บทที่ 290 ความมีน้ำใจของคนคนหนึ่งจะต้องมีจุดสิ้นสุด
บทที่ 290 ความมีน้ำใจของคนคนหนึ่งจะต้องมีจุดสิ้นสุด
กงเหลียนซินพาเซี่ยจิ่งเยว่ไปที่บ้านพ่อแม่ของเธอพร้อมกับเด็กทั้งสี่คน
นี่เป็นการหลีกเลี่ยงตระกูลจางในช่วงนี้
ทันทีที่เห็นเซี่ยจิ่งเฉิน พี่ใหญ่ตระกูลจางพลันเปลี่ยนความเกรี้ยวกราดเมื่อครู่และแสดงสีหน้ายิ้มแย้มทันที “ไม่มีอะไร ๆ นายได้ยินผิดไปน่ะ”
ขณะที่พูด เขาก็ส่งสัญญาณทางสายตาให้จางอวี้เจียว
เสื้อผ้าที่จางอวี้เจียวใส่ในวันนี้คือชุดเอี๊ยมสีน้ำเงินและเสื้อลายดอกไม้พื้นหลังสีขาว เสื้อผ้านี้เธอสวมใส่เมื่อพบกับเซี่ยจิ่งเฉินครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน
เธอขุดมันออกมาจากตู้เสื้อผ้าของแม่ แล้วสวมมันโดยหวังว่าเมื่อเซี่ยจิ่งเฉินได้เห็นชุดนี้ เขาจะจำความรู้สึกเก่า ๆ ได้
โดยไม่คาดคิด เซี่ยจิ่งเฉินทำราวกับว่าเขาไม่ได้สังเกตเห็นมัน ดวงตาของเขากวาดไปทั่วร่างกายของหญิงสาวเบา ๆ และไม่ได้พูดอะไร
จางอวี้เจียวระงับความทุกข์ในใจ ก้าวไปข้างหน้าพลางทัดผมไปที่หลังหูและลดเสียงของเธอ “จิ่งเฉิน เรากลับเข้าไปในบ้านแล้วคุยกันได้ไหม?”
เซี่ยจิ่งเฉินจ้องมองไปข้างหน้า “ไม่จำเป็น ถ้าไม่ใช่การคุยเรื่องหย่า ฉันก็ไม่มีอะไรจะคุยกับเธอ”
ความเย็นชาของเซี่ยจิ่งเฉินทำให้จางอวี้เจียวหงุดหงิด เธอคุ้นเคยกับการบังคับเซี่ยจิ่งเฉิน หญิงสาวจึงไม่สามารถอดกลั้นได้และตะโกนใส่เขาทันพลัน “เซี่ยจิ่งเฉิน นายเป็นบ้าอะไร! นายทำแบบนี้หมายความว่ายังไง? ฉันบอกนายเอาไว้เลยนะว่าตราบใดที่เราไม่หย่ากัน ฉันก็ยังคงเป็นภรรยาของนาย! นายต้องการที่จะทิ้งฉันและไปแต่งงานกับนังถานจิงเซียนนั่น และทำความฝันของนายให้เป็นจริงสินะ ฉัน…”
“อวี้เจียว!” พี่ใหญ่ตระกูลจางแทบจะพูดไม่ออก พวกเขามาครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อดุด่า แต่มันเป็นการขอร้องอีกฝ่ายต่างหาก!
เขารีบคว้าจางอวี้เจียวแล้วพูดกับเซี่ยจิ่งเฉินว่า “น้องเขย อวี้เจียวแค่หุนหันพลันแล่นไปหน่อยน่ะ เพราะงั้นอย่าถือสาเธอเลยนะ”
เขายกของในมือขึ้น “เมื่อเช้านี้เธอยังบอกด้วยว่าเธอผิดเอง อยากกลับมาปรับความเข้าใจกับนายและผู้อาวุโสทั้งสองเพื่อขอโทษน่ะ เราขอเข้าไปข้างในสักหน่อยจะได้ไหม?”
เพื่อป้องกันไม่ให้เซี่ยจิ่งเฉินปฏิเสธคำขอของพวกเขา วันนี้เขาก็นำเหล้ามาด้วย
หลังจากนี้ ตราบใดที่พวกเขาเข้าไปในบ้านได้ ทำให้เซี่ยจิ่งเฉินดื่มและนอนกับจางอวี้เจียวอีกครั้ง เซี่ยจิ่งเฉินยังจะกล้าปฏิเสธอีกเหรอ?
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยจิ่งเฉินก็ไม่แสดงสีหน้าใด ๆ เป็นพิเศษและหันหลังกลับเพื่อจากไป
“เฮ้ย น้องเขย!” พี่ใหญ่ตระกูลจางรั้งเขาไว้ “มาคุยกันก่อนเถอะนะ ตกลงไหม?”
เซี่ยจิ่งเฉินถอยหลังไปสองก้าว โดยรักษาระยะห่างจากอีกฝ่ายมากกว่าหนึ่งเมตร “ถ้าจะคุยก็คุยกันตรงนี้ ต้องการจะพูดอะไร?”
พี่ชายคนโตจางลูบมือ “ก็…เป็นเรื่องของอวี้เอ๋อน่ะ นายคิดว่าสามารถโทรหาน้องสาวชิงหยวนและสามีของเธอได้ไหม…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ เซี่ยจิ่งเฉินก็เดินผ่านไป และกำลังจะเข้าไปในบ้านทันที
เห็นแบบนี้พี่ใหญ่ตระกูลจางก็ไม่สามารถระงับอารมณ์ได้อีกต่อไป เขามองไปที่จางอวี้เจียวและวางแผนที่จะใช้กำลัง
“น้องเฉิน!” ในขณะนี้มีเสียงผู้ชายดังมาจากไม่ไกล ซึ่งเป็นต้าหลินจือที่พาแม่เฒ่าจางออกไปรับโทรศัพท์ในวันนั้น
เขาวิ่งมาและพูดกับเซี่ยจิ่งเฉิน “น้องเฉิน แม่ของฉันชวนให้นายมากินข้าวที่บ้านของฉันน่ะ”
ขณะที่เขาพูดสิ่งนี้ เขาก็ขยิบตาให้เซี่ยจิ่งเฉิน
เซี่ยจิ่งเฉินพยักหน้าทันที “ได้สิ”
จากนั้นเซี่ยจิ่งเฉินก็มองไปที่พี่ใหญ่ตระกูลจางกับจางอวี้เจียว แล้วพูดว่า “ฉันพูดไปหลายครั้งแล้วนะ ว่าเราไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องของจางอวี้เอ๋อได้ และไม่มีทางเป็นไปได้ที่ฉันจะรบกวนชิงหยวนกับอี้โจวเพราะเรื่องนี้ แทนที่พวกนายจะมาเสียเวลาอยู่กับเรา มันจะดีกว่าไหมถ้าเอาเวลาไปคิดว่าจะให้เธอสารภาพและผ่อนปรนโทษได้ยังไง?”
