บทที่ 320 หนูเกลียดแม่
บทที่ 320 หนูเกลียดแม่
หัวใจของป้าอู๋เต้นรัวและเธอก็ก้มศีรษะทันที “คุณนายคะ ฉันขอโทษค่ะ ทั้งหมดมันเป็นความผิดของฉันเอง ฉันควรจะพาคุณนายหญิงหลบไปทันทีที่เห็นเธอ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเซี่ยชิงหยวนแสดงสีหน้าแบบนี้ และรู้สึกตื่นตระหนกอย่างมาก…
ใช่ เมื่อเจอเรื่องแบบนี้ ใคร ๆ ก็คงโกรธ
ในขณะที่เธอตัวสั่นเทิ้ม เซี่ยชิงหยวนก็ลุกขึ้นและช่วยพยุง “ป้าอู๋คะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับป้าเลย ป้าไม่จำเป็นต้องขอโทษหรอกค่ะ”
เมื่อฟังคำพูดของเซี่ยชิงหยวน ป้าอู๋ก็ไม่แน่ใจว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไรอยู่
เซี่ยชิงหยวนโกรธหรือเปล่า?
เซี่ยชิงหยวนนั่งลงบนที่นั่ง พลางยกขาไขว่ห้าง พลางยกเชิดหน้าขึ้นแล้วชี้ไปยังที่นั่งข้าง ๆ เธอ “ป้าอู๋นั่งลงก่อนสิคะ”
น้ำเสียงของเธออ่อนโยน แต่เต็มไปด้วยอำนาจ
ป้าอู๋รู้สึกไม่สบายใจ แต่ก็ปฏิบัติตามคำพูดของเซี่ยชิงหยวน
เซี่ยชิงหยวนมองเธอด้วยสายตาแผ่วเบา “ป้าอู๋ ช่วยบอกฉันเกี่ยวกับคุณนายฉินคนนี้อย่างละเอียดทีสิคะ”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ป้าอู๋ก็พยักหน้าและบอกซี่ยชิงหยวนทุกอย่างที่เธอรู้
ปรากฏว่าเฉินหลี่ภรรยาของฉินโย่วเหลียงและภรรยาของเซี่ยเจิ้งเป็นเพื่อนสนิทกัน พวกเธอเรียนโรงเรียนเดียวกันและทำงานในโรงพยาบาลเดียวกัน แม้แต่ลูก ๆ ของพวกเธอก็เติบโตมาด้วยกัน
ต่อมา คุณนายเซี่ยถึงแก่กรรมและเฉินหลี่ก็ดูแลเซี่ยจื่ออี้มากขึ้น จนเทียบเท่ากับฉินซูอวี้ในทุกสิ่ง
คงไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะบอกว่าเซี่ยจื่ออี้เสมือนเป็นลูกสาวครึ่งหนึ่งของตระกูลฉิน
เฉินหลี่มีอารมณ์รุนแรงและมักจะมองว่าตัวเองเหนือกว่าผู้อื่นอยู่เสมอ ทำให้หลาย ๆ คนในเขตที่พักอาศัยไม่มีความสุข
หลังจากได้ยินคำพูดของป้าอู๋ เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าอย่างครุ่นคิด พร้อมรอยยิ้มเยาะเย้ย “คนแบบนี้ไม่ควรเป็นหมอเลยจริง ๆ”
ป้าอู๋ก้มศีรษะลงและรอคำแนะนำของเซี่ยชิงหยวน
เธอคิดออกนิดหน่อย คุณนายคนนี้ของเธอแม้ภายนอกจะดูเหมือนเป็นคนใจดีมาก แต่ย่อมไม่ใช่คนที่ยอมให้ใครมารังแกง่าย ๆ
โดยไม่คาดคิด เซี่ยชิงหยวนก็ลุกขึ้นยืน “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณป้าอู๋มากนะคะ วันนี้ก็สายแล้ว ป้าอู๋ช่วยเตรียมวัตถุดิบทำอาหารให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ? เดี๋ยวฉันจะมาปรุงเองทีหลังค่ะ”
“คุณนายคะ?” ป้าอู๋มองเซี่ยชิงหยวนด้วยความสับสน
