บทที่ 321 ของขวัญชิ้นแรก
บทที่ 321 ของขวัญชิ้นแรก
น้ำตาแห่งความคับข้องใจไหลออกมาจากดวงตาของฉินซูอวี้ เธอทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงหันหลังกลับแล้ววิ่งขึ้นไปชั้นบน
“ซูอวี้! ซูอวี้!” เฉินหลี่เรียกลูกสาวจากด้านหลัง แต่เสียงที่ตอบรับนั้นกลับเป็นเสียงประตูที่ปิดลงดังสนั่น
เฉินหลี่เสียใจกับความผิดพลาดของตัวเอง เธอราวกับกำลังหมดแรงและล้มลงบนโซฟา
เธอไม่เคยตีฉินซูอวี้มาก่อนตั้งแต่เลี้ยงมา
ทั้งหมดเป็นความผิดของครอบครัวนังเซี่ยชิงหยวน!
ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเขา เธอคงจะไม่ตบฉินซูอวี้โดยไม่ได้ตั้งใจเพราะอารมณ์ไม่ดีหรอก!
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ดวงตาของเฉินหลี่ก็ค่อย ๆ เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
เธอเป็นคนที่ภูมิใจในตัวเองและหยิ่งผยองมาก หากเกิดอะไรขึ้น เธอจะไม่โทษตัวเองเลย
เธอรู้สึกว่าตัวเองเก่ง เหนือกว่าคนอื่น และไม่เคยทำผิดพลาด
แม้จะผิด แต่ก็เป็นความผิดของคนอื่น
…
เมื่อเซี่ยชิงหยวนเข้าไปในห้อง หลินตงซิ่วกำลังนั่งอยู่ข้างเตียง และเช็ดน้ำตาของเธออย่างเงียบ ๆ
เซี่ยชิงหยวนเดินไปนั่งข้างแม่สามีแล้วถามเบา ๆ “แม่คะ เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่ความผิดของเรา แล้วทำไมแม่ถึงร้องไห้ล่ะ?”
หลินตงซิ่วอับอายที่จะมองหน้าลูกสะใภ้และพูดเบา ๆ “แม่โกรธที่ผู้หญิงคนนั้นพูดว่าร้ายลูกกับอี้โจว”
หลังจากหยุดชั่วครู่ เธอก็เสริมว่า “เราไม่รู้จักเธอด้วยซ้ำ และเธอก็พูดจาหยาบคายมาก”
ในตอนนั้นเธอโกรธมากจนกล้าด่าเฉินหลี่ไปหลายประโยคในรวดเดียว
เมื่อเธอเย็นลง อารมณ์ด้านลบทุกประเภทก็ท่วมท้นกลับมา
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็จับมือของอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “แม่คะ เราอาศัยอยู่ในโลกโหดร้ายนี้ มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะโดนคนอื่นเข้าใจผิด วิพากษ์วิจารณ์และดูถูกเหยียดหยาม มีเพียงเราต้องทำใจให้เข้มแข็งเท่านั้นเพื่อสู้กับสิ่งเหล่านั้น และทำให้คนที่เรารักมีความสุข นั่นจึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เราไม่จำเป็นต้องไปใส่ใจกับคนอื่นที่ไม่สำคัญเหล่านั้นเลยจริงไหมคะ?”
