บทที่ 331 ยั่วยุ
บทที่ 331 ยั่วยุ
เสิ่นอี้โจวมองภรรยาอย่างอยากรู้ “บอกผมมาได้เลย”
เซี่ยชิงหยวนพึมพำ “เมื่อร้านเสื้อผ้าของฉันเปิด คุณช่วยมายืนกับฉันได้ไหม?”
พอได้ยินแบบนี้ เสิ่นอี้โจวก็วางชามกับตะเกียบลง คิ้วของเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย “นี่คุณจริงจังเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “แน่นอน”
เสิ่นอี้โจวตอบทันที “ได้ ผมสัญญา”
เขาหยุดชั่วคราว “แต่ว่าผมสงสัยอยู่หน่อย ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้คุณไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ว่าคุณคือคุณนายเสิ่นหรอกเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนยักไหล่ “นั่นคือในเมืองเตียนเฉิง แต่ที่นี่คือมณฑลอวิ๋น ถ้าฉันไม่มีคุณ ฉันจะทำธุรกิจอย่างราบรื่นได้ยังไง?”
ในที่สุดเธอก็ตระหนักได้ว่าการค้าที่เคยทำในเมืองเตียนเฉิงก่อนหน้านี้เป็นเพียงธุรกิจขนาดเล็กเท่านั้น
ดังคำที่ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า สิ่งที่เธอทำในช่วงหกเดือนที่ผ่านมาไม่น่าพูดถึงเลยเมื่อเทียบกับโลกภายนอกที่มีคนจำนวนมาก
หากเธอต้องการตั้งหลักในมณฑลอวิ๋น เธอจะต้องมีเงินทุนเพียงพอ
ในเมื่อเธอไม่มีอำนาจของตัวเอง งั้นก็ต้องหาเงินให้เพียงพอเท่านั้น
เงินสามารถสร้างความแตกต่างได้ วันหนึ่งเธอจะมีสิทธิ์เลือกที่จะก้าวไปข้างหน้าหรือถอยหลังไปทุกที่
แทนที่จะต้องค่อย ๆ พัฒนาชื่อเสียงของตัวเอง มันจะดีกว่าไหมถ้าเธอใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของเสิ่นอี้โจวเพื่อขยายชื่อเสียงของตน
ท้ายที่สุดแล้ว เขาเป็นคนของเธอ ดังนั้นหากเธอไม่ใช้ความได้เปรียบนี้มันจะเสียของเปล่า ๆ
…
หลังอาหารเย็น เซี่ยชิงหยวนเตรียมสิ่งต่าง ๆ อยู่พักหนึ่งก่อนที่จะกลับไปที่ห้องนอนเพื่อพักผ่อน
ทันทีที่หญิงสาวกลิ้งตัวลงบนเตียงที่เสิ่นอี้โจวนอนทับจนอบอุ่นแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็ถอนหายใจอย่างสบายใจ
เสิ่นอี้โจวกำลังเอนกายบนเตียงพลางอ่านหนังสือ เขาเหลือบมองเธอ จากนั้นก็ปิดหนังสือแล้ววางไว้ข้าง ๆ
เซี่ยชิงหยวน “เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
เสิ่นอี้โจวยกแขนขึ้นเพื่อรองรับศีรษะของตัวเอง แล้วนอนตะแคงข้างพลางมองดูภรรยา
“ซุปคืนนี้ คุณไม่อยากอธิบายเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนรู้ว่าเขาเข้าใจผิด
เธอยื่นมือมาหยิกหน้าอกเบา ๆ “คุณนี่คิดไร้สาระได้ตลอดทั้งวันจริง ๆ”
หญิงสาวลุกขึ้นนั่งแล้วพูดว่า “ถ้าฉันคิดทำอย่างที่คุณคิดจริง ๆ งั้นทำไมฉันถึงต้องเสิร์ฟมันให้ทั้งครอบครัวด้วยล่ะ?”
ขณะที่พูด เซี่ยชิงหยวนก็มองลงไปยังเรือนร่างของเสิ่นอี้โจว แล้วพูดด้วยความหมั่นไส้ “นอกจากนี้ คุณยังต้องการมันอีกรึไง?”