เมื่อกี้เธอเห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเซี่ยชิงหยวนจะไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปอย่างแน่นอน
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “ปากงอกบนร่างกายของคนอื่น ฉันจะเย็บปิดปากพวกเขาได้ยังไงล่ะคะ? แต่เรื่องแบบนี้เราไม่จำเป็นต้องไปปลุกปล้ำเพื่อเอาคืนหรอกค่ะ”
‘สิ่งที่ต้องทำคือ ลงมือครั้งเดียวเพื่อฆ่าเลย’
แน่นอนว่าประโยคนี้เซี่ยชิงหยวนไม่ได้พูดมันออกมาดัง ๆ
หลินตงซิ่วด่าอีกฝ่ายไปแล้ว ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถไปหาเรื่องเฉินหลี่คนนั้นได้อีกเพราะเรื่องนี้
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้น่าจะมีการคำนวณไว้ล่วงหน้าแล้ว ถ้าเธอไปชำระบัญชีตอนนี้ทันทีมันจะกลายเป็นฝ่ายเธอที่ดูแย่กว่า
นอกจากนี้ ยังเป็นความจริงที่ว่าเธอยังไม่ท้อง
ไม่เพียงแต่เฉินหลี่เท่านั้น แต่คนอื่น ๆ ในเขตที่พักก็อาจกำลังจับจ้องเธอในประเด็นนี้เช่นกัน ดังนั้นวิธีตบหน้าทุกคนที่ดีที่สุดคือเธอต้องตั้งท้องโดยเร็วที่สุด
ป้าอู๋ไม่ได้ถามคำถามอีกต่อไป และพยักหน้าทันที “ตกลงค่ะคุณนาย”
เซี่ยชิงหยวนหันหลังกลับ และเดินไปที่ห้องของหลินตงซิ่ว
ใบหน้าของเธอค่อย ๆ เย็นชาขึ้น แต่พอมาถึงประตูห้อง เธอก็มีรอยยิ้มอันอบอุ่นบนใบหน้าทันพลัน
เธอไม่ใช่คนโง่ที่คนอื่นจะสามารถตบตาได้ง่าย ๆ เรื่องของเฉินหลี่นั่นต้องเกี่ยวข้องกับเซี่ยจื่ออี้แน่นอน
หลอกปั่นหัวคนอื่น เล่นกับใจผู้คนเก่งนักใช่ไหม?
มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลฉินมากสินะ?
ต้องการใช้คนอื่นเป็นมีด แล้วคอยดูอยู่บนผาสูงคนเดียวใช่ไหม?
หึหึ เตรียมล้างคอรอได้เลย!
เซี่ยจื่ออี้ ฉันจะแสดงให้เธอเห็นว่าเมื่อหัวใจของคนแปรเปลี่ยนจนไม่อาจควบคุมได้ และตอนที่ใบมีดคมหันกลับมาแทงตัวเองมันจะเป็นอย่างไร… เธอจะร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดหรือไม่!
เซี่ยชิงหยวนหรี่ตาลงและเคาะประตูห้องของหลินตงซิ่ว “แม่คะ หนูมีอะไรจะคุยด้วยค่ะ”
…
ขณะเดียวกัน เฉินหลี่กลับมาถึงบ้าน ความโกรธของเธอยังไม่จางหาย จึงทำลายข้าวของในห้องนั่งเล่นอย่างเกรี้ยดกราด
แม่บ้านที่ติดตามเฉินหลี่ค่อย ๆ ก้าวมายืนข้าง ๆ พลันก้มหน้าและไม่พยายามห้ามปรามเธอ เห็นได้ชัดว่าแม่บ้านคุ้นเคยกับเหตุการณ์แบบนี้อยู่แล้ว
เสียงแตกของเครื่องลายครามดังขึ้น ทำให้ฉินซูอวี้ที่อยู่ชั้นบนสะดุ้งตกใจ
เธอรีบเดินลงมาชั้นล่าง และแจกันอีกใบในมือของเฉินหลี่ก็ถูกเขวี้ยงแตกใกล้เท้าของเธอ หญิงสาวตกใจมากจนต้องถอยเท้ากลับทันที
ฉินซูอวี้ทั้งตกใจ โกรธ เสียใจ จึงตะโกนว่า “แม่!”
