บทที่ 304 ชื่อของเขาคือฉีจิ่นจือ
บทที่ 304 ชื่อของเขาคือฉีจิ่นจือ
ทันทีที่เห็นเซี่ยชิงหยวน ฉินซูอวี้ก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองเตียนเฉิง ความทรงจำที่เธอต้องการลบมากที่สุดในชีวิต
ถ้าไม่ใช่เพราะเซี่ยชิงหยวน เธอคงไม่ตกต่ำมากขนาดนี้
ไม่ว่าเธอจะยังชอบเสิ่นอี้โจวหรือไม่ เธอก็ไม่ต้องการเห็นเซี่ยชิงหยวนยืนอยู่เหนือตัวเอง
แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าทำได้เธอก็อยากจะทุบตีเซี่ยชิงหยวนจริง ๆ เพื่อบรรเทาความเกลียดชังในใจ
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็เลิกคิ้วขึ้น
ประกาศแต่งงาน?
ข่าวนี้เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดสำหรับเซี่ยชิงหยวน
เดิมทีเธอคิดว่าเซี่ยจื่ออี้จะไม่ลงหลักปักฐานเร็วขนาดนี้เสียอีก
เซี่ยจื่ออี้หัวเราะ “มันยังไม่ได้รับการยืนยันสักหน่อย เธออย่าเพิ่งพูดไปทั่วแบบนี้สิ”
เธอเหลือบมองเซี่ยชิงหยวนโดยไม่รู้ว่าเป็นการอวดหรืออะไร “ไม่งั้นอาจทำให้ผู้คนหัวเราะเอาได้”
แต่ฉินซูอวี้ก็พูดแทรกไปแทบจะทันที “ก็ลุงฉีเป็นคนบอกเองว่าเมื่อไหร่ที่ลูกชายคนเล็กของเขากลับมา เขาจะจัดงานหมั้นให้เธอ เขายังชื่นชมเธอที่เป็นคนมีการศึกษาและมีเหตุผลด้วยนี่ มันจะเป็นพรอย่างยิ่งสำหรับใครก็ตามที่แต่งงานกับเธอ และได้มีเธอเป็นลูกสะใภ้ของพวกเขาเชียวนะ!”
เซี่ยชิงหยวนนั่งข้าง ๆ ดูละครฉากนี้อย่างเงียบ ๆ
เมื่อทั้งสองคนแสดงเสร็จแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็ยิ้มและพูดกับเซี่ยจื่ออี้ “งั้นฉันขอแสดงความยินดีกับเธอด้วยก็แล้วกันนะ”
เซี่ยจื่ออี้ยิ้ม “ขอบคุณ”
การแสดงความยินดีของเซี่ยชิงหยวนนั้นอยู่นอกเหนือความคาดหวังของเธออย่างเห็นได้ชัด
เธอพูดกับเซี่ยชิงหยวน “เลขาธิการเสิ่นอาจจะยุ่งเกินไปและยังไม่ได้บอกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรามาบอกเธอเองมันก็เหมือนกันนั่นแหละ เพราะงั้นเธออย่าไปโกรธเขาเพราะเรื่องนี้เลยนะ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้เซี่ยชิงหยวนก็ยิ้มกลับไป
เธอกอดอกแล้วยิ้มอย่างมีความสุข ราวกับว่ากำลังได้ยินเรื่องตลกดี ๆ
จากนั้นเธอเอนตัวลงบนโซฟาด้วยมือข้างหนึ่งยันไว้ “คุณเซี่ยพูดแบบนี้ ถ้าคนอื่นไม่รู้พวกเขาคงคิดว่าคุณเป็นสามีของฉันหรืออะไรสักอย่างซะเองนะ”
ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา แต่ยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้า “อี้โจวและฉันเป็นสามีภรรยากัน ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วเราจะไม่โกรธกันเพราะเรื่องบ้านของคนอื่นหรอกค่ะ”
ก่อนที่เซี่ยจื่ออี้จะพูดอะไร ฉินซูอวี้ก็โพล่งขึ้นมาก่อน
เธอมองเซี่ยชิงหยวนด้วยความโกรธ “พูดแบบนี้เธอหมายความว่ายังไง! จื่ออี้ชวนเธออย่างมีน้ำใจ ทำไมเธอถึงไม่รู้จักพูดจาดี ๆ กับคนอื่นเขาบ้างเลย!”
