บทที่ 329 การแต่งงานนี้ไม่จำเป็น
บทที่ 329 การแต่งงานนี้ไม่จำเป็น
ฉีจิ่นจือหลบตาและพูดเบา ๆ “ฉันไม่ได้ดูอะไร”
เพื่อนร่วมงานเหลือบมองไปในทิศทางที่เขามองโดยไม่รู้ตัว นอกเหนือจากถนนที่คนไม่พลุกพล่านและร้านค้าที่กำลังได้รับการปรับปรุงใหม่ก็ไม่มีอะไรพิเศษ
หลายคนในโต๊ะเริ่มพูดตลกกัน และคนที่มีผิวสีเข้มกว่าก็พูดถึงผู้หญิงที่ครอบครัวของเขาแนะนำให้ว่า “ฉันไม่ชอบผู้หญิงคนนั้นเลย แต่แม่ของฉันก็พาเธอมานั่งที่บ้านตลอดทั้งวัน พอให้ฉันไปนั่งด้วย ฉันก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะพูดอะไร หลังจากนั่งอยู่แบบนั้นสักพักก็มีแต่ความเงียบ นี่สินะที่เรียกว่า…ไม่มีอะไรเหมือนกัน”
ชายคนที่จำเซี่ยชิงหยวนได้ก่อนหน้านี้ยิ้มและผลักเขา “สำหรับนายคงทำได้แค่พอใจกับผู้หญิงที่ครอบครัวนายแนะนำให้เท่านั้นแหละ จะเทียบกับพี่ฉีของเราที่ดูดีมากได้ยังไง เขาหล่อมากและผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ชอบเขาด้วย”
เขาคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “พี่ฉีเพิ่งมาที่หน่วยของเราแท้ ๆ แต่ถึงกับมีคนจากสำนักงานชั้นบนลงมาหาเขาแล้วนะ”
ฉีจิ่นจือฟังคำพูดของพวกเขาและยิ้มเบา ๆ
ชายหนุ่มก้มศีรษะลงและกินโจ๊กในชามจนเสร็จ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วโยนเงินกำมือหนึ่งลงบนโต๊ะ “ไปกันเถอะ”
หลายคนมองดูโต๊ะที่เต็มไปด้วยเนื้อและเหล้า พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉีจิ่นจือ แต่ไม่มีใครไม่กล้าขัดคำสั่งเขาเช่นกัน
ชายผิวคล้ำรีบหยิบเงินขึ้นมาแล้วพูดว่า “ฉันจะไปจ่ายค่าอาหารและเหล้าเอง”
อีกคนหนึ่งก็พูดเหมือนกันว่า “งั้นฉันจะไปตามให้คนเอาอาหารกับเหล้าพวกนี้ไปห่อกลับนะ”
ฉีจิ่นจือพยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับแววตาที่แสดงออกถึงความชั่วร้ายในดวงตาลูกท้อของเขา เมื่อเดินออกจากประตู แสงแดดที่ส่องเข้ามาทำให้เขาต้องหรี่ตาลง
จากนั้นรอยยิ้มเย้ยหยันปรากฏบนริมฝีปากของชายหนุ่ม เขาข้ามธรณีประตูด้วยขายาวแล้วเดินไปข้างหน้า
คนอย่างเขาย่อมต้องรู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเมื่อยืนกลางแดด
เขาจำได้ถึงสิ่งที่ฉีหยวนซานถามเขาเมื่อสองวันก่อน “แกคิดยังไงกับลูกสาวของตระกูลเซี่ย? เธอไม่ดีเหรอ? ตั้งแต่หลังจากงานเลี้ยงวันนั้นทำไมแกถึงละเลยเธออยู่ตลอด ทำแบบนี้มันเกินไปหน่อยไหม?”
ฉีจิ่นจือพิงโซฟาอย่างเกียจคร้าน เขาหรี่ตามองและตอบว่า “คนที่กล้าทอดทิ้งภรรยาและลูกของตัวเองกล้ามาบอกว่าฉันเป็นคนใจร้ายเนี่ยนะ? แล้วเธอมีอะไรเกี่ยวข้องกับผมด้วย? ไม่ใช่ว่ามันเป็นเพียงความคิดของคุณคนเดียวเหรอที่อยากให้ผู้หญิงคนนั้นมายุ่งเกี่ยวกับผม?”
คำพูดของเขาทำให้ฉีหยวนซานชะงักอยู่เป็นเวลานาน
ฉีหยวนซานพยายามระงับความโกรธ “แล้วแกต้องการอะไรกันแน่? ถ้าฉันไม่ได้คิดว่าตระกูลเซี่ยจะเป็นประโยชน์ต่ออาชีพการงานของแกในอนาคต ฉันจะเปลืองแรงทำทั้งหมดนี้ไหมหะ?”