หลังจากพูดจบเธอก็ใช้ผ้าห่มม้วนตัวเองเป็นลูกบอลห่อไว้แน่น แล้วพลิกตัวนอนหันหลังให้เขา “วันนี้เข้านอนเร็ว ๆ เถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้านะ”
เสิ่นอี้โจวมองดูร่างกายของเขาที่ผ้าห่มถูกดึงออกไป “…”
เขาเอื้อมมือออกไปและสะกิดเซี่ยชิงหยวน “คุณภรรยาครับ ผมไม่มีผ้าห่มแล้ว”
น้ำเสียงของเขาเบาและค่อนข้างน่าสงสาร
เซี่ยชิงหยวนไม่หันกลับมามอง พลันลุกจากเตียงหยิบผ้าห่มจากด้านข้างแล้วโยนให้เขา “เอาผ้าห่มผืนนี้ไป”
สีหน้าของเสิ่นอี้โจวยังคงไม่เปลี่ยนแปลง “แต่ผมอยากนอนร่วมผ้าห่มเดียวกับคุณนะ”
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัวทันที “คุณต้องนอนเองบ้างนะ คืนนี้ฉันอยากพักผ่อนให้เต็มที่ เพื่อที่พรุ่งนี้จะได้พร้อมต่อสู้”
เสิ่นอี้โจวลูบหน้าผากของเขาอย่างกลุ้มใจ “คุณคิดว่างานเลี้ยงที่เราจะไปคือรังมังกรหรือถ้ำเสือรึไง?”
เซี่ยชิงหยวน “มันน่ากลัวยิ่งกว่ารังมังกรและถ้ำเสือซะอีก!”
เสิ่นอี้โจวกอดเธอ “คุณไม่มั่นใจในตัวผมมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนยังคงส่ายศีรษะ “คุณไม่เข้าใจ นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความภาคภูมิใจของผู้หญิงนะ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็แกะแขนของเขาออก “นอนเร็วเถอะ พรุ่งนี้คุณต้องตื่นแต่เช้า คืนนี้ทำตัวดี ๆ ล่ะ”
เดิมทีเสิ่นอี้โจวแค่อยากแกล้งเซี่ยชิงหยวน
แต่เมื่อเห็นเธอเป็นแบบนี้เขาก็หยุดก่อกวน
แล้วหยิบผ้าห่มที่เธอโยนให้มาห่มตัวเอง เขามองดูใบหน้าอันเงียบสงบของเซี่ยชิงหยวน จึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปสัมผัสเธอแล้วพูดเบา ๆ ว่า “ราตรีสวัสดิ์”
…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจวก็ออกเดินทางพร้อมกับเสิ่นอี้หลิน
ส่วนเรื่องที่ป้าอู๋จะพาคนมาเมื่อวานก็เปลี่ยนเวลาเป็นตอนบ่ายแทน
สถานที่จัดงานเลี้ยงตั้งอยู่ในเขตชานเมือง ขับรถจากเขตที่พักอาศัยประมาณหนึ่งชั่วโมง
เสิ่นอี้โจวขับรถด้วยตัวเองโดยไม่ขอให้คนขับรถตามเขาไป
เซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้หลินนั่งเบาะหลังคุยกันเป็นครั้งคราว
หลังจากมาที่มณฑลอวิ๋นแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เสิ่นอี้หลินเดินทางออกจากบ้านไกลขนาดนี้ และก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าร่วมงานเลี้ยงเช่นนี้ด้วย
ในตอนแรกเขายังคงกังวล แต่เมื่อหลินตงซิ่วถามว่า “วันนี้ลูกอยู่บ้านกับแม่เอาไหม?”