เซี่ยจื่ออี้ดึงฉินซูอวี้กลับ และส่ายหัวเพื่อส่งสัญญาณให้เธอไม่ทำแบบนี้
เธอมองเซี่ยชิงหยวนอย่างขอโทษ “ฉันขอโทษด้วยนะ เพราะพ่อของฉันกับเลขาธิการเสิ่นค่อนข้างสนิทกัน ฉันจึงคิดที่จะบอกเรื่องพวกนี้กับเธอ ฉันขอโทษด้วยจริง ๆ ที่อาจล่วงเกินเธอไปโดยไม่รู้ตัว”
เซี่ยชิงหยวนต้องชื่นชมเซี่ยจื่ออี้จริง ๆ
แม้ว่าจะขอโทษอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังมีคำพูดที่แทงหัวใจผู้คน ซึ่งหมายความว่าเธอกับเสิ่นอี้โจวมีมิตรภาพที่ไม่ธรรมดา
แต่เซี่ยชิงหยวนเป็นคนโง่ซะเมื่อไหร่?
เชื่อผู้หญิงคนนี้ก็บ้าแล้ว!
แต่ตอนนี้เซี่ยชิงหยวนไม่มีความสุขจริง ๆ
ไม่มีเหตุผลอื่นนอกจากคิดว่าผู้หญิงพวกนี้มีปัญหามากเกินไป ผู้หญิงพวกนี้ทำตัวแย่น้อยลงสักหน่อยจะตายเหรอ?
การพูดคุยกับคนพวกนี้มันเหนื่อยเท่ากับการออกไปหาเงินเลย
ถ้าเธอยังไม่ได้แต่งงาน มันคงสนุกดีในการทำให้อีกฝ่ายไม่มีความสุขโดยการคุยกับคู่หมั้นอีกฝ่าย
เซี่ยชิงหยวนยกมุมปากขึ้นแล้วตอบว่า “ไม่เป็นไรค่ะ”
เซี่ยจื่ออี้ “…”
ฉินซูอวี้ “…”
ยังไงซะ ในเมื่ออีกฝ่ายกล้าที่จะขอโทษ เธอก็กล้ารับไว้ คิดว่าตัวเองเป็นใครกัน คิดว่าเธอจะไม่กล้าทำแบบนี้เหรอ?
เซี่ยจื่ออี้รู้สึกว่าเธอไม่สามารถนั่งต่อได้อีกแล้ว เธอจึงดึงฉินซูอวี้ออกไปบราวนี่ออนไลน์
ในขณะนี้ มีเสียงมาจากประตู และแขกกลุ่มที่สองของเซี่ยชิงหยวนก็มาถึง
เซี่ยชิงหยวนยืนขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอันแสนหวานบนใบหน้าของเธออีกครั้ง และเดินไปที่ประตูเพื่อทักทายแขก
ฉินซูอวี้ถามเซี่ยจื่ออี้ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “จื่ออี้ เราจะไปแล้วจริง ๆ เหรอ?”
เซี่ยจื่ออี้สงบลงแล้ว และพูดว่า “ถ้ายังไม่ไปตอนนี้ งั้นเราก็มารอดูกันก่อนว่าเธอจะรับมือกับคนอื่นยังไงแล้วกัน”
คนที่มาคือเจ้าหน้าที่และภรรยาที่อาศัยอยู่ในเขตที่พักเดียวกัน ประการแรกพวกเขาต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเสิ่นอี้โจว และประการที่สอง พวกเขาต้องการค้นหาตัวตนที่แท้จริงของเซี่ยชิงหยวน
เมื่อเห็นว่าเซี่ยจื่ออี้และฉินซูอวี้ก็อยู่ที่นี่ด้วย พวกเขาก็กล่าวสวัสดี ซึ่งหัวข้อการพูดคุยก็เกี่ยวกับเซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจว
เซี่ยชิงหยวนนั่งตัวตรง ขาชิดและส้นเท้าชิดกัน มือทั้งสองอยู่ที่เข่า ตอบคำถามของพวกเขาด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ
การเคลื่อนไหวแบบนั้นเหมือนกับผู้หญิงจากครอบครัวที่มีชื่อเสียง
บทสนทนามีทั้งการรุกและการล่าถอยในระดับหนึ่ง พร้อมทั้งสอดแทรกความรู้บางอย่างของเธอลงไปปะปนทำให้ทุกคนหัวเราะเป็นครั้งคราว
เซี่ยชิงหยวนครองตำแหน่งที่โดดเด่นสุดโดยไม่รู้ตัว แต่คนอื่น ๆ ไม่รู้สึกถูกครอบงำเลย
เซี่ยจื่ออี้และฉินซูอวี้ ซึ่งแต่เดิมต้องการเห็นเรื่องตลกของเซี่ยชิงหยวน ตอนนี้รอยยิ้มของทั้งคู่ได้หายไปแล้วอย่างสมบูรณ์
เมื่อทั้งสองเดินออกจากบ้าน ใบหน้าของฉินซูอวี้ก็มืดลงทันที
เธอบ่นกับเซี่ยจื่ออี้ “ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่อยากมาที่นี่เพื่อทำให้ตัวเองเดือดร้อน! แต่เธอกับพ่อของฉันกลับยืนกรานให้ฉันมาที่นี่ ให้พูดอะไรบางอย่างเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี แต่ดูสิ ท่าทางหยิ่งผยองของผู้หญิงคนนั้นมันเป็นของพวกผู้ร้ายชัด ๆ!”
