บทที่ 291 จดหมายหย่า
บทที่ 291 จดหมายหย่า
เช้าวันรุ่งขึ้น เซี่ยจิ่งเฉินได้รับโทรศัพท์จากตระกูลจางขอให้เขาไปที่สำนักงานหมู่บ้านเพื่อทำเอกสารร้องขอการหย่าร้าง จากนั้นจึงไปที่สำนักงานกิจการพลเรือนต่อไป
เซี่ยจิ่งเฉินไม่สามารถตอบสนองต่อข่าวฉับพลันนี้อยู่พักหนึ่ง
ต้าหลินจือผลักเขา “นายยังลังเลอะไรอยู่อีก รีบไปเร็วเข้าสิ”
เซี่ยจิ่งเฉินตอบรับและรีบไปหาเจ้าหน้าที่สำนักงานหมู่บ้านพร้อมกับต้าหลินจือ
เจ้าหน้าที่หมู่บ้านมีอายุเกือบหกสิบปี และเขาเป็นลุงของต้าหลินจือ เมื่อได้ยินว่าเซี่ยจิ่งเฉินกำลังจะหย่าร้าง เขาจึงสวมแว่นอ่านหนังสือ “อะไรนะ นายบอกว่าต้องการหย่าร้างเหรอ?”
ตอนนี้การหย่าร้างเป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำยาก แต่สิ่งที่หายากก็คือในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในหมู่บ้านซิ่งฮวามีการหย่าร้างไม่มากนัก
เขาถามว่า “มีเหตุผลอะไรล่ะ?”
เมื่อเห็นฉากนี้ ต้าหลินจือจึงยัดปากกาไว้ในมือของลุงตัวเอง “ลุง แค่เขียนไปว่าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่พังทลายระหว่างสามีภรรยาก็พอ อย่าถามถึงเรื่องที่เหลือ นี่เร่งด่วน!”
ทำไมจู่ ๆ ตระกูลจางถึงเห็นด้วยก็ไม่รู้ แต่สิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจก็คือหลังจากหมู่บ้านนี้จะมีเรื่องวุ่นวายน้อยลงอีกมาก แน่นอนเขาต้องรีบคว้าโอกาสนี้ไว้
ลุงของเขาเคยได้ยินเกี่ยวกับสถานการณ์ของเซี่ยจิ่งเฉินและจางอวี้เจียวมาบ้างแล้ว
ตามขั้นตอน เจ้าหน้าที่หมู่บ้านควรเข้าแทรกด้านความคิดและทัศนคติร่วมกับเซี่ยจิ่งเฉินและภรรยาของเขา แต่สุดท้ายหากความสัมพันธ์นี้ไม่สามารถรักษาไว้ได้จริง ๆ พวกเขาจะออกจดหมายแนะนำการหย่าร้าง
หลังจากที่ต้าหลินจือเร่งเร้าเขาเช่นนี้ ลุงของเขาก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและเริ่มเขียน
ทันทีที่เขียนจดหมายแนะนำเขียนเสร็จ ต้าหลินจือก็หยิบมันขึ้นมาเป่าแล้วส่งให้เซี่ยจิ่งเฉิน “น้องเฉิน รีบหน่อยเถอะ ฉันอยากให้นายหนีจากไฟร้อนนี้เร็วที่สุดเลย!”
เซี่ยจิ่งเฉินรับมันแล้วพยักหน้า “ขอบคุณนะ ไว้ฉันจะเชิญนายมาดื่มด้วยกันเมื่อฉันกลับมาแล้วกัน”
พูดแล้วเขาก็รีบวิ่งออกไป
เซี่ยจิ่งเฉินกลับมาบ้านเพื่อขี่จักรยานและพูดคุยกับกงเหลียนซินที่กำลังให้อาหารไก่อยู่ในสนาม
กงเหลียนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เธอรีบลดเสียงลง “ใจเย็น ๆ แล้วระวังอย่าให้แม่ได้ยินนะ”
หวังผิงไปโรงพยาบาลเมื่อเช้าวานนี้และกลับมาในช่วงบ่าย เธอยังคงนอนอยู่บนเตียง
หมอบอกว่าอาการปวดศีรษะไม่รุนแรงนัก แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับหัวใจมากกว่า
ในฐานะลูกสะใภ้ เธอทำได้เพียงส่ายหัวและไม่พูดอะไร
ถ้าหวังผิงได้ยิน ไม่รู้ว่าจะมีปัญหาอีกหรือไม่
เซี่ยจิ่งเฉินพยักหน้า “ได้ ผมเข้าใจแล้ว ฝากพี่สะใภ้ดูแลบ้านก่อนนะ”
กงเหลียนซินโบกมือ “ไปเถอะ”
เรื่องที่ใหญ่สุดในตอนนี้คือการหย่าร้าง แต่แล้วทำไมตระกูลจางถึงตกลงอย่างกะทันหันแบบนี้กัน? เซี่ยชิงหยวนต้องเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นเซี่ยจิ่งเฉินออกไป เธอก็คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้จึงไปที่สำนักงานหมู่บ้านและโทรหาเซี่ยชิงหยวน
…
เมื่อเซี่ยจิ่งเฉินไปที่สำนักงานกิจการพลเรือน จางอวี้เจียวและตระกูลจางก็รออยู่ที่นั่นอยู่แล้ว
จางอวี้เจียวเงยหน้าขึ้นมองเซี่ยจิ่งเฉินด้วยดวงตาแดงก่ำ สายตาเธอเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและโกรธแค้น
พี่ใหญ่ตระกูลจางชี้ไปที่ด้านในห้องด้วยสีหน้าโมโห “เข้าไปเลย”
เจ้าหน้าที่สำนักงานกิจการพลเรือนที่ดูแลขั้นตอนการหย่าร้างมองที่พวกเขาแล้วถาม “หย่าร้างเพราะความสัมพันธ์ที่พังทลายเหรอ?”
