บทที่ 299 ตัดผมทรงหมากัด
บทที่ 299 ตัดผมทรงหมากัด
เซี่ยชิงหยวนไปที่ร้านตรอกเก่า พลันพูดคุยกับเจียงเพ่ยหลานและอาเซียงตามลำดับ
คนแรกคือเจียงเพ่ยหลาน
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “เพ่ยหลาน เธอน่าจะเดาได้ว่าทำไมวันนี้ฉันถึงมาคุยกับเธอนะ?”
เจียงเพ่ยหลานพยักหน้า “ฉันรู้”
เซี่ยชิงหยวนพูดเข้าประเด็นทันที “ครอบครัวของฉันจะย้ายไปที่เมืองหลวงของมณฑลในไม่ช้า หลังจากฉันไปที่นั่น ฉันจะทำธุรกิจเสื้อผ้าและสลัดเย็นต่อไป ถ้าเธอไปกับเรา ฉันจะให้อำนาจเธอและแม่สามีของฉันอย่างเต็มที่ในการดูแลร้านตรอกเก่า รายได้ของเธอจะขึ้นอยู่กับกำไรของร้าน และแบ่งส่วนไป”
“แต่ถ้าหากเธอเลือกที่จะอยู่ที่นี่ ร้านนี้จะถูกโอนให้เธอและเธอสามารถทำการค้าต่อไปได้ด้วยตัวเองหลังจากที่เราจากไป”
ปัจจุบันร้านตรอกเก่าทำกำไรได้หนึ่งพันถึงสองพันหยวนต่อเดือน หลังจากไปเมืองหลวงของมณฑลแล้วก็จะมีแต่มากขึ้นเท่านั้น
เพียงแต่เซี่ยชิงหยวนไม่มีเวลามากพออีกต่อไปแล้ว เธอมีไอเดียใหม่ ๆ ในธุรกิจเสื้อผ้าและหยก
การไปเมืองหลวงของมณฑลเพื่อเปิดร้านสลัดเย็น เป็นเพียงการทำร้านให้หลินตงซิ่วเท่านั้น
ในความเป็นจริง ข่าวที่ว่าเซี่ยชิงหยวนกำลังจะไปที่เมืองหลวงของมณฑลได้ถูกเปิดเผยให้คนอื่น ๆ รู้ก่อนหน้านี้แล้ว
เจียงเพ่ยหลานพยายามคิดดิ้นรนเป็นเวลานานว่าจะไปเมืองหลวงของมณฑลหรือไม่
ในท้ายที่สุด เมื่อพิจารณาว่าไม่มีใครดูแลลูกสาวของเธอที่นั่นแล้ว เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเลือกที่จะอยู่ที่เตียนเฉิง
แค่สิ่งที่เซี่ยชิงหยวนพูดเกี่ยวกับการโอนร้านตรอกเก่าให้นั้นเกินความประหลาดใจของเธอไปจริง ๆ
จากการแสดงออกของเจียงเพ่ยหลาน เซี่ยชิงหยวนได้เห็นตัวเลือกของอีกฝ่ายแล้ว
เซี่ยชิงหยวนยิ้มอย่างให้กำลังใจ “ไม่เป็นไรนะ ที่นี่มันอยู่ใกล้กับบ้านแม่ของเธอด้วย และการดูแลอะไรก็สะดวก สำหรับร้านตรอกเก่าเธอก็เปิดมันต่อไปได้ แต่ฉันแค่หวังว่าเธอจะสามารถรักษาความตั้งใจเดิมของเราในการทำธุรกิจนี้ รักษาคุณภาพสินค้าให้ดี และส่งต่อไปยังรุ่นลูกรุ่นหลานได้”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เจียงเพ่ยหลานก็หลั่งน้ำตาทันที
เธอจับมือของเซี่ยชิงหยวนและพูดอย่างจริงจัง “ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะทำแบบนั้นแน่นอน”
จากนั้นเจียงเพ่ยหลานก็สะอื้นก่อนจะพูดต่อว่า “ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าจะตอบแทนเธอยังไงดีกับน้ำใจของเธอที่มีต่อฉันในชีวิตนี้”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกอ่อนไหวไปกับคำพูดของอีกฝ่าย “อย่าสงสัยในตัวเองสิ สิ่งเหล่านี้ได้มาจากการทำงานหนักของเธอทั้งนั้นนะ”
เจียงเพ่ยหลานติดตามเธอตั้งแต่การขายสลัดเย็นบนรถสามล้อมาจนถึงการมีหน้าร้าน จากคนที่ไม่เคยกล้าที่จะพูดหรือทำอะไร และไม่เข้าใจอะไรเลยด้วยซ้ำ จนถึงตอนนี้เธอสามารถดูแลตัวเองได้อย่างสมบูรณ์…
เซี่ยชิงหยวนเฝ้าดูเจียงเพ่ยหลานเติบโตขึ้นทีละขั้นด้วยสายตาของเธอเอง
นี่คือรางวัลและการยืนยันของเซี่ยชิงหยวนต่อเจียงเพ่ยหลาน
สุดท้ายเซี่ยชิงหยวนก็อธิบายทุกอย่างให้เจียงเพ่ยหลานรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับร้านตรอกเก่า และในที่สุดก็โอนสัญญาผู้เช่าร้านค้าให้อีกฝ่าย และการส่งมอบก็เสร็จสมบูรณ์
หลังจากคุยกับเจียงเพ่ยหลานแล้ว อาเซียงก็เป็นคนถัดไป
เมื่อเทียบกับความโศกเศร้าของเจียงเพ่ยหลานแล้ว อาเซียงมีความสุขมากกว่ามาก
เด็กสาวพูดว่า “พี่สาวเซี่ย ฉันจะไปกับพี่!”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มตอบ “พ่อแม่ของเธอเต็มใจที่จะให้เธอไปกับพี่เหรอ?”
