กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี – บทที่ 300 วันนี้ทำตัวให้เชื่อฟัง

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

บทที่ 300 วันนี้ทำตัวให้เชื่อฟัง

บทที่ 300 วันนี้ทำตัวให้เชื่อฟัง

เซี่ยชิงหยวนมองทะลุความคิดของแม่สามีเธอได้ในทันที

เธอยิ้มและพูดว่า “แม่คะ ตอนแรกหนูก็ไม่ได้อยากทำผมหรอกค่ะ แต่แม่ลองคิดดูสิคะ ไม่ใช่เพราะว่าอี้โจวกำลังจะไปเป็นข้าราชการใหญ่ในเมืองหลวงของมณฑลที่มีแต่คนระดับสูงอาศัยอยู่หรอกเหรอ ถ้าเราสามคนไม่ดูดีที่สุด มันจะไม่ทำให้อี้โจวลำบากใจเหรอคะ?”

หลังจากฟังคำพูดของเซี่ยชิงหยวนแล้ว หลินตงซิ่วก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ไม่ว่าเธอจะลังเลแค่ไหนก็ตาม

เธอพยักหน้าอย่างแข็งขัน “เอาละ งั้นวันนี้เราสามคนมาทำผมดี ๆ กันนะ!”

เสิ่นอี้หลินถูกจัดให้นั่งบนเก้าอี้ข้างช่างตัดผม เขามองดูแม่ของตัวเองถูกเซี่ยชิงหยวนหลอกด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัว

เฮ้อ ผู้หญิงหนอผู้หญิง

ในเวลานี้ การดัดผมและการย้อมผมได้รับความนิยมในหมู่คนหนุ่มสาวในเมืองใหญ่ แม้แต่ผู้ชายก็มีคนดัดผมจำนวนมากเช่นกัน

เรียกได้ว่าการดัดผมเป็นสัญลักษณ์สำคัญของยุคนี้เลยก็ว่าได้

เมื่อช่างตัดผมกำลังดัดผมของเซี่ยชิงหยวน เธอก็เอาแต่ชมเชย “ผมของคุณสุขภาพดีจริง ๆ คุณต้องมีผมที่ดีแบบนี้ตั้งแต่คุณยังเด็กเลยใช่ไหมคะ?”

เซี่ยชิงหยวนยิ้มและส่ายหัว “ตอนฉันยังเด็ก ผมของฉันมีสีเหลืองน่ะค่ะ เพราะแบบนั้นพ่อแม่จึงโกนหัวฉันหลายครั้งเลย”

เมื่อตอนเป็นเด็ก ผมของเธอบางมาก

หวังผิงกังวลว่าในอนาคตผมของเธอก็จะเป็นแบบนี้ เธอจึงให้เซี่ยอวี้หมิง ซึ่งเป็นพ่อสามีโกนผมของเซี่ยชิงหยวนอยู่หลายครั้ง

สิ่งที่เซี่ยชิงหยวนจำได้คือจนกระทั่งเธออายุสามขวบ ศีรษะของเธอยังคงโล้นอยู่

เมื่อจะต้องถูกโกนศีรษะอีกครั้ง เซี่ยชิงหยวนที่เริ่มรู้ความก็ชักไม่เต็มใจ

ชายชราอุ้มเธอขึ้นมาแล้วพูดว่า “ไม่โกนแล้วก็ได้ ปู่จะไม่โกนหัวของหลานอีกต่อไปแล้วตกลงนะ ปู่จะพาหลานไปเล่นก็แล้วกัน”

ต่อมาเมื่อเธอโตขึ้น ผมที่เหี่ยวเฉาและเหลืองก็ค่อย ๆ กลายเป็นสีดำเงางาม

หวังผิงยังหัวเราะเธอ “สารอาหารทั้งหมดที่ลูกกินไปตั้งแต่เด็กน่าจะถูกเอามาใช้กับเส้นผมของลูกตอนนี้แล้วล่ะ”

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของเซี่ยชิงหยวนก็จางหายไป หญิงสาวเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรอีก

เมื่อช่างตัดผมชโลมครีมบำรุงให้เซี่ยชิงหยวน เธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “คุณอยากจะย้อมผมไปด้วยเลยไหมคะ?”

ช่างตัดผมมองไปที่เซี่ยชิงหยวนในกระจกแล้วพูดว่า “ผิวของคุณขาวมาก ไม่ว่าจะทำผมสีไหนก็น่าจะดูดีหมดเลยค่ะ”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกสนใจ

เธอเคยคิดที่จะย้อมผมของตัวเองอยู่บ้าง

แต่เธอแค่กลัวว่าการดัดและย้อมจะทำให้ตัวเองยิ่งโดดเด่นขึ้น จึงหยุดคิดเรื่องนี้ไป

หลินตงซิ่วนั่งอยู่ในร้านตัดผมแบบนี้เป็นครั้งแรก หลังของหญิงชราตั้งตรงแล้วพูดว่า “ลูกลองทำสักครั้งก็ดีนะ มันน่าจะดูดีเลยล่ะ”

เซี่ยชิงหยวนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ย้อมสีน้ำตาลแดงแล้วกันค่ะ”

ช่างตัดผมหัวเราะ “ได้เลยค่ะ!”