เซี่ยจิ่งเฉินพยักหน้า “ใช่ครับ”
เจ้าหน้าที่มองดูพวกเขาและไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามจางอวี้เจียวว่า “สหาย คุณหย่าโดยสมัครใจรึเปล่า?”
หน้าตาของจางอวี้เจียวดูเหมือนไม่ได้สมัครใจเลย
แน่นอนเธอถูกบังคับ
เมื่อวานนี้พี่ใหญ่ตระกูลจางรับสายของแม่เฒ่าจางด้วยใบหน้าเย็นชาและบังคับให้เธอหย่าบราวนี่ออนไลน์
เธอไม่เห็นด้วยและเถียงหัวชนฝา แต่ในที่สุดพี่ใหญ่ตระกูลจางก็พูดอย่างรุนแรง “แม่บอกว่าลูกคนโตของเซี่ยจิ่งเฉินไม่ใช่ลูกของเขาไม่ใช่รึไง? ถ้าตระกูลเซี่ยรู้เรื่องนี้ เธอเคยคิดถึงผลที่ตามมาบ้างไหมหะ!?”
สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปทันที
พี่ใหญ่ตระกูลจางกล่าวต่อ “แม่บอกว่าพรุ่งนี้เธอต้องหย่ากับเซี่ยจิ่งเฉินอย่างเชื่อฟัง เธอได้เห็นจุดจบของน้องสาวตัวเองแล้วนี่ ถ้ายังดื้อรั้นต่อไป งั้นไม่กลัวจะเป็นเหมือนน้องสาวของเธอรึไง?”
จางอวี้เจียวร้องไห้ทั้งคืน
เธออยากไม่ยอมหย่าร้างแบบนี้!
แต่ยังไงซะ เธอกลัวที่จะต้องใช้ชีวิตที่เหลือในคุกมากกว่า
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เธอก็พยักหน้าในที่สุด
…
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่จางอวี้เจียวเพื่อรอคำตอบ พี่ใหญ่ตระกูลจางก็ไอเบา ๆ จากด้านหลังและโบกมือให้เธอพูด
จางอวี้เจียวกำหมัดแน่นแล้วตอบว่า “ค่ะ!”
ใบหน้าของเธอซีดเซียวและมีร่องรอยของน้ำตา
เจ้าหน้าที่เห็นเช่นนี้แล้วไม่เชื่อ เขายืนขึ้นแล้วพูดกับจางอวี้เจียว “สหาย อย่ากลัวเลย บอกเรามาตามตรงเถอะ คุณสมัครใจหย่ารึเปล่า? หากคุณถูกข่มขู่ เราจะตัดสินใจแทนคุณอย่างแน่นอน”
เจ้าหน้าที่ยังพูดอย่างมีความหมาย พลางมองดูที่เซี่ยจิ่งเฉิน
เซี่ยจิ่งเฉินทำราวกับว่าเขาไม่ได้ยิน และนั่งตัวตรงโดยไม่มองไปด้านข้าง
ขณะนี้จางอวี้เจียวกำลังดิ้นรนต่อสู้อยู่ภายในใจ นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายของเธอที่จะกลับตัว
ถ้าเธอพยักหน้าและเดินออกไปจากที่นี่ เธอก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเซี่ยจิ่งเฉินอีกต่อไป
เมื่อเห็นจางอวี้เจียวเป็นแบบนี้ พี่ใหญ่ตระกูลจางก็รู้ดีว่าเธอกำลังลังเล เขานั่งอยู่ข้างหลัง ยื่นมือใหญ่ๆ ออกมาและตบไหล่น้องสาว
แต่การตบไหล่ของเขานั้นหนักแน่นมาก เขาจ้องมองใบหน้าข้าง ๆ ของเธออย่างใกล้ชิด “อวี้เจียว พี่ใหญ่อยู่ที่นี่แล้ว หากมีข้อข้องใจใด ๆ เธอก็สามารถพูดออกมาได้เลย”
แม้ว่าน้ำเสียงจะเบา แต่จางอวี้เจียวก็ตัวสั่นเทา เพราะเขากำลังเตือนเธออย่างเห็นได้ชัด
ในความเป็นจริง ข้อดีและข้อเสียทั้งหมดถูกวางไว้ตรงหน้าเธอแล้ว และเธอก็เข้าใจอยู่แล้วว่าตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุดคือต้องทำอย่างไร หญิงสาวแค่ไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้มันเป็นแบบนี้เท่านั้น
