บทที่ 330 ยอมรับเงื่อนไข
บทที่ 330 ยอมรับเงื่อนไข
เซี่ยชิงหยวนกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี
หลินตงซิ่วกับป้าอู๋กำลังเตรียมหัวไชเท้าและผักกาดขาวที่พวกเธอซื้อเมื่อเช้า
เมื่อหัวไชเท้าและผักกาดขาวถูกล้างเสร็จแล้ว พวกมันก็มีสีขาวสะอาด อวบอ้วนมองแล้วน่าพึงพอใจ
เซี่ยชิงหยวนเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อผ้าสบาย ๆ สำหรับใส่อยู่บ้าน ผมยาวของเธอถูกรวบไว้ด้วยผ้าโพกหัวที่ปักลายดอกไม้ขนาดใหญ่ ดูอ่อนโยนและสุภาพเรียบร้อย
ทั้งสามย้ายผักไปที่สนามหญ้า จากนั้นขั้นตอนแรกให้หั่นผักกาดขาวเป็นสี่ส่วน จากนั้นจึงเปิดใบแต่ละใบและโรยเกลือลงไป โดยเฉพาะส่วนรากต้องให้แน่ใจว่าใส่เกลือไว้
หลังจากที่ผักกาดขาวถูกโรยเกลือทั้งหมดแล้ว หมักไว้ประมาณ 5-6 ชั่วโมง น้ำในผักก็จะออกมา จากนั้นให้เอาไปล้างด้วยน้ำสะอาดแล้วรีดน้ำออก จึงทาซอสกิมจิลงบนผักกาดขาว
ที่จริงแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำผักกาดขาวคือซอสกิมจิ
ซอสกิมจิที่เซี่ยชิงหยวนทำนั้นทำมาจากการสับหัวหอม ลูกแพร์ แอปเปิล กระเทียม ขิง และอื่น ๆ ให้ละเอียด จากนั้นใส่แป้งข้าวเหนียวลงในหม้อโดยใช้น้ำเย็น เคี่ยวด้วยไฟอ่อนจนกลายเป็นเนื้อครีม และเติมพริก กระเทียมหอม เกลือ น้ำตาล น้ำปลา ผัก และผลไม้ที่สับไว้ก่อนหน้านี้
ขั้นตอนสุดท้ายคือทาซอสที่เตรียมไว้ให้ทั่วผักกาดขาว ใส่ในไหแล้วปิดฝาทิ้งไว้ 1 วัน จึงพร้อมรับประทาน
สำหรับหัวไชเท้า เซี่ยชิงหยวนวางแผนที่จะทำครึ่งหนึ่งเป็นกิมจิหัวไชเท้า และอีกครึ่งหนึ่งเป็นหัวไชเท้าดองตามรสชาติของเสฉวนและฉงชิ่ง
การเตรียมกิมจิหัวไชเท้าก็เหมือนกับกิมจิผักกาดขาว เซี่ยชิงหยวนทาซอสกิมจิลงบนหัวไชเท้าที่ฝานเป็นแว่นแล้วดองโดยตรงเพื่อสร้างความชุ่มฉ่ำ
สำหรับหัวไชเท้าดองแบบเสฉวนนั้นก็เหมือนกับกิมจิที่คนในท้องถิ่นที่นี่ทำกัน แต่เธอยังเติมเหล้าข้าวที่มีความเข้มข้นสูงลงไปอีกด้วย
ตอนที่เธอยังเป็นเด็กและดูหวังผิงทำ เธอมักจะแอบเอาเหล้าข้าวที่ปู่ดื่มมาเทลงไปด้วย โดยบอกว่านี่จะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำในไหเปลี่ยนเป็นสีขาวและกันแมลงได้ อีกทั้งผักดองก็จะมีรสชาติกลมกล่อมเช่นกัน
ในขณะที่รอเวลาหมักของผักกาดขาวและหัวไชเท้า เซี่ยชิงหยวนก็ถือโอกาสนี้ทำลูกชิ้นรอ
หญิงสาวซื้อเนื้อวัวส่วนขามาขั้นแรกนำเนื้อวัวไปล้างและเอาพังผืดออก ต่อมาใช้มีดสับเนื้อให้ละเอียด จากนั้นก็ใช้ไม้หนักทุบเนื้อสับบนเขียงอีกรอบ
เนื้อจะได้ที่ก็ต่อเมื่อละเอียดและเหนียวติดมือ
จากนั้นใส่เนื้อสับลงในชามใบใหญ่ ใส่เกลือ น้ำปลา และกระเทียมเจียว นวดให้เข้ากัน เติมแป้งและน้ำ แล้วคนตามเข็มนาฬิกาให้เข้ากัน
สุดท้ายใช้ช้อนขูดเนื้อสับ โดยปั้นเป็นลูกขนาดเท่าลูกปิงปองแล้วใส่ลงในน้ำร้อนที่มีอุณหภูมิ 70 หรือ 80 องศา แล้วต้มจนลูกชิ้นลอยขึ้นมา
เมื่อเซี่ยชิงหยวนทำเสร็จสิ้นทั้งหมดนี้ แขนของเธอก็เมื่อยล้าเอาการ
หญิงสาวหยิบลูกชิ้นออกมาลูกหนึ่ง แล้วลองบีบมัน ช่างเต็มไปด้วยความเด้งดึ๋งอย่างมากจริง ๆ
จากนั้นเมื่อฉีกลูกชิ้นด้วยมือเปล่า น้ำที่อยู่ภายในลูกชิ้นจะทะลักออกมา กลิ่นหอมของเนื้อกับกระเทียมเจียวก็หอมโชย และเนื้อสัมผัสของมันก็เนียนละเอียดเช่นกัน