“จื่ออี้ ฉันขอพูดคำตรง ๆ ไว้ตรงนี้ก่อนเลย ฉันจะไม่มีวันนั่งลงและพูดคุยกับผู้หญิงคนนั้นดี ๆ อีกในชีวิตนี้!”
เมื่อได้ยินคำบ่นของฉินซูอวี้ มันก็มีร่องรอยของความไม่อดทนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเซี่ยจื่ออี้เช่นกัน
เธอจับมือฉินซูอวี้แล้วยิ้มเบา ๆ “เอาละ อย่าโกรธไปเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราได้ทำสิ่งที่ควรทำแล้ว และลุงฉินก็จะได้ไม่พูดเรื่องนี้เกี่ยวกับเธออีกไง”
เมื่อได้ยินเซี่ยจื่ออี้พูดเช่นนี้ สีหน้าของฉินซูอวี้ดูดีขึ้น เธอกล่าวว่า “เมื่อผู้อำนวยการฉีประกาศการหมั้นหมายของเธอกับลูกชายเขาในคืนนี้ เรามาดูกันว่าผู้หญิงคนนั้นจะทำตัวสูงส่งได้อีกนานแค่ไหน”
ตระกูลฉีในมณฑลอวิ๋นเป็นทายาทสายตรงของตระกูลฉีในเมืองหลวง ซึ่งไม่มีใครควรประมาทความแข็งแกร่งของพวกเขา
แม้แต่ภรรยาของผู้อำนวยการฉีก็ยังเป็นลูกสาวของตระกูลเผ่ยที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง
หากคุณสามารถแต่งงานในครอบครัวนี้ได้จริง ๆ และอยู่ร่วมกับสามีไปจนสุดทาง เรียกได้ว่าคุณเป็นผู้ชนะในชีวิตนี้แล้ว
แต่ถึงอย่างนั้น เซี่ยจื่ออี้ก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อเธอรู้ข่าวลือเกี่ยวกับลูกชายคนเล็กของตระกูลฉี
…
เซี่ยซิงหยวนเสร็จสิ้นการพบปะกับแขกคนสุดท้าย และก็เกือบจะถึงเวลาอาหารแล้ว
ป้าอู๋ทำตามคำแนะนำของเธอ ปรุงอาหารรสเผ็ดและเปรี้ยวไว้
เมื่อเสิ่นอี้หลินหยิบอาหารเข้าปาก ดวงตาของเขาก็อดไม่ได้ที่จะเปล่งประกายและเอาอาหารเข้าปากต่อไป
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “โดยปกติแล้วพอพี่ชายของนายไม่ได้กินข้าวที่บ้าน รสชาติอาหารเลยจะเป็นไปตามความชอบของนาย แต่ยังไงซะนายก็ควรเน้นกินอะไรเบา ๆ จะดีกว่านะ”
เมื่อพูดแบบนี้แล้วเธอก็คีบพริกแห้งมาหนึ่งตะเกียบ พร้อมกับผัดผักขม “อย่าเน้นกินเนื้อสัตว์ กินผักให้มากขึ้นด้วย เพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน”
ก่อนหน้านี้มันมีประโยคที่ล้อเลียนเสิ่นอี้หลินในเมืองเตียนเฉิงอยู่ ‘นายจะถ่ายไม่ออกนะหากไม่กินผัก’
ตอนนี้อยู่ในมณฑลอวิ๋นแล้ว เพราะงั้นในอนาคตเธอน่าจะต้องทำตัวมีอารยะให้มากขึ้น
ขณะที่เธอกำลังรับประทานอาหาร เสิ่นอี้โจวก็โทรกลับมาและบอกว่าเธอจะไปร่วมงานเลี้ยงกับเขาในคืนนี้
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ไปแค่เราสองคนเหรอ? ถ้างั้นฉันควรจะเตรียมอะไรไปบ้างดีล่ะ?”