หลังจากพูดอย่างนั้น เซี่ยจิ่งเฉินและต้าหลินจือก็จากไปโดยไม่มองคู่พี่น้องตระกูลจางอีกเลย
พี่ชายและน้องสาวตระกูลจางยืนอยู่ที่นั่น ใบหน้าของพวกเขามืดมนอย่างน่ากลัว
จางอวี้เจียว “พี่ชาย ฉันควรทำยังไงดี?”
พี่ใหญ่ตระกูลจางพูดอย่างโกรธ ๆ “จะทำอะไรได้อีก ไม่ใช่ว่าเธอมันไร้ประโยชน์เหรอหะ? กลับบ้าน!”
…
โดยไม่คาดคิด หลังจากที่พวกเขาทั้งสองเพิ่งกลับบ้านและก่อนที่พวกเขาจะมีโอกาสได้ดื่มน้ำ สะใภ้จางก็เร่งเร้าทั้งสองทันที “เมื่อตอนบ่ายแม่โทรมา บอกว่าให้พวกนายสองคนโทรกลับทันทีเมื่อกลับมานะ”
ขณะที่เธอพูดอย่างนั้น เธอยื่นหมายเลขโทรศัพท์ที่จดไว้ก่อนหน้านี้ให้ “โทรไปที่หมายเลขนี้เลย”
จากนั้นจางอวี้เจียวและพี่ชายคนโตของเธอก็รีบไปที่สำนักงานหมู่บ้านเพื่อโทรออก
ทันทีที่รับสาย แม่เฒ่าจางก็เริ่มร้องไห้ทันที “อวี้เจียว ลูกต้องไปที่หมู่บ้านซิ่งฮวาเพื่อหย่ากับเซี่ยจิ่งเฉินเช้าวันพรุ่งนี้ทันทีเลยนะ!”
จางอวี้เจียวสับสน “แม่ไม่ได้บอกเหรอว่าจะไม่ให้หนูหย่ากับเขา? ตอนนี้แม่หมายความว่ายังไง!?”
แม่เฒ่าจางร้องไห้ “นังหมาตัวเมียข้างบ้านเรามันพูดเรื่องหนี่เจิ้งออกไป ต่อมาสำนักงานความมั่นคงสาธารณะก็โทรกลับมาหาแม่ และสอบปากคำแม่อยู่ตั้งนานกว่าจะปล่อยแม่ออกมา ถ้าเซี่ยชิงหยวนพูดเรื่องนี้ออกไปด้วย อวี้เอ๋อจะต้องตายแน่นอน!”
จางอวี้เจียวรู้สึกปวดหัวเพราะแม่เฒ่าจางร้องไห้ เธอกุมหัวตัวเอง “เซี่ยชิงหยวนรู้แล้วยังไง? บ้านของหนี่เจิ้งอยู่ห่างไกลจะตาย ตำรวจหาเจอก็แปลกแล้ว!”
เธอเคยได้ยินแม่เฒ่าจางและจางอวี้เอ๋อบอกว่าครอบครัวของหนี่เจิ้งอาศัยอยู่ในภูเขาที่ห่างไกล ยังไม่ต้องพูดถึงถนนบนภูเขาและหน้าผา แม้แต่ขี้เถ้าก็ยังถูกฝังอยู่ในหลุมบนพื้น เธอไม่เชื่อว่าตำรวจจะพบสถานที่แบบนั้นได้หรอก
ถ้าไม่พบใครก็ไม่มีหลักฐาน แล้วตำรวจจะทำอะไรกับพวกเขาได้?
โดยไม่คาดคิดแม่เฒ่าจางพูดว่า “นังผู้หญิงเลวเซี่ยชิงหยวนนั่นรู้ที่อยู่บ้านของตระกูลหนี่! วันนี้ที่สถานีตำรวจ มันยังบอกที่อยู่ของบ้านของพวกเขาให้แม่ได้ยินด้วย!”
เมื่อคิดถึงการพบกับเซี่ยชิงหยวนในตอนบ่าย ระดับความกลัวที่หญิงชรารู้สึกนั้นไม่น้อยไปกว่าตอนถูกสอบปากคำในห้องแคบ ๆ นั้นเลย
จางอวี้เจียวแทบทรุดตัวลงกับพื้นและหูโทรศัพท์ก็หลุดจากมือของเธอ
พี่ใหญ่ตระกูลจางยืนอยู่ด้านข้าง เขาจับมันอย่างรวดเร็วด้วยสายตาและมือที่เฉียบคม
เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและรับช่วงต่อจากจางอวี้เจียว “แม่?”
แม่เฒ่าจางพูดหลายสิ่งทางโทรศัพท์ และดวงตาของพี่ใหญ่ก็โตขึ้นเรื่อย ๆ เกือบจะเหมือนกับระฆัง
จากนั้นดวงตาของพี่ใหญ่ก็หันไปมองยังจางอวี้เจียวที่ซีดเซียว บนใบหน้าของเขาปรากฏรูปลักษณ์ที่ซับซ้อน
ในที่สุดเขาก็พยักหน้า “ตกลงแม่ ผมเข้าใจแล้ว”
…
ตกดึก เซี่ยชิงหยวนล้มกายนอนครึ่งตัวบนเตียงโซฟาในห้องด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เสิ่นอี้โจวเห็นว่าเธอไม่ได้อารมณ์ดีนัก จึงเดินเข้ามาจับมือเธอแล้วเล่นกับมัน “คุณกำลังอารมณ์ไม่ดีเพราะเรื่องของจางอวี้เอ๋อเหรอ?”
“นั่นไม่นับหรอก” เซี่ยชิงหยวนพิงเขาแล้วพูดว่า “วันนี้ฉันเจอแม่ของจางอวี้เอ๋อน่ะ และฉันก็ข่มขู่เธอด้วยซ้ำ”
“โอ้” เสิ่นอี้โจวตอบพร้อมโบกมือให้เธอพูดต่อ
เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้นมองเขา “ฉันข่มขู่เธอ ขู่เธอด้วยเรื่องของลูกนอกสมรสของจางอวี้เอ๋อกับหนี่เจิ้ง และบังคับให้เธอสั่งจางอวี้เจียวให้หย่ากับพี่รองของฉัน”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “ความคิดนี้ดีนะ”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกประหลาดใจ “คุณไม่คิดว่าฉันใช้วิธีสกปรกเกินไปเหรอ? ก่อนที่ปู่ของฉันจะเสีย ฉันสัญญากับเขาว่าจะไม่เกลียดหรืออาฆาตแค้น แต่พอนึกถึงเรื่องเลวร้ายที่ทั้งครอบครัวต้องอดทน ฉันก็ยังเกลียดอยู่ดี”
เมื่อสิ่งต่าง ๆ ดำเนินมาถึงจุดนี้ เซี่ยชิงหยวนไม่สนใจแล้วด้วยซ้ำว่าหวังผิงจะคิดยังไงกับเธอ เธอเพียงกังวลว่าจะทำให้ปู่ของเธอผิดหวังหรือไม่เท่านั้น
เพราะนั่นคือคนที่เธอเคารพและรักมากที่สุด และเป็นคนที่รักเธอมากที่สุดด้วย
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เสิ่นอี้โจวก็หัวเราะ
เขาลูบศีรษะของภรรยาแล้วพูดว่า “ที่คุณปู่พูดแบบนั้นตั้งแต่แรกเพราะเขาไม่อยากให้คุณต้องอยู่กับความรู้สึกผิดและสำนึกผิดไปตลอดชีวิตต่างหาก ชีวิตนั้นแสนสั้น ถ้าคุณทุ่มกำลังทั้งหมดไปกับการทำเรื่องพวกนี้ คุณจะไม่รู้สึกมีความสุขน้อยลงเหรอ? แต่ตราบใดที่คุณมีความสุข คุณปู่ก็จะมีความสุขตามไปด้วยเช่นกัน”
หลังจากฟังคำพูดของเสิ่นอี้โจวแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็หัวเราะ
เธอเอาแขนคล้องคอเขาแล้วพูดอย่างจริงจัง “อี้โจว จริง ๆ แล้วฉันไม่ได้ใจดีขนาดนั้นหรอกนะ วันเวลาที่ฉันต้องอยู่ไกลบ้านมันสอนฉันอย่างหนึ่ง นั่นคือความมีน้ำใจของคนคนหนึ่งจะต้องมีจุดสิ้นสุด”
“การอดทนอย่างไร้เหตุผลจะไม่มีผลอะไรกับผู้อื่น หรือการที่ปล่อยให้อีกฝ่ายทำสิ่งที่ต้องการต่อไปมีแต่จะทำให้ตัวเองถอยทีละก้าวเท่านั้น และสุดท้ายก็ไม่มีทางให้ถอย”
“บางทีที่คนปฏิบัติต่อคุณไม่ดีอาจเป็นเพราะด้วยนิสัยของพวกเขาที่เป็นแบบนั้น แต่บางทีจริง ๆ แล้วสาเหตุส่วนใหญ่อาจมาจากการกระทำของเราเอง”
“อย่างที่คุณบอก ชีวิตมันสั้นนัก ทำไมไม่ทำสิ่งที่เราสบายใจจะดีกว่าล่ะ?”
“ขอแค่บอกกับตัวเอง เพียงเราไม่ริเริ่มที่จะทำร้ายผู้อื่นและยึดติดกับความต้องการในหัวใจของตัวเอง แค่นั้นก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เสิ่นอี้โจวยิ้มและพยักหน้า “ถูกต้อง”
เซี่ยชิงหยวนกอดเขาแน่น “รอพรุ่งนี้ก่อนเถอะ ทุกอย่างจะเรียบร้อยหลังพายุแน่นอน”
———————
บทที่ 284 ใช้เด็กเป็นเครื่องมือ
บทที่ 284 ใช้เด็กเป็นเครื่องมือ
เมื่อเห็นคนจำนวนมากเร่งรีบเข้ามา ตระกูลจางก็ตื่นตระหนกทันที
พี่ใหญ่ตระกูลจางยืนอยู่ข้างหน้า มองเซี่ยจิ่งเฉินด้วยความเดือดดาล “ฉันก็เอะใจอยู่ ว่าทำไมวันนี้นายหยิ่งผยองมากขนาดนี้! ปรากฏว่านายเรียกพรรคพวกมาช่วยเหลือนี่เอง!”
จากนั้นเขาชี้ไปที่กลุ่มเพื่อนของเซี่ยจิ่งเฉิน “สิ่งที่เราโต้เถียงกับนายคือเรื่องในครอบครัวของเรา แต่นายกลับเรียกคนนอกเข้ามาแทรกแซง เพราะคิดจะทุบตีเราให้ตายงั้นเหรอ? คิดว่าบ้านเมืองไม่มีกฎหมายรึไง!”
เซี่ยจิ่งเฉินพูดพร้อมกับเยาะเย้ย “คุณเลอะเลือนแล้วรึไง เป็นพวกคุณเองที่บุกเข้ามาในบ้านของผมแล้วสร้างความวุ่นวาย ดังนั้นถ้าจะพูดถึงเรื่องของกฎหมาย มันก็พวกคุณเองนั่นแหละที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย!”
หนึ่งในเพื่อนของเซี่ยจิ่งเฉินก้าวมาข้างหน้าแล้วพูด “ทำไมนายยังเสียเวลาพูดไร้สาระมากมายกับคนพวกนี้อยู่อีก? พวกเขากล้ามาที่นี่แล้วลงมือทำเรื่องบ้าบอ พวกเขาคิดว่าหมู่บ้านซิ่งฮวาไม่มีใครอยู่อีกแล้วรึไง!”
จากนั้นเขาก็หันศีรษะแล้วพูดกับเซี่ยโยว่หมิงกับคนอื่น ๆ “ลุงเซี่ย ป้าหวัง และพี่สะใภ้ พวกคุณหลบไปอยู่ข้าง ๆ เถอะ จะได้ไม่โดนลูกหลง”
หลังจากพูดแล้วเขาก็โบกมือ “เฮ้ ยืนงงอะไรกัน ลุยกันเลยพวก!”
หลังจากสิ้นเสียงตะโกน กลุ่มเพื่อนของเซี่ยจิ่งเฉินก็บุกตะลุยกันทันที
เหตุการณ์ตรงหน้าเป็นการทดสอบจิตใจของคนเราได้ดีมาก หวังผิงและกงเหลียนซินพยายามปกป้องลูกหลานของพวกเธอ แต่แม่เฒ่าจางนั้นกลับทำสิ่งที่ไม่มีสามัญสำนึกอย่างมาก
เธอคว้าเซี่ยซือถงขึ้นมาบังเป็นโล่แล้วใช้ชนกับคนอื่น ๆ
แม่เฒ่าจางยังสาปแช่งและพูดว่า “แน่จริงก็เข้ามาทุบตีฉันสิ! ลูกเขยชักชวนให้คนอื่นทุบตีแม่ยายของเขา ยกโทษให้ไม่ได้!!”
เซี่ยซือถงถูกแม่เฒ่าจางจับไว้และชนเข้ากับผู้คนไม่หยุด ทั้งร่างของเด็กหญิงเจ็บปวดมาก และเธอก็กลัวมากจนร้องไห้เสียงดังลั่น
กังจือ ผู้นำกลุ่มเพื่อนของเซี่ยจิ่งเฉิน เมื่อเห็นแม่เฒ่าจางใช้เด็กเป็นอาวุธทำร้ายเขาแบบนี้ ชายหนุ่มก็โกรธอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้นเซี่ยซือถงก็เป็นหลานสาวของหญิงชราเช่นกัน แต่กลับเหวี่ยงเด็กไปมาแทนอาวุธแบบนี้ได้ยังไง!