เธอจับมือของหลินตงซิ่วไว้ในฝ่ามือแล้วตบเบา ๆ “เป้าหมายเดียวของเราคือการมีความสุขในทุกวัน จากนั้นปล่อยให้คนที่ดูถูกเราอ้าปากค้างและดวงตาเบิกกว้างอย่างทำอะไรไม่ได้ไปเถอะ”
หลินตงซิ่ว ผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในชนบทมาตลอดชีวิตติดตามลูกชายและลูกสะใภ้มาจากหมู่บ้านซีสุ่ยมาที่เมืองเตียนเฉิง จากนั้นก็มาที่มณฑลอวิ๋น มันเป็นเรื่องดีจริง ๆ ที่สามารถเติบโตได้เช่นนี้ในช่วงเวลาสั้น ๆ
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่าไหล่ของหลินตงซิ่วหยุดสั่นแล้ว หญิงสาวจึงกอดแม่สามีไว้ในอ้อมแขน “แม่คะ อย่าไปสนใจกับสิ่งที่ใครพูดเลยค่ะ เราแค่ต้องใช้ชีวิตของเราอย่างมีความสุขทุกวันก็พอ”
เสียงของเธอเบา แต่หนักแน่น “และแน่นอนว่าวันนี้แม่เก่งมากเลยค่ะ”
หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ หลินตงซิ่วก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเซี่ยชิงหยวน มองดูลูกสะใภ้ด้วยความประหลาดใจ ราวกับเด็กที่ได้รับคำชม
เซี่ยชิงหยวนมองเข้าไปในดวงตาที่ยังคงมีคราบน้ำตาของแม่สามีเธออย่างจริงใจและเต็มไปด้วยการให้กำลังใจ
“ใช่ค่ะ วันนี้แม่เก่งมาก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ หนูและอี้โจวจะคอยสนับสนุนแม่จนถึงที่สุดเองค่ะ”
แม้ว่าไหล่ของเธอจะยังไม่แข็งแรงพอให้พักพิง แต่สำหรับคนที่เธอรักมันยังคงดูเหมือนต้นไม้สูงตระหง่านอย่างแน่นอน
นี่เป็นครั้งแรกที่แม่สามีและลูกสะใภ้คุยกันอย่างลึกซึ้งเช่นนี้
คำพูดที่ลึกซึ้งนี้บีบหัวใจของหลินตงซิ่ว และในที่สุดคำพูดทั้งหมดก็เหลือเพียงประโยคเดียว
“ขอบคุณนะ”
สำหรับในเรื่องที่ว่าทำให้เฉินหลี่ขุ่นเคืองหรือไม่ เธอจะไม่ถามอะไรอีก
เพราะลูกสะใภ้ของเธอพูดถูก
หลังจากที่หลินตงซิ่วสงบลง เซี่ยชิงหยวนก็พูดว่า “แม่คะ หนูอยากทำต้มเครื่องในเนื้อวัว แม่ไปช่วยหนูหน่อยได้ไหมคะ?”
เซี่ยชิงหยวนบอกกับหลินตงซิ่วแล้วว่าร้านที่เพิ่งเปิดใหม่นี้จะขายต้มเครื่องในวัวในฤดูหนาวนี้ก่อน
หลินตงซิ่วยิ้มและพยักหน้า “ได้สิ”
เมื่อแม่สามีและลูกสะใภ้ไปที่ห้องครัว ป้าอู๋ก็ล้างเครื่องในที่พวกเธอซื้อมาให้แล้ว
เครื่องในเนื้อวัวประกอบด้วย ผ้าขี้ริ้ว ตับ ลำไส้ หัวใจ ปอดเนื้อ และอื่น ๆ ซึ่งเธอยังซื้อเนื้ออกวัวและกระดูกวัวมาด้วย
เซี่ยชิงหยวนขอให้ป้าอู๋ซื้อทั้งหมดเพื่อทดสอบรสชาติเมื่อปรุงสุก และดูว่าต้องปรับปรุงสูตรอย่างไร
หากพัฒนาสูตรจนเลิศรสแล้ว สูตรต้มเครื่องในเนื้อวัวนี้จะกลายเป็นเหมือนอาวุธวิเศษที่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหลักพันหยวน
หลายคนร่วมกันหั่นวัตถุดิบเป็นชิ้นใหญ่ จากนั้นใส่หัวหอม ขิง และเหล้าจีนสำหรับปรุงอาหารลงในหม้อโดยใช้น้ำเย็นแล้วต้ม
เมื่อวัตถุดิบสุกแล้วก็เทน้ำที่ใช้ต้มทิ้งไป จากนั้นพักวัตถุดิบไว้ข้าง ๆ เพื่อใช้ในภายหลัง
ขั้นตอนต่อไปคือการใส่โป๊ยกั้ก และส่วนผสมอื่น ๆ ลงในกระทะ ใส่น้ำมันลงไปผัดจนส่งกลิ่นหอม จากนั้นจึงใส่เครื่องในเนื้อวัวที่สะเด็ดน้ำออกลงในหม้อเหล็กขนาดใหญ่ แล้วผัดจนกลิ่นหอมโชยออกมา และในที่สุดก็เติมน้ำเพื่อเคี่ยวต่อ
หม้อเหล็กที่ใช้ต้มเครื่องในเนื้อวัวเป็นหม้อขนาดใหญ่ที่เซี่ยชิงหยวนซื้อมาเป็นพิเศษ
หม้อเหล็กแบบนี้นำความร้อนได้เร็ว และคลายความร้อนได้ช้า สามารถกักเก็บความร้อนได้ดี มันสามารถถ่ายเทความร้อนไปยังส่วนผสมภายในหม้อได้อย่างสมดุลและยาวนาน อีกทั้งน้ำยังระเหยช้ากว่าถ้าเทียบกับหม้อที่ทำจากวัสดุอื่น น้ำซุปจะเคี่ยวเข้าเนื้อทำให้รสชาติดีขึ้นและเนื้อจะเปื่อยมากขึ้น
เช่นเดียวกับต้มกีบเท้าหมูและขิงของเมืองกว่างโจว พวกมันก็ถูกตุ๋นในหม้อปรุงอาหารแบบนี้เช่นกัน
เมื่อเวลาผ่านไป น้ำส้มสายชูหมักสีเข้มผสมกับซุปข้นจากตีนหมูหยดลงบนขอบหม้อตุ๋น และเพราะการไหม้ของก้นหม้อ ทำให้หม้อปรุงอาหารกลายเป็นสีดำสนิท
ทว่ายิ่งหม้อปรุงอาหารมีสีเข้มเท่าใด รสชาติและอายุของชื่อแบรนด์ที่ได้รับการยกย่องมายาวนานก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น
เซี่ยชิงหยวนเพิ่มกระดูกวัวเพื่อทำให้ซุปอร่อยและเข้มข้นยิ่งขึ้น
เมื่อเทียบแค่ใส่ส่วนผสมและเครื่องในวัวแล้ว กระดูกวัวจะยิ่งทำให้รสชาติเข้มข้นขึ้นทั้งหม้อ
ท้ายที่สุดเซี่ยชิงหยวนก็เติมน้ำตาลในปริมาณที่เหมาะสม
ต้มเครื่องในวัวส่วนใหญ่ในเมืองกว่างโจวมีรสหวาน เนื่องจากการเติมน้ำตาล
เธอกังวลว่าคนในมณฑลอวิ๋นจะไม่คุ้นเคยกับรสชาติเช่นนี้ เธอจึงลดสัดส่วนน้ำตาลลง นอกจากนี้คนมณฑลอวิ๋นชอบอาหารรสเผ็ด หญิงสาวจึงเติมพริกแห้งลงไปด้วยให้มีรสเผ็ดเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ แต่ไม่ทำให้ผู้คนรู้สึกเผ็ดจนเกินไป
เธอตักแบ่งบางส่วนแยกไว้สำหรับเสิ่นอี้โจวโดยไม่ใส่พริก และใส่ไว้ในหม้อปรุงอาหารเล็ก ๆ
ถัดจากหม้อขนาดใหญ่ก็จะได้ยินเสียงเดือดปุด ๆ อยู่ข้างใน
เมื่อเครื่องในตุ๋นจนนุ่มก็ให้ใส่หัวไชเท้าขาวหั่นเป็นชิ้นใหญ่แล้วรอประมาณยี่สิบนาที จากนั้นหัวไชเท้าจะดูดซับซุปและได้รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์
ต้มเครื่องในวัวและหัวไชเท้าใช้เวลามากกว่าสามชั่วโมงในการทำเพื่อเสิร์ฟบนโต๊ะ
เซี่ยชิงหยวนถือสมุดบันทึกพร้อมกับจดส่วนผสมที่เธอเพิ่งใช้ ทุก ๆ อัตราส่วนที่แตกต่างกันจะนำไปสู่รสชาติที่แตกต่างกันอย่างมาก
ป้าอู๋กับหลินตงซิ่วยังไม่ได้กินข้าวตอนเที่ยง เมื่อต้มเครื่องในวัวและหัวไชเท้าเสร็จ หลินตงซิ่วกับป้าอู๋ก็กลืนน้ำลายไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน
เซี่ยชิงหยวนเทบางส่วนให้ทั้งคู่ “ลองดูก่อนสิคะว่าชอบไหม?”
หลินตงซิ่วและป้าอู๋แทบรอไม่ไหวที่จะคีบเครื่องในวัวขึ้นมา และยัดมันเข้าไปในปากทันทีที่พวกเธอเป่ามัน แม้ว่าตอนนี้มันจะยังร้อนมากจนแทบลวกปาก แต่พวกเธอก็แค่ใช้มือพัดปากและไม่ต้องการที่จะบ้วนมันออกมา
ทั้งสองเคี้ยวมันจนหมด และพบว่ามันอร่อยมาก จึงคีบอีกชิ้นขึ้นมา
ครั้งนี้ชิมอย่างระมัดระวัง
เครื่องในเนื้อวัวมีความนุ่มและเปื่อยมาก เส้นเอ็นเต็มไปด้วยคอลลาเจน และลำไส้ของวัวก็ยังคงความหนึบหนับอยู่….เห็นได้ชัดว่าเป็นส่วนผสมที่ผสมในหม้อเดียวกัน แต่รสสัมผัสของแต่ละอย่างก็มีลักษณะเฉพาะของตัวมันเอง
รู้สึกเหมือนสามารถกินซุปและข้าวได้หมดชามเลย
เซี่ยชิงหยวนมองดูทั้งสองอย่างคาดหวัง “เป็นยังไงบ้างคะ?”
ป้าอู๋ยกนิ้วให้เซี่ยชิงหยวน “มันอร่อยมากเลยค่ะคุณนาย นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันกินเครื่องในเนื้อวัวที่มีรสชาติแบบนี้เลยค่ะ!”
หลินตงซิ่วก็ยกนิ้วให้เช่นกัน “มันอร่อยมากจนแม่แทบรอไม่ไหวที่จะกินมันทั้งหมดเลย!”
เซี่ยชิงหยวนมีความสุขมากหลังจากได้รับคำชมอย่างล้นหลามจากทั้งสองคน
เธอยิ้มแล้วพูดว่า “ดูเหมือนหนูจะมีพรสวรรค์ในการทำอาหารนะ”
เมื่อก่อนแม่สามีของเธอสอนแค่การทำอาหารด้วยวาจาเท่านั้น แต่เธอก็นำมาปฏิบัติและใช้ส่วนผสมอย่างถูกต้อง ทั้งความร้อน และวิธีทำ เติมน้ำเยอะ ๆ ซึ่งล้วนเป็นความรู้ทั้งสิ้น
หลินตงซิ่วยังคงชมเชย “ลูกมีความสามารถทำได้ทุกอย่างจริง ๆ!”
…
เซี่ยชิงหยวนปิดช่องระบายอากาศของเตาอย่างแน่นหนาเหลือเพียงรูเล็ก ๆ เท่านั้น และวางหม้อลงไปเพื่อคอยอุ่นมัน
เซี่ยชิงหยวนดูเวลา ตอนนี้สี่โมงเย็นแล้ว
เธอหยิบชามซุปสะอาดขนาดใหญ่ที่มีฝาปิด ใส่เครื่องในวัวและหัวไชเท้าลงไปมากกว่าสองจิน ตักซุปออกมาเพิ่ม แล้วใส่ซอสพริกกระเทียมที่เธอทำในตอนหลังลงในขวดเล็ก ๆ
ในที่สุดเธอก็ปิดฝาชาม ใส่ลงในตะกร้า คลุมด้วยผ้าแล้วเดินไปที่บ้านของหยวนหงหลี่
เมื่อกำลังจะเดินไปถึงบ้านของหยวนหงหลี่ เธอก็ได้ยินเสียงคนพูดคุยอยู่ฝั่งตรงข้าม หญิงสาวเงยหน้าขึ้นและเห็นว่าเป็นเซี่ยจื่ออี้กับฉินซูอวี้
ฉินซูอวี้เดินนำหน้าและหันหน้าออกไปด้านข้าง เซี่ยจื่ออี้เดินตามไปข้างหลังและพูดคุยด้วยรอยยิ้ม แต่ฉินซูอวี้ดูเหมือนจะไม่สนใจมากนัก
เซี่ยชิงหยวนเลิกคิ้วเบา ๆ
เฉินหลี่ไม่ทำให้เธอผิดหวังเลยจริง ๆ
เมื่อเซี่ยชิงหยวนเห็นทั้งสองคนนี้ เซี่ยจื่ออี้และฉินซูอวี้ก็เห็นเธอเช่นกัน
ฉินซูอวี้เลิกแสดงสีหน้าเศร้าโศกเมื่อครู่นี้ และดึงหน้าไม่อยากให้เซี่ยชิงหยวนเห็นเรื่องตลก
ส่วนเซี่ยจื่ออี้เพียงยิ้มและทักทายเซี่ยชิงหยวน “ชิงหยวน ช่างบังเอิญจริง ๆ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพยักหน้า “ใช่ มันช่างบังเอิญจริง ๆ”
ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนกวาดไปทั่วร่างของฉินซูอวี้และพูดว่า “เมื่อกี้ฉันเห็นหญิงสาวสวมเสื้อผ้าสวย ๆ จากในระยะไกล ฉันยังคิดอยู่เลยว่าสวยจังและจะซื้อมาใส่บ้าง แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะกลายเป็นคุณฉิน”
หลังจากที่พูดจบประโยคนี้ รอยยิ้มที่มุมปากของฉินซูอวี้ก็แผ่ขยายอย่างเงียบ ๆ แต่ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนเบนไปที่เซี่ยจื่ออี้แล้วพูดต่อ “แต่เมื่อฉันเห็นคุณเซี่ย ฉันก็เพิ่งรู้ตัวว่าด่วนสรุปเร็วเกินไป คุณเซี่ยช่างสวยงามจริง ๆ ทั้งการแต่งกายและรูปร่าง แถมสิ่งสำคัญคือกิริยาที่ดูสง่างามจนใครก็เทียบไม่ได้เลย”
หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนพูดจบ สีหน้าของฉินซูอวี้ก็มืดลงทันทีตามที่คาดคิด
ฉินซูอวี้ไม่พูดอะไร เธอพองแก้มของตัวเอง สูดหายใจอย่างหนัก หันหลังกลับและจากไปอย่างรวดเร็ว
เซี่ยจื่ออี้ไม่สนใจที่จะคาดเดาความตั้งใจของเซี่ยชิงหยวน และรีบไล่ตามฉินซูอวี้ไป “ซูอวี้ รอฉันด้วย!”