เสิ่นอี้โจวครุ่นคิด “ใช่ ไปแค่เราสองคนก็พอ คนอื่น ๆ ไม่ต้องไปจะดีกว่า แล้วเดี๋ยวผมจะเตรียมของขวัญเอง ผมจะไปที่งานเลี้ยงทันทีหลังเลิกงานและจะรอคุณอยู่ที่ประตู ส่วนคุณผมจะส่งคนขับไปรับนะ”
เซี่ยชิงหยวนตอบว่า “ตกลงค่ะ”
หลินตงซิ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อรู้ว่าเธอไม่จำเป็นต้องไป ไม่ว่าในงานเลี้ยงใด ๆ ก็ตามเธอกลัวเหตุการณ์แบบนี้มากที่สุด กลัวที่จะหลุดพูดสิ่งที่ไม่ดีและทำให้เสิ่นอี้โจวกับเซี่ยชิงหยวนอับอาย
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “แม่คะ ไม่ว่าจะยังไงในอนาคตแม่ก็ต้องคุ้นเคยกับงานเหล่านี้อยู่ดีนะ”
หลินตงซิ่วก้มหน้าลงเพื่อทานอาหารต่อ เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการเผชิญหน้า “แม่จะเรียนรู้อย่างช้า ๆ แล้วกัน”
…
หลังจากกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็เผลอหลับไป และทันทีที่ตื่นขี้นเธอก็เริ่มแต่งตัว
ขั้นแรกเธออาบน้ำ สระผม และเปลี่ยนเสื้อผ้า
หลังจากสระผมและเป่าผมให้แห้งแล้ว ผมเธอก็ดูนุ่มและฟูมาก เซี่ยชิงหยวนจึงใส่น้ำมันผมกลิ่นดอกพุดเล็กน้อย แล้วผมที่ดัดเป็นลอนก็พาดลงถึงแผ่นหลังเธออย่างนุ่มนวล
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังเสื้อผ้าในตู้ นิ้วของเธอปาดไปตามชุดต่าง ๆ และในที่สุดเธอก็เลือกชุดกระโปรงยาวสีชมพูที่มีลวดลายสีเข้ม
กระโปรงผสมผสานลักษณะเฉพาะของชุดกี่เพ้าจีน และมีซับในคล้ายผ้าคลุมไหล่ที่คอเสื้อและแขนเสื้อ ผ้ามีความนุ่มและหรูหรา พร้อมทั้งยังมีพู่เล็ก ๆ ห้อยอยู่ คอยพลิ้วไหวเบา ๆ ตามการเคลื่อนไหว
กระโปรงผ่าจากด้านข้างไปเหนือเข่าพอดี ซึ่งทำให้ดูไม่ธรรมดาจนเกินไป
ผิวของเธอดีมากและไม่จำเป็นต้องทาเครื่องสำอางอื่น ๆ หญิงสาวแค่เขียนคิ้ว ทาลิปสติกสีแดงแล้วติดกิ๊บรูปดอกไม้เท่านั้นเอง
ฉู่ซิงอวี่กำลังรออยู่ในห้องโถง เมื่อเซี่ยชิงหยวนลงมาโดยสวมชุดนี้ เขาแทบจะปิดปากไม่ทัน
เธอยืนอยู่ตรงหัวมุมบันได สวมรองเท้าส้นสูงสีขาวมุก โดยมีเชือกผูกที่ข้อเท้าบาง ๆ ทำให้ข้อเท้าของเธอดูเพรียวบางและสวยงาม ส่วนชุดกระโปรงสีชมพูก็ทำให้รูปร่างอันงดงามของเธอดูสดใสและเคลื่อนไหวได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ในความทรงจำของฉู่ซิงอวี่ ดูเหมือนจะไม่มีผู้หญิงคนไหนที่สามารถใส่สีชมพูได้อย่างสดใสและสง่างามขนาดนี้ได้มาก่อน และยังมีความรู้สึกที่ค่อนข้างสูงส่งอีกด้วย
ป้าอู๋เอ่ยชมเป็นคนแรก “วันนี้คุณนายสวยมากเลยค่ะ!”
ฉู่ซิงอวี่ก็ได้สติและพูดขึ้นมาว่า “คุณนายครับ”
เสิ่นอี้หลินยังวิ่งตรงมาหาเซี่ยชิงหยวนเช่นกัน และเดินไปรอบ ๆ เธอ “พี่สะใภ้สวยสุด ๆ เลยนะวันนี้!”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “ระวังนะ พี่ยังไม่คุ้นเคยกับการสวมรองเท้าส้นสูงแบบนี้เลย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เสิ่นอี้หลินก็ยื่นมือเล็ก ๆ ของเขาออกทันทีแล้วยื่นหาเซี่ยชิงหยวน “ผมช่วยเอง!”
เธอจับมือเล็ก ๆ ของเขา
จากนั้นยิ้มให้ฉู่ซิงอวี่ “ไปกันเถอะค่ะ”
ฉู่ซิงอวี่ในตอนนี้ได้ตื่นตาไปกับรอยยิ้มแล้วเรียบร้อย “ครับผม…”
…
สถานที่ที่ตระกูลฉีจัดงานเลี้ยงอยู่ในโรงแรมขนาดใหญ่ของมณฑลอวิ๋น
ฉู่ซิงอวี่ขับรถไปพร้อมกับอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับตระกูลฉีให้กับเซี่ยชิงหยวนฟังตามคำสั่งของเสิ่นอี้โจว
“กล่าวกันว่าลูกชายคนเล็กของตระกูลฉีโตมาจากข้างนอกและถูกเจอเมื่อไม่นานมานี้ครับ บางคนยังบอกด้วยว่าจริง ๆ แล้วลูกชายคนเล็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของคุณนายเผ่ย แต่เพียงเพราะการตายของฉีหมิงจึงทำให้เขาถูกเรียกกลับมา”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นของเธอ
เรื่องราวที่พลิกกลับไปมาแบบนี้มันก็เหมือนกับในนิยายจริงเชียว
เซี่ยชิงหยวนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ฉันได้ยินมาว่าตระกูลฉีและตระกูลเซี่ย ตั้งใจจะแต่งงานเกี่ยวดองกัน มันจริงไหมคะ?”
ฉู่ซิงอวี่เหลือบมองเซี่ยชิงหยวนผ่านกระจกมองหลังแล้วคิดเกี่ยวกับมัน “มีข่าวลือแบบนั้นจริงครับ แต่มันเป็นแค่คนรุ่นพ่อที่คิดกัน ส่วนลูกชายคนเล็กคิดยังไงยังไม่มีใครรู้”
กล่าวคือการประกาศแต่งงานเป็นเพียงการตัดสินใจของผู้เฒ่าเซี่ยและผู้เฒ่าฉีเท่านั้น
จากนั้นยิ้มให้ฉู่ซิงอวี่ “ไปกันเถอะค่ะ”
ฉู่ซิงอวี่ในตอนนี้ได้ตื่นตาไปกับรอยยิ้มแล้วเรียบร้อย “ครับผม…”
…
สถานที่ที่ตระกูลฉีจัดงานเลี้ยงอยู่ในโรงแรมขนาดใหญ่ของมณฑลอวิ๋น
ฉู่ซิงอวี่ขับรถไปพร้อมกับอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับตระกูลฉีให้กับเซี่ยชิงหยวนฟังตามคำสั่งของเสิ่นอี้โจว
“กล่าวกันว่าลูกชายคนเล็กของตระกูลฉีโตมาจากข้างนอกและถูกเจอเมื่อไม่นานมานี้ครับ บางคนยังบอกด้วยว่าจริง ๆ แล้วลูกชายคนเล็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของคุณนายเผ่ย แต่เพียงเพราะการตายของฉีหมิงจึงทำให้เขาถูกเรียกกลับมา”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นของเธอ
เรื่องราวที่พลิกกลับไปมาแบบนี้มันก็เหมือนกับในนิยายจริงเชียว
เซี่ยชิงหยวนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ฉันได้ยินมาว่าตระกูลฉีและตระกูลเซี่ย ตั้งใจจะแต่งงานเกี่ยวดองกัน มันจริงไหมคะ?”
ฉู่ซิงอวี่เหลือบมองเซี่ยชิงหยวนผ่านกระจกมองหลังแล้วคิดเกี่ยวกับมัน “มีข่าวลือแบบนั้นจริงครับ แต่มันเป็นแค่คนรุ่นพ่อที่คิดกัน ส่วนลูกชายคนเล็กคิดยังไงยังไม่มีใครรู้”
กล่าวคือการประกาศแต่งงานเป็นเพียงการตัดสินใจของผู้เฒ่าเซี่ยและผู้เฒ่าฉีเท่านั้น
และถ้าลูกชายคนเล็กคนนี้ไม่ได้คลานออกมาจากท้องของภรรยาคนแรกจริง ๆ ภรรยาคนแรกคงไม่มีความสุขอย่างแน่นอนที่ได้เห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น
ฉู่ซิงอวี่สังเกตเห็นแววตาที่ขบขันของเซี่ยชิงหยวนและหยุดชั่วคราว “แต่ยังไงมันก็เป็นเรื่องจริงที่ความสัมพันธ์ของลูกชายคนเล็กกับผู้อำนวยการฉีและคุณนายเผ่ยนั้นไม่ค่อยดีนัก เมื่อคุณนายเข้าไปในงานเลี้ยง คุณนายจะได้เห็นเองครับ”
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็น “ลูกชายคนเล็กของตระกูลฉี ชื่ออะไรเหรอคะ?”