ครอบครัวคิดว่าเธอวางแผนที่จะแต่งงานกับเซี่ยจิ่งเฉินเพื่อมีชีวิตที่ดี และอยากได้เงินสองร้อยหยวนเอาไปให้ครอบครัวหนี่ เพื่อขอชดใช้เรื่องที่พวกเขาทำ
อันที่จริงมีเพียงตัวจางอวี้เจียวเองเท่านั้นที่รู้ว่าเธอชอบเขามาก ครอบครัวของเธอไม่ได้ร่ำรวยตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กแล้ว และเธอก็ลาออกจากโรงเรียนก่อนที่จะเรียนจบชั้นประถมศึกษาด้วยซ้ำ
เซี่ยจิ่งเฉินเรียนจนถึงมัธยมปลาย
ชีวิตวัยรุ่นของเธอได้ยินชื่อของเซี่ยจิ่งเฉินอยู่โดยตลอด
เขาหล่อเหลา หัวขบถหน่อย ๆ แต่ยังมีความเป็นสุภาพบุรุษเช่นเดียวกับเจ้าชายในชุดเกราะเงาวับและขี่ม้าขี้โมโหในนิยาย
เธอยังเคยมองเขาจากระยะไกล และจะรออยู่ริมถนนเมื่อเขาเดินผ่าน เพียงหวังว่าเขาจะมองเธอ
เธอเคยแกล้งล้มใกล้ ๆ แล้วเขาก็ช่วยเธอลุกขึ้น แต่ก็รีบปล่อยเธอไป
ก่อนที่เธอจะกล่าวขอบคุณ เขาก็จากไปแล้วพร้อมกับคนอื่น ๆ
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็หยั่งรากลึกในใจเธอเสมอ
เมื่อเธอรวบรวมความกล้าที่จะสารภาพกับเขา เธอกลับเห็นเขาจับมือของถานจิงเซียนบนเส้นทางข้างป่า
ความอ่อนโยนในดวงตาของเขาเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
เธอและถานจิงเซียนอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน แต่เธอด้อยกว่าถานจิงเซียนในทุกด้าน
แม้แต่คนเดียวที่เธอชอบก็ถูกถานจิงเซียนแย่งชิงไป
เธอพยายามทุกวิถีทางเพื่อเป็นเพื่อนสนิทกับถานจิงเซียน ถามผู้คนเกี่ยวกับความชอบของเซี่ยจิ่งเฉิน และแม้กระทั่งคอยดูแลพวกเขาเมื่อออกเดตกัน
เธอสวมเสื้อผ้าที่ดีที่สุดในตู้เสื้อผ้า และแอบเอาน้ำมันใส่ผมของพี่สะใภ้มาถูผมของตัวเอง…
แต่ถึงอย่างนั้น เซี่ยจิ่งเฉินก็ไม่เคยมองเธอเลย
จนกระทั่งงานเลี้ยงรับปริญญามัธยมปลาย เธอจึงขอร้องถานจิงเซียนให้พาตัวเองไปที่นั่นด้วย
สถานที่นั้นอยู่ในป่าเชิงเขา พร้อมด้วยกองไฟและเหล้าที่ใครบางคนแอบนำมาจากบ้าน
เธอเรียนรู้จากการสนทนาระหว่างเซี่ยจิ่งเฉินกับเพื่อนของเขาว่า เซี่ยจิ่งเฉินวางแผนที่จะสารภาพรักในคืนนั้น บอกกระทั่งพ่อแม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ และพวกเขาจะแต่งงานกันทันทีที่สำเร็จการศึกษา
ความหึงหวงทำให้จางอวี้เจียวบ้าคลั่ง เธอใส่ยาที่นำมาไว้ในแก้วของถานจิงเซียนและเรียกเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ชอบถานจิงเซียนมาเป็นเวลานานแล้วมา
ในท้ายที่สุด เธอก็จงใจพาเซี่ยจิ่งเฉินไปเห็นภาพบาดตาของถานจิงเซียน เพื่อที่เขาจะได้เห็นผู้หญิงที่เขารักกำลังพัวพันอยู่กับคนอื่น
แต่เธอจะรู้ได้ยังไงว่าเซี่ยจิ่งเฉินไม่ได้โกรธอย่างที่คิด เขาแค่จากไปอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น
เธอต้องการที่จะตามให้ทัน แต่ถูกคนจากหมู่บ้านเดียวกันขัดขวาง
