บทที่ 319 แม่ลูกก็เหมือนกัน
บทที่ 319 แม่ลูกก็เหมือนกัน
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หมอหมิ่นก็สะดุ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หัวเราะ
เขาพูดว่า “ถ้าต้องการก็เตรียมตัวตอนนี้ได้เลยครับ”
เขาปรับแว่นตา “ก่อนหน้านี้คุณยังกินยาอยู่ ผมจะเปลี่ยนยาที่มีผลข้างเคียงน้อยลงให้คุณหลังจากนี้ก็แล้วกัน เพื่อที่หลังจากนี้ในไม่กี่เดือนสารพิษที่ยังคงตกค้างในร่างกายของคุณจะได้สลายออกไปหมด”
เขาตบแขนของเสิ่นอี้โจว “ถ้าเลขาธิการเสิ่นทำงานหนักมากพอ คุณจะสามารถยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเชียวแหละ!”
ทั้งสองต่างดีใจกันมาก
หลังจากกล่าวลาคุณหมอหมิ่นแล้ว ทั้งสองก็ไปพบคุณหมอฮวงอีกครั้ง
หมอฮวงก็มีสีหน้ามีความสุขเช่นกัน “ในกรณีของคุณ บอกตามตรงว่าในตอนแรกฉันมองว่ามันเป็นเคสที่ยากจริง ๆ แต่เพราะฉันกลัวว่าคุณจะไม่มั่นใจ ฉันเลยไม่บอกคุณ แต่ตอนนี้เป็นฉันเองที่มองคุณผิดไปค่ะ!”
เธอวางรายงานการตรวจกลับคืนบนโต๊ะ “ถึงแม้จะยังอุดตันอยู่บ้าง แต่ฉันขอแนะนำให้พวกคุณลองทำมากขึ้นอีกนะคะ อันที่จริงมันเป็นเรื่องของความน่าจะเป็น การเพิ่มจำนวนครั้งก็หมายถึงโอกาสที่มากขึ้นตามไปด้วยค่ะ”
สำหรับหมอแล้ว การพูดแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือน่าอาย แต่เซี่ยซิงหยวนก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงเมื่อได้ยินเรื่องนี้ ส่วนเสิ่นอี้โจวถึงกับกะพริบตามองเธอ
หมอฮวงสังเกตท่าทีของคนทั้งสอง เลยไม่ให้คำแนะนำอะไรอีก
ด้วยสายตาที่มองกันอย่างหวานเยิ้มนี้ หมออย่างเธอคงไม่ต้องกังวลกับแบบนั้นแล้ว
หมอฮวงกล่าวต่ออีกว่า “เดี๋ยวฉันจะเปลี่ยนสูตรยาให้คุณอีกครั้งนะคะ จะให้กินเป็นพวกสมุนไพรที่มีฤทธิ์เป็นกลางในการบำรุงร่างกาย พอหน้าหนาวมาถึงมันจะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น ไม่ต้องห่วง ยาพวกนี้ไม่มีผลข้างเคียงค่ะ”
“และในอนาคต พอคุณรู้ตัวว่าท้องก็ให้หยุดกินยาแล้วกลับมาหาฉันอีกครั้งนะคะ”
เมื่อฟังคำพูดของหมอฮวง ทั้งสองก็รู้สึกว่าพวกเขาสามารถมีลูกได้ตลอดเวลา และเซี่ยชิงหยวนก็มีความมั่นใจมากขึ้น
เมื่อสองสามีภรรยาเดินออกจากโรงพยาบาล พวกเขาก็ถือถุงยาที่เล็กกว่าเดิมมากและเดินเร็วขึ้น
เสิ่นอี้โจวไปส่งเซี่ยชิงหยวนกลับบ้าน แต่ป้าอู๋และหลินตงซิ่วก็ยังไม่กลับมาเลย
เสิ่นอี้โจวโอบกอดเอวของเธอ และจูบที่หน้าผากภรรยา “ไม่ต้องกังวล อนาคตเราจะมีทุกอย่างเหมือนคนอื่นแน่นอน”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพยักหน้า “อื้ม”
…
เซี่ยชิงหยวนเข้าไปในห้องและเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าที่ใส่สบาย ขณะที่ป้าอู๋และหลินตงซิ่วเปิดประตูบ้านเดินเข้ามาแล้ว
สีหน้าของหลินตงซิ่วดูน่าเกลียดไม่น้อย และแม้แต่ป้าอู๋ก็ยังยิ้มแบบฝืน ๆ
เซี่ยชิงหยวนเดินเข้ามาหาทั้งคู่ “เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”
หลินตงซิ่วยิ้ม “ไม่มีอะไรหรอก”
เธอเงยหน้าขึ้นครู่หนึ่งแล้วรีบก้มลง “แม่จะไปล้างมือนะ”
หลังจากพูดอย่างนั้น หญิงชราก็เข้าไปในห้องน้ำทันที
ขณะที่เธอเงยหน้าขึ้น เซี่ยชิงหยวนก็เห็นดวงตาสีแดงก่ำนั่น
ความกังวลเกิดขึ้นในใจของเซี่ยชิงหยวนทันที