เซี่ยชิงหยวนขอให้หลินตงซิ่วและป้าอู๋ลองชิม ทั้งสองคนถูกซุปที่ทะลักออกมาจากลูกชิ้นลวกปากทันที
แต่ก็อร่อยมากจริง ๆ
เซี่ยชิงหยวนถอนหายใจ “มันอร่อยก็จริง แต่ต้องใช้ความพยายามมาก ๆ ในการทำนะคะเนี่ย”
ป้าอู๋ยิ้ม “มันอาจจะง่ายกว่ามากถ้าให้ผู้ชายช่วยนะคะ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ใช่แล้วค่ะ”
แต่แผนนี้จะพิจารณาอีกทีก็หลังจากที่ร้านตรอกเก่าบนถนนอาหารเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้ว
…
เมื่อเสิ่นอี้โจวและเสิ่นอี้หลินกลับมาในตอนเย็น พวกเขาก็ชมชอบลูกชิ้นของเซี่ยชิงหยวนอีกครั้ง
ปากของเสิ่นอี้หลินเต็มไปด้วยคราบมันหลังจากกินอาหาร “พี่สะใภ้ พี่อย่างกับเป็นสาวหอยทาก*[1] เลย พี่สามารถปรุงอาหารได้ทุกอย่างและทุกอย่างที่พี่ทำก็อร่อยสุด ๆ ไปเลยด้วย”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “ไม่ถึงขนาดนั้นสักหน่อย อะไรที่พี่ไม่รู้จัก พี่ก็ทำไม่ได้เหมือนกัน”
หลังจากบำรุงร่างกายมามาก แก้มที่ผอมและตอบของเสิ่นอี้หลินแต่เดิมก็มีน้ำมีนวลมากขึ้น และเพราะเขาไม่ได้วิ่งตากแดดไปรอบ ๆ อีกต่อไป จึงทำให้ผิวของเขาก็ขาวกว่าเมื่อก่อน
นอกจากเรื่องที่เตี้ยกว่าคนอื่น ๆ เล็กน้อยแล้ว เขาก็ดูเหมือนเด็กในเมืองเลย
เซี่ยชิงหยวนเสิร์ฟซุปให้ทุกคน ส่วนของหลินตงซิ่วได้เยอะที่สุดตามมาด้วยของเสิ่นอี้โจว ส่วนเธอและเสิ่นอี้หลินจะกินน้อยกว่านั้น
ไม่สิ ของเสิ่นอี้หลินกินน้อยกว่านั้นอีก เพียงครึ่งชามเท่านั้น
เสิ่นอี้หลินหน้ามุ่ย “พี่สะใภ้ ทำไมของผมถึงได้แค่นี้เองล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนไม่สามารถอธิบายให้เขาฟังได้ว่ามีตัวเดียวอันเดียววัวอยู่ในซุป และเด็ก ๆ ไม่ควรกินมากเกินไปนัก
เธอพูดว่า “พี่ใส่ยาบางอย่างลงในซุปนี้เพื่อบำรุงสุขภาพของแม่เป็นหลักน่ะ เด็ก ๆ เลยไม่ควรกินมากเกินไปนะ”
“อ้อ” เสิ่นอี้หลินหยุดบ่นทันทีหลังจากได้ยิน และกินซุปในชามของเขาอย่างเชื่อฟัง
หลังจากกินเสร็จแล้วเขาก็พูดว่า “อร่อยมากเลยครับ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลินตงซิ่วที่กำลังง่วนอยู่กับการกินซุปก็แทบจะสำลัก
แต่เธอก็รู้สึกเขินอายเกินไปที่จะบอกลูกชายคนเล็กว่ามันคืออะไร
เสิ่นอี้โจวกลอกตาและไม่พูดอะไร เขาหยิบชามขึ้นมาและกำลังจะกิน กลิ่นที่คุ้นเคยก็ลอยเข้ามาในจมูก
ชายหนุ่มมองลงไปในชามและเห็นว่ามีบางสิ่งที่เป็นท่อน ๆ สองชิ้นอยู่ในนั้น แต่มันดูไม่เหมือนเนื้อ ทั้งยังไม่ใช่กระดูกด้วย และเขาก็คาดเดาบางอย่างได้
วินาทีต่อมาเขาก็ดื่มมันอย่างสงบ
เซี่ยชิงหยวนทำซุปได้ดีมากและไม่มีกลิ่นแปลก ๆ เลย
สำหรับผู้ที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร พวกเขาจะหลงคิดได้ง่าย ๆ เลยว่ามันเป็นเพียงซุปเนื้อธรรมดาเท่านั้น
เสิ่นอี้โจวเหลือบมองเซี่ยชิงหยวนข้าง ๆ และมุมปากของชายหนุ่มก็โค้งขึ้น “ขอบคุณนะชิงหยวน”
เซี่ยชิงหยวนไม่สนใจว่าเขาเข้าใจผิดหรือไม่
เธอจ้องมองเขาพลางหยิบซุปขึ้นมา และดื่มมันในอึกเดียว
หญิงสาวต้องการที่จะกินมันเพื่อบำรุงให้ตัวเองสวยงาม
ทันใดนั้นเสิ่นอี้โจวก็พูดว่า “พรุ่งนี้เป็นวันหยุด คุณไปงานเลี้ยงกับผมนะ”
เซี่ยชิงหยวนยังไม่ได้ตอบอะไร นี่เธอสาปแช่งเขาได้ไหมเนี่ย?