ในขณะนั้นเขาก็ตัดสินใจได้ “แม่ ผมอยากไปกับพี่ชายและพี่สะใภ้ของผม”
ต่อให้แม่ของเขาไม่ได้ไปด้วย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเขาแค่รีบไปอยู่ข้าง ๆ พี่ชายหรือพี่สะใภ้ก็ได้แล้ว
พี่ชายและพี่สะใภ้สามารถปกป้องเขาได้แน่นอน
และพี่สะใภ้ยังบอกด้วยว่านี่เป็นโอกาสได้เข้าสังคม ซึ่งในอนาคตเขาจะต้องได้สัมผัสมันอยู่แล้ว
ระหว่างทางไปที่นั่น เสิ่นอี้โจวบอกกับเซี่ยชิงหยวนเกี่ยวกับผู้คนที่จะมาในวันนี้ “ฉีหยวนซานชอบตกปลา และบางครั้งเขาจะเชิญบางคนไปตกปลาด้วยกัน ดังนั้นนอกเหนือจากตระกูลเซี่ยกับตระกูลฉินที่ผมบอกเมื่อวานนี้แล้ว ยังมีตระกูลฉู่และตระกูลหลิงที่ถูกเชิญไปด้วย”
“เพียงแต่ว่าตอนนี้หลิงเยี่ยไปปฏิบัติภารกิจ ดังนั้นเขาน่าจะส่งคนที่เด็กกว่าหรือไม่ก็ญาติคนอื่น ๆ ในครอบครัวมาแทน ส่วนคนที่มาจากตระกูลอื่น แค่ตามทักทายพวกเขาตามผมและเมินเฉยต่อคนอื่น ๆ ที่ผมไม่ได้แนะนำก็พอ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า พร้อมกับยกยิ้มมุมปากเบา ๆ “ฉันเข้าใจแล้ว”
เธอได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้วเมื่อคืนนี้ จึงรู้สึกสดชื่นมาก
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็สะกิดเสิ่นอี้หลินที่อยู่ข้าง ๆ “เมื่อนายไปถึงที่นั่น แค่เล่นสนุกอย่างสบายใจก็พอรู้ไหม?”
เสิ่นอี้หลินดีใจทันที “ผมรู้แล้วพี่สะใภ้”
หลังจากขับรถออกไปพักหนึ่ง พวกเขาก็เริ่มห่างจากใจกลางเมือง สภาพถนนกลายเป็นถนนลูกรังและมีโค้งหักศอกมากมายจนเซี่ยชิงหยวนเกือบจะอาเจียนอาหารเช้าออกมา
หลังจากไปถึงในที่สุด เซี่ยชิงหยวนก็พบว่าพวกเขาอยู่ริมทะเลสาบที่ล้อมรอบด้วยทุ่งหญ้ากว้าง มีวัวหลายตัวกำลังกินหญ้า และมีหมู่บ้านอยู่ไกลออกไป
เมื่อมาถึงก็มีกลุ่มคนอยู่ตรงนั้นแล้ว มีทั้งผ้าใบและผ้าปูพื้นอยู่บนพื้นหญ้า ของหลายอย่างวางอยู่บนนั้น มีเสียงชายหญิงพูดคุยกัน และเด็ก ๆ ที่กำลังเล่นสนุกกัน
เซี่ยชิงหยวนพาเสิ่นอี้หลินออกจากรถ ซึ่งเป็นภาพที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนอย่างรวดเร็ว
ในกลุ่มคนที่อยู่ในงาน คนรุ่นหนุ่มสาวได้แก่ ฉีจิ่นจือ ฉู่ซิงอวี่ เซี่ยจื่ออี้ ฉินซูอวี้ และมีหญิงสาวแปลกหน้ายืนอยู่ข้างพวกเขาด้วย
มีคนรุ่นผู้เฒ่าประมาณห้าหรือหกคนยืนห่างออกไป และพูดคุยกันโดยก้มหัวลง
เซี่ยชิงหยวนมองไปรอบ ๆ และพบว่าเซี่ยเจิ้งไม่อยู่ที่นั่น หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ
ฉีจิ่นจือเป็นคนแรกที่เห็นเซี่ยชิงหยวน
เขาเพียงแค่พยักหน้าให้และมองออกไป
ฉู่ซิงอวี่มองตามสายตาของฉีจิ่นจือ และเห็นเซี่ยชิงหยวนกับคนอื่น ๆ
เขาพูดว่า ‘ขอโทษ’ กับกลุ่มคนเพื่อขอตัว แล้วเดินไปหากลุ่มของเซี่ยชิงหยวน
ฉู่ซิงอวี่พยักหน้าและยิ้มให้ “เลขาธิการเสิ่น คุณนายเสิ่น อี้หลินน้อย”
เสิ่นอี้หลินร้องตะโกนออกมาอย่างไพเราะเช่นกัน “พี่ชายฉู่!”