อาเซียงพูดว่า “ตอนแรกพวกเขาก็ลังเลค่ะ แต่เมื่อพวกเขาได้ยินว่าฉันจะติดตามพี่ไป พวกเขาก็แทบจะไล่ฉันไปทันทีเลยล่ะ ฮ่าฮ่า”
คำพูดติดตลกของอาเซียงทำให้เซี่ยชิงหยวนรู้สึกเศร้าน้อยลงเกี่ยวกับเจียงเพ่ยหลานเมื่อกี้นี้
เซี่ยชิงหยวนจับมือของอาเซียงแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ต่อจากนี้ไปเธอจะเป็นคนของพี่เต็มตัวแล้วนะ”
พูดตามตรง ต่อให้คำตอบของอาเซียงคืออยู่ในเมืองเตียนเฉิง เซี่ยชิงหยวนก็คงจะโน้มน้าวให้เด็กสาวไปกับเธอให้ได้
ท้ายที่สุดเธอได้ทำการฝึกเด็กสาวกับมือตัวเองมาครึ่งปี และเด็กสาวก็พร้อมที่จะเป็นผู้ช่วยที่สมบูรณ์แล้ว เธอทนไม่ได้จริง ๆ หากจะปล่อยอาเซียงไปทั้งแบบนี้
และการทำธุรกิจเสื้อผ้านั้นต่างจากการขายอย่างอื่น นอกจากต้องทำงานหนักด้วยตัวเองแล้วยังต้องมีพรสวรรค์อีกด้วย
เซี่ยชิงหยวนตรวจดูสินค้าคงคลังเสื้อผ้าอีกครั้ง ยังมีเสื้อผ้ามากกว่าห้าร้อยชิ้น และชุดชั้นในมากกว่าหนึ่งร้อยชิ้นที่ยังขายไม่ออก
เธอกล่าวว่า “ยังไงซะ พี่ก็ยังมีบางอย่างที่ต้องทำเมื่อไปที่เมืองหลวงของมณฑล เธอรอพี่ที่นี่ก่อนนะ ภายในประมาณหนึ่งหรือสองสัปดาห์หลังจากที่พี่จัดการเรื่องที่นั่นเสร็จ พี่จะพาเธอไปอยู่ที่นั่นด้วยกัน”
เซี่ยชิงหยวนปิดสมุดบัญชี “เสื้อผ้าที่เหลือก็ขายเท่าที่ทำได้ ถ้ามีเหลือ เราจะเอาไปขายที่เมืองหลวงของมณฑลต่อ แม้ว่าเธอจะขายเสื้อผ้าที่เหลือไม่หมดและนำไปที่เมืองหลวงของมณฑล แต่ทั้งคุณภาพและรูปแบบเสื้อผ้าของเราก็ไม่ต่างจากของที่ขายในร้านค้าระดับสูงของที่นั่นเหมือนกัน”
นอกจากนี้คนในเมืองหลวงของมณฑลมีกำลังซื้อที่มากกว่า เธอจึงไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ได้
อาเซียงดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้และถามเซี่ยชิงหยวนอย่างระมัดระวัง “พี่สาวเซี่ย เมื่อเราไปอยู่ที่เมืองหลวงของมณฑล พี่จะยังให้ฉันไปซื้อสินค้าเองที่กว่างโจวอยู่ไหมคะ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “แน่นอน”
อาเซียงไม่ค่อยพูดกับเซี่ยชิงหยวนด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ และเมื่อมองด้วยสายตาที่ค่อนข้างหลบเลี่ยงของเด็กสาว เซี่ยชิงหยวนก็เข้าใจทันที
เซี่ยชิงหยวนเคยคิดว่าหลังจากเวลาผ่านไป เด็กสาวน่าจะลืมเฮ่ออวี้เฟิงไปแล้ว
แต่นี่คืออะไร?
เฮ่ออวี้เฟิง ชายหนุ่มผู้แข็งแกร่งคนนั้นหยั่งรากลึกลงในหัวใจของเด็กสาวได้สำเร็จแล้วเหรอ?
เสิ่นอี้โจวเคยเล่าว่าปีนี้เฮ่ออวี้เฟิงอายุยี่สิบเก้าปี ซึ่งแก่กว่าอาเซียงถึงสิบเอ็ดปีเชียวนะ!