เธอเอื้อมมือไปคว้าแขนของสามี “คุณแค่พาฉันไปกินข้าวกันเองดี ๆ ไม่ได้รึไง? คนพวกนั้นมีแต่คนที่ฉันไม่อยากเจอ หรือไม่ก็มีแต่พวกคนที่จะทำให้ฉันกินอะไรไม่ลง”
เสิ่นอี้โจวกุมมือภรรยาที่คว้าแขนตนเองอยู่ แล้วยิ้มตอบอย่างน่าหลงใหลแทน
ทันใดนั้นเสิ่นอี้หลินก็ยกมือของเขาขึ้น “พี่ใหญ่ ผมไปด้วยได้ไหม?”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “แน่นอนนายไปได้ จะมีเด็กคนอื่น ๆ ไปด้วยเหมือนกัน และนายสามารถไปเล่นด้วยกันกับพวกเขาได้เลย”
จากนั้นเสิ่นอี้โจวมองไปยังหลินตงซิ่ว ซึ่งแทบจะฝังตัวเองลงในชาม “แม่ก็สามารถไปด้วยกันได้นะ”
หลินตงซิ่วส่ายหัวรัว “ไม่ล่ะ แม่ไม่ไป แม่ขออยู่ที่บ้านศึกษาสูตรที่ชิงหยวนสอนเพิ่มให้ดีกว่า”
ในเขตที่พักอาศัยนี้ บางครั้งเธอได้พบกับภรรยาข้าราชการบางคนและต้องทักทาย แต่พอเห็นอีกฝ่ายแต่งตัวสวยงาม หญิงชราก็จะรู้สึกด้อยกว่าโดยไม่รู้ตัว
เธอมักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่คนประเภทเดียวกับพวกเขา
แม้หญิงชราจะได้ใช้ชีวิตสุขสบายโดยอาศัยกับลูกชายและลูกสะใภ้ หรือได้สวมเสื้อผ้าที่เซี่ยชิงหยวนคัดสรรมาอย่างดีสำหรับเธอแล้วก็ตาม ซึ่งไม่ได้เลวร้ายไปกว่าพวกภรรยาข้าราชการเหล่านั้นเลย แต่การให้ไปยืนอยู่เคียงข้างคนเหล่านั้น เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกกดขี่และมีเส้นแบ่งเกิดขึ้น
หญิงชราไม่เพียงแต่ไม่กล้าพูดอะไรกับคนอื่น แต่เธอไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูดกันด้วยซ้ำ คงจะไม่ดีถ้าเธอไปแล้วทำให้ลูกชายและลูกสะใภ้อับอาย
ไม่ใช่ว่าเธอดูถูกตัวเอง แต่รู้สึกว่าแม้แต่กับป้าอู๋ ในตอนนี้ตนก็เทียบไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้น เธอได้ยินว่าตระกูลฉินก็จะไปที่งานเลี้ยงด้วย นั่นเป็นครอบครัวเดียวกันกับคนที่เธอเพิ่งทะเลาะที่ตลาดสดในวันนั้นไม่ใช่เหรอ?
ถ้าเธอไปแล้วจะทะเลาะกันอีกไหม?
หลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว หญิงชราจึงขออยู่ฝึกฝนกับป้าอู๋จะดีกว่า
เซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวมองหน้ากัน และไม่ได้บังคับหลินตงซิ่วอีก
เซี่ยชิงหยวนเตะเสิ่นอี้โจวใต้โต๊ะแล้วพูดว่า “ฉันยอมไปกับคุณก็ได้ แต่คุณต้องยอมรับเงื่อนไขหนึ่งข้อของฉันก่อน”
*[1] สาวหอยทาก (田螺姑娘) เป็นตัวละครในนิทานพื้นบ้านในเมืองฝูโจว มณฑลฝู เจี้ยน มาจากเล่มที่ 5 ของ《搜神后记》เรื่องราวเล่าว่าจักรพรรดิแห่งสวรรค์รู้ว่าพ่อแม่ของเซี่ยต้วนเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก และเขาอยู่คนเดียว จักรพรรดิเห็นใจเขา เห็นว่าเขาขยัน ประหยัด และมีวินัยในตนเอง จึงส่งเทพธิดาหอยทากมายังโลกเพื่อช่วยเขา
————————————
บทที่ 324 สองร้าน
บทที่ 324 สองร้าน
เสิ่นอี้โจวได้จัดการเตรียมคนที่จะมาตกแต่งร้านไว้ให้แล้ว อีกฝ่ายเป็นอาจารย์ช่างที่มักจะรับผิดชอบในการก่อสร้างของสำนักงานมณฑล
บังเอิญว่าวันนี้เป็นวันรับมอบกุญแจร้านอย่างเป็นทางการ ดังนั้นเซี่ยชิงหยวนและหลินตงซิ่วจึงไปที่ถนนอาหารแต่เช้า
นายช่างที่เป็นผู้นำทีมมีแซ่ว่า ‘ค่ง’ เมื่อเซี่ยชิงหยวนเข้าไปในร้าน เขากำลังดูภาพการออกแบบร้านที่เธอวาดเอาไว้
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและเอ่ยเรียก ‘อาจารย์ค่ง’ จากนั้นแนะนำตัวและจุดประสงค์ของการมาของเธอ
อาจารย์ค่งมีส่วนสูงปานกลาง ทำงานกลางแดดตลอดทั้งปีจึงมีผิวสีเข้ม
ทั้งสองทักทายกัน และเซี่ยชิงหยวนก็กล่าวถึงสิ่งงที่ต้องการเพิ่มเติมบางอย่างที่เธอต้องการ