หญิงสาวรู้สึกหดหู่ใจ ดังนั้นจึงไม่สามารถต้านทานการถูกชักชวนให้ดื่มจากคนอื่น ๆ ได้ และดื่มกับพวกเขา
หลังจากดื่มเหล้าไปสองสามแก้ว เธอก็ภาพตัดและตื่นขึ้นมาด้วยสภาพเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิง
และไม่มีร่องรอยของคนเหล่านั้นแล้ว
เธอเดินสะดุดออกไป และพบว่าเซี่ยจิ่งเฉินเมาเหล้าอยู่ริมแม่น้ำ
บทที่ 285 เหตุผลที่แต่งงานกัน
บทที่ 285 เหตุผลที่แต่งงานกัน
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ หัวใจของหญิงชราจางก็ดำดิ่งลง จนเกือบจะสูญเสียการทรงตัว
เธอแทบจับโต๊ะไว้ไม่ทัน เพื่อพยุงตัวเอง
ดวงตาหญิงชราเต็มไปด้วยความตกใจ “นังนั่นรู้ได้ยังไง? เรื่องนี้จัดการไปอย่างลับ ๆ แล้วนี่ นังนั่นมันจะรู้ได้ยังไง!”
ในเวลานั้น จางอวี้เอ๋อถูกขังอยู่ในบ้านของตระกูลหนี่นานเกือบปี จนคลอด แม้แต่ลูกชายและคนในครอบครัวก็ยังไม่รู้!
ดวงตาของเธอเบิกกว้างขึ้นทันที “อาจเป็นอวี้เจียวหรือเปล่า…”
นอกเหนือจากจางอวี้เอ๋อแล้ว คนอื่นที่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ก็มีแค่ตัวเธอ สามีชรา และจางอวี้เจียวเท่านั้น!
เป็นไปได้ไหมที่จางอวี้เจียวเผลอหลุดปากตอนอยู่ในบ้านตระกูลเซี่ย?
แม่เฒ่าจางสงบลงและพูดว่า “ใจเย็น ๆ!”
ขณะนี้หญิงชราสาปแช่งเซี่ยชิงหยวนในใจ และพูดอย่างไม่เต็มใจ “แม่เข้าใจแล้ว แม่จะจัดการกับเรื่องนี้เอง ส่วนแกตอนนี้ก็อย่าเพิ่งสร้างเรื่องวุ่นวายอะไร ไม่งั้นแกจะยิ่งตกหลุมอุบายของพวกมัน!”
เมื่อคิดถึงเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างในตอนนี้ ทุกอย่างเริ่มต้นจากการที่จางอวี้เอ๋อเป็นชู้กับสามีคนอื่น และต่อมาก็มีเรื่องไม่ปกติเกิดขึ้นมากมาย
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องบังเอิญเกินไป
จางอวี้เอ๋อจะรู้สึกสบายใจได้ยังไง “แม่! เซี่ยชิงหยวนรู้ชื่อของมารหัวขนนั้นด้วย! เธอไม่ได้ขู่เพื่อทำให้หนูกลัวเฉย ๆ แน่ แม่ต้องทำให้พี่หย่าให้ได้! ไม่งั้นเซี่ยชิงหยวนอาจพูดว่าเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลหนี่ก็ได้!”
ขณะพูดก็มีความเกลียดชังในน้ำเสียงของเธออย่างเห็นได้ชัด
จางอวี้เจียวอาศัยอยู่ในบ้านตระกูลเซี่ยทุกวัน ดังนั้นคนที่มีแนวโน้มมากที่สุดที่จะเปิดเผยเรื่องนี้ก็ไม่ใช่คนอื่น
เมื่อฟังลูกสาวคนเล็กตะโกนทางโทรศัพท์อย่างดุเดือด หญิงชราจางก็ตกอยู่ในอาการต่อสู้ดิ้นรนในใจตนเอง
หนึ่งคือชีวิตของลูกสาวคนเล็ก และอีกหนึ่งคือการแต่งงานของลูกสาวคนโต เธอจะเลือกได้ยังไง?
ตอนนั้นเพื่อจะกำจัดตระกูลหนี่ออกไป เธอจึงวางแผนเกี่ยวดองกับตระกูลเซี่ย
หากจะบอกว่าใครผิดบ้างในเรื่องนี้ ทั้งหญิงชรา สามี และลูกสาวทั้งสองคน รวมสี่คนก็มีส่วนร่วมในการทำความผิดทุกคน
ตอนนี้จะให้พวกเขาต้องชดใช้ทุกอย่างเหรอ?
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ แม่เฒ่าจางก็แอบสะดุ้ง ตัวเย็นวาบเหมือนถูกแช่อยู่ในน้ำเย็นจัดจนกระดูกสั่น
ทันใดนั้นเธอก็ดูเหมือนแก่ขึ้นสิบปีในพริบตา
แม่เฒ่าจางบีบเสียงออกจากลำคอแล้วพูดว่า “แม่เข้าใจแล้ว แม่จะจัดการกับเรื่องนี้เอง”
เธอหยุดชั่วคราว “แกอยู่ในคุกเงียบ ๆ ไปก่อนนะ และเดี๋ยวแม่จะคิดหาวิธีอื่นต่อ”
หลังจากพูดจบ หญิงชราก็ลากขาหนัก ๆ เดินกลับไปที่บ้านตระกูลเซี่ยทีละก้าว
ระหว่างทางแม่เฒ่าจางใช้ความคิดมากมาย แต่ก็ไม่สามารถหาวิธีจะทำให้สำเร็จพร้อมกันทั้งสองเรื่องได้
หญิงชราต้องการใช้ประโยชน์จากตระกูลเซี่ย แต่กลับพบว่าตัวเองไม่มีอะไรจะคุกคามตระกูลเซี่ยได้เลย
เธอมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา
แม่เฒ่าจางคิดคำนวณอย่างชาญฉลาดมาตลอดชีวิต และสบายใจกับตระกูลเซี่ยมาหลายปีแล้ว แต่ตอนนี้ในที่สุดผลกรรมก็ตามมาทัน!
…
แม่เฒ่าจางก้าวเข้าไปในประตูบ้านตระกูลเซี่ยอีกครั้ง คราวนี้ดูเหมือนเท้าของหญิงชราจะหนักเป็นพัน ๆ จิน
กลุ่มคนแบ่งออกเป็นสองฝั่งหันประจันหน้ากัน ทันทีที่เธอเข้ามา ทุกคนก็จ้องมอง
แม่เฒ่าจางดูเหมือนจะมีก้อนหินก้อนใหญ่อยู่บนหน้าอก หายใจเข้าลึกก่อนจะเผยยิ้มบนใบหน้า และพูดว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิด เราหุนหันพลันแล่นเกินไป เพราะเราได้ยินเกี่ยวกับเหตุการณ์ของอวี้เอ๋อน่ะ เราไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองตระกูลเลยจริง ๆ”
หญิงชรามองดูหวังผิง “ญาติของฉัน วันหลังฉันจะขอให้ลูก ๆ มาที่บ้านของเธออีกทีเพื่อขอโทษนะ แล้วเรื่องนี้จะจบลง เธอคิดว่าพอจะตกลงได้ไหม?”
คำพูดของแม่เฒ่าจางทำให้ทุกคนในบ้านตกตะลึง
พอไปรับโทรศัพท์แล้วกลับมา คนเราก็เปลี่ยนไปขนาดเลยเหรอ?
เซี่ยจิ่งเฉินและกังจือมองไปที่ต้าหลินจือที่เดินตามกลับมาด้านหลังบราวนี่ออนไลน์
ต้าหลินจือยักไหล่และทำท่าทางแสดงว่าเขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
หวังผิงยังระงับความโกรธของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนึกถึงตอนที่แม่กับลูกสาวตระกูลจางใช้หลาน ๆ ของตนเป็นเกราะกำบังและต้องการที่จะพรากเด็กไป
ตอนนี้เมื่อเห็นทัศนคติที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของแม่เฒ่าจาง แม้ว่าเธอจะไม่เข้าใจเหตุผล แต่ในใจก็มีความสุข
อย่างน้อยมันก็ไม่ได้เลวร้ายไปกว่านี้ใช่ไหม?
เธอตะคอก “ดีเหมือนกันที่จะมีการอธิบายความเข้าใจผิดพวกนี้ และตราบใดที่พวกเธอไม่ทำอีกก็ไม่มีปัญหา!”
“แม่!” เซี่ยจิ่งเฉินขัดจังหวะเธอ
จากนั้นเขามองไปที่แม่เฒ่าจาง “ผมไม่สนหรอกว่าพวกคุณจะเข้าใจผิดหรืออะไร ยังไงซะเรื่องของจางอวี้เอ๋อจะไม่มีการพูดกันอีก และการแต่งงานของผมกับจางอวี้เจียว ขอพูดตรงนี้เลยว่ายังไงก็ต้องหย่า!”
“เซี่ยจิ่งเฉิน!”
“น้องรอง!”
“เซี่ยจิ่งเฉิน!”