จะดีไหมถ้าเธอพูดกับอาเซียงว่า ‘เฮ่ออวี้เฟิงอายุมากแล้ว และอีกไม่กี่ปีเขาจะสามารถเรียกพ่อของเธอว่าพี่ชายได้เลยนะ’
แต่ถ้าจู่ ๆ เธอพูดแบบนี้ออกไป อาเซียงอาจร้องไห้ก็ได้…
ท้ายที่สุด เซี่ยชิงหยวนก็ทำได้เพียงตบไหล่อาเซียงโดยไม่พูดอะไรเท่านั้น
…
ก่อนที่จะได้ไปเมืองหลวงของมณฑล ในที่สุดเซี่ยชิงหยวนและอาเซียงก็ขายเสื้อผ้าส่วนใหญ่ของพวกเธอออกได้
หลังจากนับแล้วก็เหลืออีกประมาณสองร้อยชิ้น ไม่มากไปกว่านี้อีกแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดชั้นใน หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนอธิบายอย่างโอ้อวด มันก็ได้ดึงดูดหญิงสาวจำนวนมาก และลูกค้าเหล่านั้นก็ซื้อครั้งละสองหรือสามชิ้น
เช่นเดียวกับที่เซี่ยชิงหยวนพูด ผู้คนต้องเปลี่ยนชุดชั้นในทุกวัน ถ้าไม่ซื้อเพิ่มอีกสองสามชิ้นจะใส่สลับกันได้ยังไง?
เซี่ยชิงหยวนพูดกับอาเซียง “ในตอนที่ยังมีเวลา เธอไปใช้เวลากับพ่อแม่ในช่วงนี้ให้มากขึ้นเถอะ เพราะในอนาคตเราอาจจะไม่กลับมาบ่อย ๆ หรอกนะ”
อาเซียงรู้สึกเศร้าขึ้นมาทันทีเมื่อคิดได้ถึงเรื่องนี้ “ได้ค่ะ”
ก่อนออกเดินทางสองวัน เซี่ยชิงหยวนพาหลินตงซิ่วและเสิ่นอี้หลินไปที่ร้านตัดผมที่ดีที่สุดในเมืองเตียนเฉิง
เธอเข้าไปในประตู “ช่วยดัดผมลอนใหญ่ให้ฉัน และช่วยเล็มผมแม่สามีของฉันและดัดให้เป็นลอนเล็ก ๆ หน่อยนะคะ”
จากนั้นก็เหลือบมองที่เสิ่นอี้หลิน ซึ่งถูกเธอลากมาด้วย “ถ้าเด็กน้อยคนนี้ไม่เชื่อฟัง คุณจะตัดทรงอะไรให้เขาก็ได้นะ ตัดเป็นทรงหัวแตงโมที่สุนัขกัดก็ไม่เลว”
เสิ่นอี้หลิน “…”
ช่างตัดผมที่ร้าน “…”
เสิ่นอี้หลินไม่อยากให้หลินตงซิ่วอาบน้ำให้ จนบางครั้งถึงกับไม่ได้อาบน้ำด้วยซ้ำ
แม้กระทั่งการออกไปเดินเที่ยวเล่นตามถนนกับพวกเธอ เขาก็ยังทำหน้าบูดบึ้ง “ผมไม่อยากออกมาซื้อของกับผู้หญิง!”
ช่างตัดผมยิ้มแล้วพูดว่า “เราจะตัดทรงสุนัขกัดให้เขาได้ยังไง? หนุ่มน้อยรูปหล่อแบบนี้เหมาะมากกับทรงผมสไตล์ตะวันตกนะ ไม่คิดอย่างนั้นเหรอ?”
ขณะที่ช่างตัดผมพูดแบบนี้ เขาก็หันไปพูดกับเสิ่นอี้หลิน
ใบหน้าเล็ก ๆ ของเสิ่นอี้หลินที่ตึงเครียด ในที่สุดก็แสดงรอยยิ้มและลังเลเล็กน้อย “ใช่ครับ…”
หลินตงซิ่วลังเลที่จะจ่ายเงิน “ชิงหยวน ทำไมไม่ให้แม่กลับไปใช้ที่คีบเหล็กรนไฟรีดผมก็พอแล้วล่ะ?”
เธอเห็นผู้หญิงในหมู่บ้านก็ทำแบบนั้น
เพียงแต่ว่าเส้นผมที่ถูกทำแบบนั้นไม่เพียงแต่มีกลิ่นไหม้เท่านั้น ทั้งยังไม่อยู่ทรงด้วย
และสิ่งที่เซี่ยชิงหยวนพูดเกี่ยวกับดัดผมเป็นลอน เธอเคยเห็นมันในภาพยนตร์ที่ฉายในหมู่บ้านมาก่อนเท่านั้น
ต่อมาเมื่อมาที่เตียนเฉิง เธอเคยเห็นผู้หญิงที่ดัดผมเดินอยู่ในเขตที่อยู่อาศัยเจ้าหน้าที่บ้างเป็นครั้งคราว
อย่าว่าแต่เรื่องดัดผม เมื่อก่อนเพราะครอบครัวยากจนมาก เธอจึงมักจะถูกพาไปตัดผมและขายผมแทน
คนตัดผมโหดมาก ตัดผมจนแทบจะติดหนังศีรษะของเธอเลย
ต่อมาก็ต้องใช้เวลาอยู่นาน กว่าที่เส้นผมของเธอจะยาวขึ้น
เธอรู้สึกว่าการสระผมยาว ๆ เป็นการสิ้นเปลืองน้ำ ดังนั้นเธอจึงไว้ผมยาวถึงเพียงไหล่เท่านั้นและไม่เคยจะไว้ยาวกว่านั้นเลย
การให้หญิงชราทำผมตอนนี้ไม่ถือว่าเป็นการเสียเงินเปล่าหรอกเหรอ?