อาจารย์ค่งยิ้มและพูดว่า “ตอนแรกเลขาธิการเสิ่นบอกว่าภาพนี้วาดโดยภรรยาของเขาเอง ตอนนั้นผมไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริงนะครับ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “ฉันแค่คิดมันขึ้นมาจากความคิดของฉันเองน่ะค่ะ…”
อาจารย์ค่งพยักหน้า “โดยพื้นฐานแล้ว สิ่งที่คุณได้แจ้งไว้สามารถทำได้หมดเลยครับ มีแค่ตรงม่านประตู ผมมีข้อเสนอแนะนิดหน่อย”
เซี่ยชิงหยวน “อาจารย์ค่งบอกมาได้เลยค่ะ”
เมื่ออาจารย์ค่งเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนไม่มีท่าทีปฏิเสธ จึงอธิบายว่า “ผมคิดว่าถ้าจะขายอาหาร ม่านประตูที่ยาวเกินไปคงไม่ดีและม่านประตูพลาสติกก็มีข้อเสียคือมันหนักและชำรุดง่าย แถมสีของมันยังซีดไปตามกาลเวลา หากคุณเปลี่ยนแบบให้สั้นลงหน่อยและติดห้อยลงมาจากด้านบน มันจะสามารถเป็นม่านบังแสงได้อย่างสะดวกด้วยครับ”
อาจารย์ค่งทำมือแสดงความสูงที่คอของผู้ใหญ่
เซี่ยชิงหยวนคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับคำแนะนำของอาจารย์ค่ง
ทางเข้าร้านยังมีขั้นบันได หากเพิ่มขั้นบันไดม่านก็จะสูงเท่ากับตัวผู้ใหญ่ ซึ่งจะบดบังการมองเห็นของคนนอกร้าน และยังปิดกั้นสิ่งแปลกปลอมจากนอกร้านได้
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาคงไม่นั่งกินที่ร้านหรือจัดโต๊ะสำหรับกินบริเวณนอกร้านแน่นอน ดังนั้นทั้งร้านก็จะดูสะอาดตาและเป็นระเบียบมากขึ้น
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็พยักหน้า “คำแนะนำของอาจารย์ค่งนั้นดีจริง ๆ ค่ะ”
พอเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนเห็นด้วย อาจารย์ค่งก็ยิ้มพลางเกาที่ด้านหลังศีรษะและพูดต่อ “จริง ๆ แล้ว ผมยังมีความคิดอื่นอีกน่ะครับ”
เซี่ยชิงหยวนมองดูเขาด้วยรอยยิ้ม และโบกมือให้เขาพูดต่อ
อาจารย์ค่งกล่าวว่า “ผมรู้ว่าคุณไม่อยากให้ลูกค้ากินอาหารที่ร้าน คุณกังวลเรื่องที่ตั้ง เรื่องปัญหาฝุ่นและสุขอนามัยนั้นคุณน่าจะจริงจังมาก ที่จริงแล้วผมคิดว่าคุณสามารถวางโต๊ะเล็ก ๆ สองโต๊ะไว้ข้างกำแพงได้นะ ซึ่งไม่ได้ใช้พื้นที่มากนัก เมื่อลูกค้าคนอื่นเห็นคนในร้านกินอย่างเอร็ดอร่อย มันจะสามารถดึงดูดผู้คนให้เข้ามาได้มากขึ้นจริงไหมครับ?”
เซี่ยชิงหยวนคิดตามในคำถามนี้ที่อาจารย์ค่งพูดถึง
ต้มเครื่องในเนื้อวัวที่ทำสดใหม่ในหม้อไม่จำเป็นต้องผัดหรือปรุงอีก มันสามารถตักให้กินได้ทันทีเลย ซึ่งลูกค้าก็น่าจะกินเสร็จอย่างรวดเร็วและทำความสะอาดง่าย
เมื่อได้ยินสิ่งที่อาจารย์ค่งพูด เซี่ยชิงหยวนก็พยักหน้าอีกครั้ง “ตกลงค่ะ วางโต๊ะเล็ก ๆ สองโต๊ะไว้ด้านข้างกำแพงด้วยแล้วกันค่ะ”
โต๊ะเล็ก ๆ นั้นเล็กมาก อาจกว้างไม่ถึงครึ่งเมตรก็ได้
แต่เนื่องจากลักษณะพิเศษของอาหารที่เธอขาย มันจึงสามารถวางชามไว้ข้างหน้าคนคนเดียวได้ไม่เกินสองชาม ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ในตอนแรกอาจารย์ค่งต้องการให้คำแนะนำเล็กน้อยแก่เซี่ยชิงหยวนจากประสบการณ์ของเขาเองเท่านั้น แต่โดยไม่คาดคิด เธอจะตอบรับอย่างรวดเร็วและมีทัศนคติที่ดีด้วย
เขามีความสุขในใจและพูดว่า “ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะตกแต่งร้านให้คุณอย่างดีแน่นอน”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “ในเมื่อสามีของฉันอุตส่าห์ขอให้อาจารย์ค่งมาทำร้านให้ ฉันย่อมไว้วางใจในตัวอาจารย์ค่งอยู่แล้วค่ะ”
เธอหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แต่ฉันมีคำถามค่ะ ฉันอยากจะยืนยันกับอาจารย์ค่งสักหน่อยว่าจะใช้เวลาตกแต่งร้านกี่วันเหรอคะ?”