เซี่ยชิงหยวนมองไปที่ร่างของทั้งสองคน และรอยยิ้มบาง ๆ ก็ปรากฏขึ้น
ความริษยาระหว่างผู้หญิงเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด มันน่ากลัวมากจนสามารถเปลี่ยนเพื่อนรักที่เคยสนิทกันที่สุดสองคนหันกลับมาแว้งกัดกันได้
นี่เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนอย่าง ฉินซูอวี้ ที่อาศัยอยู่ภายใต้เงาของเซี่ยจื่ออี้มาโดยตลอด
เป็นไงบ้างเซี่ยจื่ออี้? เธอชอบของขวัญชิ้นแรกที่ฉันให้หรือเปล่า?
บทที่ 315 ทนไม่ไหวก็ไม่จำเป็นต้องทนอีกต่อไป
บทที่ 315 ทนไม่ไหวก็ไม่จำเป็นต้องทนอีกต่อไป
เมื่อเซี่ยชิงหยวนเห็นทั้งสองคน สีหน้าของเธอก็ดูไม่ดีเท่าไหร่นัก
สวรรค์จะปล่อยให้เธอกินมื้อเย็นอย่างมีความสุขไม่ได้เหรอ? เธอพบกับคนร้ายคนนี้ในตอนกลางวันแล้วยังต้องมาเจอกันอีกในตอนเย็นเนี่ยนะ?
เสิ่นอี้โจวสังเกตเห็นอารมณ์ของเซี่ยชิงหยวน จึงตบลูบหลังมือของเธอเบา ๆ พร้อมปลอบใจ “ผมอยู่ที่นี่คุณไม่ต้องกลัวนะ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มให้เสิ่นอี้โจว “อื้ม”
“เลขาธิการเสิ่น”
“เลขาธิการเสิ่น”
ขณะที่ทั้งสองคุยกัน ฉู่ซิงอวี่และหลิงเยี่ยก็มาถึงพอดี
เช่นเดียวกับพวกเขา สองคนที่มาใหม่ก็กำลังถือของขวัญบางอย่างอยู่ในมือ ทั้งสองคนทั้งสูงหล่อและดูสง่างาม
เสิ่นอี้โจวหันกลับไปและพยักหน้าให้พวกเขา
ฉู่ซิงอวี่และหลิงเยี่ยก็ทักทายเซี่ยชิงหยวนด้วยเช่นกัน
ขณะนี้หยวนหงหลี่และคนอื่น ๆ ก็ได้ยินเสียงผู้มาใหม่ จึงมองมา
เมื่อเห็นแขกมาเพิ่ม หยวนหงหลี่ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อกี้ผมกำลังพูดถึงพวกคุณอยู่พอดีเลย ในที่สุดพวกคุณก็มาถึงแล้ว!”
จากนั้นเขาและภรรยาก็ก้าวมาข้างหน้าเพื่อทักทาย
คุณนายหยวนยืนอยู่ข้างหยวนหงหลี่ด้วยใบหน้ากลมมน และรอยยิ้มที่ดูใจดีมาก
เธอเหลือบมองเซี่ยชิงหยวน พลางยิ้มให้อย่างเป็นมิตรแล้วพูดว่า “มันเป็นแค่มื้ออาหารธรรมดา ๆ เอง ไม่เห็นต้องสุภาพขนาดนี้เลยจ้ะ”
ในขณะที่เซี่ยชิงหยวนกำลังจะตอบ เซี่ยจื่ออี้ก็ก้าวมาข้างหน้า รับของขวัญจากมือของเสิ่นอี้โจวไปแล้วยิ้ม “เลขาธิการเสิ่นมีน้ำใจจริง ๆ ค่ะ”
จากนั้นเธอก็หันไปหาฉู่ซิงอวี่กับหลิงเยี่ยแล้วยิ้มหวาน “ป้าเจวียนตั้งตารอการมาของพวกนายตั้งแต่บ่ายวันนี้เลยนะ แล้วอาหารคืนนี้ถูกปรุงเป็นพิเศษโดยป้าพานทั้งหมดเลย ดังนั้นพวกนายเตรียมตัวกินของอร่อยได้เต็มที่เลยนะ”
เซี่ยชิงหยวนเห็นอย่างชัดเจนว่าเซี่ยจื่ออี้จงใจละเลยเธอ และพยายามทำให้เธอไม่พอใจ
ในทางกลับกัน เซี่ยชิงหยวนกลับทำหน้าตารู้สึกโล่งใจและยิ้มสดใสกว่าเซี่ยจื่ออี้ราวกับว่าไม่รังเกียจเลย
รอยยิ้มบนใบหน้าของเสิ่นอี้โจวจางหายไปครู่หนึ่ง เขาจับมือของเซี่ยชิงหยวนแทนพลางพูดกับหยวนหงหลี่และคุณนายหยวน “ภรรยาของผมบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาที่บ้านของเลขาธิการหยวน ดังนั้นผมจึงต้องเตรียมตัวให้ดีน่ะครับ”
เขาเหลือบมองของขวัญที่เซี่ยจื่ออี้ถืออยู่ในมือแล้วพูดต่อ “ชิงหยวนขอให้เพื่อน ๆ ของเธอส่งของเหล่านี้กลับมาจากเมืองชายฝั่งโดยเฉพาะ มันเป็นปีกท้องหอยเป๋าฮื้อ*[1] ช่วยเรื่องรักษาสุขภาพในช่วงฤดูหนาว พวกมันเหมาะสำหรับคุณสองคนมากครับ”
หลังจากประโยคนี้ดังขึ้น เซี่ยชิงหยวนที่เพิ่งถูกเซี่ยจื่ออี้จงใจเพิกเฉยก็กลายเป็นโดดเด่นและถูกชมเชยขึ้นมาทันที
ฉู่ซิงอวี่ยิ้มและพูดว่า “เมื่อเทียบกับของที่ผมเอามา เฮ้อ ผมรู้สึกละอายใจจริง ๆ ครับ พูดตามตรง ทางบ้านของผมเตรียมไว้ให้เองด้วย”
หลังจากพูดสิ่งนี้ เขาก็อดหัวเราะตัวเองไม่ได้
ส่วนหลิงเยี่ยเองก็มีรอยยิ้มที่หาได้ยากบนใบหน้า “แน่นอนว่าเราไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับความเอาใจใส่ของภรรยาของเลขาธิการเสิ่นเลยจริง ๆ ครับ”
แน่นอนว่าหยวนหงหลี่และคุณนายหยวนยกย่องเซี่ยชิงหยวน โดยบอกว่าเซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวมีความสามารถ ทั้งคู่หล่อสวยเหมาะสมกันราวกับกิ่งทองใบหยก
เซี่ยจื่ออี้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกว่าของขวัญในมือของเธอมีน้ำหนักมากขึ้นราวกับพันจิน
ฉีจิ่นจือมองไปที่ภาพตรงหน้าเขาแล้วยิ้มเบา ๆ แต่เขาไม่มีความตั้งใจที่จะพูดอะไรเพื่อช่วยเซี่ยจื่ออี้แม้แต่น้อย
หยวนหงหลี่ไม่ได้ละเลยฉีจิ่นจือ และแนะนำให้ทุกคนรู้จัก “นี่คือนายน้อยของผู้อำนวยการฉี พวกคุณน่าจะเคยพบเขาในงานเลี้ยงอาหารค่ำมาก่อนแล้วล่ะ”
เสิ่นอี้โจวและฉีจิ่นจือยื่นมือออกมาพร้อมกัน
“เสิ่นอี้โจว”
“ฉีจิ่นจือ”
ทั้งสองจับมือกัน ทุกอย่างดูสงบมาก
แต่ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นว่ามือที่จับกันของทั้งสองมีเส้นเลือดปูดโปนที่หลังมือโดดเด่นออกมา ราวกับว่าพวกเขากำลังวัดพละกำลังกันอย่างลับ ๆ
แต่ก่อนที่ใครจะมองเห็นได้ชัดเจน ทั้งสองก็ปล่อยมือไปแล้ว
ฉีจิ่นจือมองใบหน้าหล่อเหลาของเสิ่นอี้โจวแล้วค่อย ๆ ไล่ลงไปถึงหน้าท้องส่วนล่างอย่างเอื่อยเฉื่อย จากนั้นก็หยุดเล็กน้อยแล้วยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
เสิ่นอี้โจวรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในดวงตาของอีกฝ่ายทันที
แต่เขายังคงยืนสงบนิ่งไม่แสดงอาการใด ๆ
คนมากมายเดินเข้าไปที่ห้องรับแขก หยวนหงหลี่และคุณนายหยวนนั่งด้วยกัน เซี่ยจื่ออี้จับแขนของคุณนายหยวนแล้วนั่งที่ด้านข้าง เธอต้องการเรียกหาฉีจิ่นจือให้มานั่งด้วยกัน แต่ฉีจิ่นจือกลับไปนั่งอยู่บนโซฟา ซึ่งห่างออกไปเล็กน้อยแล้ว
เซี่ยจื่ออี้ไม่ได้แสดงอารมณ์ใด ๆ บนใบหน้า แต่ในใจกลับรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น
หลังจากที่เธอได้ยินเซี่ยเจิ้งพูดในตอนเช้า เธอก็รู้ว่าหยวนหงหลี่เชิญเสิ่นอี้โจวและคนอื่น ๆ ไปกินมื้อเย็นที่บ้านของเขา
เมื่อเธอไปที่บ้านตระกูลฉีเพื่อเชิญฉีจิ่นจือ เขาเพียงตอบเบา ๆ ว่า “ไม่สนใจ”
จากนั้นเขาก็หันหลังกลับและขึ้นไปชั้นบน เธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ไพ่ตาย “ฉันได้ยินมาว่าเลขาธิการเสิ่นและภรรยาของเขาก็จะไปด้วย!”
ฝีเท้าของฉีจิ่นจือพลันหยุดชั่วคราวทันที
เซี่ยจื่ออี้กล่าวต่อ “ในอนาคต เลขาธิการเสิ่นคือเลขาธิการทั่วไปของมณฑลอวิ๋น คงจะดีถ้าได้ผูกมิตรกับเขาไว้นะ”
ฉีหยวนซานออกคำสั่ง “แค่ไปนั่งกับจื่ออี้ซะ”
ฉีจิ่นจือพยักหน้าอย่างไม่แยแส “ก็ได้”
จริง ๆ แล้วในขณะนั้นเธอหวังว่าเขาจะปฏิเสธ ด้วยวิธีนี้เธอจะสามารถบอกกับตัวเองได้ว่า วันนั้นในห้องน้ำของโรงแรมอวิ๋นล่ายเป็นเพียงเธอเองที่เห็นภาพลวงตา
แต่ในทันทีที่เธอพูดว่าเซี่ยชิงหยวนจะไป รูม่านตาของฉีจิ่นจือหดตัวทันที แม้จะเป็นเพียงชั่วครู่หนึ่ง แต่เธอก็ยังจับสังเกตได้
แน่นอนว่าเสิ่นอี้โจวกับเซี่ยชิงหยวนนั่งข้างกัน ในขณะที่ฉู่ซิงอวี่และหลิงเยี่ยก็นั่งคนละข้างประกบทั้งสอง
เซี่ยจื่ออี้มองไปทางพวกเขาและยิ้ม “สหายซิงอวี่และสหายเยี่ยยังทำตัวเหมือนอยู่ในเมืองเตียนเฉิงจริง ๆ เลยนะคะ ยังทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์เหมือนเคย”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ทุกคนก็หันมามองตากัน
ฉู่ซิงอวี่และหลิงเยี่ยไม่สนใจการล้อเล่นของเซี่ยจื่ออี้
ฉู่ซิงอวี่ยิ้มและพูดว่า “ผมคุ้นเคยกับแบบนี้ไปแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าผมจะกลับมาที่มณฑลอวิ๋น เลขาธิการเสิ่นก็ยังคงเป็นหัวหน้าของของผมอยู่ดี”
เมื่อเทียบกับฉู่ซิงอวี่ หลิงเยี่ยมีรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาน้อยกว่า
เขายืดหลังและท่านั่งของเขาดูเคร่งขรึมมาก “ฉันคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว”
เสิ่นอี้โจวก็พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่”