ฉีจิ่นจือแสดงสีหน้าเย้ยหยันและตอบอย่างเฉยชา
“เธอเป็นผู้หญิงคนเดียวในเขตที่พักทั้งหมดรึไง? ผมคิดว่าตระกูลฉินก็ค่อนข้างดีเหมือนกันนะ หรือใครก็ตามที่แต่งงานแล้ว หรือไม่ก็คนแก่ก็ได้ ให้ตายยังไงผมก็คงทนไม่ได้กับผู้หญิงที่เสแสร้งตลอดเวลาแบบนั้นหรอก”
ประโยคนี้ทำให้ฉีหยวนซานโกรธมากได้สำเร็จ จนชี้ไปที่ลูกชายตัวเองแล้วตะคอกใส่ “แก…แกนี่มันนอกคอกจริง ๆ!”
ฉีจิ่นจือยืนขึ้นปัดแขนเสื้อของเขาแล้วพูดว่า “ตาแก่ แทนที่จะมุ่งความสนใจมาที่ผม คุณควรลองพยายามบนเตียงอีกสักรอบเผื่อว่าอาจจะมีได้เพิ่มอีกสักคนนะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็พ่นลมหายใจเบา ๆ แล้วหันหลังจากไป
เพล้ง!
เสียงแก้วแตกที่พื้นใกล้ ๆ กับขาของเขาดังขึ้น ชาร้อนกระเซ็นลงบนกางเกงของชายหนุ่ม มันร้อนจนทะลุผ้าไปที่ผิวหนังของเขา
เขาไม่กะพริบตาและเดินหน้าต่อไป
…
สำนักงานมณฑล ณ ห้องทำงานของเซี่ยเจิ้ง
เซี่ยจื่ออี้ใช้โอกาสจากเวลาที่ยังว่างมายังห้องทำงานของพ่อเพื่อนั่งพัก
พ่อและลูกสาวนั่งรอบโต๊ะกาแฟ ก้มศีรษะอย่างเงียบ ๆ และดูเคร่งขรึม
เซี่ยเจิ้งเขี่ยขี้บุหรี่ที่สะสมอยู่บนปลายบุหรี่ของเขาแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นระหว่างลูกกับนายน้อยฉี?”
เซี่ยจื่ออี้หยิบแก้วชาร้อนขึ้นมาถือเพื่อขจัดความเย็นบนฝ่ามือของเธอ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “เราเข้ากันได้ดีค่ะ”
เมื่อได้ยินคำตอบนี้ เซี่ยเจิ้งก็ขมวดคิ้ว “จื่ออี้ ลูกยังต้องการซ่อนมันไว้ไม่เล่าให้พ่อฟังอีกเหรอ?”
ความตื่นตระหนกฉายในแววตาของเซี่ยจื่ออี้ทันที “พ่อคะ?”
เซี่ยเจิ้งวางบุหรี่ไว้ในที่เขี่ยบุหรี่แล้วพูดว่า “เช้านี้พ่อไปที่สำนักงานเพื่อประชุม เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฉีหยวนซานถามเฒ่าฉินและเชิญเขาให้พาซูอวี้ไปที่งานเลี้ยงของตระกูลฉีในวันพรุ่งนี้”
เขามองไปยังเซี่ยจื่ออี้ด้วยสายตาหนักหน่วง “ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นเป็นคนที่มีความสามารถ ซึ่งดูแลเรื่องส่วนตัวของฉีหยวนซานแทบทุกอย่าง ทำไมเขาถึงถามฉินโย่วเหลียงด้วยตนเองและขอให้เขาพาซูอวี้ไปด้วยแบบนั้น?”
ตอนนี้ใบหน้าของเซี่ยจื่ออี้ดูน่าเกลียดอย่างมาก
ไม่กี่วันที่ผ่านมา แม้ฉินซูอวี้จะคุยกับเธอแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่เต็มใจที่จะแบ่งปันความคิดของตัวเองกับเธออีกต่อไป
ความรู้สึกนี้มันแย่มาก
พอมาตอนนี้เธอยังได้ยินว่าตระกูลฉีกำลังเชิญตระกูลฉินอีกต่างหาก หญิงสาวยิ่งรู้สึกไม่มีความสุขมากขึ้น
หากความตั้งใจของตระกูลฉีเป็นไปตามที่เธอกับพ่อคิดจริง ๆ เธอจะต้องเผชิญกับความอับอายมากแน่ ๆ
ความรู้สึกสูญเสียการควบคุมอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแพร่กระจายในใจของเธอ
หญิงสาวยกริมฝีปากขึ้น ยิ้มแล้วพูดว่า “บางทีพวกเขาคงเชิญตระกูลฉินไปเพราะเห็นว่าฝั่งนั้นก็เป็นมิตรกับเรามั้งคะ”
เซี่ยเจิ้งถอนหายใจยาวพร้อมกับแสดงท่าทีผิดหวังในน้ำเสียงของเขา “จื่ออี้ ลูกเป็นเด็กที่ฉลาดมาโดยตลอด ดังนั้นพ่อจึงไว้วางใจลูกในหลาย ๆ เรื่องเสมอ แต่คราวนี้ลูกใจเย็นเกินไปแล้ว”
ในวันนั้นเซี่ยจื่ออี้และฉีจิ่นจือไปที่บ้านของหยวนหงลี่เพื่อร่วมมื้อเย็น และเขาก็โทรไปถามหยวนหงลี่หลังจากนั้น ว่าฉีจิ่นจือกับเซี่ยจื่ออี้เป็นยังไงกันบ้าง
ในเวลานั้นหยวนหงลี่ตอบเพียงว่า “ทั้งนายน้อยฉีและจื่ออี้ต่างก็รักษามารยาทต่อกันเป็นอย่างดีค่ะ”