เธอจ่ายค่าเช่าไปแล้ว มันเหมือนเธอเผาเงินทิ้งไปทุกวัน ดังนั้นเธอจึงวิตกกังวลเรื่องนี้ไปโดยปริยาย
อาจารย์ค่งตบหน้าอกของเขาแล้วพูดว่า “จะใช้เวลาประมาณสามหรือสี่วันเท่านั้นครับ มันจะเสร็จแน่นอน”
ในแง่ของการตกแต่ง ส่วนใหญ่เซี่ยชิงหยวนไม่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงส่วนสำคัญใด ๆ กับร้านนัก
เธอออกแบบการปรับปรุงอย่างเรียบง่ายแต่ใช้งานได้จริง ดังนั้นการตกแต่งส่วนใหญ่สามารถทำเสร็จได้ในวันเดียว ส่วนเรื่องของวัสดุพิเศษหรือตู้แสดงที่เป็นรูปลักษณ์คลาสสิกก็ได้หามาล่วงหน้าแล้ว
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็คำนวณแผนการบางอย่างในใจของเธอได้ หญิงสาวยิ้มและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันขอรบกวนอาจารย์ค่งทีนะคะ”
ขณะที่เธอพูด ป้าอู๋ก็รีบเข้ามาจากด้านนอก
เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวน เธอก็หอบพลางตบหน้าอกแล้วพูดว่า “คุณนาย ในที่สุดฉันก็เจอคุณสักที”
เธอไปตลาดสดมาก่อน จากนั้นก็มาที่นี่จากเส้นทางข้างตลาดสด โชคดีที่เธอได้เจอคุณนายแล้ว
เซี่ยชิงหยวนรีบพยุงป้าอู๋ และทำให้เธอสงบลง “เกิดอะไรขึ้นคะป้าอู๋?”
ป้าอู๋ตอบกลับ “หลานชายของฉันบอกมาเมื่อกี้ว่ามีร้านค้าบนถนนหลินไห่ที่ต้องการปล่อยเช่า เจ้าของร้านถูกบอกเลิกสัญญาเช่ากะทันหัน หากคุณนายสนใจ ฉันคิดว่าคุณควรไปดูตอนนี้เลยนะคะ และคุณอาจได้เช่าในราคาดีก็ได้ค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เซี่ยชิงหยวนก็รีบลาอาจารย์ค่งและมุ่งหน้าไปที่ถนนหลินไห่กับป้าอู๋ทันที
ที่ตั้งของร้านที่ป้าอู๋กล่าวถึงนั้นอยู่ห่างจากถนนคนเดินประมาณ 10 เมตร โดยมันเป็นสองคูหาที่ตั้งอยู่ติดกัน แต่ละร้านมีขนาด 37.8 ตารางเมตร
ตอนนี้สภาพร้านแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงจากร้านค้าเสื้อผ้าที่พร่างพราวตามปกติ เสื้อผ้าที่แขวนในร้านทั้งหมดถูกถอดออก มีคนเก็บเสื้อผ้าไว้ข้างใน และมีเสียงชายหญิงกำลังสาปแช่งกัน
เวลานี้ยังเช้าอยู่ และคนเดินบนถนนไม่มากนัก มีเพียงคนที่เปิดร้านค้าใกล้ ๆ เท่านั้นที่ยืนอยู่ที่ประตูและเฝ้ามองเหตุการณ์
เมื่อชายหนุ่มร่างสูงที่ยืนดูอยู่ข้างนอกร้านเห็นพวกเธอ เขาก็โบกมือและตะโกน “คุณป้า!”
เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนอีกครั้ง เขาพยักหน้าให้เธออย่างเขินอาย “คุณนายครับ”
ป้าอู๋แนะนำทันที “นี่คือหลานชายที่ฉันเล่าให้คุณนายฟังค่ะ เขาชื่อ อู๋ฟ่าง”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพยักหน้า “สวัสดีค่ะ”
อู๋ฟ่างอธิบายให้ทั้งสองคนฟัง “เจ้าของร้านทั้งสองคนนี้เป็นญาติกันครับ คนทางซ้ายคือพี่สะใภ้ ซึ่งเป็นคนเปิดร้านครั้งแรกที่ถนนหลินไห่ ต่อมาเมื่อน้อง ๆ ฝั่งสามีของเธอเห็นว่ามีรายได้ก็เลยเปิดร้านบ้าง แต่ด้วยความบังเอิญกลับได้เปิดร้านข้าง ๆ พี่สะใภ้ตัวเอง และสุดท้ายก็กลายเป็นแย่งลูกค้ากัน ทั้งสองร้านนี้พยายามแย่งลูกค้ากันเอง และลูกค้าของร้านอื่นอย่างดุเดือดโดยใช้ทุกวิถีทาง และทะเลาะกันเองหรือทะเลาะกับคนอื่นหลายครั้ง จนมีชื่อเสียงในทางที่ไม่ดีเลื่องลือไปทั้งถนนสายนี้เลยครับ”
“ทว่าก่อนหน้านี้ไม่นานนัก หญิงชราที่บ้านของพวกเขาป่วย แต่ละฝ่ายจึงพยายามผลักอีกฝ่ายให้ไปดูแล เพราะกังวลว่าถ้าตนไปดูแลแล้วเมื่อกลับมา กิจการจะถูกยึดเอาไปหมด จึงไม่มีใครเต็มใจไป”
“ต่อมาหญิงชราโกรธลูกชายทั้งสองคนมาก จึงให้ปิดร้านเก็บข้าวของและกลับบ้านทั้งหมด”
“แน่นอนว่าเมื่อเจอคำสั่งแม่ตัวเอง ผู้ชายทั้งสองในครอบครัวจึงต้องยอมและปิดร้านครับ”
“พอเป็นแบบนี้ ลูกสะใภ้ทั้งสองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับ แต่ก็ยังมีปัญหากับเจ้าของร้าน”
“ตอนนี้ใกล้จะตรุษจีนแล้ว แค่การขนของออกก็ถือว่าลำบาก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ยอมแบกรับความเสี่ยง และขอให้เจ้าของร้านคืนเงินค่าเช่าที่เหลือ จนทำให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นครับ”
อู๋ฟ่างเข้าใจเรื่องนี้ชัดเจนในการยืนสืบเพียงไม่นาน
เมื่อเขาพูด ดวงตาของชายหนุ่มส่องประกาย เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะยินดีกับโชคร้ายของคนอื่น แต่เขากระตือรือร้นกับทุกสิ่งจริง ๆ
หลังจากฟังคำพูดของเขาแล้ว มุมริมฝีปากของเซี่ยชิงหยวนก็ยกขึ้น
เธอถามว่า “ค่าเช่าเท่าไหร่นะ?”