เซี่ยจื่ออี้ “…”
หยวนหงหลี่ไม่เข้าใจสถานการณ์ระหว่างพวกเขานัก พลันถอนหายใจ “ในความรู้สึกของฉัน มันเหมือนเมื่อวานพวกนายทุกคนยังเป็นเด็กน้อย เอาแต่วิ่งเล่นไปรอบ ๆ สนามหญ้าอยู่เลย แต่พริบตาเดียวทุกคนก็โตขึ้นขนาดนี้แล้ว”
เขาเอนหลังพิงเก้าอี้ “เฮ้อ ฉันนี่แก่แล้วจริง ๆ”
เซี่ยจื่ออี้พูดทันที “ลุงหยวนยังไม่แก่หรอกค่ะ”
หลังจากพูดคุยกันไม่นานนัก แม่บ้านที่ชื่อป้าพานก็เตรียมอาหารเสร็จแล้ว จึงพวกเขาก็ลุกขึ้นไปที่ห้องอาหารเพื่อร่วมมื้ออาหารด้วยกัน
ในระหว่างมื้ออาหาร ทุกอย่างเงียบสงบ ยกเว้นว่าเซี่ยจื่ออี้จะเป็นคนพูดนำหัวข้อให้เสิ่นอี้โจวเป็นครั้งคราวว่าเธอคิดถึงวัยเด็กของตัวเอง
ใช่ สิ่งเดียวที่เธอสามารถพูดถึงได้คือวัยเด็กของเธอเองเท่านั้น
ต่อมาเมื่อพวกเขาโตขึ้นและหลิงเยี่ยเข้าร่วมกองทัพ พวกเขาก็ไปโรงเรียนแยกกันด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เวลาร่วมกันน้อยลง
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้รับผลกระทบจากเซี่ยจื่ออี้เลย เมื่อถึงเวลากินข้าว เธอจะพูดคุยเกี่ยวกับวิธีการรับประทานอาหารต่าง ๆ กับคุณนายหยวน บรรยากาศจึงค่อนข้างดี
เมื่อเห็นแบบนี้ เซี่ยจื่ออี้ก็เอ่ยถึงฉินซูอวี้ขึ้นมาโดยทำเป็นเหมือนไม่ได้ตั้งใจ
“ซูอวี้ดึงดันไปที่เมืองเตียนเฉิงแม้ว่าลุงฉันจะคัดค้านก็ตาม เดิมทีฉันคิดว่าเธอจะกลับมาพร้อมกับผลงานที่ยอดเยี่ยมซะอีก แต่ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงกลับมาเร็วกว่าที่คิด มันเป็นเพราะอะไรกันนะที่เป็นแบบนั้น”
ขณะเดียวกัน เธอก็มองไปที่เซี่ยชิงหยวน “ฉันคิดว่ามันน่าเสียดายมากจริง ๆ ชิงหยวน เธอว่าฉันพูดถูกรึเปล่า?”
ทันใดนั้นโต๊ะอาหารก็เงียบลงถนัดตา
พ่อของฉินซูอวี้อ้างกับคนอื่นว่าลูกสาวของตนนั้นแค่คิดถึงบ้านจึงอยากกลับไปอยู่ด้วย แต่ถ้าใครที่เป็นคนใกล้ชิดจะรู้เรื่องราวจริง ๆ ว่าทำไมเธอถึงต้องกลับบ้าน
แน่นอน มันมีไม่กี่คนที่รู้ว่าฉินซูอวี้แอบชอบเสิ่นอี้โจว
เซี่ยชิงหยวนที่จู่ ๆ ก็ถูกเรียกชื่อ เงยหน้าขึ้นและจ้องมองอีกฝ่าย
ก่อนตอบคำถาม เซี่ยชิงหยวนกลืนอาหารในปากช้า ๆ จากนั้นจิบน้ำต่อหน้าทุกคนแล้วพูดว่า “ฉันไม่สนิทกับฉินซูอวี้ และฉันก็ไม่รู้เรื่องอีกฝ่ายมากนัก เธอคิดว่าฉันควรพูดเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ เหรอ? ฉันขอถามความเห็นเธอหน่อยสิ?”
เซี่ยชิงหยวนอาจจะทนได้ตลอดทั้งคืน
แต่เซี่ยจื่ออี้กลับจงใจเพิกเฉยต่อเธอในตอนแรก จากนั้นจงใจสร้างความรู้สึกว่าตัวเองมีความสัมพันธ์ที่ดีกับฉู่ซิงอวี่และหลิงเยี่ยในอดีต เมื่อเห็นว่าเธอยังทำเป็นไม่แยแส จึงใช้เหตุการณ์ของฉินซูอวี้โดยตรงเพื่อกำหนดเป้าหมายมาที่เธอ
เธอทนไม่ไหวอีกแล้ว และไม่จำเป็นต้องทนอีกต่อไป
นอกจากนี้ทำไมเธอถึงต้องทนมันด้วยล่ะ?
* ปีกท้องหอยเป๋าฮื้อ (鲍参翅肚) หมายถึง อาหารทะเลอันล้ำค่าสี่ชนิด ได้แก่ หอยเป๋าฮื้อ ปลิงทะเล หูฉลาม และท้องปลา
————————————