บทที่ 293 คนดีแม้จะถูกคนรังแกแต่ฟ้าไม่รังแก
บทที่ 293 คนดีแม้จะถูกคนรังแกแต่ฟ้าไม่รังแก
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ถ้าไม่มีเด็กคนนั้น ฉันคงไม่รังเกียจที่จะทำให้จางอวี้เอ๋อได้รับโทษเพิ่มอีกหรอก”
“แต่ถ้าฉันทำ มันก็คงน่าสงสารเกินไปที่เด็กคนนั้นจะไม่มีครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนี้”
เธอถอนหายใจ “ยิ่งไปกว่านั้นคนเลวจะได้รับกรรมตามสนองเอง ฉันไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นซะหน่อย”
เพราะอีกไม่กี่ปีหลังจากนี้ ตระกูลหนี่จะไปถึงหน้าประตูบ้านตระกูลจางเพื่อคิดบัญชีแน่นอน
ในตอนแรก หนี่เจิ้งกำลังศึกษาอยู่ในเมือง และครอบครัวของเขายืมเงินจากคนไปทั่วเพื่อใช้เป็นค่าเล่าเรียน
ความหวังของครอบครัวอยู่ที่หนี่เจิ้ง แต่เขากลับหลงใหลจางอวี้เอ๋อ
ในเวลานั้นหนี่เจิ้งลงทะเบียนเรียนในโรงเรียนห่างไกล และอาศัยอยู่กับญาติห่าง ๆ ซึ่งมันทำให้จางอวี้เอ๋อเข้าใจผิดคิดว่าหนี่เจิ้งเป็นคนเมือง ดังนั้นเธอจึงล่อลวงเขาโดยตั้งใจ
หนี่เจิ้งให้ค่าครองชีพของเขาทั้งหมดแก่เธอรวมไปถึงค่าเล่าเรียน และเขายังหาข้อแก้ตัวทุกรูปแบบเพื่อหลอกให้ครอบครัวของตัวเองส่งเงินให้เพิ่ม
ต่อมาตระกูลหนี่ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ และขอให้ญาติ ๆ ไปโรงเรียนเพื่อดูหนี่เจิ้ง ซึ่งสุดท้ายก็ได้รู้ว่าเขาลาออกจากโรงเรียนได้พักใหญ่แล้ว!
ตระกูลหนี่ตกใจมากจนรีบออกจากภูเขาทันเวลาที่จะพบกับจางอวี้เอ๋อ ซึ่งเธอก็รู้แล้วเช่นกันว่าหนี่เจิ้งหลอกลวงตัวเองว่าครอบครัวของเขามีเงิน และเธอต้องการเลิกกับเขา
หนี่เจิ้งปฏิเสธแน่นอนอยู่แล้ว
ดังนั้นจางอวี้เอ๋อจึงกล่าวว่า ถ้ากล้ากระโดดภูเขาเพื่อพิสูจน์ความรัก เธอจะอยู่กับเขา
ในมณฑลยูนนานมีภูเขามากมาย และมีบ้านเรือนหลายหลังที่สร้างไว้เชิงภูเขา ซึ่งจุดที่พวกเขายืนอยู่นั้นอยู่บนเนินเขาสูงชัน
หนี่เจิ้งตกหลุมรักจางอวี้เอ๋อมากซะจนหน้ามืดตาบอด เขาพูดตกลงแทบจะทันที “ตกลง แต่คุณต้องรักษาคำพูดของคุณด้วย”
จากนั้นเขาก็กระโดดโดยไม่ลังเล
ต่อมาแม้เขาจะได้รับการช่วยชีวิต แต่ขาของเขาหักทั้งสองข้าง
ทุกคนของตระกูลหนี่ยกเว้นหนี่เจิ้งคนเดียว จะไม่ยอมปล่อยให้เรื่องจบลงง่าย ๆ ถ้าจางอวี้เอ๋อไม่ยอมสละชีวิตเพื่อชดเชยเช่นกัน
ต่อมาหนี่เจิ้งพยายามอย่างเต็มที่เพื่อขอความเมตตา จนพ่อและแม่ตระกูลหนี่ก็ยอมปล่อยเธอไปโดยมีเงื่อนไข
เงื่อนไขคือจางอวี้เอ๋อต้องให้กำเนิดลูกชายให้กับหนี่เจิ้ง และพวกเขาก็จะไม่เอาความในเรื่องนี้อีกต่อไป
จางอวี้เอ๋อไม่ต้องการ ดังนั้นคู่สามีภรรยาจึงจ่ายเงินให้คนลักพาตัวเธอกลับไปที่บ้านตระกูลหนี่ซึ่งอยู่ในภูเขาลึก พวกเขาไม่ปล่อยเธอไปจนกระทั่งหนี่เจี้ยนคังคลอดออกมา และตระกูลจางก็นำเงินสองร้อยหยวนมาไถ่ตัวจางอวี้เอ๋อ
ในเรื่องนี้จางอวี้เอ๋อเป็นคนผิด และตระกูลจางก็ไม่กล้าเอะอะ ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ทนทุกข์ทรมานจากการสูญเสียอันโง่เขลานี้
ไม่กี่ปีต่อมาคู่สามีภรรยาหนี่เสียชีวิตด้วยอาการป่วย และหนี่เจิ้งก็นอนพิการอยู่บนเตียงทั้งวัน ในภายหลังลูกสาวและลูกเขยของตระกูลหนี่จึงพาเด็กมาที่บ้านตระกูลจาง
ส่วนเรื่องราวต่อไปนั้น เซี่ยชิงหยวนไม่รู้อะไรเพิ่มเติม
สาเหตุที่เซี่ยชิงหยวนรู้เรื่องนี้เพราะเธอได้ยินเซี่ยจิ่งเฉินกับจางอวี้เจียวทะเลาะกันครั้งใหญ่เนื่องจากเหตุการณ์นี้โดยบังเอิญ เธอได้ยินเรื่องทั้งหมดเกี่ยวกับเหตุการณ์ของหนี่เจิ้ง และวิธีที่ตระกูลจางวางแผนใส่เซี่ยจิ่งเฉิน