อู๋ฟ่างตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตระหนักว่าเซี่ยชิงหยวนกำลังคุยกับตนอยู่ เขาจึงพูดทันที “ผมเพิ่งได้ยินพวกเขาพูดกันว่าค่าเช่าร้านปีละสองพันหกร้อยหยวนครับ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “อืม มันไม่แพงเลย”
ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ ไม่ใช่ว่าไม่มีคนอยากรับเช่าต่อ แต่เป็นเพราะคนรอบข้างเองก็เช่าร้านอยู่แล้ว
ถ้าคนอื่น ๆ มาเช่าเพิ่มต่อก็คงอธิบายกับเจ้าของร้านเดิมของพวกเขาไม่ได้
นอกจากว่าจะเป็นคนอย่างเซี่ยชิงหยวนที่ต้องการเริ่มเช่าร้านใหม่ และเช่าในระยะยาวหลักหลายปี
ตอนนี้ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไป มันก็ไม่แน่
เซี่ยชิงหยวนพูดอย่างครุ่นคิด “ไปคุยกับเจ้าของร้านให้ทีว่าเขาสามารถลดราคาได้ไหม ถ้าได้ ฉันจะเช่าทั้งสองร้านพร้อม ๆ กันเลย”
บทที่ 318 ไฟคลอกตัวเอง
บทที่ 318 ไฟคลอกตัวเอง
ความลำบากใจที่หาได้ยากปรากฏบนใบหน้าของเสิ่นอี้โจว
เขาเอามือแตะจมูกแล้วพูดว่า “บางทีเราอาจจะเข้าใจผิดก็ได้”
เขาเคยเห็นพวกคนที่เรียกว่าหลงหยาง*[1]ในสมุดภาพมาแล้ว ตอนนี้เมื่อคิดว่ามันอาจเกิดขึ้นกับตัวเองอยู่ ชั่วครู่หนึ่งเขาก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัวอย่างจริงจัง “ไม่ ฉันคิดว่ามันยังเป็นไปได้นะ คุณเองก็คงพูดไม่ได้ว่าเขาอาจมีงานอดิเรกในการมองส่วนนั้นของผู้คนหรอกใช่ไหม?”
ตอนที่อยู่เมืองกว่างโจว เธอไม่เคยเห็นฉีจิ่นจือมองใครด้วยสายตาเช่นนี้มาก่อน
เธอใช้มือเล็ก ๆ แตะแก้มของเขา ดึงมันทั้งสองข้างแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “นอกจากนี้คุณหล่อมากเลยนะ จริงไหมล่ะ?”
เฉินอี้โจวเลิกคิ้ว “อย่าพูดเรื่องไร้สาระกับสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริงสิ”
เมื่อเห็นเขาดูจริงจังมาก เซี่ยชิงหยวนก็หัวเราะอีกครั้ง “อย่าบอกนะว่าคุณกำลังอาย?”
เสิ่นอี้โจวคว้ามือของภรรยา แล้วพลิกตัวเธอมาไว้ใต้ร่างเขา “คืนนี้ผมใจดีกับคุณมากไปหน่อยสินะ คุณก็เลยยกหางขึ้นโดยลืมว่าผมเป็นคนของคุณใช่ไหม?”
หลังจากพูดจบ เขาก็ยืดตัวขึ้นทันที
เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของสามี เซี่ยชิงหยวนก็กลั้นหายใจ
จนในที่สุดก็เอ่ยออกมาได้อย่างยากลำบาก “เราแค่คุยกันเองไม่ใช่เหรอ?”
เสิ่นอี้โจวยิ้ม “แต่จากสีหน้าของคุณแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แน่ ๆ”
ฉีจิ่นจือมองมาที่เขาก็จริง แต่เธอทำท่าเหมือนดูเรื่องสนุกอยู่ก็สมควรที่จะถูกลงโทษ
เซี่ยชิงหยวนประท้วงทันที “ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
เสิ่นอี้โจวก้มหัวลงแล้วจูบติ่งหูเล็ก ๆ ของเธอ “ผมเป็นคนแบบไหนคุณยังไม่รู้อีกเหรอ? แต่ถ้าคุณลืมก็ไม่เป็นไร ผมจะเตือนคุณให้อีกครั้งเอง!”
เซี่ยชิงหยวน “ฉัน…อื้ม!”