หลังจากทักทายกันไม่กี่คำ เสิ่นอี้โจวก็ขอให้ฉู่ซิงอวี่ดูแลเสิ่นอี้หลิน ส่วนตัวเขาพาเซี่ยชิงหยวนไปหาฉีหยวนซานเพื่อทักทาย
ยกเว้นเผ่ยอิ่งและเฉินหลี่เท่านั้น ทุกคนที่เหลือล้วนมีทัศนคติที่ดีต่อเซี่ยชิงหยวน
เผ่ยอิ่งกำลังรู้สึกเจ็บปวดเพราะการสูญเสียลูกชาย ดังนั้นเธอจึงไม่มีอารมณ์จะยิ้มแย้มให้ใครทั้งนั้น
แต่เฉินหลี่โกรธมาก
เธอเหลือบมองไปในทิศทางของเสิ่นอี้หลินและพูดด้วยรอยยิ้ม “ฉันเพิ่งเห็นคุณนายเสิ่นนำเด็กชายคนหนึ่งลงจากรถมา ฉันก็คิดไปว่าเป็นคุณนายเสิ่นให้กำเนิดลูกชาย แต่พอย้อนคิดอีกที ฉันก็เพิ่งรู้ตัวว่าฉันเข้าใจผิดไปเอง”
ดวงตาของเธอจ้องมองไปยังหน้าท้องที่แบนราบเซี่ยชิงหยวน “ฉันลืมไป คุณนายเสิ่นและเลขาธิการเสิ่นแต่งงานกันมาเกือบสองปีแล้วก็จริง แต่ก็ยังไม่ได้ให้กำเนิดลูกเลยสินะคะเนี่ย”
————————————
บทที่ 325 เจ้าของร้านที่ดูเหมือนได้พบสมบัติ
บทที่ 325 เจ้าของร้านที่ดูเหมือนได้พบสมบัติ
อู๋ฟ่างจำได้ว่าเซี่ยชิงหยวนเคยพูดก่อนหน้านี้ ว่าเธอต้องการเช่าร้านสองร้านที่เชื่อมต่อกันหรือร้านเดี่ยวที่มีพื้นที่มากกว่า 70 ตารางเมตร ซึ่งเขาไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับมันเท่าไหร่
เขาขอให้ป้าอู๋เรียกหาเซี่ยชิงหยวน และคิดว่าเธอจะเช่าเพียงร้านเดียว
พอได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ร้านค้าทั้งสองนี้มีพื้นที่รวมกันมากกว่าเจ็ดสิบตารางเมตรเลยนะครับ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าและพูดว่า “ถูกต้อง และนี่ก็เป็นโอกาสที่ดีที่จะเช่ามันใช่ไหมล่ะ?”
“ร้านค้าสองร้านนี้อยู่ในทำเลที่ดีและคุ้มค่าเงิน แม้ค่าเช่าจะสูง แต่มันจะสามารถทำเงินกลับมาได้มากกว่าแน่นอน”
หลังจากฟังคำพูดของเซี่ยชิงหยวนแล้ว อู๋ฟ่างก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมเธอ
เขาพยักหน้าอย่างเร่งรีบและพูดว่า “ตกลงครับ ผมจะรีบไปคุยกับเจ้าของร้านให้”
เซี่ยชิงหยวนกับป้าอู๋เดินตามเข้าไป
เดิมทีเจ้าของร้านกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่จะสูญเสียรายได้ แต่เขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อได้ยินจากอู๋ฟ่างว่ามีคนต้องการเช่าร้าน
เมื่อเขาเห็นเซี่ยชิงหยวนเดินเข้ามาอย่างสง่างามตามด้วยป้าอู๋และหลินตงซิ่ว เขาก็คิดว่าเธอต้องเป็นภรรยาของครอบครัวที่ร่ำรวยแน่นอน
เขาถามด้วยรอยยิ้ม “ขอโทษนะครับ คุณผู้หญิงคือคนที่ต้องการเช่าร้านหรือเปล่าครับ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า
“ใช่ค่ะ ถ้าราคาเหมาะสม ฉันอยากจะเช่าร้านทั้งสองนี้พร้อมกันเลยค่ะ”
คำพูดใหญ่โตของเซี่ยชิงหยวนทำให้ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง
เช่าพร้อมกันสองร้าน!