คุณปู่สอนเธอก่อนหน้านี้ว่า คนดีแม้จะถูกคนรังแกแต่ฟ้าไม่รังแก และเธอก็คิดว่าเป็นแบบนั้นจริง ๆ
…
เซี่ยชิงหยวนออกมาจากสถานีตำรวจ และบังเอิญเห็นรถจอดอยู่ข้างถนน
เสิ่นอี้โจวสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงขายาวสีดำกำลังพิงประตูรถ เขาล้วงมือข้างหนึ่งไว้ในกระเป๋ากางเกงแล้วมองนาฬิกาในมือ ดูสง่างามมาก
ไม่เพียงแต่หญิงสาวอายุน้อยเท่านั้น แต่แม้แต่หญิงสูงอายุที่ผ่านไปมาก็อดไม่ได้ที่จะเหลียวมองเขาซ้ำสอง
เซี่ยชิงหยวนมองไปที่เขาพร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ
ราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เสิ่นอี้โจวก็มองมาทางเธอ
ดวงตาของพวกเขาสบกันท่ามกลางอากาศที่ร้อนแห้งของเมืองเตียนเฉิง และมันดูเหมือนเวลาหยุดลงชั่ววินาทีหนึ่ง
ด้วยเหตุผลบางอย่าง หัวใจของเซี่ยชิงหยวนสบายใจทันทีที่เห็นเสิ่นอี้โจวราวกับว่าเขาเป็นท่าเรือของเธอ เป็นดินแดนกว้างใหญ่ที่เธอสามารถขึ้นฝั่งพักได้ตลอดเวลา
เสิ่นอี้โจวยืนตัวตรงแล้วเดินเข้าหา
เซี่ยชิงหยวนเดินลงบันไดทีละขั้นจนกระทั่งเธอไปถึงขั้นสุดท้าย และเอื้อมมือไปหาเขา
เสิ่นอี้โจวเข้าใจและจับมือของภรรยา
เซี่ยชิงหยวนกระโดดลงมาด้วยการประคองของเสิ่นอี้โจว เธอถามเขาด้วยรอยยิ้ม “คุณมารับฉันเป็นพิเศษหรือเปล่า?”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้ใช้เวลากับภรรยาของผมเลยน่ะ”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินสิ่งนี้ เธอก็รู้ว่าเขากำลังหยอกล้อ ชายหนุ่มคงกังวลว่าอารมณ์ของเธอจะได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ของจางอวี้เอ๋อ ดังนั้นเขาจึงมารับเป็นพิเศษ
ความอึดอัดใจสุดท้ายในหัวใจของเธอถูกขจัดออกไป รอยยิ้มกว้างขึ้น และเธอก็พูดอย่างร่าเริง “น้อย ๆ หน่อยเถอะ”
เสิ่นอี้โจวดึงเธอเข้าหาเขา “ไปกันเถอะ ผมจะพาคุณออกไปขับรถเล่นหน่อย”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “คุณไม่ต้องไปทำงานเหรอ?”
เสิ่นอี้โจวเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารให้เธอ “งานไม่สำคัญเท่ากับภรรยาของผมหรอกนะ”
เซี่ยชิงหยวนเข้าไปในรถ และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง “วันนี้คุณใส่น้ำผึ้งเข้าไปในปากหรือเปล่า?”
เสิ่นอี้โจวขึ้นรถที่ฝั่งคนขับแล้วพูดว่า “ผมใส่น้ำผึ้งเข้าไปในปากหรือไม่ คุณต้องลองจูบดูถึงจะรู้ จริงไหม?”
หลังจากพูดจบโดยไม่รอให้เธอโต้ตอบ เขาก็ประทับจูบบนริมฝีปากหญิงสาวอย่างรวดเร็ว แล้วผละออก
เซี่ยชิงหยวนตกใจมากจนกลั้นหายใจ และปลายหูของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดง
ดวงตาของเธอกวาดมองออกไปด้านนอกอย่างตื่นตระหนกกลัวว่าคนที่อยู่นอกหน้าต่างรถอาจเห็นพวกเขา
เสิ่นอี้โจวโน้มตัวเข้าหาเธออีกครั้ง
เซี่ยชิงหยวนยกมือเพื่อปิดริมฝีปากของตัวเองทันที “นี่เรากำลังอยู่ข้างนอกนะ!”
เสิ่นอี้โจวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ “ผมแค่อยากจะคาดเข็มขัดนิรภัยให้คุณเอง”
จากนั้นเสิ่นอี้โจวก็ดึงเข็มขัดนิรภัยฝั่งประตูรถของเซี่ยชิงหยวนแล้วคาดให้เธอเรียบร้อย
เมื่อเห็นท่าทางล้อเล่นของเขา เซี่ยชิงหยวนก็จ้องเขาเขม็ง “คุณนี่ชอบแกล้งฉันจริง ๆ!”
เสิ่นอี้โจวเพียงยิ้มกริ่ม และสตาร์ทรถ “นั่งให้ดีนะ เราจะไปกันแล้ว!”