เซี่ยจิ่งเฉินกำลังต่อสู้กับพี่ใหญ่ตระกูลจาง หางตาของเขาเหลือบไปที่จางอวี้เจียว
เธอยืนอยู่ข้าง ๆ อุ้มเซี่ยซือเหยียนไว้และทำทีเมินเฉยต่อเสียงร้องไห้ของเซี่ยซือถง
ทั้งยังเหมือนเธอจะได้รับอิทธิพลจากแม่ของตัวเอง จึงยกเซี่ยซือเหยียนให้สูงขึ้นโดยไม่รู้ตัวเมื่อกังวลว่าจะมีไม้จากฝั่งตรงข้ามตีเข้าใส่ตน
เซี่ยซือเหยียนร้องไห้จนแทบจะหมดแรงแล้วในตอนนี้ ดังนั้นเด็กหญิงจึงทำได้แต่สะอึกสะอื้น มองดูเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยตาโตที่โง่งมและหวาดกลัว
ดวงตาของเซี่ยจิ่งเฉินกลายเป็นสีแดงจัด
ในที่สุดเยื่อใยสุดท้ายที่มีให้ภรรยาของเขาก็หมดลง
เขายกกำปั้นขึ้นแล้วชกไปยังใบหน้ามันเยิ้มของพี่ใหญ่ตระกูลจาง
พี่ใหญ่ตระกูลจางไม่มีเวลาแม้แต่จะร้องโอดครวญ หัวของเขาสะบัดไปตามแรงกระแทกและเขาก็ล้มลงกับพื้น
ตอนนี้รูปร่างอ้วน ๆ ทำให้มือและเท้าพันกันจนสูญเสียการทรงตัวไป
พี่ใหญ่ตระกูลจางล้มลงกับพื้นพร้อมกับกลิ่นคาวเต็มปาก เขาถ่มน้ำลายออกมาเป็นเลือด และฟันซี่หนึ่งก็หลุดออกมาด้วย
พี่ใหญ่ตระกูลจางเช็ดริมฝีปาก ใบหน้าของเขาโกรธจัด “ให้ตายเถอะ!”
ขณะที่ตะโกน เขาพยายามดิ้นรนที่จะลุกขึ้น และรีบพุ่งเข้าใส่เซี่ยจิ่งเฉินอีกครั้ง
เมื่อจางอวี้เจียวเห็นฟันที่พี่ชายของเธอพ่นออกมา หญิงสาวก็ตะโกนลั่นว่า “เซี่ยจิ่งเฉิน! นายกล้าทำร้ายพี่ชายของฉัน!!”
เธอกรีดร้อง ต่อยเซี่ยจิ่งเฉินทั้งที่ยังอุ้มเด็กไว้
ขณะที่ทนรับการทุบตีของจางอวี้เจียว สุดท้ายเซี่ยจิ่งเฉินก็จับมือของเธอไว้ได้ และพยายามแย่งเด็กกลับมาจากมือของเธอ
จางอวี้เจียวกลายเป็นเหมือนหมาบ้า และกัดแขนที่เหยียดออกมาของเซี่ยจิ่งเฉิน
เมื่อเห็นสิ่งนี้ พี่ใหญ่ตระกูลจางก็พุ่งเข้าไปกอดเอวของเซี่ยจิ่งเฉินไว้ พยายามดันให้เขาไปชนกำแพง
เมื่อได้เห็นฉากนี้ กังจือที่กำลังต่อสู้กับพี่น้องอีกคนของตระกูลจางก็ผละตัวออกมา เงื้อไม้เล็งไปที่ด้านหลังของพี่ใหญ่ตระกูลจาง และทุบลงไปสองสามครั้ง
เมื่อเห็นว่าลูกชายคนโตกำลังเสียเปรียบ แม่เฒ่าจางก็กรีดร้อง และรีบวิ่งไปข้างหน้า
เมื่อเห็นเช่นนั้น กงเหลียนซินก็รู้สึกกระวนกระวายใจอยากจะเข้าไปช่วย
ทว่าจู่ ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น
“พวกคุณกำลังทำอะไรกัน!” ในขณะนี้มีเสียงตะโกนดังมาจากประตู มันเป็นเสียงจากกลุ่มเจ้าหน้าที่หมู่บ้านพวกเขายืนอยู่ที่ประตู มองดูเหตุการณ์ที่เกิดด้วยใบหน้าขุ่นเคือง
เขายกนิ้วขึ้นแล้วชี้ไปที่ตระกูลจางด้วยความโกรธ “จางเจียไจ๋ เป็นบ้าอะไรห้ะ? กล้าดียังไงมาต่อสู้กับคนอื่นที่นี่!”
วันนี้เขามีเวรปฏิบัติหน้าที่ ดังนั้นเซี่ยจิ่งเฉินจึงไม่ได้เรียกเขามาร่วมต่อสู้ในครั้งนี้
เขาเห็นตั้งแต่ตอนที่คนจากตระกูลจางมาถึงแล้ว
หญิงชราตระกูลจางนั่งอยู่บนรถเข็น และดูเหมือนว่าตรงที่หญิงชรานั่งอยู่จะมีบางอย่างซ่อนเอาไว้
ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาเลยที่จะค้นดูสิ่งของที่หญิงชรานั่งทับอยู่
หญิงชราจางทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าเขาจะไม่ชอบสมาชิกตระกูลจาง แต่เขาก็ยังทำอะไรไม่ได้ และต้องปล่อยผ่านไปเพราะไม่มีเหตุผลเพียงพอ
แต่ตอนนี้ทุกอย่างกระจ่างแล้ว ตระกูลจางซ่อนคนไว้ใต้รถเข็นนี่เอง!
เมื่อเจ้าหน้าที่หมู่บ้านตะโกน ทุกคนก็หยุดลง
แม่เฒ่าจางอ้าปากกว้าง และกำลังจะร้องไห้อีกครั้ง “ให้ตาย…!”
“จะตะโกนทำไม!” เจ้าหน้าที่หมู่บ้านชี้ไปที่แม่เฒ่าจาง “ลูกสาวของคุณโทรมาบอกว่ามีเรื่องด่วน! รีบไปรับโทรศัพท์กับผมซะ และสำหรับพวกคุณที่เหลือ ควรหาคำอธิบายที่สมเหตุสมผลแก่ผมไว้ในภายหลังดีกว่า ไม่งั้นผมจะแจ้งตำรวจ!”
ความเย่อหยิ่งของตระกูลจางดับลงทันทีเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าพูดอะไรเลย
แม่เฒ่าจางไม่เชื่อ “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ที่ลูกสาวของฉันจะโทรหาฉันในเวลานี้!”
มีการตกลงกันไว้ว่าเมื่อพวกเขาจัดการเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อย พวกเขาจะกลับไปประกาศข่าวดีให้เธอรู้
เจ้าหน้าที่คนนี้ต้องหลอกพวกเขาแน่!
เจ้าหน้าที่หมู่บ้านไม่อดทน “ถ้าคิดว่าตัวเองเก่งนักก็ไม่ต้องไป ถ้าไม่ใช่เพราะลูกสาวของคุณร้องไห้อย่างน่าสมเพชทางโทรศัพท์บอกว่าเกี่ยวกับเรื่องความเป็นความตาย ผมจะไม่มีทางสนใจเรื่องครอบครัวของคุณหรอก!”