เธอแค่พูดในสิ่งที่รู้เท่านั้นเองนะ แล้วทำไมเธอกลับถูกไฟคลอกซะเองแบบนี้?
และไฟนี้…มันก็ไหม้รุนแรงจริง ๆ
…
เมื่อเซี่ยชิงหยวนตื่นขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น ใต้ตาของเธอมีสีดำคล้ำ
เธอนวดเอวที่เจ็บปวดแล้วจ้องมองไปยังเสิ่นอี้โจวที่กำลังยืนอยู่ข้างเตียง และแต่งตัวเต็มยศแล้ว
เมื่อนึกถึงวิธีที่เขาลงโทษเมื่อคืนนี้ เธอก็โกรธมาก
เป็นเพราะเธอไม่สามารถเอาชนะเขาได้ในแง่ของความแข็งแกร่งและขนาดร่างกายใช่ไหม เขาเลยรังแกเธอแบบนี้?
ในที่สุดเธอก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่ง “คุณมันสัตว์ร้าย!”
เสิ่นอี้โจวดูสดชื่น นั่งบนเตียงแล้วจูบหน้าผากของเธอ “เขียนข้อกำหนดอื่น ๆ ที่คุณต้องการในการตกแต่งร้านมานะ พอคุณส่งมาแล้ว ผมจะจัดให้คนไปทำให้”
เมื่อเสิ่นอี้โจวพูดแบบนี้ เธอก็ไม่สามารถโกรธเขาได้อีกต่อไป
“อืม!” เธอตอบ
เมื่อเห็นภรรยาเป็นแบบนี้ เสิ่นอี้โจวก็อดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปาก “ถ้าคุณยังไม่ลุกขึ้น ผมจะจูบคุณอีกครั้งนะ”
เซี่ยชิงหยวน “…”
วินาทีต่อมาเธอก็ลุกขึ้นนั่งทันที และยืนห่างจากเขาสองเมตร แม้ใบหน้าจะแดงก่ำแต่ก็ดูสวยงามจริง ๆ “ถึงแม้คุณช่วยฉันตกแต่งร้าน มันก็ไม่เปลี่ยนความจริงที่ว่าคุณเป็นสัตว์ร้ายได้หรอกนะ!”
พูดจบเธอก็วิ่งเข้าไปในห้องน้ำอย่างเร่งรีบ
เสิ่นอี้โจวมองไปประตูที่ปิดอยู่ พลางส่ายหัวแล้วหัวเราะ
หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนอาบน้ำและลงไปชั้นล่าง เสิ่นอี้โจวและคนอื่น ๆ ก็นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว
ป้าอู๋สังเกตเห็นหญิงสาวเป็นคนแรก และทักออกมาด้วยรอยยิ้ม “คุณนาย”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “อรุณสวัสดิ์ค่ะป้าอู๋”
เสิ่นอี้หลินก็ยืดหน้าอกเล็ก ๆ ของเขาออกมาแล้วตะโกน “พี่สะใภ้!”
เขาสวมชุดนักเรียนเสื้อเชิ้ตสีขาวและกางเกงสีน้ำเงิน
เธอจำได้ว่าวันนี้เป็นวันแรกที่เขาไปโรงเรียน เซี่ยชิงหยวนเอ่ยชมทันที “วันนี้อี้หลินของเราดูน่ารักมากเลยนะ!”
ใบหน้าของเสิ่นอี้หลินระเบิดรอยยิ้ม จากนั้นเขาก็เม้มริมฝีปากทันที พยายามไม่หัวเราะออกมา “ผู้ชายไม่ควรถูกชมว่าน่ารักสิ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ทุกคนก็หัวเราะ
ในขณะที่เธอพูด เซี่ยชิงหยวนก็เดินลงมาชั้นล่างแล้ว หญิงสาวลูบศีรษะของเสิ่นอี้หลินและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เอาละ อี้หลินของเราหล่อมากเลย”
ทั้งเสิ่นอี้โจวและเสิ่นอี้หลินเติบโตขึ้นมาโดยการเอาข้อดีของพ่อแม่ของพวกเขามาผสมกัน แต่เมื่อเปรียบเทียบแล้ว เสิ่นอี้โจวดูเหมือนผู้เฒ่าเสิ่นและแม่เฒ่าเสิ่นมากกว่า ในขณะที่เสิ่นอี้หลินดูเหมือนเสิ่นเหยียนและหลินตงซิ่ว
ว่ากันว่าแม่เฒ่าเสิ่นเคยเป็นสาวงามระดับต้น ๆ และเธอกับผู้เฒ่าเสิ่นก็หมั้นกันมาตั้งแต่เด็ก
ผู้เฒ่าเสิ่นหล่อมากเมื่อตอนที่เขายังเด็ก และลูก ๆ ของพวกเขาก็ไม่เลวเช่นกัน
เธอไม่เคยพบกับแม่เฒ่าเสิ่นมาก่อน หญิงสาวได้ยินเพียงหลินตงซิ่วพูดถึงเรื่องนี้หลังจากที่เธอแต่งงานแล้วเท่านั้น
เสิ่นอี้โจวถามเซี่ยชิงหยวน “เช้านี้คุณมีแผนอะไรไหม?”
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “หลังจากว่างแล้วฉันวางแผนที่จะไปตลาดสดเพื่อซื้อเครื่องในเนื้อวัวน่ะ”
เมื่อวานนี้เพราะเธอได้พบกับฉีจิ่นจือ เธอกังวลจนไม่มีความตั้งใจที่จะซื้อของต่ออีกเลย
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “พาอี้หลินไปโรงเรียนด้วยกันก่อนแล้วค่อยไปโรงพยาบาลกับผมไหม?”