ในที่สุดช่างตัดผมก็ทำให้ผมของเซี่ยชิงหยวนกลายเป็นสีดำอ่อนลงโดยอิงจากสีน้ำตาลแดง ซึ่งทำให้ทั้งหญิงสาวดูเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์มากขึ้น

ผมสีน้ำตาลแดงสยายลงพาดจนเกือบจะถึงเอวของเธอ เมื่อรวมกับใบหน้าที่งดงามของเซี่ยชิงหยวนแล้วก็ยิ่งดูสดใสและน่าดึงดูดอย่างมาก

พนักงานและลูกค้าในร้านตัดผมอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจกับความงามของเซี่ยชิงหยวน

ช่างตัดผมมองที่เซี่ยชิงหยวนและกล่าวชม “มันเหมาะกับคุณมากจริง ๆ ค่ะ ฉันทำงานที่นี่มาหลายปี คุณเป็นลูกค้าที่สวยที่สุดที่ฉันเคยเห็นเลย”

แม้แต่เสิ่นอี้หลินที่ตัดผมเสร็จได้สักพักแล้ว และกำลังเล่นของเล่นอยู่ด้านข้างก็อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้เซี่ยชิงหยวน

เขารู้สึกภาคภูมิใจที่พี่สะใภ้ของตัวเอง สวยมาก!

ส่วนหลินตงซิ่วนั้นทำผมหยิกเหนือหู ดูเรียบร้อยและอ่อนเยาว์กว่าเดิม

เธอมองตัวเองในกระจกและแทบจะจำตัวเองไม่ได้

เซี่ยชิงหยวนยืนข้างหลินตงซิ่ว มองเข้าไปในกระจกแล้วพูดว่า “แม่รูปร่างหน้าตาดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่แค่ก่อนหน้านี้แม่ละเลยที่จะดูแลตัวเองเท่านั้นเอง ไม่แปลกใจเลยที่อี้โจวกับอี้หลินโตขึ้นมาดูดี แท้จริงแล้วได้มาจากแม่นี่เอง” บราวนี่ออนไลน์

หลินตงซิ่วหน้าแดงเมื่อเซี่ยชิงหยวนพูดเอาใจ

เธอมองตัวเองในกระจกอย่างเขินอายแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “แม่แก่แล้ว ลูกสะใภ้ของแม่สิสวยมากเลย”

เสิ่นอี้หลินเองก็แอบยิ้มอยู่ข้าง ๆ พี่สะใภ้เพิ่งชมเขาว่าหน้าตาดีแค่ไหนเชียวนะ

เมื่อทั้งสามกลับไป เสิ่นอี้โจวก็อยู่ที่บ้านแล้ว

เขานั่งอยู่บนโซฟาถือโทรศัพท์อยู่ในมือและคุยสายไปด้วย

เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู เขาก็หันไปมองและลืมคำพูดไปชั่วขณะ

จนกระทั่งปลายสายของโทรศัพท์เรียกหาเขาหลายครั้ง ชายหนุ่มจึงได้สติและกลับไปสนทนาเหมือนเดิม

เซี่ยชิงหยวนกลั้นหัวเราะของตัวเอง และหันหลังกลับเข้าไปในห้องโดยไม่ทักทายเขา

หลังจากนั้นไม่นาน เสิ่นอี้โจวก็เดินตามเข้าไปในห้อง

เขากอดเธอจากด้านหลัง อิงแอบที่คอและไหล่ของหญิงสาว “ภรรยาของผมทำไมวันนี้ถึงสวยขนาดนี้ล่ะเนี่ย?”

เซี่ยชิงหยวนจงใจล้อเขา “คุณหมายถึงก่อนหน้านี้ฉันไม่สวยเหรอ?”

เสิ่นอี้โจวกอดเธอแน่น พลางหันไปมองหาริมฝีปากของคนตรงหน้า

“คุณสวยตลอดเวลานั่นแหละ แต่สวยแบบวันนี้ผมไม่เคยเห็นมาก่อน มันน่าทึ่งจริง ๆ”

และทั้งสองคนก็จูบกันอย่างเร่าร้อนทันพลัน ถ้าตั้งใจฟังให้ดีจะได้ยินเสียงกลืนน้ำลาย

ในที่สุดเซี่ยชิงหยวนก็เลี่ยงเขาด้วยรอยยิ้ม “ช่วงนี้อย่าเพิ่งมายุ่งกับฉันเลย”

เสิ่นอี้โจวรู้สึกงุนงง “ผมทำไม่ได้เลยจริง ๆ เหรอ?”

ขณะที่เขาพูด ร่างกายส่วนล่างของเขากลับมีปฏิกิริยาบางอย่าง

เสิ่นอี้โจว “…”

เขาจับเธอไว้ด้วยฝ่ามือใหญ่เพื่อไม่ให้เธอขยับไปไหน “ทั้งหมดเป็นเพราะคุณสวยมากจนผมอดใจไม่ไหวจริง ๆ”

อันที่จริงเมื่อเขาเข้ามาในห้องตอนแรก เขายังอดกลั้นได้ไม่มีปัญหา แต่พอได้จูบเท่านั้นแหละ เขาก็รู้สึกห้ามใจตัวเองไม่อยู่เลย

เซี่ยชิงหยวนตบมือที่กำลังลูบคลึงทรวงอกของเธอ และพูดว่า “วันนี้ฉันเพิ่งทำผมมาน่ะ ไม่ควรให้เหงื่อออกจะดีที่สุด”