เธอเดินไปที่เก้าอี้ในห้องนั่งเล่น พลันนั่งลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ป้าอู๋ เกิดอะไรขึ้นคะ?”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนเรียกชื่อเธอ ป้าอู๋ก็ไม่สามารถแสร้งทำเป็นหูหนวกและเป็นใบ้ได้อีกต่อไป เธอทำได้เพียงเดินมาเล่าเรื่องในตอนเช้าเท่านั้น เธอบอกเซี่ยชิงหยวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองและหลินตงซิ่วตอนออกไปข้างนอก
“วันนี้ฉันกับคุณนายหญิงไปตลาดสด และได้พบกับภรรยาของผู้อำนวยการฉินเข้าน่ะค่ะ”
เธอกลัวว่าเซี่ยชิงหยวนจะไม่รู้ ดังนั้นจึงอธิบายว่า “ผู้อำนวยการฉินคือพ่อของคุณฉินซูอวี้ค่ะ”
พอฟังถึงจุดนี้ เซี่ยชิงหยวนก็พอเข้าใจแล้วว่าเรื่องราวต่อไปคงไม่ใช่เรื่องที่น่าฟังเสียเท่าไหร่
ป้าอู๋พูดเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไป
คุณนายฉินเงยหน้าขึ้นแล้วมองดูหลินตงซิ่วด้วยสีหน้าท่าทางเหมือนคนที่เหนือกว่า “ฉันก็ไม่ได้อยากจะพูดมากเกินไปหรอกนะ แต่คุณควรซื้อตับ เต้าหู้ พวกไขมันที่ดีต่อสุขภาพ และอาหารที่มีวิตามินเอสูง ๆ ให้ลูกสะใภ้ของคุณมากขึ้นสักหน่อยนะ”
หลินตงซิ่วไม่เข้าใจและสับสน คิดว่าอีกฝ่ายแนะนำเธออย่างมีน้ำใจจริง ๆ ดังนั้นจึงถามกลับไปว่า “การกินของพวกนั้นมีประโยชน์อะไรเหรอคะ?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ คุณนายฉินก็ยิ้มทันที “แน่นอนมันย่อมมีประโยชน์สิ โดยเฉพาะสำหรับลูกสะใภ้ของคุณมันยิ่งมีประโยชน์มาก ๆ เลย ตับและถั่วช่วยเสริมกรดโฟลิก ไขมันสามารถปรับสภาพของมดลูกและช่วยเรื่องการตกไข่ วิตามินเอช่วยพัฒนารูขุมขนและช่วยเรื่องมดลูกเช่นกัน…พูดง่าย ๆ ก็คือเอาของพวกนี้ให้ลูกสะใภ้ของคุณให้มากขึ้น เผื่อวันหนึ่งเธอจะได้ท้องบ้างไง!”
เมื่อหลินตงซิ่วได้ยินแบบนี้ เธอก็โมโหขึ้นทันที “คุณหยาบคายมากนะ!”
“นอกจากนี้ เรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องของครอบครัวฉัน คุณไม่จำเป็นต้องมายุ่งเกี่ยวอะไรด้วย!”
หลินตงซิ่วเกิดมาพร้อมกับนิสัยขี้ขลาด แต่หลังจากฝึกฝนหลายครั้งในเมืองเตียนเฉิงและติดต่อกับผู้คนมากมายเมื่อทำการค้าขาย เธอก็เริ่มพูดโต้แย้งได้บ้างแล้ว
แน่นอนว่าคุณนายฉินไม่คาดคิดว่าหลินตงซิ่วจะเถียงแบบนี้ เธอจึงสำลักและสีหน้าเปลี่ยนเป็นมืดหม่นทันที “ฉันอุตส่าห์เตือนคุณด้วยเจตนาดี ทำไมคุณกลับด่าฉันแบบนี้? สองปีแล้วที่ลูกสะใภ้ของคุณแต่งงานเข้าบ้านคุณ แต่จนป่านนี้ก็ยังไม่ท้อง ขนาดเลี้ยงไก่มันยังวางไข่หรือฆ่าเอาเนื้อได้ นี่กลับไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่ถ้าคุณไม่ฟังก็ช่างเถอะ ทว่าก็ระวังไว้ด้วยนะ ว่าครอบครัวของคุณจะไม่มีลูกหลานสืบสกุล!”
คำพูดเช่นนี้นับได้ว่ารุนแรงที่สุด
แม้แต่ป้าอู๋ก็ไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไป
ไม่ว่าเธอจะอยู่ในสถานะที่เหมาะสมที่จะพูดหรือไม่ ป้าอู๋ก็สนับสนุนหลินตงซิ่วที่กำลังหายใจไม่ออก และเอ่ยอย่างจริงจัง “คุณนายฉินคะ ผู้อำนวยการฉินและเลขาธิการเสิ่นเป็นเพื่อนร่วมงานกัน และภรรยาของเขาก็ไม่เคยทำให้คุณขุ่นเคือง สิ่งที่คุณพูดมันไม่มากเกินเหรอคะ?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ คุณนายฉินก็พ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “เฮอะ! ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ทำให้ฉันขุ่นเคืองซะที่ไหน ลูกสาวของฉันเคยใช้ชีวิตอย่างดีในเมืองเตียนเฉิงมาก่อน ถ้ามันไม่ได้เป่าหูเสิ่นอี้โจว ก็เป็นลูกสาวของฉันแล้วที่ได้ลงเอยกับเขาไม่ใช่รึไง?”
คนอื่นไม่รู้ว่าฉินซูอวี้ชอบเสิ่นอี้โจว แต่เธอผู้เป็นแม่จะไม่รู้ได้ยังไง?