ตอนนั้นหัวใจของเซี่ยเจิ้งรู้สึกหนักอึ้ง
เขาเคยผ่านช่วงวัยรุ่นมาก่อน และรู้ว่าจะเป็นยังไงเมื่อได้พบกับคนที่ตัวเองชอบ
แต่คำตอบแบบนี้คือฉีจิ่นจือไม่สนใจลูกสาวของเขาเลย
ครั้งหนึ่งเขารู้สึกประทับใจกับคำแนะนำของฉีหยวนซานที่จะให้ทั้งสองตระกูลแต่งงานปรองดองกัน แต่หลังจากใจเย็นลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับความไม่แยแสของฉีจิ่นจือที่มีต่อเซี่ยจื่ออี้ เขาก็ค่อย ๆ หยุดคิดถึงเรื่องนี้
แม้เขาต้องการที่จะไต่ไปอยู่ในระดับที่สูงขึ้นกว่าเดิมก่อนที่จะก้าวลงจากตำแหน่ง แต่เขาจะไม่ยอมบรรลุเป้าหมายนี้ด้วยการเสียสละความสุขของลูกสาวตัวเองเด็ดขาด
ดังนั้นเขาจึงแนะนำให้เซี่ยจื่ออี้ลืมมันไปซะ ก่อนที่จะถลำลึกไปมากกว่านี้
เซี่ยจื่ออี้ส่ายศีรษะ “พ่อคะ หนูอยากจะลองอีกครั้ง สิ่งที่เรียกว่าความรักสามารถเติบโตขึ้นได้ตามกาลเวลา ตอนแรกพ่อกับแม่ก็เป็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อเซี่ยเจิ้งได้ยินลูกสาวพูดถึงภรรยา หัวใจของเขาก็อ่อนลงและยอมเห็นด้วย
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงความปรารถนาของครอบครัวของเขาฝั่งเดียวเท่านั้นแล้ว
เซี่ยจื่ออี้เองก็ตื่นตระหนกเช่นกัน เมื่อได้ยินเซี่ยเจิ้งแสดงความคิดเห็นกับตัวเธอแบบนี้
หญิงสาวมองไปยังผู้เป็นพ่อด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตา และความไม่เชื่อ “พ่อคะ”
เซี่ยเจิ้งทนไม่ได้และพูดว่า “พ่อมีลูกสาวคนเดียวเท่านั้น มันจึงเป็นเรื่องปกติที่พ่อหวังที่สุดว่าลูกจะมีชีวิตที่มีความสุขตลอดไป การแต่งงานที่ได้จากการดันทุรังนั้นจะทำให้ลูกไม่มีความสุข”
“พ่อเชื่อว่าในใจลูกก็น่าจะเข้าใจความจริงข้อนี้อยู่แล้ว ดังนั้นทำไมไม่ปล่อยให้มันผ่านไป ลูกสาวของเซี่ยเจิ้งกลายเป็นคนที่ตามตื๊อคนอื่นหรือรอถูกเลือกได้ยังไง?”
คำพูดของเซี่ยเจิ้งเปรียบเสมือนห่าฝนน้ำแข็งที่กระทบใจของเซี่ยจื่ออี้
แต่หญิงสาวจะไม่รู้ตัวเองได้ยังไง ว่าทำไมเธอถึงไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้แบบนี้?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินการสนทนาระหว่างเซี่ยชิงหยวนกับฉีจิ่นจือในโรงแรมวันนั้น เธอยิ่งไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้
ทำไมทุกคนถึงหันหลังให้เธอ?
แต่ต่อหน้าเซี่ยเจิ้ง เซี่ยจื่ออี้ไม่กล้าที่จะแสดงความคิดภายในใจ เพราะกังวลว่าเซี่ยเจิ้งจะต้องผิดหวังในตัวเธออีกครั้ง
หญิงสาวก้มหน้าลงแล้วพูดว่า “พ่อคะ ได้โปรดให้เวลาหนูคิดเรื่องนี้หน่อยนะคะ”
เมื่อเห็นเช่นนี้ เซี่ยเจิ้งก็ไม่อาจที่จะพูดอะไรได้อีกแล้ว
เขาโบกมือแล้วพูดว่า “เอาเถอะ”
เซี่ยจื่ออี้พยักหน้า สูดลมหายใจและออกจากห้องทำงานพ่อไป
เมื่อเธอปิดประตูและเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ความเกลียดชังก็ระเบิดออกมาจากในดวงตาของเธอทันที
เซี่ยจื่ออี้เช็ดน้ำตาจากดวงตา เชิดหน้าขึ้น และยังคงเป็นเซี่ยจื่ออี้คนเดิมที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
————————————
บทที่ 323 คำตอบที่ชัดเจนที่สุด
บทที่ 323 คำตอบที่ชัดเจนที่สุด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าต้มเครื่องในเนื้อวัวเป็นที่ชื่นชอบอย่างมาก
เสิ่นอี้หลินกินข้าวไปแล้วสามชามใหญ่ติดต่อกัน แต่ยังคงยื่นชามของเขาไปทางหลินตงซิ่วซึ่งนั่งอยู่ใกล้หม้อข้าว “แม่ ผมขอเพิ่มอีกชามสิ”
หลินตงซิ่วยืนกรานทันที “ไม่ได้ ขืนกินอีกลูกได้ท้องแตกแน่!”
ขณะที่พูดอย่างนั้น เธอก็เหลือบมองท้องที่บวมมากของเสิ่นอี้หลิน
เสิ่นอี้หลินหันไปหาเซี่ยชิงหยวนเพื่อขอความช่วยเหลือ และเม้มปากมันวาวของเขา “พี่สะใภ้…”
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเห็นแววตาที่คาดหวังของน้องสามี “ถ้านายกินต่อไป นายจะเดินไม่ได้เอานะ”
เธอลูบศีรษะของเขา “เดี๋ยวอีกสองสามวันนี้พี่สะใภ้จะทำอาหารให้นายอีกตกลงไหม ยังมีลูกชิ้นที่นายยังไม่ได้กินด้วยนะ”
เสิ่นอี้หลินกลืนน้ำลายและแสร้งทำเป็นเศร้ามาก “ก็ได้”
เขาหยิบชามขึ้นมา ทำความสะอาดก้นชามอย่างเงียบ ๆ มันเกลี้ยงจนแทบจะดูเหมือนว่าล้างไปแล้ว
ส่วนเสิ่นอี้โจวนั้นกินต้มเครื่องในอันที่เซี่ยชิงหยวนตักแยกไว้ต่างหากให้เขา ซึ่งไม่ใส่พริก
ในคืนนี้เขากินไปเยอะ ซึ่งหายากมาก
เซี่ยชิงหยวนยิ้มอย่างภาคภูมิใจและถามว่า “คิดว่าเราจะขายมันได้ไหมคะ?”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “ได้แน่นอน”
เขาเสริม “คุณสามารถเพิ่มวัตถุดิบอื่น ๆ ลงไปได้อีกด้วยนะ”
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “คุณเดาได้ยังไงว่าฉันอยากเติมอย่างอื่นเข้าไปอีก? ไม่ใช่แค่ลูกชิ้นหลากหลายชนิดที่ฉันจะเติมลงไปนะ แต่ยังมีฟองเต้าหู้ทอดด้วย ซึ่งพอใส่ลงไปแล้วก็อร่อยเหมือนกัน”
หลังจากฟองเต้าหู้ดูดซับน้ำซุปจนนุ่ม เวลากัดแต่ละคำน้ำซุปจะระเบิดออกในปากทุกครั้งที่กัด อร่อยเกินห้ามใจ
เสิ่นอี้โจวพยักหน้าเห็นด้วย “สิ่งที่คุณทำอร่อยทั้งหมดแน่นอน”
เซี่ยชิงหยวนไม่ปฏิเสธและเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย “แน่นอนเพราะฉันคือแม่ครัวเซี่ยไงล่ะ!”
หลังมื้ออาหาร ทั้งสองก็เดินออกไปที่สนามบ้านเพื่อย่อยอาหาร และเสิ่นอี้โจวก็เริ่มพูดถึงเรื่องระหว่างหลินตงซิ่วและเฉินหลี่
“ผมได้คุยกับแม่บ้างแล้วตอนที่ผมกลับมา ขอบคุณนะชิงหยวน”
เซี่ยชิงหยวนรู้ว่าเสิ่นอี้โจวพูดถึงเรื่องการที่เธอคอยสนับสนุนหลินตงซิ่ว
เธอยิ้มและพูดว่า “แม่ของคุณไม่ใช่แม่ของฉันเหรอ? ทำไมคุณถึงต้องพูดขอบคุณด้วยล่ะ?”