ไม่เพียงแต่หวังผิงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเซี่ยจิงเยว่และเซี่ยโย่วหมิงที่ตกตะลึงด้วย
ดวงตาของจางอวี้เจียวยิ่งแดงขึ้น ราวกับว่าพวกเขาทำผิดกับเธอมาก เธอมองเขาอย่างแสนเศร้า
หวังผิงรีบไปคุยกับลูกชาย “แกกำลังทำอะไรอยู่ไอ้เด็กบ้า? กว่าจะยุติเรื่องนี้ได้ยากแทบตาย แล้วทำไมต้องขอหย่าอีก? ลูกคนที่สามของตระกูลหยางในหมู่บ้านก็เคยถูกพ่อตาไล่ทุบตีไปทั้งหมู่บ้าน แต่ทุกวันนี้เขาก็ยังอยู่ดีมีสุขกับภรรยาอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
ในชนบท การทะเลาะวิวาทกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ก็ยังไม่มีใครไปถึงจุดที่จะหย่าร้างกัน
เซี่ยโยว่หมิงเองก็บ่น “ลูกรอง อยากคิดทบทวนเรื่องการหย่าร้างอีกครั้งไหม?”
เมื่อเปรียบเทียบกับการต่อต้านที่ดื้อรั้นของหวังผิง เขาดูเป็นกลางมากกว่า
เขารู้ดีว่าชีวิตของลูกชายคนรองลำบากแค่ไหนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เพียงแต่ก่อนหน้านี้ อย่าว่าแต่หย่าร้างเลย เขาไม่ได้ยินลูกชายคนรองพูดบ่นเลยสักคำ
แต่เมื่อเรื่องนี้ถูกพูดขึ้นมาแล้ว มันจะต้องไม่ใช่ความคิดที่กะทันหันแน่ และจะไม่ใช่เพียงเพราะเรื่องของจางอวี้เอ๋อเท่านั้นที่กระตุ้นเขา
สีหน้าของเซี่ยจิ่งเฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และเขาพูดว่า “พ่อแม่ เมื่อกี้ก็เห็นด้วยตาของตัวเองแล้วไม่ใช่เหรอว่าจางอวี้เจียวแย่งเด็กอย่างไร้ความปรานี แถมในระหว่างการต่อสู้ พวกเขายังใช้เด็กเป็นกำบังอีกต่างหาก!”
เขามองจางอวี้เจียวด้วยดวงตาที่เหมือนกับลุกเป็นไฟ “กับผู้หญิงแบบนี้ ใครจะมั่นใจได้ว่าเด็กอยู่กับเธอแล้วจะได้ดี?”
ประโยคนี้ไม่เพียงหมายถึงการหย่าร้างกับจางอวี้เจียวเท่านั้น แต่ยังปฏิเสธสถานะของเธอในฐานะแม่อีกด้วย
กล่าวคือ จางอวี้เจียวไม่คู่ควรกับการเป็นแม่
กังจือและคนอื่น ๆ ต่างก็ถือโอกาสนี้เห็นด้วย
“ใช่แล้ว ไม่เคยเห็นแม่ที่ไหนใจร้ายขนาดนี้มาก่อนเลย”
“ไม่ปกป้องลูกตอนทะเลาะกันเท่านั้น แต่ยังใช้ลูกเป็นโล่กำบังให้ตัวเองได้เปรียบในการทุบตีคนอื่นอีกต่างหาก”
“จิตใจทำด้วยอะไรกัน?”
“กล้าเรียกตัวเองว่าเป็นแม่ของลูกอีกเหรอ?”
“น้องเฉินทนพวกเธอมาหลายปีแล้ว ถ้าเป็นฉัน ฉันหย่าไปนานแล้ว!”
“กลับไปซะ กลับไปอยู่บ้านแม่ของเธอซะ!”
ใบหน้าของจางอวี้เจียวเปลี่ยนเป็นเขียวและซีดจากสิ่งที่ทุกคนพูด เธอต้องการจะปฏิเสธ แต่ถูกแม่เฒ่าจางรั้งไว้
จางอวี้เจียวมึนงง “แม่!”
แม่เฒ่าจางโมโหจนควันแทบออกหูเหมือนกัน แต่เธอต้องระงับไว้ และไม่สามารถระบายมันออกไปได้ หัวใจของเธอเจ็บปวดไปหมด
แม้ว่าหญิงชราจะมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่ดวงตาก็น่ากลัวมาก “อย่าสร้างปัญหา!”