เธอผละออกจากอ้อมแขนของเขาแล้วพูดต่อ “วันนี้ทำตัวให้เชื่อฟังหน่อยนะ”

———————

บทที่ 294 ไม่มีใครอยากที่จะรักษารูปลักษณ์แห่งสันติภาพ

บทที่ 294 ไม่มีใครอยากที่จะรักษารูปลักษณ์แห่งสันติภาพ

เซี่ยชิงหยวนไม่คิดเลยว่าเสิ่นอี้โจวจะพาเธอขึ้นมาที่ภูเขา

บ้านส่วนใหญ่ในเมืองเตียนเฉิงสร้างขึ้นบนเนินเขา และยังมีบ้านอยู่บนยอดเขาด้วยซ้ำ

ประชาชนในพื้นที่และภาครัฐได้เปิดถนนแล้ว แต่ถนนยังเป็นลูกรัง ซึ่งไม่สามารถขับรถเร็วได้

ห่างจากยอดเขาสองถึงสามร้อยเมตร ทั้งสองลงจากรถแล้วเดินขึ้นไป

หลังจากผ่านป่าแห่งหนึ่ง ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนก็เปิดขึ้นทันที มีหญ้าเขียว ๆ และดอกไม้ป่าหลากสีสันที่ไม่รู้จักมากมายบานสะพรั่ง พระอาทิตย์อัสดงเอียงไปทางไหล่เขาพลางส่องแสงสีทอง

เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะอุทาน “ทิวทัศน์สวยมากเลย!”

เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “ผมเคยผ่านมาที่นี่ครั้งหนึ่งโดยบังเอิญน่ะ และคิดว่ามันค่อนข้างสวยทีเดียว”

เซี่ยชิงหยวนสูดหายใจเข้าลึก เอาอากาศบริสุทธิ์บนภูเขาเข้าปอด และพยักหน้า “ดีมากจริง ๆ”

จากนั้นเธอหันกลับไปมองที่เสิ่นอี้โจวด้วยดวงตาเป็นประกาย “ฉันมีความสุขมากค่ะ”

เสิ่นอี้โจวพาเธอไปที่ก้อนหินขนาดใหญ่แล้วนั่งลง ที่ด้านล่างนั่นคือฉากของเทือกเขาที่เรียงตัวกันและมีกลิ่นหอมจาง ๆ ของดอกไม้อยู่ทั่ว ทั้งยังมีนกบินอยู่ตามภูเขาส่งเสียงร้องออกมา

เมื่อมองดูทิวทัศน์ที่สวยงามตรงหน้า เซี่ยชิงหยวนก็พิงไหล่ของเสิ่นอี้โจว

เธอเงยหน้าขึ้นมองเขา เห็นเพียงขากรรไกรที่ขบแน่น และริมฝีปากเม้ม

เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกมาจิ้มแก้มของเขา “คุณยังกังวลว่าฉันจะไม่มีความสุขอีกเหรอ? ดูสิ คุณยังทำหน้าบูดบึ้งอยู่เลย”

เสิ่นอี้โจวคว้ามือที่เย้าแหย่ของเธอแล้วจ้องมอง “เพียงคุณมีความสุขเท่านั้นผมถึงจะมีความสุข”

เขาพูดพร้อมกับจูบหลังมือของภรรยา “หรือตราบใดที่ผมยังได้เห็นคุณอยู่ ผมก็มีความสุขเหมือนกัน”

เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยชิงหยวนก็อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลง

มันดีจริง ๆ…

เมื่อเห็นเธอเป็นแบบนี้ เสิ่นอี้โจวก็เชยคางของหญิงสาวขึ้นและยิ้ม “คุณเขินเหรอ?”

เซี่ยชิงหยวนเกร็งคอแล้วตอบว่า “แล้วยังไงเล่า”

ทันใดนั้นเขาก็เข้ามาใกล้ และกระซิบข้างหูของเธอ “ผมยังไม่ทันได้เริ่มจูบคุณเลย”

เซี่ยชิงหยวน “!”

เธอเอามือห้ามเขาแล้วรีบพูด “ที่นี่เป็นพื้นที่ของคนอื่นนะ อย่ามาทำตัวยุ่มย่ามตรงนี้สิ”

แถวนี้มีรถผ่านอยู่เรื่อย แถมยังมีคนเดินตามทางอีกต่างหาก

ที่รถก็มีเด็ก ๆ หลายคนวิ่งออกมาดูด้วยความตื่นเต้น

เสิ่นอี้โจวจับเอวของเธอให้เอนตัวไปข้างหลัง “ไม่เป็นไร นอนลงเถอะ”

เซี่ยชิงหยวน “?”