หลังจากพูดคุยกันมานาน ดูเหมือนว่าฉู่ซิงอวี่จะเอาแต่เรียกชายคนนั้นว่าเป็นลูกชายคนเล็กของตระกูลฉี
ฉู่ซิงอวี่ตอบทันที “ชื่อของเขาคือฉีจิ่นจือครับ”
———————
บทที่ 298 ร่างกายของคุณ คุณตัดสินใจ
บทที่ 298 ร่างกายของคุณ คุณตัดสินใจ
นี่ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคุยกันโดยตรงเกี่ยวกับการมีลูกแบบนี้
หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนเขินอายในช่วงเวลาสั้น ๆ เธอก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา “ไม่รู้ว่าตอนนี้สภาพร่างกายฉันดีหรือเปล่าน่ะสิ”
ในระหว่างการนัดตรวจติดตามผลครั้งล่าสุดของเธอ หมอฮวงกล่าวว่าผลการรักษามีความก้าวหน้าเป็นอย่างดี
เสิ่นอี้โจววางมือไว้ข้างตัวเธอ “แน่นอนว่ามันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ”
ใบหน้าของเซี่ยชิงหยวนกลายเป็นสีแดงก่ำจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
หญิงสาวพยักหน้าและกล่าวว่า “หมอฮวงบอกว่าถ้าเราอยากจะมีลูก เธอจะเปลี่ยนใบสั่งยาให้ฉัน”
หมอฮวงเพิ่งจะได้ยินเรื่องของเสิ่นอี้โจวในภายหลัง
ดังนั้นเรื่องที่พวกเขาจะมีลูกจึงไม่ถูกเร่งเร้าเหมือนเมื่อก่อน “ไม่เป็นไร คุณก็ถือโอกาสบำรุงร่างกายไปพลาง ๆ ดังคำที่ว่าพืชบนดินจะเจริญเติบโตได้ดีเมื่อดินอุดมสมบูรณ์ ในช่วงที่ยังไม่รีบร้อนแบบนี้เราก็ควรมุ่งความสนใจไปที่เรื่องการบำรุงตัวเอง ศึกษาเรื่องการคลอดบุตรและดูแลหลังคลอดไว้นะ”
ในปีนี้ประเทศได้ดำเนินนโยบายลูกคนเดียว ทั้งยังส่งเสริมการดูแลก่อนคลอดและหลังคลอด ดังนั้นสำหรับคู่รักที่มีลูกได้เพียงคนเดียว คุณภาพของเด็กจึงมีความสำคัญมาก
คนรุ่นเก่าต่อต้านนโยบายนี้มาก ท้ายที่สุดพวกเขาได้รับอิทธิพลจากความคิดแบบปิตาธิปไตยหรือระบบที่ว่าผู้ชายเป็นใหญ่มาหลายปีแล้ว ซึ่งพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงและปรับตัวได้อยู่ระยะหนึ่ง
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่แม่สามีจะบังคับให้ลูกชายและลูกสะใภ้หย่าร้างเพื่อที่จะมีลูกชาย
แม่สามีของเจียงเพ่ยหลานก็เป็นเหมือนกัน
เซี่ยชิงหยวนยังคงลังเล “แต่คุณยังกินยาอยู่หรือเปล่า?”
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “เมื่อสัปดาห์ก่อนผมกินครบแล้ว นอกจากนี้ ตั้งแต่เมื่อครั้งล่าสุดที่หมอหมิ่นจ่ายยาให้ เขาไม่ได้จ่ายยาที่มีผลข้างเคียงมากเกินไปให้ผมแล้วล่ะ”
เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วหลังจากออกจากโรงพยาบาล เสิ่นอี้โจวใช้ยาต้านมะเร็งเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำของโรค
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสภาพร่างกายที่ดีของเขาหรือเหตุผลอื่นใด แต่เดิมที่หมอวางแผนจะให้เขากินยาเป็นเวลาอย่างน้อยสามถึงห้าเดือนหรือครึ่งปี กลับกลายเป็นได้เปลี่ยนใบสั่งยาล่วงหน้าแทน
เขาก้มศีรษะลงแล้วใช้ปลายจมูกคลอเคลียเธอ “รออีกสองสามเดือนก็จะไม่ต้องกินยาแล้วล่ะ”
เขาหยุดชั่วคราว “เมื่อเด็กเกิดมา ตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงตรุษจีน”