เจ้าของร้านมีความสุขมากเมื่อได้ยินแบบนี้
“เรื่องราคาเราคุยกันได้ง่าย ๆ เลยครับ”
ในที่สุดสองสาวที่อยู่ด้านข้างก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากมีคนยินดีเช่าร้านนี้ ค่าเช่าที่จ่ายไปก็สามารถขอคืนจากเจ้าของร้านได้
เมื่อได้ยินสองคนเช่าเก่าถอนหายใจด้วยความโล่งอก เจ้าของร้านก็จ้องมองพวกเขาอย่างตำหนิทันที
ในสัญญาเขียนอย่างชัดเจนแล้วว่าจะต้องจ่ายค่าเช่าทุก ๆ สองเดือน และจะต่ออายุสัญญาเช่าโดยอัตโนมัติหลังจากหนึ่งปี
หากต้องการยกเลิกสัญญาเช่าก่อนกำหนด ต้องแจ้งให้เจ้าของร้านทราบล่วงหน้าหนึ่งเดือน
แต่คนพวกนี้กลับยกเลิกสัญญาเช่าแบบกะทันหัน แถมยังขอให้คืนค่าเช่าให้ในช่วงใกล้ปีใหม่ ทำแบบนี้แล้วเขาจะไปหาผู้เช่าใหม่ได้ทันจากที่ไหนกัน?
อีกแค่สองเดือนก็จะถึงตรุษจีนแล้วนะ!
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ทำไมเราไม่ไปหาที่เงียบ ๆ คุยกันล่ะคะ?”
เจ้าของร้านพยักหน้า “เชิญทางนี้ได้เลยครับ”
ทั้งสองเดินไปที่แคชเชียร์โดยรักษาระยะห่างจากคนอื่นสองหรือสามเมตร
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ฉันวางแผนที่จะเริ่มต้นธุรกิจเสื้อผ้า ฉันสามารถเซ็นสัญญาสามปีให้กับคุณได้เลยทันที ส่วนเงื่อนไขคือถ้าคุณต้องการบอกเลิกสัญญาเช่าของฉัน คุณต้องแจ้งมาก่อนล่วงหน้าสองเดือน ไม่อย่างนั้นไม่ใช่แค่คุณจะต้องคืนเงินค่าเช่าให้ฉันแล้ว คุณจะต้องจ่ายเงินค่าผิดสัญญาให้ฉันเพิ่มอีกเป็นมูลค่าเท่ากับค่าเช่าสามเดือนด้วยค่ะ”
ระยะเวลาสามปีเป็นแผนของเซี่ยชิงหยวนสำหรับธุรกิจเสื้อผ้าของเธอ
ในอีกสามปีข้างหน้า นอกจากธุรกิจร้านค้าที่เจริญรุ่งเรืองแล้ว เธอยังต้องใช้เงินที่ได้มาเปิดโรงงานเสื้อผ้าของเธอเองอีกด้วย
ใช่แล้ว เธอจะสร้างโรงงานเสื้อผ้าที่ผสมผสานทั้งการออกแบบ การผลิต และการขายเป็นของตัวเอง
ร้านค้าขนาดใหญ่เพียงแค่ให้เธอมีพื้นที่เพียงพอในการสร้างรายได้ก็เท่านั้น
เมื่อเจ้าของร้านได้ยินดังนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้น
นี่มันแตกต่างจากสองสะใภ้คนเช่าเก่าที่อยู่ข้าง ๆ พวกเขาอย่างสิ้นเชิงเลย!
ยิ่งไปกว่านั้น ทัศนคติของเซี่ยชิงหยวนในการเซ็นสัญญาเช่าสามปีถือเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ
ทำธุรกิจมีทั้งกำไรและขาดทุน ถ้าค้าขายไม่ดีเซี่ยชิงหยวนจะไม่เสียเงินเปล่าเหรอ?
แต่ถึงอย่างนั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องกังวล
“เอาละ นั่นไม่มีปัญหาอย่างแน่นอนครับ” เขาพยักหน้าซ้ำ ๆ และพูดว่า “ในแง่ของค่าเช่า ร้านเดียวคือสองพันห้าร้อยหยวน และห้าพันหยวนสำหรับสองร้านครับ”
หลังจากได้ยินราคานี้ เซี่ยชิงหยวนก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เถ้าแก่คะ พวกเราไม่ต้องเจรจาให้ยืดยาวดีกว่า สี่พันห้าร้อยหยวนสำหรับสองร้าน และจ่ายค่าเช่าทุก ๆ หกเดือนตกลงไหมคะ?”