วินาทีต่อมาเธอก็ถูกเสิ่นอี้โจววางลงบนพื้นหญ้าแล้ว

เมื่อเธอนอนราบ เหล่าต้นดอกไม้ที่เคยสูงต่ำกว่าเข่าของหญิงสาวก็ปกคลุมเธอจนมิดทันที อย่างเดียวที่มองเห็นคือท้องฟ้าเบื้องบน พร้อมกับเสิ่นอี้โจวที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม

เธอได้ยินเขาพูดว่า “ต่อไปผมจะจูบคุณแล้วนะ”

ขณะที่เขาพูด ชายหนุ่มคนนี้ก็ก้มศีรษะลงบดบังการมองเห็นของเธอ

เซี่ยชิงหยวนจับหญ้าใต้ร่างของเธอโดยไม่รู้ตัว แต่ด้วยแรงที่มากเกินไป หญ้าก็ถูกถอนออก

เซี่ยชิงหยวน “…”

เอ่อ… อารมณ์ร้อนแรงจนฆ่าหญ้าได้เลยแหะ

โชคดีที่เสิ่นอี้โจวไม่ได้สร้างปัญหานานเกินไป เขาจูบเธอเพียงครู่เดียวแล้วดึงเธอขึ้นมา

เขาปัดเศษหญ้าออกจากผมของเธออย่างระมัดระวัง และอุ้มหญิงสาวไว้ในอ้อมแขนของเขา

“เมื่อพระอาทิตย์ตกดินเราค่อยกลับบ้านกันนะ”

เซี่ยชิงหยวนพูด “อืม” เบา ๆ และซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างเชื่อฟัง

ในเวลานี้พระอาทิตย์ได้ลับไปแล้วถึงครึ่งทางของภูเขา สร้างฉากเมฆสีแดงปรากฏบนท้องฟ้า

เซี่ยชิงหยวนมองไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังตกแล้วพูดว่า “อี้โจว ฉันมีความสุขจัง ฉันเพิ่งค้นพบว่าการเกิดใหม่ ไม่ได้หมายความว่าฉันจะสามารถมีอำนาจได้ทุกอย่าง และอยู่ยงคงกระพัน แต่การเกิดใหม่นั้นเป็นปาฏิหาริย์ในตัวมันเองอยู่แล้ว มันคือการฝืนกฏสวรรค์ ทำให้ฉันสามารถเปลี่ยนชะตาชีวิตของตัวเองไม่ให้เป็นแบบเดิมได้”

เสิ่นอี้โจวกอดเธอแน่น “ผมมีความสุขมากที่คุณสามารถคิดได้อย่างชัดเจนแล้วนะ”

ก่อนหน้านี้เขากังวลว่าเซี่ยชิงหยวนจะยังไม่พอใจกับเงื่อนไขที่เซี่ยจิ่งเฉินต้องแลกเพื่อการหย่าร้าง

เซี่ยชิงหยวนแสร้งทำเป็นโกรธและตะคอกเขา “ฉันไม่ใช่คนโลภหรือคิดไม่ได้ขนาดนั้นสักหน่อย”

“แค่พี่รองสามารถหย่าร้างและกำจัดเห็บดูดเลือดอย่างตระกูลจางออกไปได้ แค่นั้นฉันก็พอใจแล้ว”

“นอกจากนี้ในฐานะน้องสาวอย่างฉัน ฉันก็ทำได้เพียงช่วยเหลือเขาถึงแค่ตรงนี้เท่านั้นแหละ”

สำหรับหนทางข้างหน้า ถ้าเซี่ยจิ่งเฉินขอความช่วยเหลือจากเธออีก หญิงสาวก็จะช่วยเขาแค่ภายในขอบเขตความสามารถของตัวเอง แต่ถ้าเขาไม่พูดอะไร เธอก็จะขอพรให้เขาแทน

“มอบให้พวกเขาเหรอ?” หวังผิงเลิกคิ้วและมองเซี่ยจิ่งเฉินด้วยความโกรธ

เซี่ยจิ่งเฉินขมวดคิ้วและพยักหน้า “ครับ”

หวังผิงโกรธมากจนดวงตามืดลงอีกครั้ง เซี่ยจิงเยว่จึงรีบช่วยประคองเธอนั่งลง

หวังผิงชี้ไปที่เซี่ยจิ่งเฉินแล้วดุว่า “แกเป็นพ่อแท้ ๆ แกทำอย่างนี้ได้ยังไง! แกให้ถงถงไปกับครอบครัวนั่น มันก็เท่ากับส่งหลานของฉันไปเผชิญกับความทรมานไม่ใช่เหรอ!”

“ไปบอกพวกเขาให้ชัด ๆ ถงถงต้องถูกเลี้ยงในครอบครัวของเราเท่านั้น!”

เซี่ยจิ่งเฉินยังคงนั่งนิ่ง “แม่ ไม่ว่ายังไงซะ จางอวี้เจียวก็เป็นแม่ของเด็กเหมือนกัน ผมไม่สามารถแย่งลูกทั้งสองคนมาได้ทั้งหมดหรอกนะ”

“ไม่ว่าแกจะคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันก็ไม่สมเหตุสมผล!”

แต่ถ้าเซี่ยซือถงไปกับตระกูลจาง และมีชีวิตที่ไม่ดีหลังจากนี้ เขาจะมีข้ออ้างที่มีน้ำหนัก และมีสิทธิ์ชอบธรรมที่จะขอให้เด็กกลับมา

เมื่อเห็นว่าเซี่ยจิ่งเฉินทำเหมือนไม่สะทกสะท้าน หวังผิงเงยหน้าขึ้นและทุบไหล่ลูกชายของเธอ “แก… แกพยายามทำให้แม่โกรธจนตาย! แกไปเอาใบหย่าลับหลังแม่ แถมยังมอบลูกคนหนึ่งให้กับครอบครัวนั่นด้วย!”