“หรืออยากจะคลอดลูกช่วงฤดูใบไม้ผลิดี? ฤดูใบไม้ผลิคือการฟื้นตัวของทุกสิ่งก็เหมาะกับการเติบโตของเด็กเหมือนกัน หากเป็นแบบนี้ เราจะเลื่อนออกไปอีกครึ่งปีก็ได้ แต่สรุปแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับร่างกายคุณด้วย ดังนั้นในท้ายที่สุดผมจะให้คุณเป็นคนตัดสินใจนะ”
คำพูดของเสิ่นอี้โจวดูเหมือนจะทำให้เธอสับสนในทุกคำ
ทันใดนั้นเธอก็มีภาพลวงตาว่าเด็กคนนี้ได้เกิดมาแล้ว
จริง ๆ แล้วตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดที่จะมีลูกเท่าไหร่นัก
เมื่อถึงเวลาเข้าเมืองหลวงของมณฑล ทุกอย่างจะต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง การหาร้านและตกแต่งร้านจะต้องใช้พลังงานอย่างมาก นับประสาอะไรกับการสร้างแบรนด์ของตัวเอง
แต่อย่างที่เสิ่นอี้โจวพูด ปีนี้เขาอายุยี่สิบหกแล้ว
หลายคนที่อายุน้อยกว่าเขาได้กลายเป็นพ่อคนแล้ว
ชั่วครู่หนึ่งเธอก็ทนไม่ไหวที่จะปฏิเสธ
หลังจากลังเลไม่นาน เธอก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “งั้นรอสักสองหรือสามเดือนเถอะ เรามาลองมีลูกกันดีกว่า”
สองหรือสามเดือนก็น่าจะเพียงพอสำหรับเธอที่จะจัดการเรื่องร้านค้าได้
นอกจากนี้ท่อนำไข่ของเธอยังอุดตันอยู่ ดังนั้นมันจึงไม่น่าจะเกิดขึ้นพร้อมกัน
ด้วยวิธีนี้มันจะสามารถซื้อเวลาให้เธอเพิ่มได้
เมื่อได้ยินคำตอบของภรรยา เสิ่นอี้โจวก็ยิ้มแย้มด้วยความดีใจเช่นกัน
เขาจูบริมฝีปากของเธอ “งั้นเรามาฝึกซ้อมกันก่อนดีกว่า”
เซี่ยชิงหยวน “…”
เธอต่อต้านเขาทันที “ฉันมีเรื่องสำคัญจะถามคุณหน่อย”
พอได้ยินแบบนี้ เสิ่นอี้โจวจึงต้องอดทน “มีอะไรร้ายแรงเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนพูดคุยเกี่ยวกับแผนการของเธอ “คุณรู้ไหมว่าบ้านที่จัดโดยหน่วยงานในเมืองหลวงของมณฑลเป็นยังไง? ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะเช่าบ้านเดี่ยวหลังเล็กสักหลัง”
เสิ่นอี้หลินเติบโตขึ้นอย่างช้า ๆ และในไม่ช้าก็จะไม่เหมาะที่จะให้อยู่ห้องเดียวกับหลินตงซิ่ว
เงินของเธอยังต้องเอาไปทำอย่างอื่น ดังนั้นตอนนี้เธอยังไม่สามารถซื้อบ้านได้ชั่วคราว เลยต้องเช่าไปก่อน
เสิ่นอี้โจวนอนลงพลางกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา “สำหรับเรื่องที่อยู่ เราจะไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังเล็กสไตล์ตะวันตกต่างหาก”
เซี่ยชิงหยวนอุทานด้วยความประหลาดใจ “เราสามารถอยู่ในคฤหาสน์หลังเล็กได้เลยเหรอ?”
เสิ่นอี้โจวเกยคางของเขาไว้บนศีรษะของเธอ “ชิงหยวน ผู้ชายของคุณตอนนี้เป็นฝ่ายเสนาธิการของมณฑลเชียวนะ คุณกำลังดูถูกผมเหรอ?”
อันที่จริงวันนี้ได้มีคำสั่งส่งมาแล้วให้เสิ่นอี้โจวถูกโอนย้ายไปเมืองหลวงของมณฑลอย่างเป็นทางการ และแม้แต่บ้านก็ได้รับการจัดสรร
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกเขินอาย เธอโน้มตัวเข้าหาเขา พลางยิ้มอย่างเอาใจและพูดว่า “ดูถูกอะไรกัน ฉันไม่กล้าหรอก”
เสิ่นอี้โจวสูดหายใจเบา ๆ บ่งบอกเป็นนัยว่าเขาได้ยินแล้ว
วินาทีต่อมา เขาพลิกตัวคร่อมร่างของเธอ “จริง ๆ แล้ว ผมอยากเปลี่ยนไปอยู่ในบ้านหลังใหญ่มานานแล้วล่ะ”
เซี่ยชิงหยวน “หืม?”
เสิ่นอี้โจวก้มศีรษะลงแล้วขบงับติ่งหูของเธอ “มัน…ก็แค่ว่าบ้านเราตอนนี้อยู่กันแน่นเกินไป ไม่สะดวกเลยถ้าผมต้องการจะจูบคุณ”
ริมฝีปากของเขาแตะที่คอเรียวระหง และมือใหญ่ของชายหนุ่มก็สอดไล้ใต้เสื้อผ้าของเธอ “แบบนี้ก็เหมือนกัน ถ้าผมอยากปฏิบัติต่อคุณแบบนี้ก็ลำบาก”
เซี่ยชิงหยวน “!”
เสิ่นอี้โจวขยับตัว และปิดไฟ “ภรรยาเรารีบกันเถอะ เราจะนอนดึกไม่ได้นะ”
เซี่ยชิงหยวนชะงักเล็กน้อย “ดะ ได้…”
…
พอตื่นเช้าวันรุ่งขึ้นก็มีเสียงที่หน้าบ้าน เป็นเสียงคนคุยกันจอแจ
เซี่ยชิงหยวนออกไปดูและพบว่าครอบครัวของเติ้งซูอี้กำลังช่วยกันขนของ
พวกเขาทั้งหมดอาศัยอยู่ในบ้านที่ได้รับมอบจากหน่วยงาน และเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ของระดับผู้นำอาวุโสก็เป็นของหน่วยงานเช่นกัน เช่นเดียวกับบ้านของเซี่ยชิงหยวน ดังนั้นจึงไม่มีอะไรจะขนมากนัก
แต่ท้ายที่สุดเติ้งซูอี้อาศัยอยู่ในบ้านนี้มานานกว่าสิบปีแล้ว และลูกสาวของเธอเติบโตขึ้นมาในบ้านหลังนี้ ดังนั้นเธอจึงซื้อสิ่งของต่าง ๆ เข้าบ้านมากมาย
เติ้งซูอี้ยืนอยู่ที่ประตู มองดูพ่อแม่ของตัวเองเดินเข้าออก ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
ในทางกลับกัน พี่สาวคนโตของเธอก็คอยบอกคนอื่นให้ระวัง
วันนี้ไม่เห็นลูกสาวของเติ้งซูอี้ เซี่ยชิงหยวนเดาว่าเด็กสาวน่าจะไปโรงเรียนแล้ว
เติ้งซูอี้สังเกตเห็นการจ้องมองของเซี่ยชิงหยวน เธอจึงสะดุ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยเดินเข้าไปหา
เมื่อเธอมองไปยังเซี่ยชิงหยวน เธอยังคงไม่มีความสุข แต่ดวงตาของเธอมีความเกลียดชังน้อยกว่าเมื่อก่อนมาก
เธอเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “ฉันรู้นะว่าเธอรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาอยู่ด้วยกัน และเธอจงใจล่อให้ฉันไปจับพวกคบชู้ใช่ไหม?”
ท้ายที่สุดเซี่ยชิงหยวนและจางอวี้เอ๋อขัดแย้งกัน ดังนั้นจึงเป็นไปได้สูงที่จะทำเช่นนั้น
ไม่ใช่ว่าวันนี้เติ้งซูอี้ต้องการโต้เถียงกับเซี่ยชิงหยวน แต่เธอแค่ไม่ต้องการที่จะกลายเป็นคนโง่ที่ไม่รู้คำตอบที่แท้จริง
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัว “คุณคิดผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว พอฉันเห็นผ้าพันคอนั่น ฉันก็ได้แต่คาดเดาเท่านั้น”
เมื่อเห็นดวงตาของเติ้งซูอี้ที่กะพริบด้วยความประหลาดใจ เซี่ยชิงหยวนก็หัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ “ทำไม? คุณคิดว่าฉันเป็นคนประเภทที่ชอบคำนวณวางแผนการเหรอ?”
หญิงสาวสะบัดผมแล้วพูดว่า “แต่มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ มันขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายตรงข้ามของฉันเป็นใครมากกว่า”
นี่หมายความว่าเซี่ยชิงหยวนไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการซ้ำซ้อนในการจัดการกับเธอ
ไม่ใช่การดูถูก แต่แค่บอกตามความจริง
การแสดงออกของเติ้งซูอี้เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า และในที่สุดเธอก็พูดว่า “เธอชนะ”
จากนั้นเธอก็หันหลังและจากไป
พี่สาวคนโตของเติ้งซูอี้มองที่เซี่ยชิงหยวน และพูดอะไรบางอย่างกับน้องสาว
เติ้งซูอี้ส่ายหัวและไม่พูดอะไรอีก
เซี่ยชิงหยวนหันกลับไป พลางถอนหายใจและกลับเข้าไปในบ้าน
เธอยังคงต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในร้านตรอกเก่า และแผงขายเสื้อผ้าของตัวเองอยู่
———————