จากนั้นเฉินหลี่ก็ตระหนักว่าเธอเกือบจะทำร้ายลูกสาวของตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ
เธอนวดขมับตัวเองแล้วพูดว่า “เก็บกวาดให้เรียบร้อย”
จากนั้นก็นั่งบนโซฟาราวกับว่าเธอพยายามระงับอารมณ์อย่างเต็มที่
แม่บ้านรีบเอาไม้กวาดมาทำความสะอาดเศษซากทันที
จากนั้นฉินซูอวี้ก็กล้าที่จะก้าวเท้าเข้ามานั่งข้างเฉินหลี่
“แม่คะ ทำไมถึงโกรธขนาดนี้?”
เฉินหลี่ใช้มือข้างเดียวประคองศีรษะข้างหนึ่งไว้ แล้วพิงที่เท้าแขน พลางพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนเช้า เธอยังคงกัดฟันแน่น “จะเป็นอะไรไปได้อีกล่ะถ้าเพราะไม่ใช่แม่สามีของนังเซี่ยชิงหยวน!”
“แม่สามีของเซี่ยชิงหยวน?” นั่นคือแม่ของเสิ่นอี้โจวไม่ใช่เหรอ?
ต่อหน้าเฉินหลี่ ฉินซูอวี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลก “ทำไมเธอถึงยั่วโมโหแม่ล่ะ?”
ฉินซูอวี้ได้ยินมาว่าหลินตงซิ่วเป็นผู้หญิงจากชนบทที่ซื่อสัตย์และอ่อนน้อม
เฉินหลี่นึกถึงเหตุการณ์ในตอนเช้าที่คนอย่างหลินตงซิ่วชี้มาที่ตัวเองและด่าทอ เธอโกรธอีกครั้ง แถมเมื่อเห็นสีหน้าที่สงสัยของลูกสาวตัวเอง เธอก็ยิ่งโกรธมากขึ้น
โดยปกติแล้วเธอไม่ต้องการพูดถึงเรื่องเหล่านั้นอีกต่อไป
เธอเอื้อมมือออกไปและจิ้มหน้าผากของฉินซูอวี้ “บอกแม่สิว่าทำไมลูกถึงไม่สามารถมัดใจเสิ่นอี้โจวได้ ทั้ง ๆ ที่ลูกก็อยู่ที่สถาบันธรณีวิทยามานานกว่าหนึ่งปี!”
ฉินซูอวี้รู้สึกเจ็บจนต้องปิดหน้าผากของเธอแล้วพูดอย่างงุนงง “ก่อนหน้านี้แม่บอกให้หนูอย่าไปยุ่งกับเขาที่เป็นคนมาจากชนบทเองไม่ใช่รึไง?”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ เฉินหลี่ก็รีบเอามือมาทาบอกแล้วถอนหายใจ “นั่นเป็นเพราะแม่ไม่รู้ว่าเขามีความสามารถมากขนาดนี้น่ะสิ!”
ฉินซูอวี้ก้มศีรษะลงและไม่ตอบ แต่ริมฝีปากของเธอขยับ ซึ่งแสดงอย่างเด่นชัดว่าไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเฉินหลี่
ในตอนนั้นที่เธอสามารถไปเตียนเฉิงได้เป็นเพราะพ่อตามใจเธอ
เมื่อเฉินหลี่รู้เรื่อง คำสั่งย้ายก็เสร็จสิ้นไปแล้ว และไม่สามารถทำอะไรเพื่อคัดค้านได้
ในตอนนั้นเฉินหลี่โกรธมาก และดุด่าด้วยน้ำเสียงรุนแรง “แม่รู้ว่าลูกไม่ชอบให้แม่พูด ว่าลูกต้องฉลาดกว่านี้บ้าง หรือถ้าไม่รู้ว่าจะไปเรียนรู้จากใครก็เรียนรู้จากจื่ออี้ซะ เห็นไหมว่าเธอไม่เพียงแต่โดดเด่นในเรื่องงาน แต่ยังสามารถมีความสัมพันธ์กับนายน้อยฉีได้ด้วย!”
ฉินซูอวี้เริ่มหมดความอดทนมากขึ้นเมื่อเธอได้ยินเฉินหลี่เปรียบเทียบตัวเองกับเซี่ยจื่ออี้อีกครั้ง
ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เธอไม่จะลงมาดูตอนที่ได้ยินเสียงดังเมื่อกี้นี้แน่นอน
เธอเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “หนูรู้เรื่องของตัวเองดี เพราะงั้นแม่ไม่ต้องกังวลหรอก”
คนอย่างเฉินหลี่มีหรือจะยอมให้ฉินซูอวี้พูดกลับได้ เสียงของเธอแหลมขึ้นอีก “แกคิดว่าแม่ต้องการควบคุมแกมากงั้นเหรอ? หากแกมีความสามารถได้สักครึ่งหนึ่งของจื่ออี้ แม่จะกังวลแบบนี้ไหม?”
“แม่!” ฉินซูอวี้เริ่มโกรธแล้วเช่นกัน “แม่ช่วยหยุดพูดถึงจื่ออี้สักวันได้ไหม สรุปแล้วหนูเป็นลูกสาวของแม่หรือเธอเป็นลูกสาวของแม่กันแน่? ในใจของแม่ หนูไม่เคยดีเท่าเธอทุกด้านเลย ถ้าแม่ชอบเธอมากนัก ทำไมแม่ไม่…”
เพียะ!
การตบอย่างรุนแรงขัดจังหวะคำพูดของฉินซูอวี้
ฉินซูอวี้มองไปที่เฉินหลี่อย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะที่ความเจ็บปวดและชาที่แก้มของเธอเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ
เฉินหลี่มองดูฝ่ามือที่แดงของตัวเอง และตกตะลึงทันที
เมื่อตระหนักว่าเธอเพิ่งตบลูกสาว เธอก็รู้สึกเสียใจขึ้นมา
“ซูอวี้ แม่…”
ฉินซูอวี้ปิดหน้าที่ถูกตบและจ้องไปที่เฉินหลี่ หญิงสาวร้องไห้และตะโกนเสียงดัง “หนูเกลียดแม่!”
บทที่ 314 ถูกเตะจนนั่งบนหัวหมู
บทที่ 314 ถูกเตะจนนั่งบนหัวหมู
เมื่อเจอเขาอย่างกะทันหันแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ไม่มีเวลาคิดอย่างถี่ถ้วน ด้วยความคิดที่ไม่อยากให้เกิดปัญหา เธอจึงหันหลังกลับและพยายามหลบไปด้านข้างทันที
แต่ทันใดนั้น คนขายเนื้อก็ตะโกนบอกเธอว่า “คุณต้องการซื้อตัวเดียวอันเดียวของวัวด้วยไหม? ตัวเดียวอันเดียวของฉันอร่อยมากเลยนะ”
เจ้าของร้านข้าง ๆ ก็ตะโกนว่า “ตัวเดียวอันเดียวของฉันยาวกว่า ถ้าคุณซื้อสองอันฉันลดให้คุณได้อีกนะ”
ตลาดสดมีเสียงดังอยู่แล้ว และคนขายเนื้อก็คุ้นเคยกับการพูดเสียงดัง ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่
ขืนกระซิบลูกค้าคงไม่ได้ยินกันพอดี
เซี่ยชิงหยวนซึ่งตื่นตระหนกอยู่แล้วก็สะดุ้งทันทีกับสิ่งที่พวกคนขายเนื้อตะโกน เธอมองไปและเห็นว่าสิ่งที่ใกล้ตัวมากที่สุดตอนนี้คือตัวเดียวอันเดียว!
เจ้าของร้านทั้งสองจงใจชูตัวเดียวอันเดียวมารวมกันราวกับเป็นการแข่งขัน
อาการหน้าแดงพุ่งขึ้นมาบนใบหน้าของเซี่ยชิงหยวนทันที และก่อนที่เธอจะปฏิเสธ ฉีจิ่นจือก็หยุดชั่วคราวในขณะที่กำลังจะเดินผ่านเธอ
ขณะนี้ดูเหมือนเวลาจะเดินช้าลง ดวงตาของฉีจิ่นจือจ้องมองไปยังใบหน้าด้านข้างของเซี่ยชิงหยวน จากนั้นจึงเลื่อนลงไปที่…ตัวเดียวอันเดียววัวที่ถูกชูขึ้นใกล้หน้าเธอ
ดวงตาอันเร่าร้อนสีดอกพีชของเขาหรี่ลง และมองไปที่เซี่ยชิงหยวนอย่างมีความหมาย
หญิงสาวรู้สึกได้ถึงการจ้องมองที่อยู่ข้างหลังราวกับหนามที่ตำหลังตัวเองอยู่ ตอนนี้เธอก้มศีรษะลงจนเกือบถึงหน้าอกอยู่แล้ว
เธอกำมือแน่นอธิษฐานในใจ ขอให้ฉีจิ่นจือจากไปโดยเร็ว
โชคดีที่ฉีจิ่นจือไม่ได้อยู่นานเกินไป และก้าวเท้าอีกครั้งโดยวางแผนที่จะจากไปเช่นกัน
แต่ในขณะเดียวกัน ชายคนหนึ่งพร้อมรถเข็นที่เต็มไปด้วยเนื้อกำลังพุ่งมาทางนี้
เขาเอาแต่ตะโกนบอกทุกคนให้ออกไปให้พ้นทาง แต่ความเร็วของเขาไม่ได้ลดลงเลย
หมูที่ถูกเชือดวางอยู่บนรถเข็นเล็ก ๆ นั้น ขนาดรถเข็นที่ไม่กว้างพอ ขาของหมูบางส่วนจึงห้อยออกมาจากรถเข็น ทำให้บางคนที่ไม่มีเวลาหลบโดนมัน
ฉีจิ่นจือพากลุ่มคนของเขาหลบออกไปอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อชายเข็นรถเข็นคนนั้นอยู่ห่างจากพวกเขาเพียงหนึ่งหรือสองเมตร เท้าของเขาก็ลื่น รถเข็นเริ่มไม่มั่นคงและหันไปทางกลุ่มของเซี่ยชิงหยวน
เซี่ยชิงหยวนสังเกตเห็นสถานการณ์นี้ เลยรีบดึงหลินตงซิ่วและป้าอู๋หลบอย่างรวดเร็ว
แต่ด้วยวิธีนี้ทำให้ช้ากว่าคนอื่นครึ่งก้าว ตอนนี้เธอกำลังจะโดนรถเข็นบรรทุกหมูที่อยู่ข้างหลังชนแล้ว
ทันใดนั้น เซี่ยชิงหยวนที่เห็นว่าจวนตัวแล้วจึงยกเท้าขึ้นเพื่อจะเตะรถเข็นที่เสียการควบคุมออกไป
ท่ามกลางสถานการณ์ที่คับขัน ฉีจิ่นจือผู้ซึ่งหลบไปแล้วเห็นเหตุการณ์นี้จึงรีบก้าวมาข้างหน้าเพื่อกันตัวเซี่ยชิงหยวนจากรถเข็น
เซี่ยชิงหยวนถอยเท้าของตัวเองกลับไม่ทัน เท้าของเธอจึงเตะไปอย่างแม่นยำ…ที่หว่างขาของฉีจิ่นจือ
จากแรงเตะของเซี่ยชิงหยวน ฉีจิ่นจือก็ล้มลงไปนั่งลงบนหัวหมูบนรถเข็นอย่างไม่อาจควบคุมได้
เซี่ยชิงหยวน “…”
ฉีจิ่นจือ “…”
คนอื่น ๆ “!”