จากนั้นเธอชี้ไปที่เซี่ยโยว่หมิงและคนอื่น ๆ “พวกเธอก็รู้เรื่องนี้เหมือนกันใช่ไหม? ทุกคนรวมหัวกันปิดบังฉันใช่ไหม?”

เซี่ยจิ่งเยว่ได้ยินจากกงเหลียนซินในภายหลังว่าเซี่ยจิ่งเฉินไปที่สำนักงานกิจการพลเรือน และเมื่อเซี่ยจิ่งเฉินกลับมา การหย่าร้างก็ทำอย่างเสร็จสมบูรณ์ไปแล้ว

แน่นอนเขาไม่มีทางให้กงเหลียนซินเดือดร้อน ดังนั้นเขาจึงพูดแทนว่า “แม่ การหย่าร้างเป็นสิ่งที่แน่นอนอยู่แล้วนะ มันคือข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนไม่ได้ ต่อให้ไม่มีใครในพวกเราปิดบัง มันก็ยังจะเกิดขึ้นอยู่ดี”

หวังผิงไม่เคยคาดคิดว่าแม้แต่ลูกชายคนโต ซึ่งมักจะมีความกตัญญูและเชื่อฟังที่สุดกลับพูดแทนเซี่ยจิ่งเฉิน เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าเสียใจ “เอาล่ะ ตกลง พวกแกโตแล้วนี่นะ มีความคิดของตัวเอง ฉันไม่สามารถควบคุมพวกแกได้อีกต่อไป”

เซี่ยโยว่หมิงซึ่งนิ่งเงียบมาตลอดอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ลูก ๆ ของคุณโตขึ้นแล้ว คุณควรจะตระหนักเรื่องนี้ได้นานแล้วนะ ไม่ใช่ว่าคุณไม่สามารถควบคุมพวกเขาได้ แต่พวกเขาแค่มีความคิดของตัวเอง และอยากใช้ชีวิตตามที่ตนต้องการ คุณไม่สามารถช่วยพวกเขาได้ไปตลอดชีวิตหรอก”

“นอกจากนี้ หากคุณให้พวกเขาทำตามความต้องการของคุณทั้งหมด แล้วผลลัพธ์คือในอนาคตพวกเขามีชีวิตที่เลวร้าย เวลานั้นพวกเขาควรจะโทษคุณหรือโทษตัวเองดีล่ะ ที่ไม่ยืนกรานในความต้องการของตัวเองตั้งแต่แรก?”

“คุณสามารถตัดสินใจแทนพวกเขาได้ แต่คุณใช้ชีวิตแทนพวกเขาได้งั้นเหรอ?”

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เนื่องจากการหย่าร้างของเซี่ยจิ่งเฉินทำให้เซี่ยโยว่หมิงดูแก่มากขึ้นเช่นกัน

เขาสัมผัสกระเป๋าเสื้อที่มักใส่บุหรี่ไว้เป็นนิสัยแล้วถอนหายใจ “พ่อแม่และลูกมีโชคชะตาผูกกัน แต่หน้าที่ของเราคือเลี้ยงดูพวกเขา แล้วดูพวกเขาจากไป”

“เมื่อไหร่ที่เรากำลังจะจากไป พวกเขาค่อยกลับมาส่งเรา”

“ลูกย่อมมีหลาน หลานย่อมมีเหลน และจากนั้นก็มีทายาทสืบต่อไปอีก การคิดถึงพวกเขาทั้งหมดเป็นการทำมากเกินไป ซึ่งมันจะทำให้คุณรู้สึกว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไปด้วยดีตลอด”

หวังผิงฟังคำพูดของเซี่ยโหย่วหมิง และพูดไม่ออกเป็นเวลานาน

ทุกคำพูดที่เขาพูดเหมือนเข็มแทงเข้าไปในใจเธอ

แผลใจในอดีตอันน่าเกลียดที่เธอพยายามปกปิดนั้นถูกเปิดเผยต่อหน้าทุกคน

ภาพด้านเดียวที่เธอพยายามรักษาไว้ต่อหน้าสามีและลูก ๆ มานานหลายปีก็พังทลายลง

ไม่มีใครอยากที่จะรักษารูปลักษณ์แห่งสันติภาพนี้อีกต่อไป

หญิงชราลุกขึ้นยืนราวกับว่าไม่มีเรี่ยวแรงทั่วร่างกาย “ฉันเหนื่อยนิดหน่อย ฉันขอเข้าไปพักผ่อนก่อนนะ”

ขณะที่พูด เธอก็เดินโซเซเข้าไปในห้องแล้วปิดประตูลง

บทที่ 288 สอบปากคำ

บทที่ 288 สอบปากคำ

เมื่อเห็นว่าแม่เฒ่าจางและสะใภ้รองยังคงงุนงง ตำรวจจึงเร่งเร้า “ไปเก็บข้าวของของคุณโดยเร็วซะ แล้วมากับเราทันที!”