———————
บทที่ 287 จบสิ้น
บทที่ 287 จบสิ้น
“แม่!”
เมื่อเห็นหวังผิงกลับห้องไปทั้งที่ยังร้องไห้อยู่ ลูกชายและลูกสะใภ้ก็ตะโกนเรียกขึ้นมาพร้อม ๆ กันทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นหวังผิงร้องไห้ จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตระหนก
เซี่ยโยว่หมิงโบกมือ “ปล่อยให้แม่เขาอยู่คนเดียวสักพักเถอะ”
เขาเอื้อมมือไปแตะกล่องยาเส้น แต่เพราะความตึงเครียดที่บ้าน เขาจึงเลิกไปนานแล้ว
ชายชราถอนหายใจและพูดว่า “แม่ของพวกลูกเข้มแข็งมาตลอดชีวิต พอได้ยินแบบนั้นเข้าไป มันก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่แม่เขาจะคิดมากนั่นแหละ”
เซี่ยโย่วหมิงพูดต่อ “ตอนแม่แต่งงานกับพ่อ เธอยังเป็นสาวน้อยอารมณ์อ่อนไหว ต่อมาสองปีหลังจากแต่งงาน เธอก็ยังไม่ตั้งท้องสักที ทำให้คนในหมู่บ้านเริ่มนินทา จนกระทั่งเธอตั้งท้องลูกชายคนโตในที่ปีสาม แล้วเสียงนินทาถึงเริ่มน้อยลง”
“คุณย่าของพวกลูกเสียเร็วเกินไป และคุณปู่ที่ชราแล้วก็สุขภาพไม่ดีเช่นกัน ดังนั้นแม่เขาไม่เพียงต้องทำงานในบ้าน แต่ยังต้องทำงานในทุ่งนาเหมือนพ่อ แถมยังต้องดูแลปู่ของพวกลูกอีกด้วย”
“ตอนนั้นก่อนที่ชิงหยวนจะเกิด พวกลูกมีน้องชายหนึ่งคน และเมื่อเขาอายุได้หนึ่งขวบ เขากลับป่วย ในเวลานั้นทุกคนในครอบครัวแทบไม่มีจะกินอยู่แล้ว ดังนั้นจะมีเงินพอค่ารักษาพยาบาลได้ยังไง”
“หลังจากทนทุกข์ทรมานอยู่สองเดือน เด็กก็จากไป”
“ในเวลานั้นมีคนในหมู่บ้านบอกว่าแม่ของลูกไม่ได้รับพร และไม่สามารถเลี้ยงดูลูกชายของเธอได้หลังคลอด”
“ตั้งแต่นั้นมา นิสัยของแม่พวกลูกก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง”
“เธอไม่เพียงเข้มงวดกับตัวเองเท่านั้น แต่ยังเข้มงวดกับวพวกลูกด้วย”
“เธอทำแบบนี้เพียงเพื่อพิสูจน์ว่า ไม่ว่ายังไงเธอก็สามารถทำให้ทุกคนในบ้านมีชีวิตที่ดีได้”
“และท้ายที่สุด การตายของคุณปู่ก็กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่บดขยี้เธอ”
“ต่อมาลูกรองกับสะใภ้รองมีชีวิตที่ไม่ดีนัก และผู้คนก็นินทาถึงเรื่องนี้กันมากขึ้น การที่เธอตัดสินใจให้ลูกเรื่องการแต่งงาน ส่วนหนึ่งมันเป็นเพราะเรื่องการตายของคุณปู่ เธอครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หนักมาก”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เซี่ยโยว่หมิงก็ถอนหายใจ “พ่อไม่ควรบอกเรื่องพวกนี้กับลูกเลย แต่พ่อไม่อยากให้ลูกกับแม่เกิดช่องว่างความสัมพันธ์เพราะเรื่องนี้”
“แม่เขาเพียงแค่คิดอยากจะให้ครอบครัวอยู่กันได้ดีเท่านั้น”
“แม้ว่าจะดูเหมือนไม่ใส่ใจความคิดเห็นของคนอื่นในหลาย ๆ เรื่อง แต่ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในอดีตของแม่”
เขามองไปที่เซี่ยจิ่งเฉิน “พ่อจะช่วยพูดกับแม่ของลูกให้ ส่วนลูก ถ้าคิดรอบคอบแล้วก็ลงมือทำได้เลย”
หลังจากพูดจบ เขาโบกมือแล้วลุกขึ้นยืน “มันเริ่มดึกแล้ว ทุกคนเข้านอนกันเถอะ”
เซี่ยจิ่งเยว่และคนอื่น ๆ อดไม่ได้ที่จะตาแดงเมื่อได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต
เซี่ยจิ่งเฉินยืนขึ้น และประคองเซี่ยโยว่หมิง “พ่อครับ ผมจะพาพ่อเข้าห้องเอง”
ในระหว่างการต่อสู้กับตระกูลจางวันนี้ เอวของเซี่ยโยว่หมิงได้รับบาดเจ็บ เขาไม่ต้องการไปโรงพยาบาล แปะแค่ปลาสเตอร์บนหลังเท่านั้น
เซี่ยโยว่หมิงไม่ปฏิเสธ และปล่อยให้ลูกชายประคองตัวเองไปที่ประตูห้อง
แต่สุดท้าย ชายชราก็สั่งว่า “ท้ายที่สุดแล้วมันก็เป็นความสัมพันธ์ของคู่รัก พยายามอย่าฝืนจนเกินไป และน้องสาวของลูก อย่าให้พวกเธอต้องเข้ามาพัวพันเลย”
เซี่ยจิ่งเฉินพยักหน้า “ผมเข้าใจแล้วครับ พ่อไม่ต้องห่วง”
…
คืนนี้คนที่นอนไม่หลับเลยคือแม่เฒ่าจางและจางอวี้เจียว
ตั้งแต่แม่ของเธอลากกลับบ้าน ใบหน้าของจางอวี้เจียวก็มืดหม่น และไม่รู้สึกดีขึ้นเลย
เมื่อแม่ของเธอเห็นแบบนี้ก็โกรธทันที “แกคิดบ้างไหมว่าตัวเองทำอะไรลงไป! ฉันบอกให้แกคว้าหัวใจผู้ชายให้ได้มาตลอด แล้วนี่คือวิธีที่แกทำอย่างนั้นเหรอ? สายตาที่เขามองเราวันนี้มันอย่างกับจะกินหัวเราให้ได้!”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ จางอวี้เจียวก็รู้สึกผิดเช่นกัน “ไม่ใช่ว่าแม่ก็รู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเขากับถานจิงเซียนมาก่อนรึไง? เขามีคนรักอยู่ในใจแล้ว หนูจะไปแทนที่ได้ยังไงล่ะ?”
เมื่อเห็นว่าลูกสาวของเธอยังคงดื้อรั้นและสับสน หญิงชราก็รู้สึกปวดหัว “ต่อให้เขามีคนอยู่ในใจแล้วยังไงล่ะ? สุดท้ายแกก็แต่งงานกับเขาไม่ใช่เหรอ? สรุปแล้วแกจำที่ฉันพร่ำบอกไม่ได้เลยรึไง? ไปอิจฉาทั้งวันทำไมกับผู้หญิงที่เขาคบไม่ได้?”
“ยิ่งเรื่องอื่นแล้วไม่ต้องพูดถึงเลย สภาพแวดล้อมครอบครัวของตระกูลเซี่ยดีมาก”
“อย่างน้อยหลายปีที่ผ่านมา ครอบครัวของพวกเขาไม่เคยปฏิบัติกับแกไม่ดีเลย” ขณะที่หญิงชราพูด เธอก็จิ้มหน้าผากของจางอวี้เจียวอย่างดุเดือดด้วยความโกรธ “สี่ปีแล้ว และมันก็ช่างไร้ประโยชน์จริง ๆ แกยังไม่สามารถกุมหัวใจเขาได้เหมือนเดิม!”
“แม่!” จางอวี้เจียวปฏิเสธที่จะยอมรับ “ไม่ใช่แม่เหรอที่ทำเหมือนกับทั้งครอบครัวเราไม่มีเงินน่ะ”
“ไม่ใช่เพราะแม่รึไงที่ต้องการไอ้นั่นวันนี้ หรืออยากได้ไอ้นี่พรุ่งนี้ ถ้าหนูไม่ได้เอาของมาให้ที่บ้านเรา พวกเขาจะทำกับหนูแบบนี้ไหม?”
แม่เฒ่าจางแทบสำลักกับสิ่งที่ลูกสาวพูด เธอพูดอย่างเชื่องช้าว่า “ยังไงก็เถอะ ตอนนี้แกอยู่กับครอบครัวเราก่อนสักสองสามวัน เมื่อความโกรธของพวกเขาลดลงแล้ว ก็ซื้อของไปเพื่อชดเชยซะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ จางอวี้เจียวก็ไม่มีความมั่นใจเลย “แต่วันนี้เซี่ยจิ่งเฉินบอกว่าเขาต้องการหย่ากับหนูให้ได้เลยนะ”
หญิงชราจางดีดหน้าผากลูกสาวของเธออีกครั้ง “นี่ไม่ใช่เพราะว่าเขากำลังโกรธเหรอ?”
“แต่ถ้ามันไม่ได้ผลจริง ๆ ก็ทำเหมือนตอนที่แกตั้งท้องซือเหยียนซะ ชวนเขามากินข้าวที่บ้าน ให้พี่ชายของแกกับคนอื่นทำให้เขาเมา แล้วแกก็ลองตั้งครรภ์อีกครั้ง ดูสิว่าพอถึงตอนนั้นเขาจะยังอยากหย่าอีกไหม?”
สำหรับการหย่าร้างที่จางอวี้เอ๋ออ้อนวอน หญิงชราวางแผนจะเก็บไว้เป็นความลับ
แผนการของเซี่ยชิงหยวนมุ่งเป้าไปที่การตัดความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวน้องสาวอย่างชัดเจน ดังนั้นเธอจะไม่ตกหลุมพรางของอีกฝ่าย
ต้องยอมรับว่าเซี่ยชิงหยวนลงมืออย่างโหดเหี้ยมจริง ๆ
เหมือนคำที่พูดกันว่าหมาที่ไม่แสดงเขี้ยวนั้นกัดจริง ที่ผ่านมาเธอประเมินเซี่ยชิงหยวนต่ำเกินไป
…
ขณะที่แม่เฒ่าจางยังคงฝันถึงเหตุการณ์ในอนาคตที่อาจราบรื่น แต่แล้วเธอก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงเคาะประตูอย่างรวดเร็วในตอนเช้าตรู่
สะใภ้ตระกูลจางไปเปิดประตูพร้อมสาปแช่ง แต่เมื่อเธอเห็นคนที่ยืนอยู่ที่ประตู คำพูดสาปแช่งก็หยุดลงกะทันหัน
“ใครมา?” แม่เฒ่าจางลุกขึ้นมาดู
เมื่อเธอเดินออกจากห้อง ดวงตาก็เบิกกว้างทันที “ตำรวจ…สหายตำรวจ?”