เซี่ยชิงหยวนตกใจมากจนรีบถอยขากลับ
ส่วนตอนนี้ ฉีจิ่นจือมีสีหน้าที่ไม่อาจอธิบายได้
เขาต้องการที่จะเอื้อมมือออกไปโดยไม่รู้ตัว และปกปิดจุดที่เซี่ยชิงหยวนเตะเมื่อครู่
พอคิดว่ามีคนอยู่มากมาย เขาก็ทำได้เพียงกัดฟันและลุกขึ้นยืนอย่างเข้มแข็งเท่านั้น
แต่หลังจากที่เขายืนตัวตรง ขาของเขาก็บีบเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้ใบหน้าของเซี่ยชิงหยวนแดงไปจนถึงลำคอแล้ว
ซึ่งหลังจากหน้าแดงไม่นานหน้าของเธอก็เริ่มซีดขาว
ซวยแล้วไง!
กลุ่มคนที่อยู่กับฉีจิ่นจือรีบวิ่งมาช่วยเขาเช็ดคราบสกปรก และบางคนถึงกับอยากจะตบรอยเท้าของเซี่ยชิงหยวนบนกางเกงของเขา
ฉีจิ่นจือบังชายคนนั้น พลางมองเซี่ยชิงหยวนด้วยสายตาบอกไม่ถูก และเม้มริมฝีปากแน่นจนไม่น่าดู
เซี่ยชิงหยวนรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วส่งให้ฉีจิ่นจือ “ฉันขอโทษจริง ๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจค่ะ!”
เธอรู้สึกละอายใจและรำคาญตัวเอง หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าฉีจิ่นจือจะพุ่งเข้ามาแบบนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนที่เธอเตะเขานั้นก็น่าอับอายมาก จะดีกว่าไหมถ้าเธอเตะก้นของเขาแทน?
ฉีจิ่นจือไม่ได้พูดอะไร เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าไปจากเธอ พลางมองลงไปที่รอยเท้าบนกางเกง แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเบา ๆ
ป้าอู๋และหลินตงซิ่วก็ขอโทษฉีจิ่นจือเช่นกัน
“พ่อหนุ่ม ขอโทษด้วยนะคะ คุณนายของฉันประมาทเอง ฉันพอมีเงินติดตัวอยู่บ้างโปรดรับไปเพื่อเป็นการขอโทษ…” ป้าอู๋รีบพูดขึ้น
“ขอโทษจริง ๆ พ่อหนุ่ม หลังจากนี้ถอดกางเกงมาให้ป้าคนนี้นะ เดี๋ยวป้าจะเอากลับไปซักใหม่ให้เอง แล้วส่งกลับให้ดีไหม?” หลินตงซิ่วพูดตาม
ป้าอู๋กำลังจะจ่ายเงิน แต่หลินตงซิ่วกำลังคิดที่จะซักกางเกงให้อีกฝ่าย ซึ่งเซี่ยชิงหยวนตกใจมากจนคว้าตัวหลินตงซิ่ว
เมื่อได้ยินแบบนี้ฉีจิ่นจือก็ยิ้มออกมา
รอยยิ้มอันอ่อนโยนพร้อมสัมผัสแห่งการเยาะเย้ย
เขาเข้าใกล้เซี่ยชิงหยวนก้าวหนึ่งแล้วพูดว่า “คุณนายช่างเป็นคนผูกใจเจ็บเหลือเกินนะครับ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็โบกมือให้คนที่อยู่ข้างหลัง แล้วออกเดินนำจากไป
เขาเดินอย่างโอ่อ่าพอ ๆ กับตอนที่เดินเข้ามา ยกเว้นว่าตอนนี้ขาสองข้างของเขาดูไม่ปกติเหมือนตอนแรก ทั้งยังมีคราบเลือดและเนื้อหมูที่ก้น
เมื่อเห็นฉีจิ่นจือจากไป เซี่ยชิงหยวนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หลินตงซิ่วกังวลอย่างมาก “ชิงหยวน ลูกคิดว่าคนนั้นจะแค้นเรารึเปล่า?”