จากนั้นเขาก็หันหลังและจากไป
เมื่อแม่เฒ่าจางได้ยินดังนั้น เธอก็ตกใจมากวิ่งตามเขาไปทันที “อย่า อย่า ฉันจะไป ฉันจะไปเดี๋ยวนี้!”
เจ้าหน้าที่หมู่บ้านหยุดกะทันหัน “ถ้าอย่างนั้นก็มาเร็ว ๆ ซะ น้ำเสียงของลูกคุณในโทรศัพท์เหมือนกับจะตายให้ได้เลย!”
หลังจากพูดจบ เขาก็กะพริบตามองไปที่เซี่ยจิ่งเฉิน และพาแม่เฒ่าจางออกไป
กังจือกระซิบข้างหูของเซี่ยจิ่งเฉิน “ป่าใหญ่แห่งนี้มีหนทางจริง ๆ”
เซี่ยจิ่งเฉินไม่คิดอย่างนั้น
ต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นกับจางอวี้เอ๋อที่โทรหาแม่เฒ่าจางอย่างเร่งรีบแน่
ทันใดนั้นเขาก็จำสิ่งที่เสิ่นอี้โจวพูดกับเขาเมื่อเช้านี้ขึ้นมาได้
“ทันทีที่พี่รองกลับไปที่หมู่บ้านซิ่งฮวาตอนเที่ยง เรียกเพื่อนของพี่รองที่เคยคบหากันมาก่อน เพื่อให้พวกเขาช่วยทำลายศักดิ์ศรีของตระกูลจาง ตราบใดที่ในเรื่องนี้พี่รองคิดอย่างชัดเจนแล้ว สิ่งต่อไปก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรแล้ว”
เสิ่นอี้โจวพูดอย่างมั่นใจมาก ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะอยู่ภายใต้การควบคุมแน่นอน
ดังนั้นบางทีการโทรครั้งนี้ อาจจะมีเสิ่นอี้โจวหรือไม่ก็เซี่ยชิงหยวนเป็นสาเหตุ
…
แม่เฒ่าจางวิ่งไปที่สำนักงานคณะกรรมการหมู่บ้านจนหายใจหอบ ถือโทรศัพท์และพูดทัก
“แม่! แม่ต้องกลับบ้านทันทีและขอให้พี่สาวของหนูหย่ากับเซี่ยจิ่งเฉินซะ!” เสียงตะโกนอันแหลมคมของจางอวี้เอ๋อดังมาจากปลายสายอีกด้านของโทรศัพท์ทันที
แม่เฒ่าจางไม่เข้าใจ จึงดุว่า “บอกฉันช้า ๆ นี่มันเรื่องอะไรกัน!”
เมื่อคืนลูกสาวของเธอเองแท้ ๆ ที่ขอให้พวกเขามาสร้างปัญหาในวันนี้!
มันไม่บ้าไปหน่อยรึไงที่จะขอให้พวกเขากลับไป และปล่อยให้ลูกสาวคนโตหย่าร้าง?
จางอวี้เอ๋อยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเมื่อเธอถูกแม่ของตัวเองตะโกนใส่
เธอร้องไห้ “แม่! เซี่ยชิงหยวนรู้เรื่องตระกูลหนี่!”
แม่เฒ่าจางพูดไม่ออกเป็นเวลานาน “แกพูดอะไรนะ?”
จางอวี้เอ๋อป้องปากด้วยมือหนึ่งเพื่อไม่ให้ผู้คุมใกล้ ๆ ได้ยิน ในใจของเธอกำลังจะแตกสลาย “เซี่ยชิงหยวนรู้เกี่ยวกับตระกูลหนี่! เธอขู่หนูว่าถ้าพี่และเซี่ยจิ่งเฉินไม่หย่าร้างกัน เธอจะบอกเรื่องทั้งหมดให้ตำรวจรู้!”
เธอกำโทรศัพท์แน่น น้ำตาและน้ำมูกไหลอาบหน้า ไม่สนใจพี่สาวของตัวเองอีกแล้ว “แม่ อย่าให้คนอื่นรู้เรื่องตระกูลหนี่นะ ไม่งั้นหนูตายแน่!”
บทที่ 278 ความเกลียดชังที่ไม่มีวันหวนคืน
บทที่ 278 ความเกลียดชังที่ไม่มีวันหวนคืน
กงเหลียนซินนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารเย็น ก็ตกใจเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้
เธอรีบหันศีรษะไปมองที่เสิ่นอี้โจวทันที
เสิ่นอี้โจวย่นคิ้วลงและยังคงกินข้าวในชามช้า ๆ ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
เมื่อเห็นกงเหลียนซินมองมา มุมปากของเขาก็ยกขึ้น “พี่สะใภ้ กินข้าวเถอะ”
เซี่ยไป่เหิงไม่รู้และถามกงเหลียนซินว่า “แม่ การหย่าร้างหมายถึงอะไรเหรอ?”
เสิ่นอี้หลินรีบเคาะหัวของเขา “กินเร็ว ๆ เข้าเถอะน่า เป็นเด็กเป็นเล็กจะถามอะไรเยอะแยะ?”
เซี่ยไป่เหิงไม่เข้าใจ แต่เสิ่นอี้หลินรู้
ตอนที่เขาอยู่ในหมู่บ้านซีสุ่ย เขาได้ยินเรื่องนี้บ่อย ๆ
ถ้าไม่ใช่ตอนที่หวังชุ่ยเฟินโน้มน้าวเซี่ยชิงหยวน ก็เป็นตอนที่เซี่ยชิงหยวนทะเลาะกับเสิ่นอี้โจว เมื่อเขากลับมาบ้านและเรื่องก็วนเวียนอยู่กับคำนี้
กงเหลียนซินไม่สามารถกินได้อีกต่อไป
เธอรีบลุกขึ้นและเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เธอเห็นเซี่ยชิงหยวนนั่งอยู่บนโซฟาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ส่วนเซี่ยจิ่งเฉินยืนอยู่ด้านข้าง บรรยากาศดูอึดอัดมาก
ปรากฏความมืดมิดที่อาจกลืนกินผู้คนในดวงตาของเขา และเธอไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
กงเหลียนซินกลืนน้ำลายและโน้มน้าว “น้องรอง อย่าหุนหัน…”
“ตกลง” เซี่ยจิ่งเฉินพูดคำนี้ราวกับว่าเขาหมดเรี่ยวแรงจะรั้งอะไรอีกแล้ว
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อใดก็ตามที่จางอวี้เจียวข่มขู่เขาว่าจะหย่า เขาก็จะเงียบไป
ไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าแยกทางหรือไม่อยากจากไป
เขาอายุเกือบสามสิบแล้ว ด้านหนึ่งก็พ่อแม่ อีกด้านหนึ่งก็ลูก ความสุขหรือความทุกข์ไม่ใช่เรื่องของเขาคนเดียวอีกต่อไป
เขาไม่ต้องการให้พ่อแม่กังวลเกี่ยวกับเขาและไม่ต้องการให้ลูก ๆ มีปัญหาเพราะเรื่องยุ่ง ๆ ของเขาเอง
ไม่ว่าจางอวี้เจียวจะเป็นยังไง เขาจะนึกถึงเส้นแบ่งสุดท้ายที่เขามีเสมอ ซึ่งคิดว่าเธอคงไม่กล้าข้ามมาแน่
แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าจางอวี้เจียวไม่สนใจเส้นแบ่งสุดท้ายของเขาเลย และกล้าเหยียบย่ำอย่างไม่ลังเล
เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็โค้งริมฝีปากของเธอ
พี่รองของเธอสับสนมาหลายปี ในที่สุดก็ไม่สับสนอีกแล้วในช่วงเวลาวิกฤตแบบนี้
เซี่ยจิ่งเฉินดูเหมือนจะโล่งใจ และถอนหายใจออกมา “ผมจะกลับไปเร็ว ๆ นี้ และจะไปทำตามขั้นตอนเอกสารให้เสร็จสิ้นก็แล้วกัน”
นี่เป็นเรื่องที่จางอวี้เจียวไม่คาดคิด และทำให้เธอโกรธมากทันที
เธอถือหูโทรศัพท์ด้วยความเกรี้ยวกราด “เซี่ยจิ่งเฉิน คุณยังมีมโนธรรมอยู่ไหม!? ฉันแต่งงานกับคุณมาหลายปีแล้ว ฉันทุ่มเทอย่างหนักให้คุณตั้งหลายอย่าง แต่คุณยังต้องการหย่ากับฉันอีกเหรอ! บอกฉันสิ เซี่ยชิงหยวนยุคุณใช่ไหม? ฉันเพิ่งบอกคุณไปไม่ใช่รึไงว่าเธอไม่ใช่คนดี แต่คุณกลับปกป้องเธออยู่ตลอดเวลา คุณ…”
“พอได้แล้ว!” เซี่ยจิ่งเฉินอดไม่ได้ที่จะขัดจังหวะเธอ
เขาพูดอย่างเย็นชา “คุณเป็นคนแรกที่พูดถึงการหย่าร้างก่อนไม่ใช่ผม และเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับชิงหยวน ไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น สรุปคือผมจะไม่หยุดคุณเกี่ยวกับเรื่องของอวี้เอ๋อ คุณจะทำอะไรก็ตามใจเลย แต่ถ้าคุณยังกล้าโทรมาเพื่อทำให้ชิงหยวนลำบากใจอีก ก็อย่าได้มาโทษผม ถ้าเรื่องของเรามันจะจบกันแบบน่ารังเกียจยิ่งกว่าเดิม!”
หลังจากได้ยินคำพูดของเซี่ยจิ่งเฉินแล้ว จางอวี้เจียวก็โกรธมาก ดวงตาทั้งสองข้างของเธอแทบจะหลุดออกมาจากเบ้า และริมฝีปากก็บิดเบี้ยวด้วยแรงโกรธ
เธอกัดฟันและพูดอย่างขมขื่น “เซี่ยจิ่งเฉิน! คุณพูดแบบนี้ คุณก็อย่าได้เสียใจภายหลังก็แล้วกัน!”
หลังจากพูดแล้ว เธอก็วางสายโทรศัพท์อย่างแรงบราวนี่ออนไลน์
มีคนหลายคนอยู่ในสำนักงานคณะกรรมการหมู่บ้าน และได้ยินบทสนทนาของเธอไม่มากก็น้อย ทุกคนต่างมองเธอด้วยสายตาแปลก ๆ
จางอวี้เจียวตะโกนใส่พวกเขา “จ้องอะไรนักหนา ไม่เคยเห็นคนทะเลาะกันเหรอ!?”
หลังจากพูดแล้วเธอก็รีบกลับบ้านไป
เธอไม่เชื่อว่าตัวเองจะบังคับสองพี่น้องนั่นไม่ได้!
หลังจากจางอวี้เจียววางสายโทรศัพท์ เซี่ยจิ่งเฉินยังยืนอยู่ตรงนั้นอีกพักใหญ่
เสิ่นอี้โจวเดินเข้ามาสบตากับเซี่ยชิงหยวน และหันไปพูดกับเซี่ยจิ่งเฉิน “พี่รองไปกินข้าวเถอะ อาหารเริ่มเย็นแล้วนะ”
เซี่ยจิ่งเฉินพยักหน้า ก่อนจะมองไปที่เซี่ยชิงหยวน “ชิงหยวนไปกินข้าวกัน”
เซี่ยชิงหยวนมองเซี่ยจิ่งเฉินกลับ เขาดูเหมือนคนสูญเสียพลังงานไปแทบทั้งหมด ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจเลย
เสิ่นอี้โจวจับมือภรรยา “อย่าคิดมากนะ มันไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ”
ตราบใดที่เซี่ยจิ่งเฉินเต็มใจจะเปิดตามองเห็นสันดานจริง ๆ ของจางอวี้เจียวและต้องการจะเปลี่ยนแปลง ทั้งสองคนก็จะมาถึงจุดนี้ไม่ช้าก็เร็ว
เซี่ยชิงหยวนตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “อืม”