เธอจับแขนของเขา “แต่ก็นะ ท่าทีของแม่ในครั้งนี้ค่อนข้างเกินความคาดหมายของฉันจริง ๆ เธอกล้าหาญมาก”
เสิ่นอี้โจวก็ถอนหายใจ “ใช่”
อาจเป็นเพราะเหตุการณ์ของเติ้งซูอี้ในเมืองเตียนเฉิงครั้งที่แล้ว ซึ่งเธอจดจำมันไว้ในใจ
“อืม” เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “เมื่อเราเดินในเส้นทางนี้ แม่ก็ต้องปรับตัวด้วยเหมือนกัน”
เสิ่นอี้โจวตบมือของเธอที่จับแขนของเขา “ผมทำผิดต่อคุณจริง ๆ”
เซี่ยชิงหยวนไม่เห็นด้วย “คุณจะเศร้าไปทำไม คุณไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย”
เธอมองดูพระจันทร์อันสว่างไสวบนท้องฟ้าแล้วยิ้ม “บางทีสักวันหนึ่ง เราอาจฆ่านกสองตัวได้ด้วยหินก้อนเดียว และทำให้กรามของคนพวกนั้นต้องค้างเพราะความตกตะลึงไปเลยก็ได้”
มุมริมฝีปากของเสิ่นอี้โจวก็โค้งขึ้นเช่นกัน พลางกอดภรรยาจากด้านหลัง “ใช่ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”
ลมหายใจร้อนรดไปที่คอของเซี่ยชิงหยวน เธอรีบหันมาแล้วพูดว่า “เลขาธิการเสิ่นนี่ข้างนอกนะคะ โปรดใส่ใจกับภาพลักษณ์ด้วย”
เสิ่นอี้โจวยิ้มและไม่พูดอะไร แต่หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดว่า “เราไม่เห็นต้องใส่ใจเลย”
เซี่ยชิงหยวนเห็นว่าเขาไม่ได้เคลื่อนไหวใด ๆ ดังนั้นเธอจึงเอนตัวซบในอ้อมแขนของชายหนุ่มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่ได้เปราะบางขนาดนั้น หลังจากใช้ชีวิตมาสองชาติแล้ว ฉันรู้ว่าควรใส่ใจอะไร”
หากเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในชาติที่แล้ว เกรงว่าป่านนี้เธอคงซุกอกและร้องไห้ในอ้อมแขนของเสิ่นอี้โจวไปแล้ว
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เธอทำในตอนบ่าย เซี่ยชิงหยวนก็สะกิดแขนของเสิ่นอี้โจวแล้วพูดว่า “วันนี้ฉันทำเรื่องอีกอย่างหนึ่งด้วย”
เสิ่นอี้โจว “หือ?”
เซี่ยชิงหยวนเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับการเผชิญหน้าของเธอกับฉินซูอวี้และเซี่ยจื่ออี้
เสิ่นอี้โจวครุ่นคิด “คุณหมายถึง คุณสงสัยว่าเซี่ยจื่ออี้อยู่เบื้องหลังเรื่องวันนี้เหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ฉันแค่สงสัยแต่ยังไม่มีหลักฐานจริง ๆ หรอก”
เธอหยุดชั่วคราว “แต่ลองคิดดูสิ เราอยู่ในมณฑลอวิ๋นมาหลายวันแล้ว ตามนิสัยของเฉินหลี่ ถ้าเธอรู้เรื่องของเราตั้งแต่แรก เธอจะอดทนจนถึงวันนี้ก่อนที่เธอจะระเบิดเหรอ? ฉันเชื่อว่าต้องมีคนไปพูดอะไรบางอย่างกับเธอเมื่อคืนวานหรือเมื่อเช้านี้แน่นอน”
ฉินซูอวี้ไม่น่าจะคิดถึงเรื่องลูกของพวกเขา ซึ่งแน่นอนว่าฉินซูอวี้ไม่น่าจะใช่คนที่พูดกับเฉินหลี่
เหลือคนเดียวที่น่าจะพูดเรื่องนี้มากที่สุดคือ เซี่ยจื่ออี้
ถึงแม้คนที่เกี่ยวข้องจะยังมีฉู่ซิงอวี้และหลิงเยี่ย แต่พูดได้เหรอว่าชายสองคนที่มีความคิดเป็นผู้ใหญ่แล้วอย่างพวกเขาจะทำเรื่องสกปรกเช่นนี้?
เมื่อได้ยินแบบนี้ เสิ่นอี้โจวก็ขมวดคิ้ว “เซี่ยเจิ้งเป็นคนที่ซื่อตรงมาตลอดชีวิต ผมไม่คาดคิดเลยว่าลูกสาวของเขาจะเป็นแบบนี้”
เซี่ยซิงหยวนพยักหน้า “คนเรามีหลายด้านเสมอ ด้านที่คุณเห็นมันเป็นเพียงด้านที่อีกฝ่ายจงใจให้คุณเห็นว่าเขาเป็นแบบนั้น หากเซี่ยจื่ออี้ไม่ได้เจอฉัน บางทีเธออาจรักษาภาพลักษณ์ของผู้หญิงที่อ่อนโยนและรอบรู้ไปตลอดชีวิตของเธอก็ได้”
เธอเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เสิ่นอี้โจว “ต่อให้จะเป็นเซี่ยเจิ้ง แม้ว่าในเรื่องหน้าที่การงานเขาจะเป็นคนที่ซื่อตรง แต่ถ้าหากเราได้ล่วงรู้บางสิ่งที่สำคัญมากเกี่ยวกับเซี่ยจื่ออี้จริง ๆ เขาอาจทำสิ่งที่เราไม่คาดคิดก็ได้ ฉันคิดว่านี่คือธรรมชาติของมนุษย์นะ”
หลังจากได้ยินคำพูดของเซี่ยชิงหยวนแล้ว เสิ่นอี้โจวก็พูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อเซี่ยชิงหยวนคิดว่าเขาจะไม่พูดอะไร เขาก็กอดเธอแน่นอีกครั้ง “ในอนาคตไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น หากคุณอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับใครก็ตาม ไม่ว่าถูกหรือผิด ผมจะยืนอยู่หน้าคุณ และจะปกป้องคุณเสมอ”
เซี่ยชิงหยวนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วหัวเราะ มีความประหลาดใจและอารมณ์อยู่ในนั้น
หญิงสาวมองเห็นความสำคัญของเซี่ยเจิ้งที่อยู่ในใจของเสิ่นอี้โจวอยู่บ้าง ดังนั้นเธอจึงใช้เหตุการณ์นี้บอกเขาล่วงหน้าว่า วันหนึ่งเธออาจจะอยู่ฝั่งตรงข้ามของเซี่ยเจิ้งก็ได้
เขาเข้าใจคำใบ้ของเธอ และให้คำตอบที่ชัดเจนที่สุดแก่เธอ
ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ที่ไหน หรือเมื่อใด เขาคือผู้สนับสนุนที่เธอสามารถไว้ใจได้ที่สุดเสมอ
บทที่ 317 ไม่สามารถพูดได้
บทที่ 317 ไม่สามารถพูดได้
ในคืนนี้ นี่เป็นครั้งที่สองที่ฉีจิ่นจือมองตำแหน่งนี้ของเขา
หมายความว่าอะไรกันแน่?
หรือว่าฉีจิ่นจือคนนี้สงสัยว่าเขาซ่อนอาการป่วยหรือมีความลับอะไรที่ไม่สามารถพูดได้หรือไม่?
เสิ่นอี้โจวอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แต่มุมปากของเขาโค้งขึ้น “แน่นอนสิครับ”
หลังจากพูดอย่างนั้น กลุ่มคนก็แบ่งออกเป็นสามกลุ่ม เสิ่นอี้โจวกับฉู่ซิงอวี่กลับไปที่สำนักงานมณฑล หลิงเยี่ยไปส่งเซี่ยชิงหยวนที่บ้าน และฉีจิ่นจือกับเซี่ยจื่ออี้เดินออกไปด้วยกัน
หยวนหงหลี่กับภรรยาของเขาส่งทุกคนออกไป พลางมองดูที่แผ่นหลังของพวกเขาแล้วถอนหายใจ “ในอีกไม่กี่ปีมันก็จะเป็นยุคสมัยของพวกเขาแล้วแหละ”
คุณนายหยวนยังกล่าวอีกว่า “ฉันคิดว่าเลขาธิการเสิ่นคนนี้มีความสามารถมากทีเดียวนะคะ”
หยวนหงหลี่พยักหน้าอย่างเห็นด้วย “เซี่ยเจิ้งใช้ความพยายามอย่างมากในการพาเสิ่นอี้โจวคนนี้มาที่นี่จริง ๆ นั่นแหละ”
เขาหยุดชั่วคราว “แน่นอนว่าแม้แต่มณฑลอวิ๋นแห่งนี้ก็คงไม่ใช่สถานที่ที่เขาจะอยู่นาน ๆ เช่นกัน”
คุณนายหยวนมองดูสามีด้วยความงุนงง “เขามีความสามารถขนาดนั้นเลยเหรอ?”
หยวนหงหลี่เคยสืบข้อมูลของเสิ่นอี้โจวโดยคำขอของเซี่ยเจิ้งมาแล้ว และพบว่าจริง ๆ แล้วตระกูลเสิ่นนั้นเคยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศมาก่อน
ก่อนหน้านี้แม่เฒ่าเสิ่นสนับสนุนกลุ่มต่อต้านญี่ปุ่น ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตตระกูลเสิ่นเท่านั้น แต่ยังได้รับความเคารพจากหลาย ๆ คนในเมืองหลวง และหลายคนก็สัญญาว่าจะใช้ตำแหน่งของตัวเองสนับสนุนตระกูลเสิ่น
ทว่าเวลาผ่านล่วงเลยไปจนแม่เฒ่าเสิ่นและผู้เฒ่าเสิ่นหมิงเซียวตายไปแล้ว คนเหล่านั้นก็ไม่ปฏิบัติตามสัญญานี้
ยิ่งตัวตนของคุณมีเกียรติมากเท่าใด ผู้คนก็จะยิ่งสรรเสริญและจดจำตัวคุณได้มากขึ้นเท่านั้น
ต่อมาเสิ่นอี้โจวก็มีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัยด้วยความสามารถของตัวเอง และชื่อตระกูลเสิ่นก็ถูกกล่าวถึงอีกครั้ง
แต่เมื่อเผชิญกับการเชื้อเชิญจำนวนนับไม่ถ้วน เสิ่นอี้โจวกลับเลือกที่จะกลับไปยังเมืองเตียนเฉิง
จนถึงตอนนี้ เขาเพิ่งเริ่มที่จะเดินตามเส้นทางเป็นเจ้าหน้าที่ทางการ
แต่ถ้าหากเสิ่นอี้โจวมุ่งมั่นจริง ๆ ด้วยความแข็งแกร่งของเขา มันก็เหลือแค่เวลาเท่านั้นที่เขาจะสามารถไปมีจุดยืนในเมืองหลวงได้
โดยปกติแล้วหยวนหงหลี่จะไม่คุยกับคุณนายหยวนเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ที่เขารู้ผ่านความสัมพันธ์พิเศษเท่านั้น เขาจึงได้แต่พูดว่า “มันก็แค่…เฮ้อ…”
คุณนายหยวนยังกล่าวอีกว่า “ฉันคิดว่าไม่เพียงแต่เลขาธิการเสิ่นเท่านั้นนะที่น่าสนใจ แต่ภรรยาของเขาก็ดูเป็นคนที่พิเศษมากด้วย นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีเลยที่ฉันเห็นจื่ออี้หงุดหงิดน่ะ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หยวนหงหลี่ตบมือภรรยาเบา ๆ “อย่าไปยุ่งกับเรื่องของเด็ก ๆ จะดีกว่า จื่ออี้ เด็กคนนั้นมีชีวิตที่ราบรื่นมาตลอด ดังนั้นเธอจึงสมควรได้รับความทุกข์ทรมานบ้าง”
เขามองไปที่คุณนายหยวน “วิธีผูกสัมพันธ์กับคุณนายเสิ่นคนนั้น ต้องทำยังไงคุณเข้าใจอยู่แล้วใช่ไหม?”
ปีหน้าเขาจะเกษียณแล้วก็จริง แต่ลูก ๆ ของเขายังต้องมีเส้นทางให้ก้าวเดินต่อไป
มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขาและภรรยาที่จะกลับไปอยู่บ้านเกิดอย่างสันโดษ แต่ลูก ๆ ของพวกเขาที่คุ้นเคยกับความเจริญรุ่งเรืองจะพอใจกับความธรรมดาในชนบทได้ยังไง?
ดังนั้นแม้จะไม่ใช่เพื่อตัวคุณเอง แต่คุณยังต้องทำงานหนักทิ้งท้ายเพื่อลูก ๆ ของคุณด้วย
คุณนายหยวนยังพูดอย่างระมัดระวัง “อย่ากังวลไปเลยค่ะ ฉันรู้ว่าต้องทำยังไง”
…
เสิ่นอี้โจวกลับบ้านในตอนเช้ามืด
เนื่องจากได้ยินเสียง เซี่ยชิงหยวนจึงตื่นขึ้นมา
เสิ่นอี้โจวอาบน้ำแล้ว และกำลังเช็ดผมที่หน้าต่าง
เขายังไม่ได้ใส่เสื้อ พลางมองออกไปนอกหน้าต่างที่ยังคงมืดอยู่อย่างเงียบ ๆ
แสงจันทร์อันเย็นเยียบส่องบนหน้าอกที่เปลือยเปล่า ทำให้ผิวของเขาดูขาวสว่างโดยมีเงาแสงสะท้อนอยู่ใต้เส้นกล้ามเนื้อ
เซี่ยชิงหยวนยกผ้าห่มขึ้น และเดินเข้าไปกอดเขาจากด้านหลัง
เสิ่นอี้โจวก้มลงและมองภรรยาที่กำลังโอบเอวตัวเอง สีหน้าอันเย็นชาของเขาก็กลายเป็นอ่อนโยนทันที “ผมปลุกคุณหรือเปล่า?”
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัว “คืนนี้ฉันเข้านอนเร็ว เลยตื่นเร็วน่ะ”
เสิ่นอี้โจวเปลี่ยนให้เธอเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของเขาแทน และวางฝ่ามือขนาดใหญ่บริเวณหลังช่วงเอวคอดของเธอ “แม่นกฮูกน้อย เดี๋ยวเช้าคุณก็ต้องลุกแล้วนะ ทำไมคุณไม่ไปนอนต่อล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนกอดเขาอีกครั้ง รู้สึกว่าอุณหภูมิร่างกายของชายหนุ่มยังคงร้อนอยู่แม้ตอนนี้จะเป็นฤดูหนาวแล้วก็ตาม เธอเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันนอนไม่หลับหรอกถ้าไม่มีคุณ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เสิ่นอี้โจวก็ยิ้มกริ่ม คำพูดของเธอทำให้เขาหัวเราะจริง ๆ
มือที่วางไว้บนเอวของเธอนั้นแข็งแกร่ง วินาทีต่อมาหญิงสาวก็นั่งอยู่บนขอบหน้าต่างแล้ว เซี่ยชิงหยวนตกใจมากจนรีบกอดคอของเสิ่นอี้โจวทันที
ดวงตาของเธอมีความขุ่นเคือง เธอจึงพูดอย่างโกรธ ๆ “ทำไมคุณถึงพยายามทำให้ฉันกลัวอยู่เรื่อยเลย”
โชคดีที่ขอบหน้าต่างกว้าง และยังมีดอกไม้เล็ก ๆ ที่เธอเลือกจากในสวนเมื่อตอนกลางวันอยู่ด้านข้างด้วย
ดอกไม้มีหยดน้ำค้างยามราตรี ดูละเอียดอ่อนและสวยงามภายใต้แสงจันทร์
เสิ่นอี้โจวหรี่ตาลงพลางมองดูดอกไม้ที่อยู่ข้าง ๆ จากนั้นมองไปที่เซี่ยชิงหยวน และพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณบอบบางยิ่งกว่าดอกไม้อีกนะ”
เซี่ยชิงหยวนไม่รู้ว่าทำไม
เธออยากจะถามเขา แต่เขาก็ปิดปากเธอด้วยการจูบแล้ว
หญิงสาวถูกบังคับให้เอียงตัวไปข้างหลัง มือของเธอโอบคอเขาไว้แน่น และเอวก็ถูกมือข้างหนึ่งของเขากอดรัดเช่นกัน ราวกับว่าเธอกำลังเต้นรำบนขอบหน้าผาที่อันตราย ชวนตื่นเต้นแบบแปลก ๆ
ตอนนี้ชายกระโปรงกว้างของเธอถูกเลิกขึ้นแล้ว และฝ่ามือใหญ่ที่ถือปากกาตลอดทั้งปีก็แตะที่ต้นขาเรียวยาวของเธอ พลันเกิดอาการขนลุกทุกที่ที่สัมผัส
เมื่อเซี่ยชิงหยวนรู้ได้ถึงความตั้งใจของเขา เธอก็จับมือของเขาไว้ทันที
ริมฝีปากของทั้งสองพลันแยกออกจากกัน
ด้านหลังของเธอมีสวนอยู่ โดยมีต้นไม้เรียงรายอยู่รอบ ๆ เพื่อบังทัศนียภาพ และอีกด้านหนึ่งของต้นไม้เป็นทะเลสาบ
อีกทั้งยังมีบ้านหลังอื่นมากมายอยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบ ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณสองถึงสามร้อยเมตร ทำให้เธอกลัวจะถูกใครเห็นเข้า
โดยไม่คาดคิดว่ามือของเสิ่นอี้โจวยังคงเคลื่อนเข้าไปด้านในกระโปรงต่อ และเขาก็เข้าใจความคิดของเธอ “เราไม่ได้เปิดไฟ คนอื่นมองไม่เห็นหรอก”
เซี่ยชิงหยวน “!”
ท้ายที่สุด เมื่อหญิงสาวขอร้องอยู่หลายครั้ง เสิ่นอี้โจวก็อุ้มเธอกลับไปที่เตียงอย่างว่าง่าย
ผ่านไปพักใหญ่ เธอเหนื่อยเกินกว่าจะพูดอะไร และนอนลงบนร่างกายของเขาอย่างอ่อนแอ
เสิ่นอี้โจวพิงหมอนสูงและเล่นกับเส้นผมยาวของภรรยาด้วยนิ้วเรียวของตน ก่อนจะถามว่า “คุณออกแบบร้านเสร็จแล้วรึยัง?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “อืม น่าจะใช้เวลาเก็บกวาดร้านอีกสองวันน่ะ”
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “พรุ่งนี้เอาแบบร่างการออกแบบมาให้ผมสิ แล้วเดี๋ยวผมจะหาคนไปตกแต่งให้”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้เซี่ยชิงหยวนก็ยิ้มทันที “ขอบคุณค่ะ”
ด้วยความช่วยเหลือของเสิ่นอี้โจว เธอแค่ต้องดูแลความเรียบร้อยของงานเท่านั้น มันช่วยเธอได้มากจริง ๆ แล้วแบบนี้จะไม่มีความสุขได้ยังไง?
ทันใดนั้นเสิ่นอี้โจวก็นึกถึงดวงตาของฉีจิ่นจือในค่ำคืนที่ผ่านมา หลังจากคิดเรื่องนี้แล้วเขาก็ตัดสินใจถามเซี่ยชิงหยวน “ตอนคุณไปที่เมืองกว่างโจว คุณเคยได้ยินว่าฉีจิ่นจือมีความลับที่ไม่อาจพูดได้บ้างไหม?”
เซี่ยชิงหยวนเงยหน้ามองเขา “มีอะไรผิดปกติเหรอ?”
เสิ่นอี้โจวพูดได้เพียงว่า “คืนนี้เขามองมาที่ผมสองครั้ง…เขามองที่หว่างขาของผม…”
แม้ว่าเขาจะคุ้นเคยกับการเห็นเรื่องแบบนี้ แต่เขาก็ยังรู้สึกประหม่าเล็กน้อยเมื่อพูดถึงมัน
ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนเบิกกว้าง จากนั้นเธอก็ก้มลงมองไปที่หว่างขาของเสิ่นอี้โจว
บางทีดวงตาของเซี่ยชิงหยวนอาจร้อนแรงเกินไป เสิ่นอี้โจวไอเบา ๆ ก่อนจะจับหลังคอของเธอแล้วให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้น “คุณกำลังคิดอะไรอยู่ หืม?”
“ไม่นะ ฉันไม่ได้สงสัยในตัวคุณเลย” เซี่ยชิงหยวนกังวลเช่นกัน “ฉันคิดว่าฉันเคยได้ยินคนพูดกันว่า เขาไม่เคยอยู่ใกล้ผู้หญิงเลยน่ะ”
พฤติกรรมของฉีจิ่นจือไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของพวกลูกพี่ใหญ่ในภาพยนตร์เลย
มีลูกพี่นักเลงคนไหนบ้างที่ไม่ถูกล้อมรอบด้วยผู้หญิง?
คืนนี้เธอกังวลมากเพราะกลัวว่าฉีจิ่นจือจะสร้างปัญหา แต่เธอไม่คาดคิดเลยว่าเขากลับมองผู้ชายของเธอแบบนี้เนี่ยนะ?