มีตำรวจในเครื่องแบบสองคนยืนอยู่ที่ประตู
พวกเขาถามว่า “นี่คือบ้านของจางฟู่กุ้ยใช่ไหม?”
จางฟู่กุ้ยเป็นชื่อพ่อของจางอวี้เจียว
แม่เฒ่าจางพยักหน้า “ใช่ ใช่”
ตำรวจพูดอีกครั้ง “ตอนนี้จางอวี้เอ๋อต้องสงสัยว่าเป็นชู้ โปรดตามเราไปที่สถานีตำรวจเพื่อสอบปากคำด้วย”
“อะไรนะ?” สะใภ้ตระกูลจางตะโกนทันทีว่า “ไปสถานีตำรวจ?”
แม่เฒ่าจาง ลูกชาย และลูกสาวของเธอ ไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่ลูกสะใภ้ของพวกเขาเลย
หลังจากที่อุทาน ลูกสะใภ้อีกสามคนก็ออกมามองแม่สามีของพวกเธอด้วยความประหลาดใจ
สะใภ้รองของตระกูลจางหัวเราะเยาะ “ในที่สุดกีบไร้ยางอายตัวน้อยก็สะดุดแล้วสินะ”
แม่เฒ่าจางตกใจมากจนรีบปิดปากสะใภ้รอง “แกกำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระอะไรห้ะ!”
แต่ตำรวจได้ยินอย่างชัดเจน
เขาพูดว่า “คุณเป็นใครกับจางอวี้เอ๋อ?”
แม่เฒ่าจางยังคงปิดปากสะใภ้รอง และพูดด้วยรอยยิ้ม “เธอเป็นลูกสะใภ้รองของฉันเอง และจางอวี้เอ๋อคือลูกสาวคนเล็กของฉันน่ะ”
ตำรวจอีกคนที่อยู่ข้าง ๆ พูดว่า “สะใภ้รองคนนี้ควรไปที่สถานีตำรวจกับเราด้วยเพื่อให้ปากคำ”
สะใภ้รองตระกูลจาง “…”
แม่เฒ่าจางมองสะใภ้รองด้วยสายตาขมขื่นแล้วพูดกับตำรวจว่า “สหายตำรวจ เธอไม่รู้อะไรหรอก หากคุณมีคำถามอะไร ถามฉันได้เลยค่ะ”
ตำรวจเหลือบมองเธออย่างเย้ยหยัน “แต่ผมคิดว่าสะใภ้รองสามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้แน่นอน”
จางอวี้เอ๋อกระทำการลอบเป็นชู้ และสิ่งที่สะใภ้รองของตระกูลจางพูดนั้นดูเหมือนเกี่ยวข้องกับข้อมูลละเอียดอ่อน เขารู้สึกด้วยคำพูดของเธอว่าต้องรู้อะไรบางอย่างแน่
หลังจากพูดจบ ตำรวจก็ไม่สนใจความเห็นของพวกเธออีกต่อไป และพูดว่า “พวกคุณเก็บข้าวของเดี๋ยวนี้เลยแล้วมากับเรา เราจะไปถึงเตียนเฉิงบ่ายวันนี้”
แม่เฒ่าจางตกใจมากเมื่อได้ยินประโยคนี้ “อะไรนะ! ไปเมืองเตียนเฉิง?”
ตำรวจพยักหน้า “ใช่ ไปเมืองเตียนเฉิงเพื่อสอบปากคำ”
เนื่องจากตำแหน่งของเหอเส้าหยวน จึงมีผู้คนจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ และเจ้าหน้าที่ระดับสูงก็ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับเรื่องนี้เช่นกัน
เมื่อเช้าได้เอกสารจากเบื้องบนส่งลงมา
แม่เฒ่าจางเป็นเหมือนมะเขือยาวที่ถูกทุบด้วยน้ำค้างแข็ง และร่างกายของเธอก็อ่อนแรงร่วงโรยไปทั้งตัว
เมื่อคืนเธอมั่นใจว่าจะครอบงำตระกูลเซี่ยอย่างช้า ๆ แต่หลังจากผ่านไปคืนเดียวแผนการก็สะดุดซะแล้ว
ในขณะนี้มีเสียงดังมาจากประตูถัดไปไม่ไกล
“จางอวี้เอ๋อถูกจับมันก็ไม่ใช่เรื่องของฉันสักหน่อย ทำไมต้องให้ฉันไปด้วย?”
คนที่พูดคือเพื่อนบ้านที่เคยเล่นสนุกกับจางอวี้เอ๋อ แต่หลังจากจางอวี้เอ๋อหยุดเรียนไปเพื่อให้กำเนิดลูก ทั้งสองก็ขาดการติดต่อกัน
สิ่งที่เพื่อนบ้านร้องคร่ำครวญต่อมา หญิงชราจางไม่มีอารมณ์จะฟังอีกต่อไป
เธอรู้เพียงว่าตอนนี้ทุกอย่างจบลงแล้วจริง ๆ
———————