ต้องบอกว่าเงื่อนไขของเซี่ยชิงหยวนนั้นค่อนข้างน่าสนใจ ในครึ่งปีเก็บเงินก้อนเดียวได้ตั้งเยอะ ย่อมดีกว่าต้องให้เขามาเก็บค่าเช่าทุกสองเดือนบ่อย ๆ แต่ค่าเช่าที่จะได้นั้นก็น้อยกว่าห้าร้อยหยวนต่อปีเช่นกัน เขาจึงไม่แน่ใจอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อเห็นว่าเจ้าของร้านไม่พูดอะไร เซี่ยชิงหยวนก็กล่าวต่อ “ตอนนี้มันใกล้จะถึงช่วงหยุดปีใหม่แล้ว คงมีคนไม่กี่คนที่ต้องการจะมาเช่าร้านต่อ หากคุณไม่สามารถหาคนเช่าได้ในช่วงนี้ ผลขาดทุนรวมของทั้งสองร้านซึ่งน่าจะเป็นเวลาประมาณสองเดือนก็คงจะถึงหลายร้อยหยวนเลยนะคะ”
เมื่อได้ยินคำแนะนำของเซี่ยชิงหยวน เจ้าของร้านก็เงยหน้าขึ้นและดูเหมือนจะตัดสินใจได้ “ตกลง! เพราะคุณจริงใจมากขนาดนี้ ดังนั้นผมจะให้คุณเช่า!”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณค่ะเถ้าแก่”
เจ้าของร้านถอนหายใจ “ผมชื่นชมคุณจริง ๆ คุณทั้งสวยและต่อรองเก่งมากเลย”
คำพูดของเขาไม่ใช่การดูถูกหรืออะไร แต่เพียงเพื่อแสดงว่าเขามองเธอผิดไปจริง ๆ
ท้ายที่สุดแล้วผู้หญิงที่ทั้งสวยและฉลาดนั้นหายาก
เซี่ยชิงหยวนยกยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นฉันขอให้เราร่วมมือกันอย่างมีความสุขนะคะ”
ทั้งคู่เป็นคนทำอะไรรวดเร็ว และพูดคุยเรื่องการเซ็นสัญญาทันที
เจ้าของร้านนึกถึงสองสาวคนเช่าเก่าที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วพูดว่า “ค่าเช่าที่คุณจ่ายมาก่อนหน้าจะคำนวณตามจำนวนวันในเดือนนี้ และส่วนเกินผมจะคืนให้พวกคุณ แต่ผมจะคำนวณหลังจากที่พวกคุณทำความสะอาดร้านเสร็จแล้วเท่านั้น จากนั้นค่อยคืนตามเวลาของ ณ วันนั้น พวกคุณมีปัญหาอะไรอีกไหม?”
สองสาวไม่กล้าออกความเห็น จึงรีบพูดทันทีว่า “วันนี้เราจะเก็บกวาดของกันทันที คุณสามารถตัดยอดเช่าวันนี้ได้เลยค่ะ”
เจ้าของร้านไม่เห็นด้วยในทันทีและมองไปรอบ ๆ ก่อนพูดว่า “นอกจากขนเสื้อผ้าออกไปแล้วยังมีขยะและสิ่งอื่น ๆ ที่พวกคุณยังต้องทำความสะอาดให้ด้วย ผมจะคืนเงินให้หลังจากที่พวกคุณทำความสะอาดจนเสร็จทั้งหมดแล้วเท่านั้น ตอนผมให้พวกคุณเช่าร้านเป็นยังไง พวกคุณก็ควรคืนร้านให้ผมในสภาพเดิมไม่ใช่เหรอ?”
“ดังนั้นถ้ารวมทำความสะอาดทั้งหมดแล้ว พรุ่งนี้มันก็น่าจะมีเวลามากพอนะ?”