ยิ่งกว่านั้น ทำไมเขาถึงบอกว่าเซี่ยชิงหยวนเป็นคนผูกใจเจ็บล่ะ? เธอไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
หลินตงซิ่วไม่เข้าใจ แต่เซี่ยชิงหยวนเข้าใจ
เขาพูดอย่างชัดเจนถึงช่วงเวลาที่ทั้งสองพบกันครั้งแรกในเมืองกว่างโจว ตอนที่พวกเขาถูกแก๊งชิงเฉิงไล่ล่า เขาก็ขอให้เธอมุดเข้าไปในรูสุนัขลอด
เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าใจกับสิ่งที่ฉีจิ่นจือกำลังคิดอยู่เลยจริง ๆ
เธอสงบลงและตบมือหลินตงซิ่ว “ไม่เป็นไรค่ะแม่ ไม่ต้องกังวลไปนะคะ”
…
เดิมทีเซี่ยชิงหยวนต้องการบอกเสิ่นอี้โจวเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ไม่คาดคิดเลยว่าพอเขากลับมาเพื่อกินมื้อเที่ยง พอกินเสร็จ เขาก็รีบกลับไปทำงานทันที
เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลืนคำพูดทั้งหมดลงท้อง โดยคิดว่าตอนเย็นที่จะไปบ้านของหยวนหงหลี่ เธอค่อยเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ได้
เนื่องจากเธอจะไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ เซี่ยชิงหยวนจึงแต่งตัวสวยขึ้นอีก
เธอสวมกางเกงยีนสีน้ำเงินอ่อน เสื้อชีฟองสีขาวและรวบผมหางม้าสูง ดูอ่อนเยาว์มากและเหมือนเด็กสาวที่อายุไม่เกินสิบเจ็ดหรือสิบแปดปีเลย
เมื่อเสิ่นอี้โจวเห็นชุดที่เธอสวม ดวงตาของเขาก็ประกายขึ้น จากนั้นเขาก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าผมพาคุณออกไปเดินตามท้องถนน ผู้คนคงจะบอกว่าผมเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อนแน่นอน”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “คุณอายุมากกว่าฉันแค่สี่ปีเอง คุณคิดว่าตัวเองอายุเท่าไหร่กันแน่?”
ทั้งสองคนถือของขวัญที่เตรียมไว้ และเดินไปที่บ้านของหยวนหงหลี่ด้วยกัน
หยวนหงหลี่ก็อาศัยอยู่ในเขตที่พักเดียวกัน และใช้เวลาเดินไปที่นั่นเพียงประมาณสิบนาทีเท่านั้น
หยวนหงหลี่และภรรยายืนอยู่ที่ประตูเพื่อทักทายแขก ซึ่งคนที่พูดคุยและหัวเราะกับพวกเขาตอนนี้กลายเป็นเซี่ยจื่ออี้
ขณะเดียวกัน ฉีจิ่นจือก็ยืนอยู่ข้าง ๆ พวกเขาด้วย พลางเตะก้อนกรวดใต้เท้าของตัวเองด้วยความเบื่อหน่าย