ความเจ็บปวดระยะสั้นดีกว่าความเจ็บปวดระยะยาว เป็นการดีกว่าที่จะกำจัดมะเร็งร้ายอย่างจางอวี้เจียวกับจางอวี้เอ๋อในทันทีและตลอดไป เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจเกิดต่อครอบครัวของเธอในอนาคต
คนเฒ่าคนแก่มักบอกว่าผู้หญิงดีจะรุ่งเรืองไปสามชั่วอายุคน แต่ผู้หญิงเลวจะทิ้งความหายนะสามชั่วอายุคน ประโยคนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนในจางอวี้เจียว
ตอนนี้ครอบครัวอยู่ในความสับสนอลหม่าน พี่ชายของเธอถูกกดขี่และหลานสาวทั้งสองของเธอไม่ได้รับความรักจากแม่ หากสิ่งต่าง ๆ ยังดำเนินแบบนี้ต่อไป เธอกังวลด้วยซ้ำว่าจางอวี้เจียวจะสอนทัศนคติผิด ๆ แก่ลูกทั้งสอง และมันจะสายเกินไปที่จะเสียใจ
เห็นได้ชัดว่าหลังจากโทรศัพท์เมื่อกี้นี้ ความอยากอาหารของทุกคนก็ลดลงทันตาเห็น
นอกเหนือจากเสิ่นอี้หลินและเซี่ยไป่เหิงที่กินอาหารอย่างพึงพอใจแล้ว แม้แต่หลินตงซิ่วก็รู้สึกหดหู่ใจ
เซี่ยจิ่งเฉินวางตะเกียบลงแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้เช้า ฉันวางแผนจะนั่งรถประจำทางสายแรกกลับไปที่หมู่บ้านซิ่งฮวานะ”
เขาหันไปหาเสิ่นอี้โจว “น้องเขย ช่วยทำเรื่องลาให้ฉันที่ศาลากลางหน่อยนะ”
เนื่องจากเรื่องของจางอวี้เอ๋อเกิดขึ้นที่เมืองเตียนเฉิง จึงเป็นไปไม่ได้ที่ตระกูลจางจะนิ่งเงียบ
เขาเคยมีประสบการณ์กับพี่เขยในตระกูลของจางอวี้เจียวอยู่
เขากังวลมากกับเซี่ยโยว่หมิงและหวังผิงที่อยู่บ้านกับลูก ๆ
ตัวเขาจะต้องเป็นคนจัดการกับผู้หญิงที่เขาแต่งงานด้วย เพื่อไม่ให้พ่อแม่เข้าไปพัวพัน และทำให้เซี่ยชิงหยวนกับสามีของเธออับอาย
กงเหลียนซินยังรีบพูดว่า “วันพรุ่งนี้ฉันกับไป่เหิงจะไปกับน้องรองด้วยนะ”
ที่บ้านมีแค่พ่อแม่สามีของเธอและเซี่ยจิ่งเยว่ ซึ่งไม่ใช่คนใจแข็ง ดังนั้นเธอจึงกังวลมากเช่นกัน
เซี่ยชิงหยวนรู้ดีว่าเซี่ยจิ่งเฉินจะทำอะไรเมื่อเขากลับไป
เขาต้องการแก้ปัญหาของจางอวี้เอ๋อและจางอวี้เจียวด้วยตัวเอง
เธอมองดูไหล่อันบางของเขาและแทบทนไม่ไหว
ใต้โต๊ะเสิ่นอี้โจวจับมือเธอไว้
เมื่อสัมผัสอันอบอุ่นส่งผ่านจากมือ เซี่ยชิงหยวนก็ตระหนักว่าฝ่ามือของเธอเย็นลงโดยไม่รู้ตัว
เธอพยักหน้าและพูดว่า “ได้ค่ะ ฉันจะให้อี้โจวจัดการให้นะ”
สำหรับบางสิ่ง เธอทำได้เพียงผลักดันเซี่ยจิ่งเฉินจากข้างหลังของเขาเท่านั้น และท้ายที่สุดเขาก็ต้องเผชิญกับทุกสิ่งอย่างด้วยตัวเอง
หลังอาหารเย็น เซี่ยจิ่งเฉินก็กลับไปที่ห้องพัก
สิ่งที่เซี่ยชิงหยวนซื้อให้จากเมืองกว่างโจว ในตอนนี้คงไม่เหมาะนักหากจะฝากไปด้วย
เดิมทีเธออยากจะขนของไปให้เขาในวันรุ่งขึ้นเลย แต่หลังจากคิดทบทวนแล้ว ครั้งนี้เมื่อเขากลับไป เขาอาจจะต้องต่อสู้อย่างดุเดือด และบางทีบ้านอาจถูกรื้อค้น ดังนั้นของต่าง ๆ ยังไม่ควรส่งไปในตอนนี้
แต่เซี่ยชิงหยวนยังคงนับของต่าง ๆ ต่อหน้ากงเหลียนซิน
“ที่นี่มีนมผงสิบสองกระป๋อง สี่กระป๋องเป็นนมสำหรับวัยกลางคนและผู้สูงอายุ ซึ่งเอาไว้ให้ผู้ใหญ่ทุกคนกิน และอีกแปดกระป๋องก็แบ่งเท่า ๆ กันระหว่างเด็กทั้งสี่คนนะ”
เซี่ยชิงหยวนซื้อนมผงครั้งนี้มากกว่าครั้งที่แล้วเป็นสองเท่า
สิ่งที่เซี่ยชิงหยวนซื้อคือนมผงคุณภาพสูงทั้งหมด มีรสชาติเข้มข้นและบริสุทธิ์ ตราบใดที่ใครก็ตามไม่เกลียดรสชาติของนมผง คนคนนั้นจะอยากดื่มมันซ้ำแล้วซ้ำอีกหลังจากได้ดื่มมันไปแล้ว
ถ้าไม่ใช่เพราะการห้ามของหวังผิง พวกเด็ก ๆ คงจะกินของที่เซี่ยชิงหยวนนำกลับไปฝากหมดภายในไม่กี่วัน
เซี่ยชิงหยวนนำเสื้อผ้าถุงใหญ่ออกมาอีก “นี่คือเสื้อผ้าสำหรับพ่อแม่ พี่ชาย และเด็ก ๆ นะคะ ทั้งหมดสำหรับฤดูใบไม้ร่วง”
ยังมีเสื้อผ้าและชุดชั้นในของกงเหลียนซินอีก ซึ่งเซี่ยชิงหยวนได้มอบให้หลายชุดแล้วเช่นกันในวันที่เธอมา
อันที่จริงเซี่ยชิงหยวนยังเตรียมบางอย่างสำหรับจางอวี้เจียวด้วย แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันไม่จำเป็นแล้ว
เซี่ยชิงหยวนชี้ไปที่กระเป๋าใบเล็กที่อยู่ด้านข้าง “ตอนแรกมันมีไว้สำหรับพี่รองน่ะค่ะ แต่ไว้ให้เขาทีหลังก็ได้”
จากนั้นเธอหยิบถุงผ้าใบเล็กออกมาอีกใบ “ตรงนี้มีหนังสือการ์ตูนและเครื่องเขียนอยู่อีก เอาไว้ให้เด็ก ๆ ค่ะ ไป่เหิงก็จะไปโรงเรียนในปีหน้าแล้ว ตอนนี้ถ้าพี่สะใภ้มีเวลาว่าง พี่สามารถสอนความรู้เบื้องต้นให้เขาไว้ก่อนได้นะคะ”
ในที่สุดเซี่ยชิงหยวนก็นำของทั้งหมดใส่ลงในถุงกระสอบใบใหญ่ “หลังจากเรื่องวุ่นวายจบลงแล้ว ฉันจะส่งของพวกนี้กลับไปให้ทั้งหมดเลยค่ะ”
กงเหลียนซินมองดูเซี่ยชิงหยวนที่พิถีพิถันในการเตรียมของขวัญให้กับครอบครัว แล้วดวงตาของเธอก็แดงก่ำ
ทำไมเซี่ยชิงหยวนถึงยังคงคิดถึงพวกเขาด้วยจิตใจที่สงบเช่นนี้หลังจากผ่านเรื่องราวทั้งหมดมา?
กงเหลียนซินสูดจมูกแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วงนะ พี่จะดูแลที่บ้านเอง”
“ไม่ใช่แค่จางอวี้เจียวที่มีครอบครัวฝ่ายตัวเองสักหน่อย พี่เองก็มีครอบครัวเหมือนกัน พรุ่งนี้เช้าพี่จะโทรไปที่บ้านของพี่ และขอให้คนในครอบครัวฝั่งพี่มาช่วยด้วยอีกแรง”
เธอยังจำได้ ย้อนกลับไปตอนนั้นเมื่อจางอวี้เจียวมีท้องใหญ่ พ่อแม่ พี่ชาย และลุงของเธอทั้งหมดก็มาที่ประตูตระกูลเซี่ย
ในเวลานั้นผู้เฒ่าเซี่ยยังคงมีชีวิตอยู่และสมาชิกในครอบครัวของจางอวี้เจียวก็ปรี่เข้าไปผลักผู้เฒ่าเซี่ย
คนของตระกูลจางมาพร้อมกับท่อนไม้และเครื่องมือทำเกษตร ข่มขู่ให้เซี่ยจิ่งเฉินแต่งงานกับจางอวี้เจียวทันที และเปิดปากบอกราคาเจ้าสาวสามร้อยหยวน
ในชนบทเมื่อหลายปีก่อน เงินจำนวนสามร้อยหยวนเป็นจำนวนที่สูงเสียดฟ้า
ไม่ว่าเซี่ยโยว่หมิงจะพูดคุยกับพวกตระกูลจางมากแค่ไหน ตระกูลจางก็ไม่ยอมท่าเดียวและขู่ว่าหากไม่เห็นด้วย ตระกูลจางจะป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป
ด้วยวิธีนี้ชีวิตของเซี่ยจิ่งเฉินก็จะถูกทำลาย
ท้ายที่สุดหวังผิงยอมกัดฟันและตกลงตามคำขอของพวกตระกูลจาง
เธอจำได้ว่าคืนนั้นเซี่ยโยว่หมิงสั่งให้เซี่ยจิ่งเฉินคุกเข่าในห้องหลักและเฆี่ยนจนไม้หักทั้งหมด
เซี่ยจิ่งเฉินปฏิเสธที่จะบอกว่าเขาทำให้จางอวี้เจียวตั้งครรภ์กันได้ยังไง
แต่ใบหน้าของเซี่ยจิ่งเฉินเต็มไปด้วยความอดกลั้น และความเสื่อมทราม ทำให้ทุกคนในตระกูลเซี่ยตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องความรักของทั้งสองแบบที่ตระกูลจางพูด หรือเป็นไปตามที่จางอวี้เจียวบอกว่าเซี่ยจิ่งเฉินบังคับขืนใจ
ในเวลานั้นจดหมายตอบรับเข้าเรียนวิทยาลัยของเซี่ยชิงหยวนเพิ่งถูกส่งมา ซึ่งเธอและเพื่อนร่วมชั้นที่สนิทกันอีกสองสามคนกำลังเล่นอยู่ที่บ้านเพื่อนอีกคนในเมือง เซี่ยชิงหยวนจึงไม่รู้เรื่องที่บ้าน
เมื่อเธอกลับมา หวังผิงก็พูดว่าต่อไปเซี่ยชิงหยวนจะต้องออกไปทำงานข้างนอก
เธอและเซี่ยจิ่งเยว่รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ปากของเซี่ยชิงหยวนก็ปิดแน่นพอ ๆ กับเซี่ยจิ่งเฉิน เซี่ยชิงหยวนบอกว่าไม่ต้องการเรียนอีกต่อไปแล้ว
แต่เธอจำได้ชัดเจนว่าเซี่ยชิงหยวนเด็กสาวอายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี เต้นอย่างมีความสุขเมื่อตัวเองได้รับจดหมายตอบรับเข้ามหาวิทยาลัย
การผิดหวังทั้งสองครั้งของเซี่ยจิ่งเฉินและเซี่ยชิงหยวน ทำให้ผู้เฒ่าเซี่ยป่วยหนักและเสียชีวิตในที่สุด เมื่อเซี่ยชิงหยวนกลับมาจากที่ทำงาน ชายชราก็กำลังจะตายอยู่รอมร่อแล้ว
ขณะนั้นเขากินอะไรไม่ได้และสติของเขาก็ไม่ชัดเจน
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงปฏิเสธที่จะหลับตา
ทุกคนรู้ดีว่าชายชรากำลังรอเซี่ยชิงหยวนอยู่
ในเวลานั้นจดหมายตอบรับเข้าเรียนวิทยาลัยของเซี่ยชิงหยวนเพิ่งถูกส่งมา ซึ่งเธอและเพื่อนร่วมชั้นที่สนิทกันอีกสองสามคนกำลังเล่นอยู่ที่บ้านเพื่อนอีกคนในเมือง เซี่ยชิงหยวนจึงไม่รู้เรื่องที่บ้าน
เมื่อเธอกลับมา หวังผิงก็พูดว่าต่อไปเซี่ยชิงหยวนจะต้องออกไปทำงานข้างนอก
เธอและเซี่ยจิ่งเยว่รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ปากของเซี่ยชิงหยวนก็ปิดแน่นพอ ๆ กับเซี่ยจิ่งเฉิน เซี่ยชิงหยวนบอกว่าไม่ต้องการเรียนอีกต่อไปแล้ว
แต่เธอจำได้ชัดเจนว่าเซี่ยชิงหยวนเด็กสาวอายุสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี เต้นอย่างมีความสุขเมื่อตัวเองได้รับจดหมายตอบรับเข้ามหาวิทยาลัย
การผิดหวังทั้งสองครั้งของเซี่ยจิ่งเฉินและเซี่ยชิงหยวน ทำให้ผู้เฒ่าเซี่ยป่วยหนักและเสียชีวิตในที่สุด เมื่อเซี่ยชิงหยวนกลับมาจากที่ทำงาน ชายชราก็กำลังจะตายอยู่รอมร่อแล้ว
ขณะนั้นเขากินอะไรไม่ได้และสติของเขาก็ไม่ชัดเจน
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงปฏิเสธที่จะหลับตา
ทุกคนรู้ดีว่าชายชรากำลังรอเซี่ยชิงหยวนอยู่
ในเวลานั้น เซี่ยชิงหยวนถูกเรียกกลับทางโทรศัพท์
ตัวเธอเต็มไปด้วยฝุ่นและใบหน้าซีดเซียว หญิงสาวคุกเข่าลงต่อหน้าชายชราทันทีที่เข้าไปในประตู ร้องว่าตัวเองยังกตัญญูไม่พอ
แต่แล้วชายชราที่สับสนพลันตื่นขึ้นมา ลูบหัวของเซี่ยชิงหยวนและยิ้มอย่างอ่อนโยน
ทุกคนรู้ว่าชายชรากำลังนึกถึงอดีต และเขากำลังจะล่องลอยในอีกไม่นานแล้ว
มือของชายชราเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นจับมือเรียวเล็กของเซี่ยชิงหยวนและถูมันเบา ๆ “ดีใจที่หลานกลับมานะ ดีใจที่หลานกลับมา”
เขามองเธอด้วยน้ำตาคลอเบ้า “หลานเอ๋ย ครอบครัวของเราเสียใจด้วยจริง ๆ ต่อหลาน แต่ปู่หวังว่าหลานจะไม่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความขุ่นเคืองนะ”
“หลานเป็นหลานสาวคนโปรดของปู่ ดังนั้นหลานควรมีความสุขทุกวันและเป็นที่รักของทุกคน”
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะร้องไห้และพยักหน้า “คุณปู่ ไม่ต้องกังวล หนูเข้าใจค่ะ”
เมื่อได้ยินคำสัญญาของเซี่ยชิงหยวน ชายชราก็ยิ้มเป็นครั้งสุดท้ายและหลับตาลง
