“รีบบอกสามีของเธอซะ ให้เขารีบโทรหาหัวหน้าสำนักความมั่นคงสาธารณะ และขอให้พวกเขาปล่อยอวี้เอ๋อไป แล้วเราจะไม่ติดตามเอาเรื่องอะไรอีก”
คำพูดของจางอวี้เจียวเหมือนกับการทุบถั่ว จู่ ๆ ก็พ่นออกมาโดยไม่ให้ใครได้หายใจหรือขัดจังหวะ
เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังขอความช่วยเหลือจากเซี่ยชิงหยวน แต่เธอพูดจาหยาบคายยิ่งกว่าผู้บังคับบัญชาสั่งลูกน้อง
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ เซี่ยชิงหยวนก็มองไปที่เซี่ยจิ่งเฉินด้วยท่าทางหยอกล้อ
ใบหน้าของเซี่ยจิ่งเฉินดำราวกับถ่าน และหน้าอกของเขาก็สั่นเทา
เมื่อจางอวี้เจียวไม่ได้ยินคำตอบของเซี่ยชิงหยวน ดังนั้นเธอจึงถามเสียงแข็งขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง “ฉันกำลังพูดกับเธอออยู่นะ เธอได้ยินฉันไหม!?”
ขณะที่เซี่ยชิงหยวนกำลังจะตอบ เซี่ยจิ่งเฉินก็พูดออกไป “คุณรู้ตัวไหมว่ากำลังรบกวนชิงหยวนอยู่ เรื่องนี้มีผลกับชิงหยวนยังไม่ถึงครึ่งสลึงด้วยซ้ำ และนี่เป็นผลมาจากความต้องการผิด ๆ ของจางอวี้เอ๋อที่ต้องการได้รับในสิ่งที่ตัวไม่สมควรได้ ฉันขอพูดตรงนี้เอาไว้เลยว่าอวี้เอ๋อสมควรได้รับการลงโทษแล้ว!”
จางอวี้เจียวที่อยู่ปลายสายอีกด้านของโทรศัพท์โง่งมไปในทันที
เธอโทรหาบ้านของเซี่ยจิ่งเฉินก่อนแต่ไม่มีใครตอบ เธอคิดว่าเขายังไม่กลับมา แล้วใครจะรู้ว่าเขาอยู่ที่บ้านของเซี่ยชิงหยวน!
นี่หมายความว่าตอนที่จางอวี้เอ๋อถูกจับตัวไป เขาก็อาจอยู่ที่นั่นด้วยหรือเปล่า?
น้องสาวของเธอถูกจับ แต่ผู้ชายของเธอยังอยากกินอาหารเย็นกับครอบครัวของเซี่ยชิงหยวนอยู่เนี่ยนะ?
เมื่อคิดแบบนี้ น้ำเสียงของเธอก็หนักแน่นขึ้นมา “เซี่ยจิ่งเฉิน! คุณกำลังหมายถึงอะไร? ฉันแค่ขอความช่วยเหลือจากน้องเขยของฉัน ทำไมมันถึงกลายเป็นเรื่องรบกวนอะไรนักหนา และอวี้เอ๋อเพียงทำตามสิ่งที่เธอต้องการเท่านั้น ทำไมคุณต้องพูดรุนแรงขนาดนี้ด้วย!”
เซี่ยจิ่งเฉินรู้สึกเจ็บหน้าอก เพราะเรื่องไร้สาระของจางอวี้เจียว
เขาเอ่ยคำพูดเด็ดเดี่ยวออกไป “สรุปว่าถ้าคุณโทรมาเพราะเรื่องนี้ งั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกแล้ว คุณจะทำอะไรต่อก็ทำไปตามใจของคุณ แต่มันไม่มีประโยชน์ที่จะมาขอให้น้องเขยของผมช่วยในเรื่องนี้ อันที่จริงแทนที่คุณจะมานั่งเสียเวลาทำอะไรแบบนี้ คุณควรไปเกลี้ยกล่อมให้น้องสาวตัวเองพยายามคิดกลับตัวกลับใจในคุกจะดีกว่า!”
ในอดีตเมื่อเขากลับบ้านอย่างเหนื่อยล้า จางอวี้เจียวก็จะทำสีหน้าท่าทางเหมือนคนร้องไห้ และบอกว่าครอบครัวของเขาปฏิบัติต่อเธออย่างเลวร้าย ทั้งยังใส่ร้ายคนอื่นอีกมากมาย
เซี่ยจิ่งเฉินรู้อยู่แก่ใจดีว่าครอบครัวของเขาไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่ถ้าเขาโต้แย้งเธอก็จะสร้างปัญหาอีก
เขาไม่อยากพูดอีกต่อไป ทำเพียงฟังไปเท่านั้น แล้วปล่อยให้เธอพูดในสิ่งที่ต้องการ
ตอนนั้นแม้แต่หวังผิงก็ยังเกลี้ยกล่อมเขาว่า “เป็นเรื่องปกติที่เธอจะรู้สึกอึดอัดเมื่อลูกไม่อยู่บ้านตลอดนั่นแหละ ลูกกลับมาบ้านแค่สองสามวันต่อเดือนเอง เพราะงั้นอดทนและปล่อยให้มันผ่านไปเถอะ หากเพื่อนบ้านได้ยินเรื่องทะเลาะวิวาท มันจะส่งผลเสียเอา”
ดังนั้นเขาจึงทนมาหลายปีแล้ว
ตอนนี้เมื่อเห็นว่าจางอวี้เจียวหยิ่งยโสแค่ไหน และสิ่งที่เซี่ยชิงหยวนพูดกับเขาในระหว่างวันอีก ความอดทนหลายปีก็ระเบิดขึ้นในที่สุด
เมื่อเผชิญหน้ากับการไม่เชื่อฟังของเซี่ยจิ่งเฉินกับตัวเองเป็นครั้งแรก จางอวี้เจียวจึงตะโกนใส่โทรศัพท์อย่างไม่อายใคร “เซี่ยจิ่งเฉิน! ฉันบอกคุณไว้เลยนะ เซี่ยชิงหยวนและคนอื่น ๆ ต้องเห็นด้วยกับเรื่องช่วยน้องสาวของฉัน ไม่อย่างนั้น…”
เซี่ยจิ่งเฉินฟังน้ำเสียงและประโยคขู่ที่คุ้นเคย เขาอดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ย “ไม่อย่างนั้นอะไรล่ะ?”
จางอวี้เจียวหยุดชั่วคราวแล้วพูดว่า “ไม่อย่างนั้น ฉันจะหย่ากับคุณ!”