เมื่อเจ้าของร้านพูดถึงเรื่องนี้ สองสาวก็แสดงสีหน้าไม่เต็มใจ
แต่ถ้าพวกเธอไม่ทำความสะอาด พวกเธอก็ไม่สามารถได้รับเงินคืนได้ ดังนั้นมันจึงเป็นเหมือนสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ชายคนหนึ่งลุกขึ้นยืน ไม่รู้ว่าเขาเป็นสามีของฝั่งไหน แต่เขาดูร้อนใจนิดหน่อย “ถ้าไม่ทันพรุ่งนี้ก็ช่างมัน ที่สำคัญคือเราจะทำให้เสร็จโดยเร็วที่สุดแล้วก็ไป”
หลังจากที่ชายคนนั้นพูดแบบนี้ สาวทั้งสองก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีกนอกจากตอบตกลง
จากนั้นเจ้าของร้านจึงพูดกับเซี่ยชิงหยวน “ไว้เรามาเซ็นสัญญากันอีกสามวันนับจากนี้กันเถอะครับ ผมจะทำความสะอาดร้านแล้วค่อยส่งร้านต่อให้กับคุณนะ”
เซี่ยชิงหยวนเฝ้าดูอย่างเงียบ ๆ จากด้านข้าง รู้สึกว่านิสัยการจัดการของเจ้าของร้านค่อนข้างเข้าตาเธอทีเดียว
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ หญิงสาวก็ยิ้มแล้วตอบ “ตกลงค่ะ”
วันนี้เธอไม่ได้นำเงินติดตัวมาด้วยมากนักเมื่อออกมาข้างนอก จึงพูดว่า “วันนี้ฉันรีบออกมาและไม่ได้เอาเงินมาด้วย เมื่อเราเซ็นสัญญากันในอีกสามวันหลังจากนี้ เงินค่อยจ่ายตอนนั้นได้ไหมคะ?”
เจ้าของร้านรู้ดีเช่นกันว่าเงินจำนวนมากเช่นนี้คงต้องใช้เวลารวบรวมสักพัก เขาจึงพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ งั้นเอาแบบนี้ไหม เรามาเซ็นสัญญากันวันนี้ไปก่อนเลยแล้วเรื่องเงินคุณค่อยจ่ายในวันรับมอบร้าน ซึ่งจะมีเขียนไว้ในสัญญาด้วยแบบนั้นไหมครับ?”
ในตอนท้ายของประโยค เขารู้สึกเขินอายนิดหน่อย
“ได้เลยค่ะ” เซี่ยชิงหยวนเห็นด้วยโดยไม่ลังเล
เจ้าของร้านกังวลว่าเธอจะเปลี่ยนใจ ทั้งยังกังวลว่าจะมีบางอย่างเปลี่ยนใจเซี่ยชิงหยวนภายในสามวันหลังจากนี้ด้วย
แต่เมื่อเขาเสนอแนะแบบนี้ เธอก็กระตือรือร้นที่จะทำอย่างนั้นโดยปริยายเช่นกัน
อันที่จริงสิ่งนี้ปลอดภัยสำหรับเธอกว่าด้วยซ้ำ
เจ้าของร้านยกย่องเซี่ยชิงหยวนอีกครั้งว่าเป็นคนคุยง่าย ส่วนอู๋ฟ่างก็มองและส่ายหัวอย่างลับ ๆ
เซี่ยชิงหยวนกำลังรอให้เจ้าของร้านพูดแบบนี้ชัด ๆ
หากเจ้าของร้านไม่ได้ทุ่มสมองให้กับสองสะใภ้คนเช่าเก่านี้มากนัก เขาคงไม่ถูกเซี่ยชิงหยวนหลอกได้ง่าย ๆ เช่นนี้
แต่เขาไม่พูดอะไรและก้าวไปข้างหน้าเพื่อยื่นปากกาสำหรับการเซ็นสัญญาให้กับเจ้าของร้านที่ดูเหมือนได้พบสมบัติแล้ว
เซี่ยชิงหยวนยืนเคียงข้างด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ
อู๋ฟ่างบังเอิญสบตาเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ และทันใดนั้นหัวใจก็เต้นรัว ชายหนุ่มจึงรีบก้มศีรษะลงเพราะกลัวว่าเซี่ยชิงหยวนจะมองเห็นสิ่งที่เขาเพิ่งคิดไป