แม่เฒ่าจางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากตอบ “ได้ ได้”

หญิงชรากลับเข้าไปในห้อง เป็นขณะเดียวกับที่จางอวี้เจียวเดินออกมาพอดี เมื่อออกมาเธอก็แปลกใจที่เห็นตำรวจยืนอยู่ข้างหลังแม่ของตัวเอง

เธอระงับความตกตะลึงแล้วมองดูแม่ของตน

แม่เฒ่าจางโบกมือให้จางอวี้เจียวเข้ามาหาใกล้ ๆ แต่ตำรวจห้ามเธอด้วยมือของเขา “ถ้ามีอะไรจะพูดก็พูดต่อหน้าผมเลย คุณไม่สามารถพูดถึงคดีนี้เป็นการส่วนตัวได้”

เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูดกับจางอวี้เจียว “มีบางอย่างเกิดขึ้นกับน้องสาวลูกน่ะ วันนี้แม่จะไปที่เตียนเฉิงกับตำรวจ ลูกอยู่ที่บ้านนะ และช่วยพี่น้องของลูกจัดบ้านให้เรียบร้อย จากนั้นก็รีบไปที่บ้านสามีของลูกซะ”

เธอพูดได้เพียงเท่านี้ ไม่รู้ว่าจางอวี้เจียวจะเข้าใจหรือเปล่า

ซึ่งจางอวี้เจียวเข้าใจทันที

เธอพยักหน้าและพูดว่า “ค่ะแม่ หนูรู้แล้วไม่ต้องห่วง”

จากนั้นแม่เฒ่าจางจึงเดินออกจากบ้านทีละก้าว

ความจริงแล้ว เธอต้องการกระซิบสั่งจางอวี้เจียวให้หย่ากับเซี่ยจิ่งเฉินทันที จากนั้นค่อยขอร้องครอบครัวเซี่ยให้ปล่อยจางอวี้เอ๋อไป

แต่เธอทำไม่ได้

ถ้าเธอพูดแล้วตำรวจได้ยิน อาชญากรรมของจางอวี้เอ๋อจะได้รับการยืนยันทันที

เธอทำได้เพียงรอให้ไปถึงเมืองเตียนเฉิงแล้วหาโอกาสโทรกลับมา ซึ่งหญิงชราหวังว่าจะยังพอทันเวลา

แม่เฒ่าจางและสะใภ้รองเดินออกนอกบ้าน รถตำรวจจอดอยู่ด้านนอก และผู้คนจำนวนมากกำลังเฝ้าดูอยู่

มีชาวบ้านถามกันว่า “แม่เฒ่าจาง คนในครอบครัวของเธอคนไหนที่ก่ออาชญากรรมเหรอ?”

แม่เฒ่าจางก้มศีรษะลง และไม่พูดอะไร แต่หญิงสาวเพื่อนบ้านตะโกนด้วยความโกรธเคือง “จะเป็นใครได้อีกถ้าไม่ใช่จางอวี้เอ๋อ! มันคงสร้างปัญหาข้างนอกแน่ ๆ แล้วพานซวยมาถึงฉันที่ต้องถูกพาตัวไปให้ปากคำเนี่ย!”

ทันทีที่เธอพูดจบ ตำรวจที่อยู่ข้างหลังก็หยุดเธอไว้ “ช่วยอย่าพูดเรื่องไร้สาระด้วย”

สะใภ้รองจางเองก็มีสีหน้าไม่สู้ดีเหมือนกับหญิงสาวเพื่อนบ้านเช่นกัน

ถ้าเธอรู้ก่อนคงไม่พูดประโยคนั้นตามใจปากตัวเองแน่!

ดูเหมือนชาวบ้านจะไม่แปลกใจกับคำตอบของหญิงสาวเพื่อนบ้านเลย

พวกเขาส่ายหัวแล้วกลับเข้าบ้านไป

เมื่อตำรวจเห็นเหตุการณ์นี้ ต่างก็คาดเดาอะไรบางอย่างได้ในใจ และวางแผนจะรายงานเรื่องนี้หลังจากกลับไปที่สถานีตำรวจ

เมื่อแม่เฒ่าจางและคนอื่น ๆ ขึ้นรถ แม่เฒ่าจางก็ต้องการถือโอกาสพูดคุยกับหญิงสาวเพื่อนบ้านสักสองสามคำ แต่ถูกตำรวจขัดจังหวะ “ผมบอกไปแล้วไงว่าอย่าพูดคุยกันถ้าไม่จำเป็น ทำไมตอนนี้ถึงลืมคำพูดของผมแล้วล่ะ?”

หญิงสาวเพื่อนบ้านพ่นลมหายใจเยาะเย้ยเมื่อเห็นแม่เฒ่าจางถูกตำหนิ ก่อนจะหันหน้าหนีไปโดยไม่สนใจว่าแม่เฒ่าจางจะกะพริบตาใส่เธอครั้งแล้วครั้งเล่า

ในตอนแรก เธอกับจางอวี้เอ๋อเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน พวกเธอมักจะไปและกลับจากโรงเรียนด้วยกัน ซึ่งพวกเธอรู้ความลับมากมายของกันและกัน

แต่แล้ววันหนึ่งจู่ ๆ จางอวี้เอ๋อก็หายตัวไป

เธอถามครู และครูบอกว่าครอบครัวของจางอวี้เอ๋อขอให้เด็กหญิงลาออก

เมื่อเธอไปที่บ้านตระกูลจางเพื่อถามแม่เฒ่าจาง เธอกลับถูกแม่เฒ่าจางด่ากราดใส่หน้า “จู่ ๆ หายไปที่ไหน? อวี้เอ๋อของฉันแค่ไปอยู่บ้านญาติ ทำไมเด็กอย่างแกถึงพูดเรื่องไร้สาระได้ขนาดนี้ห้ะ!”