เธอเห็นเต็มสองตาในตอนที่ฉินซูอวี้กลับมาร้องไห้ และพูดเกี่ยวกับความลำเอียงของเสิ่นอี้โจว
คุณนายฉินเป็นคนไม่เคยยอมใครอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเธอได้ยินว่าฉินซูอวี้ได้รับความอยุติธรรมมาอย่างนั้น คนเป็นแม่จะยอมรับเฉย ๆ ได้ยังไงกัน
เธอบังเอิญไปพบกับเซี่ยจื่ออี้เมื่อเช้านี้ และได้ยินมาว่าเซี่ยชิงหยวนแอบไปหาหมอฮวง เธอทำงานอยู่ในโรงพยาบาลพอดี ดังนั้นจึงปะติดปะต่อเรื่องได้ทันที
หลินตงซิ่วโกรธมากจนตาแดงก่ำ
เธอจำคำพูดของเสิ่นอี้โจวที่บอกมาโดยตลอดว่าให้ตอบโต้ทุกคนที่มารังแก ดังนั้นเธอจึงชี้ไปที่คุณนายฉินและอ้าปากตวาด “ปากของเธอมันเต็มไปด้วยของเน่าเหม็น! ลูกสาวของเธอก็เลวร้ายไม่ต่างกัน! คิดว่าตัวเองดีมากหรือไงถึงมาตำหนิลูกสะใภ้ของฉัน ถ้ามีความสามารถมากนัก ทำไมไม่ตายไปอยู่บนสวรรค์ซะเลยล่ะ!”
ยิ่งเธอพูดมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น พลันถ่มน้ำลายใส่พื้น “นังบ้า!”
หลินตงซิ่วเกือบจะถ่มน้ำลายโดนรองเท้าของคุณนายฉิน “เข้าใจแล้วว่าทำไมคนลูกถึงเป็นแบบนั้น ที่แท้ลูกไม้ก็หล่นไม่ไกลต้น มีแม่แบบนี้นี่เอง!”
หลินตงซิ่วไม่ใช่คนหยาบคาย แต่เมื่อก่อนเธอมักจะได้ยินคนอื่นด่ากันในหมู่บ้านซีสุ่ยแบบนี้ ดังนั้นเวลานี้เธอจึงจำคำเหล่านั้นมาใช้ด่าอีกฝ่ายบ้าง เธอไม่สนใจแล้วว่าการด่าคนแบบนี้มันจะดีหรือไม่
แม้จะไม่รู้ถึงความแค้นระหว่างเซี่ยชิงหยวนกับฉินซูอวี้ แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเธอเลยในการสาปแช่งอีกฝ่าย
คุณนายฉินมองดูปากของหลินตงซิ่วที่เหมือนปืนกลพ่นคำสาปแช่งใส่เธอ แม้กระทั่งน้ำลายก็กระเซ็นใส่บนใบหน้าของเธอเป็นครั้งคราว
เธอถูกด่า แม้จะถอยหลังครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งไปชนแผงขายผักของพ่อค้าที่อยู่ข้างหลัง
เธอเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวย ต่อมาได้ทำงานข้าราชการและแต่งงานกับฉินโย่วเหลียง เธอไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อน แต่กลับถูกผู้หญิงบ้านนอกคนนี้ด่า!
คุณนายฉินอยากจะรีบลุกขึ้นและอ้าปากด่า แต่เนื่องจากสถานะของตัวเอง เธอทำได้เพียงชี้นิ้วพลางจ้องมองหลินตงซิ่วด้วยความโกรธแค้น “เธอ…เธอมันไร้เหตุผลจริง ๆ!”
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็ลดแขนลงและจากไปด้วยความโกรธ
เมื่อเห็นคุณนายฉินเดินจากไป ความโกรธที่เก็บกดไว้ของหลินตงซิ่วก็ระบายออกไปทันที
ไม่มีใครรู้เลยว่าตอนนี้เธอมีเหงื่อออกทั่วหลังไปหมด
ริมฝีปากของเธอซีดพลันคว้ามือของป้าอู๋อย่างรวดเร็ว “เสี่ยวอู๋ ฉันไม่ได้เพิ่งทำให้ชิงหยวนและอี้โจวต้องลำบากใช่ไหม?”
ป้าอู๋รีบให้ความมั่นใจกับเธอทันที “ไม่เลยค่ะ คุณนายหญิงกล้าหาญมากเลยต่างหาก”
หลินตงซิ่วเช็ดเหงื่อบนหน้าผากตัวเองและยิ้มอย่างอ่อนแรง “แบบนั้นก็ดีแล้ว”
หลินตงซิ่วไม่ได้พูดอะไรอีกหลังจากนั้น แต่เธอพูดน้อยกว่าตอนที่ออกจากบ้านอย่างเห็นได้ชัด
เธอไม่รู้ว่าตัวเองคิดอะไรอยู่ และเช็ดเปลือกตาอย่างเงียบ ๆ
เมื่อเซี่ยชิงหยวนฟังป้าอู๋พูดถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนเช้า เธอก็เงียบลงเหลือเพียงสีหน้าเย็นชาเท่านั้น
————————————
บทที่ 313 ไม่ได้มึนงงแต่ควบคุมตัวเอง
บทที่ 313 ไม่ได้มึนงงแต่ควบคุมตัวเอง
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้สงสัยเขา ดังนั้นเธอจึงนั่งเช็ดผมให้ทั้งแบบนั้น