เกือบทุกคนในมณฑลยูนนานรู้เรื่องเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพของเสิ่นอี้โจว ต้องขอบคุณไฟที่ฝูเถียนจริง ๆ
เพียงแต่ว่าเสิ่นอี้โจวใช้ยาตะวันตกและเซี่ยชิงหยวนใช้ยาจีน
นอกจากนี้เสิ่นอี้โจวยังหยุดกินยามาระยะหนึ่งแล้ว
เขาจงใจบอกให้เธอไปกับเขา เพียงเพราะเขาไม่อยากให้คนอื่นคิดไม่ดีกับเซี่ยชิงหยวน
อาการของเซี่ยชิงหยวนก็ดีขึ้นมากเช่นกัน โดยพื้นฐานแล้วเธอต้องดื่มยาจีนสัปดาห์ละสองครั้งเท่านั้น ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายและการฝังเข็ม
ตอนที่ขอให้ป้าอู๋ต้มยาให้ ป้าอู๋ไม่แม้แต่จะถามคำถามสักคำเลย และแค่คิดว่าเซี่ยชิงหยวนกำลังดูแลร่างกายของตัวเอง
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีคนเดินผ่านบ้านของพวกเขา และถามเช่นกันว่า “ป้าอู๋ ทำไมฉันถึงได้กลิ่นยาจีนจากบ้านของคุณบ่อยมากเลยล่ะ?”
ป้าอู๋ตอบเพียงว่า “แขนและขาของฉันไม่ค่อยดีน่ะ หมอเลยสั่งยาให้ฉันกิน”
แน่นอนว่าข้ออ้างนี้ดูไม่น่าเชื่อเลย “เจ้านายของคุณใจดีถึงขนาดให้คุณต้มยาที่นี่เลยเหรอ?”
แต่ป้าอู๋ก็ตอบกลับโดยไม่มีพิรุธเลยเช่นกัน “คุณผู้ชายกับคุณนายและครอบครัวของพวกเขาเป็นคนดีมากน่ะ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็ก้มหัวลงไม่อยากพูดอะไรมากไปกว่านี้
หลินตงซิ่วได้ยินการสนทนาของพวกเขาในสนาม และเล่าเรื่องนี้ให้กับเซี่ยชิงหยวนฟัง
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพยักหน้า “ป้าอู๋คนนี้ยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ”
ตอนนี้เมื่อเธอได้ยินเสิ่นอี้โจวพูดคุยเกี่ยวกับการไปโรงพยาบาล ป้าอู๋ก็ไม่กะพริบตาและพูดว่า “คุณนายค่อย ๆ กินนะคะ” แล้วกลับไปที่ห้องครัว
เซี่ยชิงหยวนตอบกลับ “ขอบคุณค่ะ”
หลังจากมาอยู่ที่มณฑลอวิ๋นได้หลายวันแล้วก็ถึงเวลาไปโรงพยาบาลเสียที
หลินตงซิ่วยังกล่าวอีกว่า “พวกลูกไปโรงพยาบาลก็ดี ทำการตรวจร่างกายสักหน่อยก็ไม่ได้เสียหายอะไรหรอก”
เสิ่นอี้หลินมีความสุขมากเมื่อได้ยินว่าพี่ชายและพี่สะใภ้จะไปส่งเขาที่โรงเรียน “เย้ เยี่ยมเลย!”
…
เซี่ยชิงหยวนอธิบายให้ป้าอู๋ฟังว่าวันนี้ต้องซื้อของอะไรเข้าบ้านบ้าง จากนั้นเธอกับเสิ่นอี้โจวก็ไปส่งเสิ่นอี้หลินที่โรงเรียน
เมื่อฟังคำสอนของเสิ่นอี้โจวที่มีต่อเสิ่นอี้หลินตลอดทาง รอยยิ้มที่มุมริมฝีปากของเซี่ยชิงหยวนก็อดไม่ได้ที่จะลึกยิ่งขึ้น
เธอวางมือบนหน้าท้องส่วนล่าง มองดูทิวทัศน์ที่อยู่ด้านนอกรถและอดไม่ได้ที่จะคิดว่าในอนาคตเมื่อเสิ่นอี้โจวกลายเป็นพ่อ เขาจะปฏิบัติต่อลูกเช่นเดียวกับที่ทำต่อเสิ่นอี้หลินตอนนี้หรือไม่
หลังจากส่งเสิ่นอี้หลินไปโรงเรียนแล้ว ทั้งสองก็ไปโรงพยาบาลด้วยกัน
หลังจากที่หมอหมิ่นตรวจร่างกายเสิ่นอี้โจวอีกครั้ง ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความพึงพอใจ “เลขาธิการเสิ่นฟื้นตัวได้ดีมากเลยครับ และตอนนี้ก็เหมือนกับคนปกติที่มีสุขภาพดี นับจากนี้ไปก็ให้ความสนใจกับการกินอาหารให้ตรงเวลาและมาตรวจร่างกายเป็นประจำนะครับ โดยทั่วไปก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรแล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวก็มองหน้ากันและยิ้มออกมา ในที่สุดก็ได้ยินข่าวดีที่พวกเขาต้องการเสียที
เสิ่นอี้โจวกระแอมแล้วถามว่า “หมอหมิ่น โปรดบอกผมหน่อยครับว่าผมจะมีลูกได้เมื่อไหร่?”
*[1] หลงหยาง คือ เป็นคำเรียกชายรักชาย