เมื่อเห็นพฤติกรรมของแม่เฒ่าจางที่ดุว่าเธอทั้ง ๆ ที่มาถามด้วยความเป็นห่วง ตั้งแต่นั้นมาเธอก็เกลียดแม่เฒ่าจางทันที

ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่จางอวี้เอ๋อกลับมา จางอวี้เอ๋อก็หมางเมินเธอ และหญิงสาวก็ไม่ชอบจางอวี้เอ๋ออีกต่อไป

เมื่อเห็นทัศนคติของหญิงสาวเพื่อนบ้าน หัวใจของแม่เฒ่าจางก็จมดิ่งลงไปอีก

มิตรภาพในอดีตของหญิงสาวคนนี้กับจางอวี้เอ๋อ อีกฝ่ายต้องรู้เกี่ยวกับการมีอยู่ของหนี่เจิ้งแน่ หากหญิงสาวคนนี้สารภาพกับตำรวจเรื่องหนี่เจิ้ง ตำรวจจะสอบสวนเหตุการณ์นั้นอย่างแน่นอน!

ในร้านตรอกเก่า เซี่ยชิงหยวนนั่งอยู่หลังตู้กระจก หลังจากออกไปพบกลุ่มแขกตอนเที่ยง และกำลังคำนวณรายได้อย่างขะมักเขม้น

นับตั้งแต่เกิดเพลิงไหม้เมืองฝูเถียน พื้นที่หลายแห่งในมณฑลยูนนานก็ได้ร้องขอการทำฝนเทียมเพื่อช่วยภัยแล้งเหมือนกับเมืองฝูเถียน

เพียงแต่หลายพื้นที่มีปัจจัยไม่อำนวย และงานฝนเทียมก็ไม่ราบรื่น

ในช่วงสองเดือนที่ผ่านมามีฝนตกเพียงเล็กน้อย ซึ่งพอบรรเทาสภาพอากาศแห้งได้เพียงประปรายเท่านั้น ดังนั้นราคาอาหารประเภทผักและเนื้อสัตว์ จึงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ราคาสลัดเย็นในร้านตรอกเก่าเพิ่มขึ้นเพียงครั้งเดียว และเซี่ยชิงหยวนไม่เคยขึ้นราคาอีกเลย

ราคาที่เธอตั้งนั้นสูงอยู่แล้ว ถ้าขึ้นราคาอีกก็อาจจะพอ ๆ กับราคาอาหารจานหลักประเภทเนื้อสัตว์เลย

เซี่ยชิงหยวนวางแผนที่จะรอดูสักพักโดยหวังว่าจะมีฝนตกหนัก

เธอวางลูกคิดไว้ข้าง ๆ และผลลัพธ์ก็ออกมา

ก่อนอื่นเลย ในร้านตรอกเก่าที่มีกำไรเฉลี่ยต่อวันห้าสิบหยวนนั้น น้อยกว่าตอนที่ธุรกิจยังดีเกือบหนึ่งในสาม

นอกจากนี้ยังมีธุรกิจเสื้อผ้าด้วย ซึ่งจำนวนเสื้อผ้าฤดูร้อนดั้งเดิมเหลือเพียงไม่กี่โหลและเสื้อผ้าฤดูใบไม้ร่วงก็ขายหมดไปแล้ว นับตั้งแต่ตอนที่เสิ่นอี้โจวออกจากโรงพยาบาลจนถึงตอนนี้ เธอมีรายได้รวมมากกว่าสามพันหยวน

หญิงสาวมองดูบัญชีที่อยู่ตรงหน้า เธอจมอยู่กับความคิด

ถ้าอาจารย์มาถึงช่วงนี้จะทำยังไง เธอยังมีเงินน้อยกว่าสองหมื่นหยวนอีก แต่กลับบอกให้เขาทำธุรกิจหยกงั้นเหรอ?

เขาจะต้องฟาดเธอด้วยไม้แน่ ๆ

ในช่วงนี้เธอยุ่งอยู่กับเรื่องครอบครัว ธุรกิจเสื้อผ้าได้รับความช่วยเหลือจากอาเซียงและอาจ้วงเป็นหลัก แต่สองพี่น้องเป็นพวกหน้าบางและพวกเขาไม่ได้เอาชุดชั้นในที่ซื้อมาจากเมืองกว่างโจวออกมาขายเมื่อครั้งที่แล้ว

ดูเหมือนว่าเธอยังคงต้องออกไปขายเองบ้าง

การสวมชุดชั้นในที่มีลักษณะเสริมทรวดทรง สามารถเพิ่มขนาดหน้าอกได้อย่างน้อยครึ่งไซส์

เพียงแต่ถ้าเธอไม่มีการควบคุมและขายมันไปอย่างโจ่งแจ้ง แล้วบอกกลุ่มเด็กสาวหรือหญิงสาวถึงเรื่องพวกนี้ เธอจะไม่ถือเป็นอันธพาลหญิงเหรอ?

เซี่ยชิงหยวนกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่แล้วก็มีเสียงเรียกมาจากประตู “ขออภัยครับ คุณนายเซี่ยอยู่ที่นี่หรือเปล่าครับ?”