เสิ่นอี้โจวมีรูปร่างสูง เซี่ยชิงหยวนจึงต้องพยายามยืดแขนของตัวเอง
เมื่อเขาสังเกตเห็นสิ่งนี้ จึงก้มตัวลงมาหาเพื่อที่เธอจะเช็ดผมเขาได้ง่ายขึ้น
ด้วยวิธีนี้ ทั้งสองจึงใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เท่าที่เสิ่นอี้โจวมองเห็น ภายใต้ปกเสื้อของเธอเป็นผิวพรรณขาวนวล และหลังจากเขาหายใจเข้า มันก็เต็มไปด้วยกลิ่นหอมอบอวลอยู่เต็มจมูก
วันนี้เซี่ยชิงหยวนสวมชุดนอนแขนยาวสไตล์ตะวันตกสีขาว ซึ่งเหล่าไต้พาเธอไปเลือก
ชุดนี้จะดูหลวมหน่อย แต่เข้าทรงในจุดที่ควรเน้น เผยให้เห็นส่วนโค้งเว้าของผู้หญิง และด้วยการเคลื่อนไหวของเธอ เขาจึงสามารถมองเห็นอะไรได้หลาย ๆ อย่าง
เสิ่นอี้โจวรู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถเพลิดเพลินกับการเช็ดผมของเซี่ยชิงหยวนได้อีกต่อไป…
จิตใจเขาเริ่มฟุ้งซ่าน
แน่นอนว่าชายหนุ่มไม่ได้เหม่อลอยอีกต่อไปแล้ว แต่เขารู้สึกไม่สบายตัวจริง ๆ เมื่ออยู่ต่อหน้าเธอแบบนี้
เซี่ยชิงหยวนกำลังช่วยเสิ่นอี้โจวเช็ดผมของเขา และเธอรู้สึกว่าอุณหภูมิบนอกของตัวเองเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
เมื่อมองลงไป หญิงสาวพบว่าปลายจมูกของเสิ่นอี้โจวนั้นอยู่ห่างจากกายของเธอเพียงหนึ่งหรือสองเซนติเมตรเท่านั้นเอง
เซี่ยชิงหยวนหดตัวกลับโดยไม่รู้ตัว
ทว่าเสิ่นอี้โจวกลับโอบกอดหลังของเธอไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว
เสิ่นอี้โจวมองภรรยาด้วยดวงตาที่ร้อนแรง “ภรรยาของผม ไม่ต้องเช็ดผมแล้วล่ะ เราเข้าห้องนอนกันเถอะ”
แน่นอนว่าเซี่ยชิงหยวนปฏิเสธ “ไม่ ผมของคุณยังไม่แห้งเลยนะ ถ้าคุณนอนทั้งแบบนี้ ตื่นขึ้นมาคุณจะปวดหัวเอานะ”
“ไม่สำคัญหรอก” เสิ่นอี้โจวอุ้มเธอขึ้นแล้วพูดว่า “เช็ดไปก็เท่านั้น เพราะเดี๋ยวก็เปียกอีก”
จากนั้นเซี่ยชิงหยวนก็ตระหนักได้ว่าเขาหมายถึงอะไร “มันยังเปียกอยู่นะ!”
ตอนนี้เธออยู่ในอ้อมแขนของเขาแล้ว พลางจ้องมองที่ขาของตัวเอง “บ่ายวันนี้คุณก็เพิ่งทำไปเอง!”
เสิ่นอี้โจวก้มลงมาเพื่อจูบเธอ “คุณจำไม่ได้เหรอว่าคุณพูดว่าคืนนี้ให้ทำซ้ำอีกครั้งน่ะ”
เซี่ยชิงหยวน “!”
นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอหมายถึง ไม่เข้าใจรึไง?
หลังจากนั้นเสิ่นอี้โจวก็พาเธอไปห้องนอนแล้ววางเธอบนเตียงอย่างรวดเร็ว
ผ้าเช็ดตัวที่ห้อยอยู่บนไหล่ของเขาถูกโยนทิ้งอย่างไม่แยแส และเขาก็โน้มตัวเข้าหาเธอ
แต่แล้วเซี่ยชิงหยวนก็ต้องรู้สึกงุนงง เมื่อได้ยินเสิ่นอี้โจวพูดว่า “เดี๋ยววันมะรืนนี้ไปโรงพยาบาลกันเถอะ”
เธอพยักหน้าเบา ๆ “อื้ม”
เสิ่นอี้โจวพูดทิ้งท้าย “แต่ไม่ใช่แค่นั้น ผมจะเอาของพวกนั้นกลับมาบ้านด้วยสักสองสามกล่อง”
…
เช้าวันรุ่งขึ้น เซี่ยชิงหยวนและหลินตงซิ่วติดตามป้าอู๋ไปที่ตลาดสด ในขณะที่เสิ่นอี้โจวพาเสิ่นอี้หลินไปที่โรงเรียนใหม่เพื่อทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม
สิ่งที่พวกเซี่ยชิงหยวนไปในวันนี้คือตลาดครบวงจรที่พวกเธอไม่ได้ไปเมื่อวานนี้
ป้าอู๋อธิบายว่า “ถนนอาหารที่เราไปเมื่อวานก็สามารถเดินไปถึงตลาดที่เรากำลังจะไปได้เหมือนกันค่ะ แต่เป็นการเดินบนถนนสายเล็ก ซึ่งวันนี้เราจะใช้ถนนสายหลักและใกล้กว่า”
ไม่นานนักทั้งสามคนยืนก็อยู่ใต้ป้ายสูงที่เขียนว่า : ตลาดเกษตรกรครบวงจรมณฑลอวิ๋น
เมื่อยืนอยู่ใต้ซุ้มประตู เซี่ยชิงหยวนก็ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมอยู่ข้างใน ฟังดูมีชีวิตชีวามาก
เมื่อเดินเข้าไปอีกจะพบร้านขายของมากมายสองข้างทาง ช่วงแรกจะเป็นร้านขายเครื่องเทศและของแห้งเป็นหลัก พอเดินเข้าไปอีกจะเป็นแผงขายผักและผลไม้ที่ด้านซ้ายและเนื้อแดงทางด้านขวา ด้านหลังแผงยังมีหมู วัว และแกะที่น่าจะเพิ่งถูกเชือดได้ไม่นานถูกแขวนในแนวตั้งทั้งตัวด้วย
แม้แต่เซี่ยชิงหยวนก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองด้วยดวงตาที่เป็นประกายเมื่อเห็นมัน
ชาติก่อน เมื่อตอนเป็นเด็กฝึกงานในร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมืองกว่างโจว เธอเคยได้ไปตลาดกับเจ้านายเพื่อซื้อของสดด้วย
ยังมีตลาดสดหลายประเภทในเมืองกว่างโจว แต่เมื่อเทียบกับในมณฑลอวิ๋นแล้วขนาดจะเล็กกว่ามาก
ในเมืองกว่างโจวและมณฑลอวิ๋น อาจกล่าวได้ว่าคนหนึ่งเป็นผู้หญิงที่ได้รับการขัดเกลาอย่างมาก และอีกคนเป็นผู้ชายที่หยาบกร้าน ซึ่งร่างใหญ่อกสามศอก
ในปีต่อ ๆ ไปเมื่อชีวิตผู้คนมั่งคั่งมากขึ้น ตลาดก็มีอุปทานล้นตลาด แต่ผู้คนในเมืองกว่างโจวก็ยังคงคำนึงถึงเรื่องงบประมาณในการซื้ออาหาร โดยปกติแล้วพวกเขาจะซื้อเฉพาะอาหารในวันนั้น และซื้อในปริมาณไม่มาก กระทั่งการขอให้เจ้าของร้านช่วยหั่น เลาะกระดูกหรือสับเนื้อก็เป็นเรื่องปกติ หรือบางทีเจ้าของร้านจะสอนวิธีทำให้ด้วย
ป้าอู๋พูดขึ้น “คุณนายคะ ที่นี่คือบริเวณขายเนื้อและผักค่ะ คุณนายกับคุณนายหญิงควรระวังสักหน่อยนะคะ เพราะพื้นจะลื่นกว่าบริเวณอื่นค่ะ”
ขณะที่พูด เธอก็ถือตะกร้าไม้ไผ่อยู่ในมือและนำทาง ขณะที่เซี่ยชิงหยวนกับหลินตงซิ่วติดตามอยู่ข้างหลัง
เมื่อเทียบกับยุคหลัง ๆ หมูในเวลานี้จะได้รับอาหารกับสารเร่งต่าง ๆ น้อยกว่ามาก และมีวงจรการเจริญเติบโตที่ยาวนานกว่า ไขมันมีสีขาวเป็นมันเงา แม้แต่หนังหมูก็ยังหนากว่าอีกด้วย
เซี่ยชิงหยวนมองไปที่เนื้อบนแผงขายเนื้อด้วยความรู้สึกตื่นเต้นอย่างอธิบายไม่ถูก
ใช่ มันเป็นความตื่นเต้น
ในสายตาคนชอบทำอาหาร นี่คือวัตถุดิบที่น่าอร่อย
ในสายตาของเซี่ยชิงหยวน นี่คือลูกชิ้นที่จะถูกเคลือบไปด้วยซุป
หมูคุณภาพดี เมื่อเอาไปทำลูกชิ้นจะยิ่งอร่อยมากขึ้น
ป้าอู๋มักจะมาซื้อของสดที่นี่ ดังนั้นเมื่อเดินผ่านแผงขายของที่คุ้นเคย เจ้าของร้านหลายคนก็จะทักทายเธอด้วยรอยยิ้ม
ถึงอย่างนั้นป้าอู๋ก็แค่ยิ้มให้กับพวกเขาเท่านั้น ไม่พาเซี่ยชิงหยวนเดินเข้าไป แต่ถ้าเซี่ยชิงหยวนหยุดดูแผงขายไหนสักแห่ง เธอก็จะยืนข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ และรอเซี่ยชิงหยวน
เซี่ยชิงหยวนเข้าใจราคาในส่วนของเนื้อหมูคร่าว ๆ แล้ว โดยหมูหนึ่งจินราคาประมาณสามเหมา ทุกวันนี้ผู้คนในเมืองไม่ขาดน้ำมันกับน้ำเหมือนเมื่อก่อน และพวกเขาจะขอให้เจ้าของร้านทำการแล่เนื้อเพื่อเอาไขมันออกให้มากหน่อย
ในท้ายที่สุด เซี่ยชิงหยวนก็ไปยังแผงที่เพิ่งทักทายป้าอู๋ ไม่เพียงเพราะเนื้อของพวกเขาขายราคาหนึ่งหยวนยี่สิบห้าเหมาเท่านั้น แต่ยังเพราะเนื้อของร้านนี้มีคุณภาพดีอีกด้วย
เธอพูดกับป้าอู๋ว่า “ป้าอู๋คะ เที่ยงนี้เราซื้อหมูสามชั้นกันเถอะ แล้วถามเจ้าของร้านให้หน่อยนะคะว่า ถ้าเราจะซื้อหมูเป็นประจำประมาณสิบจินต่อวัน เขาสามารถลดราคาให้ถูกกว่านี้ได้ไหมคะ”
ใบหน้าของป้าอู๋เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
นี่คือการเปิดใจยอมรับตัวเซี่ยชิงหยวน
เธอซื้อหมูสามชั้น โดยเจ้าของร้านก็เลือกชิ้นใหญ่และหนาให้เป็นพิเศษ เขายังกลับข้างในออกให้ดูเพื่อแสดงให้เธอเห็นว่าไม่มีแผลหรือรอยแดงด้วย
ป้าอู๋ทำตามคำแนะนำของเซี่ยชิงหยวนและถามเจ้าของร้านเกี่ยวกับราคา ก่อนจะหันกลับมาบอกเซี่ยชิงหยวนว่า “คุณนายคะ เจ้าของร้านบอกว่าถ้าคุณซื้อสิบจินต่อวัน เขาจะลดให้สุด ๆ อยู่ที่หนึ่งหยวนสองเหมาต่อจิน ไม่เกินนั้นค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ป้าอู๋ช่วยบอกเจ้าของร้านทีว่าเราจะกลับมาซื้อแบบนั้นในอีกสองวันนะคะ”
ในความเป็นจริง เวลานี้ผู้ค้าปลีกไม่ค่อยต่อรองราคา แต่เธอทำธุรกิจด้วยการซื้อสินค้าจำนวนมาก ดังนั้นเธอจึงต้องเจรจาราคาเป็นธรรมดา
หลังจากสั่งหมู เซี่ยชิงหยวนขอให้ป้าอู๋พาเธอไปที่บริเวณขายเนื้อวัวและเนื้อแกะ
ในความรู้สึกของเซี่ยชิงหยวน คนในมณฑลยูนนานชื่นชอบเนื้อวัวเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่ร่วมกัน ผู้คนมักจะตั้งหม้อใบใหญ่ไว้ข้างถนนโดยมีฟืนเผาอยู่ด้านล่าง ในหม้อใบใหญ่มีกระดูกเนื้อวัวพร้อมเนื้อ แล้วจึงเติมเครื่องปรุงง่าย ๆ เช่น เฉ่ากั่ว*[1] สะระแหน่ และพริกต่าง ๆ ลงไปแล้วเคี่ยวไว้ หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงก็จะได้ซุปกระดูกวัวน้ำข้นที่แสนอร่อย
คนที่ผ่านไปมาจะซื้อซุปกระดูกวัวหอม ๆ เมื่อได้เห็น จะเห็นว่าในชามจะมีกระดูกวัวและโรยผักชีสับจำนวนหนึ่ง ซึ่งหอมอร่อยมาก
เซี่ยชิงหยวนกลืนน้ำลายขณะที่มองไปยังเนื้อวัวติดกระดูกทั้งแถว ซึ่งแขวนอยู่บนตะขอเหล็กสีเงิน
เธอตบมือตัวเอง อดทนไว้ก่อน…
เมื่อทำต้มเครื่องในวัวก็สามารถใช้กระดูกวัวทำเป็นซุปได้ แต่การซื้อกระดูกวัวทั้งแถวนั้นคงจะเกินไปจริง ๆ
เมื่อเธอกำลังจะถามราคา ก็กลับเห็นคนสองสามคนเดินเข้ามา
พวกเขาสวมเครื่องแบบ สวมหมวกพร้อมกับมีไม้อยู่ในมือ และคนในเครื่องแบบเหล่านั้นก็เดินมาหาพวกเธอในขณะที่มองไปที่แผงขายของ
ชายที่เดินนำหน้ากลุ่มเจ้าหน้าที่แต่งตัวโอ่อ่าและไร้ระเบียบที่สุด โดยกระดุมสองเม็ดบนถูกเปิดออก ซึ่งก็คือฉีจิ่นจือ
ตาของเซี่ยชิงหยวนพลันกระตุก
ลูกชายของฉีหยวนซานคนนี้มาตรวจตราตลาดสดทำไมเนี่ย?
*[1] เฉ่ากั่ว (草果) มีฤทธิ์สลายความชื้น ขับความเย็น แก้ความเย็นกระทบกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้เกิดอาการปวดท้อง จุกเสียด แน่นท้อง อาเจียน ท้องเสีย มีฤทธิ์ขับเสมหะและยังแก้ไข้มาลาเรียได้
————————————
บทที่ 308 ลักพาตัว
บทที่ 308 ลักพาตัว
เสิ่นอี้โจวยังคงจับเท้าของเธอไว้ในมือของเขา และเงยหน้าขึ้นมอง “เอาละ บอกผมมาสิ”
เซี่ยชิงหยวนคิดเรียบเรียงประโยคของเธอเอง “คุณยังจำหัวหน้าของพวกนักเลงในเมืองกว่างโจวที่ฉันเล่าให้คุณฟังได้ไหม?”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “จำได้”
เขาคว้าเท้าของเธอ คีบสำลีก้อนเล็ก ๆ ไว้ด้วยแหนบในมือ จุ่มไอโอดีนแล้วเช็ดส้นเท้าที่เป็นแผลของเธอเบา ๆ
ความเจ็บปวดจากความเย็นของไอโอดีนทำให้เซี่ยชิงหยวนดึงขาหนี
ทันใดนั้นเขาก็จับเท้าเธออีกครั้ง พลางโน้มตัวมาข้างหน้าจนเท้าเล็ก ๆ ก็กดลงบนหน้าอกของเขา
วันนี้เสิ่นอี้โจวสวมเสื้อเชิ้ตสีเทาเงิน ซึ่งเซี่ยชิงหยวนเลือกให้เขาเองตอนที่เธอไปซื้อสินค้าจากกว่างโจว
จริง ๆ แล้วสีนี้ค่อนข้างมีลูกเล่น มันไม่ดูแก่หรือดูเป็นสีดำเกินไป ซึ่งเสิ่นอี้โจวไม่เหมาะกับสีแบบพวกนั้น
ด้วยนิสัยที่เคร่งครัดและสะอาด เมื่อติดกระดุมถึงคอเสื้อ ทำให้เขาดูสง่าผ่าเผย แต่ในขณะเดียวกันก็บริสุทธิ์และมีเสน่ห์อย่างยิ่ง
เท้าขาวของเซี่ยชิงหยวนทาบลงไปบนเสื้อ สองสีที่แตกต่างกัน ทำให้ภาพตรงหน้าเธอขัดแย้งกันอย่างมาก
“หืม?” เสิ่นอี้โจวเลิกคิ้วแล้วมองดูเธอ
เสียงต่ำ…และเอ้อระเหย
เซี่ยชิงหยวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสงบสติอารมณ์และพูดต่อ “ตอนที่ฉันไปเมืองกว่างโจวรอบหลัง คุณจัดให้เฮ่ออวี้เฟิงดูแลฉัน และฉันก็พบเขาที่โรงแรมที่ฉันพักอยู่”
การเคลื่อนไหวของมือเสิ่นอี้โจวไม่ได้หยุด และเขาก็วางเท้าของเธอบนไหล่ของเขาโดยตรง โดยเอียงศีรษะไปด้านข้างเพื่อใส่ยาให้เธอ
ทันใดนั้นเธอก็จำได้ว่าเขาพาดขาของเธอบนไหล่แบบนี้มากี่วันกี่คืนแล้ว…
เซี่ยชิงหยวนแทบไม่มีสมาธิเลย
เธอหายใจเข้าลึกแล้วพูดว่า “คืนนั้นเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ ฉันวิ่งลงไปชั้นล่างกับทุกคนและเห็นเขาออกมาจากห้องหนึ่ง”
เมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น เซี่ยชิงหยวนยังคงหวาดกลัวอยู่เลย
“เขาถือมีดที่เปื้อนเลือด ส่วนบนตัวของเขาดูเปียกปอน ฉันไม่รู้ว่าเป็นน้ำหรือเหงื่อ”
คืนนั้นผิวของฉีจิ่นจือเปล่งประกายท่ามกลางแสงไฟ ต่อมาเธอตระหนักว่ามันเป็นแสงที่หักเหด้วยน้ำหรือเหงื่อในแสงไฟ
“เขาเห็นฉันด้วย และเดินเข้ามาหาฉันด้วยพร้อมมีดในมือ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงของเฮ่ออวี้เฟิงเรียกฉันจากชั้นล่าง ด้วยเหตุผลบางอย่างเขาก็หันหลังกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง ทุกคนคิดว่าเขาตายแล้ว แต่วันนี้…”
เซี่ยชิงหยวนหยุดชั่วคราว มองดูเสิ่นอี้โจวและพบว่าเขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วมองดูเธอด้วยสายตาที่หนักหน่วง
เซี่ยชิงหยวนพูดอธิบาย “วันนี้ฉันพบว่าเขาคือฉีจิ่นจือ และเขาก็จำฉันได้ด้วย”
จากนั้นเธอก็พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างพวกเขาสองคนตรงพื้นที่พักผ่อนแถวห้องน้ำ และมองที่เสิ่นอี้โจวราวกับรอคำตัดสิน
การแสดงออกของเสิ่นอี้โจวแข็งค้าง ภายใต้ท่าทางสงบของเขามีพายุเกิดขึ้นแล้ว
เขายกมุมปากขึ้น ดวงตายังคงอ่อนโยน “ไม่ต้องกังวลนะ ผมจะจัดการกับเรื่องนี้เอง”
เพียงประโยคง่าย ๆ เช่นนี้ก็ทำให้หัวใจที่กระสับกระส่ายของเซี่ยชิงหยวนสงบลงทันทีตลอดทั้งคืน
เท้าของเธอถูกทาด้วยยาแล้ว นิ้วของเขาก็ถูหลังเท้าของเธอ และอารมณ์บางอย่างที่เซี่ยชิงหยวนไม่เข้าใจก็แวบขึ้นมาในดวงตาของเขา “เรื่องที่อันตรายแบบนี้ ในอนาคตอย่าปิดบังมันจากผมอีกนะ หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับคุณ ผมจะเสียใจจนตายแน่ ๆ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ในเวลานั้นคุณยุ่งมากและฉันไม่อยากให้คุณกังวลน่ะ ฉันจึงขอให้เฮ่ออวี้เฟิงไม่บอกคุณ”
ในเวลานั้น เธอคิดว่าตัวเองไม่เป็นไรแล้ว และเฮ่ออวี้เฟิงยังกล่าวอีกว่าเรื่องนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว ไม่จำเป็นต้องสร้างปัญหาให้กับเสิ่นอี้โจวอีก
เสิ่นอี้โจวลูบตำแหน่งข้อเท้าของเธอ จากนั้นกดไปที่น่องของภรรยาราวกับกำลังนวดให้ “บ้าน่า สามีและภรรยาก็เหมือนคนคนเดียวกันนั่นแหละ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็หัวเราะ
พอเห็นเสิ่นอี้โจวสงบมากแบบนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้อยากเห็น “ทำไมคุณไม่แปลกใจเลยล่ะ?”
แม้แต่เธอก็ยังตกใจที่เรื่องรู้เรื่องนี้เลย
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “มีข่าวลือว่าจริง ๆ แล้วต้นกำเนิดของฉีจิ่นจือนั้นคลุมเครือและไอ้เรื่องการที่เขาอาศัยอยู่ในเมืองหลวงนั้นถูกสร้างขึ้นโดยตระกูลฉี ในเรื่องนี้ผมได้เตรียมใจมาเป็นนานแล้ว อันที่จริงผมเป็นห่วงคุณมากกว่าจะแปลกใจ แต่จากข้อมูลในคืนนี้ ฉีหยวนซานไม่รู้ว่าคุณกับฉีจิ่นจือเคยพบกันมาก่อน เพราะงั้นตราบใดที่ฉีจิ่นจือไม่เปิดเผยอะไร คุณก็จะปลอดภัย”
เขาลุกขึ้นนั่งข้างเธอ “ทิ้งทุกอย่างให้เป็นหน้าที่ผม อย่ากลัวไปเลย ผมจะปกป้องคุณเอง”
ดวงตาที่อ่อนโยนของเขามีพลังในการทำให้จิตใจของผู้คนสงบลงได้เสมอ
หินก้อนใหญ่ในใจเธอหล่นลงมา จากนั้นจึงโน้มตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเขา “ตกลง”
เธอไม่เห็นมัน แต่ขณะที่เสิ่นอี้โจวกอดเธอ สีหน้าของเขาเริ่มจริงจัง
เขามองออกไปนอกหน้าต่าง ริมฝีปากเม้มแน่น และเขาไม่พูดอะไรเลย
…
บ้านตระกูลฉี
ในห้องนั่งเล่นของบ้าน ฉีหยวนซาน ภรรยาของเขา และฉีจิ่นจือกำลังนั่งอยู่ในห้องเดียวกันโดยไม่มีใครมีสีหน้าที่ดูดีเลย
ฉีหยวนซานขมวดคิ้ว ส่วนเผ่ยอิ่งกำลังมีสีหน้าเยาะเย้ย และฉีจิ่นจื่อนั่งบนโซฟาโดยแสดงสีหน้าขี้เกียจ
ตระกูลฉีคือตระกูลทหารมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ผ่านร้อนผ่านหนาวบุกตะลุยทั้งภูเขาและลำน้ำเพื่อประเทศจากรุ่นสู่รุ่น และสละชีพเพื่อประเทศ ฉีหมิงถูกส่งเข้ากองทัพเพื่อขัดเกลาตั้งแต่เขายังเด็ก เขามีบุคลิกที่เข้มงวด ซึ่งแตกต่างจากบุคลิกที่เลอะเทอะของฉีจิ่นจืออย่างสิ้นเชิง
ฉีหยวนซานอดทนกับลูกชายคนนี้ทั้งคืนและในที่สุดก็ไม่สามารถกลั้นไว้ได้อีก “ดูสิ ไม่ว่าแกจะยืนหรือนั่งก็ดูไม่เหมือนลูกชายของฉันสักนิดเลย!”
ฉีจิ่นจือหัวเราะเยาะ “ผมไม่ใช่ลูกชายของคุณตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่ ตั้งแต่เกิดจนถึงตอนนี้มีเพียงแม่ที่เป็นผู้ให้กำเนิดผมเท่านั้น”
เมื่อได้ยินฉีจิ่นจือเอ่ยถึงโจวโม่ ฉีหยวนซานก็เงียบไป
เขารู้ว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยเจตนา
ลืมมันไปซะ เขาเป็นหนี้แม่ลูกคู่นี้
เมื่อเห็นว่าฉีหยวนซานไม่ได้พูดอะไรอีก เผ่ยอิ่งก็เยาะเย้ยและพูดแทน “มันจะเป็นไปได้ยังไงที่เด็กซึ่งเกิดท่ามกลางโคลนตมจะเป็นฐานให้กับกำแพงใหญ่ได้?”
เธอมองไปที่ฉีหยวนชาน “คุณคิดว่าการให้นามสกุลของคุณแก่เขา แล้วเขาจะสามารถเปลี่ยนสันดานของตัวเองได้เหรอ? มันก็ไม่ต่างอะไรกับแม่ที่ไร้ยางอายของมัน…”
หลังจากพบกับการจ้องมองอันน่ากลัวของฉีจิ่นจือ คำพูดของเผ่ยอิ่งก็ติดอยู่ในลำคอชั่วขณะหนึ่ง และเธอก็ไม่สามารถพูดได้อีกต่อไป
ทันใดนั้นก็มีวัตถุพุ่งผ่านเธอไปแบบฉิวเฉียด ทำให้เธอร้องลั่น “กรี้ดด!” แล้วกอดศีรษะตัวเองไว้
ด้วยเสียงดัง ‘ปัง!’ ที่เขี่ยบุหรี่ก็บินผ่านหูของเธอไปกระแทกผนัง ทำให้เกิดหลุมลึก ซึ่งพังทลายลงทันที
มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าฉีจิ่นจือใช้พลังมหาศาลแค่ไหน
“จิ่นจือ!” ฉีหยวนซานตวาดด้วยความโกรธ “แกคิดจะทำอะไร!”
ฉีจิ่นจือเมินเฉยฉีหยวนซาน เขาลุกขึ้นยืนและจ้องมองที่เผ่ยอิ่งโดยมีเจตนาฆ่าชัดเจนในดวงตา “ถ้าผมได้ยินคุณพูดไม่ดีเกี่ยวกับแม่ของผมอีกแม้แต่ครึ่งคำ ผมจะทำให้คุณเสียใจที่เกิดมามีปากแน่!”
ร่างกายของเผ่ยอิ่งสั่นราวกับหนูโดนน้ำเย็น และเธอไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว
หน้าอกของฉีหยวนซานสั่นอย่างรุนแรงด้วยความโกรธ เขาชี้ไปที่ฉีจิ่นจือและพูดไม่ออก
ฉีจิ่นจือก้าวยาวเดินผ่านเขาไปอย่างไม่แยแส
“หยุดนะ!” ฉีหยวนซานหายใจเข้าแรงก่อนสงบสติอารมณ์ลง “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป แกต้องไปรายงานตัวที่สำนักงาน!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ฉีจิ่นจือก็หัวเราะ
เขามองไปที่ฉีหยวนซานอย่างเย็นชาและเต็มไปด้วยการประชดประชัน “ฉีหยวนซาน คุณจะปล่อยให้คนร้ายอย่างผมไปทำงานในสถานีตำรวจเหรอ? คุณต้องการให้ผมสอนวิธีฆ่าและจุดไฟให้พวกเขารึไง?”
เขาหยุดชั่วคราว “หรือคุณจะให้ผมบอกกับพวกเขาว่าจริง ๆ แล้วคุณเป็นคนยังไง คุณเอาชีวิตของคนทั้งโรงแรมมาเสี่ยงเพียงเพื่อแค่อยากจะลักพาตัวคนคนเดียวเท่านั้น?”
———————