เธอกดจางอวี้เจียวแล้วพูดกับเซี่ยจิ่งเฉินว่า “ฉันรู้ว่าวันนี้ครอบครัวของฉันทำผิดต่อเธอ หญิงชราคนนี้ขอโทษด้วยจริง ๆ”
เมื่อพูดอย่างนั้น เธอก็โค้งกายให้เซี่ยโยว่หมิงและคนอื่น ๆ อย่างลึกซึ้ง
เธอก้มศีรษะลงพลางมองไปที่ปลายรองเท้าอีกฝ่าย ดวงตาแดงก่ำคล้ายเลือดจะหลั่งออกมา
เธอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง และยิ้มให้คนตระกูลเซี่ย
แม่เฒ่าจางกล่าวต่อ “เธอกับอวี้เจียวแต่งงานกันมาสี่ปีแล้ว และมีลูกด้วยกันถึงสองคน จะหย่ากันง่าย ๆ ได้ยังไง? แม้ว่าเธอจะไม่คิดถึงตัวเอง แต่ช่วยคิดถึงลูก ๆ ของพวกเธอด้วยได้ไหม? ลูกที่พ่อแม่แยกทางกันน่าสงสารเกินไปนะ”
“แม้ว่าพวกเธอจะแยกย้ายกันไปแต่งงานใหม่ได้ แต่แม่เลี้ยงจะดูแลลูกได้ดีกว่าแม่แท้ ๆ ได้ยังไงล่ะ?”
“วันนี้อวี้เจียวโกรธเกินไปก็เลยทำอะไรโง่ ๆ เท่านั้นเอง”
“ฉันจะเกลี้ยกล่อมเธอ แล้วจะให้ลูกสาวมายอมรับความผิดพลาดของตัวเองกับเธอและทุกคนหลังจากนี้นะ”
ระหว่างทางมาที่นี่ แม่เฒ่าจางเอาแต่คิดหาวิธีที่จะหลุดพ้นจากปัญหา
หลังจากการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว เธอก็ยังคงไม่เต็มใจที่จะปล่อยให้จางอวี้เจียวและเซี่ยจิ่งเฉินหย่าร้างกัน
ต้องรู้ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตระกูลจางใช้ชีวิตดีมาก และครึ่งหนึ่งเป็นเงินและสิ่งของที่จางอวี้เจียวนำกลับมาจากตระกูลเซี่ย
ใครจะยอมปล่อยให้แกะอ้วนแบบนี้หลุดลอยออกไปได้ล่ะ?
ยิ่งไปกว่านั้น เธอเชื่อว่าสาเหตุที่เซี่ยชิงหยวนยุให้เซี่ยจิ่งเฉินหย่ากับจางอวี้เจียวเป็นเพราะเรื่องของจางอวี้เอ๋อ
ถ้าจางอวี้เจียวใช้ชีวิตอย่างดีกับเซี่ยจิ่งเฉิน เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นเหรอ?
ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจเกลี้ยกล่อมเซี่ยจิ่งเฉินกับหวังผิงก่อน และส่วนที่เหลือจะได้รับการแก้ไขไปตามธรรมชาติเอง
เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองดีแล้ว งั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะให้ทั้งคู่ต้องหย่าร้างกัน
แม้ว่าลูกสาวของแม่เฒ่าจางจะเป็นภรรยาอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่ก็ยังมีบางคนที่คอยแทงข้างหลังอยู่
คำพูดของแม่เฒ่าจางนั้นพูดได้อย่างไพเราะ
ดูเหมือนว่าหากตระกูลเซี่ยยินยอม มันจะกลายเป็นความผิดของพวกเขา
เมื่อเห็นสิ่งนี้ จางอวี้เจียวก็ก้มศีรษะลงและเริ่มร้องไห้
เธอใช้โอกาสนี้แอบหยิกเซี่ยซือเหยียน เด็กสาวเจ็บปวดอย่างมากและร้องไห้อีกครั้ง
เมื่อเห็นแม่และน้องสาวของเธอร้องไห้ เซี่ยซือถงก็ร้องไห้เช่นกัน
แม่ลูกร้องไห้พร้อมกัน ภาพนี้ดูน่าสงสารมาก
กงเหลียนซินมองไปที่เซี่ยจิ่งเฉินด้วยความประหม่า กลัวว่าหัวใจของเขาจะอ่อนลงแล้วตกลงตามคำขอของคนเหล่านี้
หวังผิงต้องการพูด แต่เซี่ยโยว่หมิงรั้งเธอไว้
เขาส่ายหัวให้ภรรยา ส่งสัญญาณให้เซี่ยจิ่งเฉินตัดสินใจด้วยตัวเอง
เซี่ยจิ่งเฉินลืมตาขึ้นและมองดู ภาพนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเขาเลย
ตั้งแต่แต่งงานกัน ทั้งสองมักจะทะเลาะกันทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็ก
ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน จางอวี้เจียวจะใช้เด็ก ๆ เป็นเครื่องต่อรอง แม้กระทั่งปลุกเด็ก ๆ ที่กำลังหลับอยู่ และร้องไห้ใส่เขา
ต่อมาเขาทนไม่ไหวจึงยอมโอนอ่อนให้
เขาทำงานมากขึ้น แม้ว่าชีวิตจะยากลำบาก แต่มีเงินกลับบ้านมากขึ้น ทั้งสองใช้เวลาร่วมกันน้อยลง และทะเลาะกันน้อยลง
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงดูไม่พอใจ และคิดว่าเขาหาเงินไม่ได้มากเท่าที่เธอต้องการ ไม่มีน้ำใจเพียงพอ และไม่สามารถตอบสนองเธอได้…
แม้ว่าทุกครั้งที่เขากลับมา เขาจะตรวจดูตัวเอง ดมกลิ่นกระเป๋าเดินทาง และเสื้อผ้าที่เขาใส่อย่างระมัดระวังแล้วก็ตาม
เพราะรู้ว่าเธอกังวลเรื่องอะไร
เขาเคยพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เธอรู้สึกมั่นใจ แต่เขาก็ยังเห็นว่าเธอไม่ไว้ใจเสมอและไม่ปล่อยเขาไป
เพื่อให้เธอมั่นใจ เขาไม่ได้พูดคุยกับใครที่เป็นเพศตรงข้ามยกเว้นสมาชิกในครอบครัว และไม่ได้มองคนอื่นมากไปกว่าเธอ
เขาเลิกติดต่อกับเพื่อน ๆ ที่คบมาตั้งแต่เด็ก เพียงเพราะว่าเธอไม่ชอบ
บางทีเซี่ยโยว่หมิงอาจสอนเขาอย่างลึกซึ้งเกินไปตั้งแต่เขายังเด็กว่า การเป็นผู้ชายนั้นต้องซื่อสัตย์ รับผิดชอบในการดูแลภรรยากับลูก ๆ และยึดมั่นในครอบครัว
ทุกครั้งที่ทะเลาะกัน จางอวี้เจียวจะใช้เด็ก ๆ เป็นเครื่องต่อรอง แม้กระทั่งปลุกเด็ก ๆ ที่กำลังหลับอยู่ และร้องไห้ใส่เขา
ต่อมาเขาทนไม่ไหวจึงยอมโอนอ่อนให้
เขาทำงานมากขึ้น แม้ว่าชีวิตจะยากลำบาก แต่มีเงินกลับบ้านมากขึ้น ทั้งสองใช้เวลาร่วมกันน้อยลง และทะเลาะกันน้อยลง
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงดูไม่พอใจ และคิดว่าเขาหาเงินไม่ได้มากเท่าที่เธอต้องการ ไม่มีน้ำใจเพียงพอ และไม่สามารถตอบสนองเธอได้…
แม้ว่าทุกครั้งที่เขากลับมา เขาจะตรวจดูตัวเอง ดมกลิ่นกระเป๋าเดินทาง และเสื้อผ้าที่เขาใส่อย่างระมัดระวังแล้วก็ตาม
เพราะรู้ว่าเธอกังวลเรื่องอะไร
เขาเคยพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เธอรู้สึกมั่นใจ แต่เขาก็ยังเห็นว่าเธอไม่ไว้ใจเสมอและไม่ปล่อยเขาไป
เพื่อให้เธอมั่นใจ เขาไม่ได้พูดคุยกับใครที่เป็นเพศตรงข้ามยกเว้นสมาชิกในครอบครัว และไม่ได้มองคนอื่นมากไปกว่าเธอ
เขาเลิกติดต่อกับเพื่อน ๆ ที่คบมาตั้งแต่เด็ก เพียงเพราะว่าเธอไม่ชอบ
บางทีเซี่ยโยว่หมิงอาจสอนเขาอย่างลึกซึ้งเกินไปตั้งแต่เขายังเด็กว่า การเป็นผู้ชายนั้นต้องซื่อสัตย์ รับผิดชอบในการดูแลภรรยากับลูก ๆ และยึดมั่นในครอบครัว
ดังนั้นเขาจึงอดทนและพยายามถอย แต่พบว่าจางอวี้เจียวยังคงไม่พอใจ
นอกจากนี้เขายังคิดว่าตัวเองสามารถแสร้งทำเป็นหูหนวกและเป็นใบ้ได้ตลอดชีวิต จนกระทั่งครั้งสุดท้ายที่จางอวี้เจียวทะเลาะกับเขาครั้งใหญ่ เพราะตระกูลจางกำลังสร้างบ้าน
เธอหยิบเสื้อผ้าใหม่สองสามชุดที่เซี่ยชิงหยวนซื้อให้เขาในกระเป๋าเดินทาง แล้วพูดคุยเกี่ยวกับมัน ทั้งร้องไห้และงอแง
เขาเหนื่อยกับการรับมือในเรื่องนี้ แต่เธอก็ไม่หยุด
เธอข่วนหน้าเขา แล้วกล่าวว่า “ฉันรู้ คุณยังคิดถึงนังนั่นอยู่ใช่ไหม! คุณเกลียดฉันใช่ไหม!”
เขาจำได้ว่าตัวเองตอบกลับไปเพียงว่า “คุณก็น่าจะรู้แก่ใจว่าทำไมเราถึงแต่งงานกันตั้งแต่แรก!”
———————