เธอเงยหน้าขึ้นและเห็นตำรวจในเครื่องแบบ

เธอวางสมุดบันทึกลงก่อนจะยืนขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สวัสดี ฉันเองค่ะ”

ตำรวจหนุ่มตื่นตาตื่นใจกับรอยยิ้มของเซี่ยชิงหยวนทันทีที่เห็น

ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทำไมเพื่อนร่วมงานหลายคนในสถานีตำรวจถึงอยากเปลี่ยนหน้าที่นี้กับเขาเมื่อตนได้รับการมอบหมายนี้

เขาไม่กล้าคิดมากเกินไปและตอบว่า “ขออภัยด้วยครับ คุณรู้จักจางอวี้เอ๋อไหมครับ?”

เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “รู้จักค่ะ”

ตำรวจหนุ่มกล่าวว่า “จางอวี้เอ๋อเกี่ยวข้องกับคดีอุกฉกรรจ์ โปรดตามผมไปที่สถานีตำรวจเพื่อให้ปากคำทีนะครับ”

เซี่ยชิงหยวนบีบข้อมือของเธอแล้วตอบว่า “ได้ค่ะ”

เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ เจียงเพ่ยหลานกับคนอื่น ๆ ก็หยุดเธออย่างรวดเร็ว และมีสีหน้าตื่นตระหนก “ชิงหยวนเกิดอะไรขึ้น?”

เซี่ยชิงหยวนยังดูใจเย็นเหมือนเดิม “ไม่เป็นไร ฉันแค่จะไปช่วยในการสืบสวนน่ะ”

ตำรวจหนุ่มยังกล่าวอีกว่า “ใช่ครับ มันเป็นแค่ขั้นตอนปกติ เราเพียงแค่จะถามไม่กี่คำถามเท่านั้น…กระทั่งเลขาธิการเสิ่นและคนอื่นก็ต้องไปสถานีตำรวจเหมือนกันครับ

อันที่จริงเขาไม่ควรพูดประโยคนี้ แต่อีกฝ่ายเป็นภรรยาของเลขาธิการเสิ่น และเธอก็สวยมาก ดังนั้นเขาจึงพลั้งปากบอกเธอเพราะความตื่นเต้น

เจียงเพ่ยหลานพยักหน้าอย่างเข้าใจและพูดว่า “ไม่ต้องกังวลนะ เราจะดูแลร้านเอง”

ระหว่างทางไปสถานีตำรวจ เซี่ยชิงหยวนแสร้งทำเป็นสบาย ๆ และถามตำรวจชั้นผู้น้อยคนนั้นว่า “คนจำนวนมากน่าจะถูกเรียกตัวมาวันนี้ใช่ไหมคะ?”

เสิ่นอี้โจวออกนอกบ้านแต่เช้า และทั้งคู่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันเป็นพิเศษ

เธอเพิ่งได้ยินเขาพูดอะไรบางอย่างเมื่อวานนี้เอง และการสอบสวนก็เริ่มต้นในวันนี้แล้ว เธอยังไม่มีเวลาถามเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเฉพาะเจาะจงเลย

ตำรวจชั้นผู้น้อยไม่สงสัยเลยว่าเธอกำลังโยนหินถามทางอยู่ และเขาก็พูดทุกอย่างภายในขอบเขตที่สามารถพูดได้ “ใช่ครับ เลขาธิการเสิ่นและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายคนถูกเชิญมาตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว นอกจากนี้ยังมีพนักงานหลายคนของศาลากลางที่มีการติดต่อใกล้ชิดกับจางอวี้เอ๋อถูกเรียกตัวมาด้วยครับ”

เขาลดเสียงลง “ผมได้ยินมาว่ามีเอกสารที่ออกเมื่อคืนนี้ไปที่บ้านของจางอวี้เอ๋อด้วย เพื่อส่งต่อให้คนในครอบครัวของเธอเมื่อเช้านี้ และน่าจะมาถึงในช่วงบ่ายครับ”

เซี่ยชิงหยวนริมฝีปากกระตุก แบบนี้มันก็มีแนวโน้มมากที่เธอจะได้พบกับตระกูลจางสินะ?

เธอรอคอยที่จะได้เจอคนพวกนั้นจริง ๆ

———————

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

Status: Ongoing
หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ประสบอุบัติตุจนเสียชีวิต และเธอก็ได้ย้อนไปตอนที่เธออายุ 21 ปี …ลับมาครั้งนี้เธอจะไม่ยอมหย่ากับเสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธออีกเด็ดขาด! หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ช่วยเด็กชายคนหนึ่งเอาไว้จนประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ปีแล้วปีเล่าผ่านไป เสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธอก็มักจะมายี่ยมหลุมศพของเธอประจำ เธอในร่างวิญญาณออกปากไล่เขาทุกครั้งต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ยิน เขาจำไม่ได้เลยหรืออย่างไร ว่าเธอทำอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่แล้วเธอก็ได้ย้อนกลับมาใน ในวันที่เธออายุ 21 ปี แลยังไม่ได้หย่าขาดกับเสิ่นอี้โจว ในเมื่อเธอได้โอกาสอีกครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมหย่าเด็ดขาด ครั้งนี้เธอจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับเสิ่นอื้โจวได้จงได้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท