บทที่ 332 เธอจะไม่ยอมแพ้
บทที่ 332 เธอจะไม่ยอมแพ้
ผู้คนมากมายต่างก็เงียบลงเพราะคำพูดของเฉินหลี่
ฉินโย่วเหลียงดึงเฉินหลี่ทันที และพยายามห้ามปรามเธอ “คุณพูดไร้สาระอะไร! ขอโทษเลขาธิการเสิ่นและคุณนายเสิ่นเดี๋ยวนี้!”
ใบหน้าของเฉินหลี่กลายพลันน่าเกลียดทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินโย่วเหลียงทำให้เธออับอายต่อหน้าทุกคน
แน่นอนว่าคนที่หยิ่งยโสอย่างเธอ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะยอมขอโทษเซี่ยชิงหยวน
นอกจากนี้ฉีหยวนซานก็อยู่ด้วย เช่นเดียวกับผู้นำหลายคน ดังนั้นเสิ่นอี้โจวและภรรยาของเขาจะไม่มีวันกล่าวว่าร้ายเธอในที่สาธารณะแน่
เธอมีทัศนคติที่หยิ่งผยอง “ฉันแค่เข้าใจผิดและพูดติดตลกไปเท่านั้นเอง เลขาธิการเสิ่นและคุณนายเสิ่นคงไม่ใส่ใจมันหรอกค่ะ”
สีหน้าของเสิ่นอี้โจวยังไม่เปลี่ยนแปลง แต่ดวงตาของเขาเย็นชาทันที
“เรื่องตลกของคุณนายฉินอันนี้…ผมคิดว่ามันไม่ตลกสักนิดนะครับ!”
พอได้ยินการตอบโต้ของเสิ่นอี้โจว ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ก็ตกตะลึง “!”
เซี่ยชิงหยวนเดาะลิ้นของเธอเมื่อเห็นการแสดงที่ดีเช่นนี้
ปกติแล้วเสิ่นอี้โจวจะถ่อมตัวอยู่เสมอ สุภาพอ่อนโยนราวกับหยก แต่นั่นเป็นเพราะไม่มีใครกล้ามาย้อนเกล็ดเขาบ่อยนัก
คนในสำนักงานมณฑลอาจจะไม่รู้ แต่คนในศาลากลางเตียนเฉิงได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว
เซี่ยชิงหยวนคือเกล็ดย้อนของเสิ่นอี้โจว
ทันใดนั้นบรรยากาศก็ตึงเครียดทันตาเห็น
ฉีหยวนซานหัวเราะเสียงดัง “เลขาธิการเสิ่นกระตือรือร้นที่จะปกป้องภรรยาของเขามากจริง ๆ และเห็นด้วยเช่นกันว่าเรื่องนี้มันไม่ตลกเลย”
เขาเหลือบมองไปยังเฉินหลี่ “คุณนายฉินต้องทำงานในโรงพยาบาลทุกวัน เธออาจจะยุ่งเกินไปและความคิดสับสนไปหน่อยน่ะ”
ดูเผิน ๆ เหมือนเขาทำหน้าที่เป็นผู้สร้างสันติให้กับทั้งสองครอบครัว แต่จริง ๆ แล้วเขากำลังเอนเอียงไปทางเสิ่นอี้โจวและเซี่ยชิงหยวนมากกว่า
ทัศนคติของฉีหยวนซานที่มีต่อเสิ่นอี้โจวนั้นชัดเจนในทันที
ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับฉินโย่วเหลียงซึ่งเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเล็ก ๆ มาตลอดชีวิต เสิ่นอี้โจวที่อายุน้อยและมีความสามารถมากนั้นคู่ควรกับการได้รับการสนับสนุนจากเขามากกว่า
ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่าฉีจิ่นจืออาจสนใจฉินซูอวี้ เขาจะเชิญคนระดับฉินโย่วเหลียงมาได้ยังไง?
แน่นอนว่าผู้คนที่ชนชั้นแตกต่างกันย่อมไม่ได้รับความสนใจอยู่แล้ว
หลังจากได้ยินคำพูดของฉีหยวนซาน ฉินโย่วเหลียงและภรรยาของเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป
ฉินโย่วเหลียงจ้องเขม็งไปยังเฉินหลี่อย่างดุเดือด ในขณะที่เฉินหลี่หันสายตาไปทางเซี่ยชิงหยวนด้วยความโกรธเคือง
การแสดงออกของเซี่ยชิงหยวนยังคงเฉยเมย และเธอก็มองอีกฝ่ายด้วยความดูถูก หญิงสาวเปิดปากเบา ๆ และพูดสองคำแบบไร้เสียง
‘หน้าโง่’
เฉินหลี่โกรธมากและต้องการก้าวเข้าไปหาเซี่ยชิงหยวนเพื่อเอาเรื่องทันที
ฉินโย่วเหลียงรีบดึงภรรยาออกไป และตะโกนด่าทอใส่ “คุณยังทำตัวอับอายไม่พออีกเหรอหะ!”
เมื่อเผชิญหน้ากับใบหน้าที่เดือดดาลของสามี เฉินหลี่ก็สะบัดมือของเขาออก พลางพ่นลมหายใจแล้วเดินจากไปเพียงลำพัง
ฉินโย่วเหลียงถูกทิ้งให้ยืนอยู่คนเดียว เขาหันมายิ้มและขอโทษเซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจว
เซี่ยชิงหยวนเพียงยิ้มตอบเท่านั้น และไม่พูดอะไร
ส่วนเสิ่นอี้โจวล้วงมือข้างหนึ่งไว้ในกระเป๋ากางเกง และเพียงพยักหน้าเบา ๆ รับคำขอโทษเท่านั้น
สิ่งนี้ทำให้ฉินโย่วเหลียงรู้สึกอับอายยิ่งกว่าเดิม
เสิ่นอี้โจวนั้นเป็นรุ่นน้อง แต่กลับแสดงออกอย่างไม่แยแส และไม่เห็แก่หน้าของเขาเลย
ต่อให้เสิ่นอี้โจวจะถูกเรียกว่าเป็นเลขาธิการแล้ว แต่ก็ยังต้องรอจนกว่าหยวนหงหลี่จะลงจากตำแหน่งในปีหน้า
ใครจะรับประกันได้ว่าในระหว่างนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ?
ด้วยความคิดเหล่านี้ในใจ ดวงตาของฉินโย่วเหลียงจึงมืดลง
ฉีหยวนซานกับอีกสองสามคนแสร้งทำเป็นไม่เห็นคลื่นใต้น้ำนี้และพูดว่า “ตอนนี้ทุกคนก็อยู่ที่นี่แล้ว เราไปเดินดูรอบ ๆ กันดีกว่า”
ฉีหยวนซานเปิดปากพูด และทุกคนก็เห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียง
เขาเรียกคนหนุ่มสาวและเด็ก ๆ ที่เล่นอยู่ไม่ไกล แล้วเดินไปสำรวจบริเวณรอบ ๆ ด้วยกัน
…
ตอนนี้เป็นช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ข้าวในนาก็เก็บเกี่ยวแล้ว เหลือเพียงตอข้าวเท่านั้น
วัวควายกำลังเล็มหญ้าอยู่ริมทุ่ง ไก่และเป็ดกำลังคุ้ยหาอาหารในนาข้าว เป็นภาพที่ดูสดชื่นมาก
เมื่อเดินต่อไปตามไหล่เขาจะมองเห็นร่องรอยของสันทุ่ง
อันที่จริงในบางพื้นที่ของมณฑลยูนนานมีการปลูกข้าวบนภูเขา ข้าวประเภทนี้ใช้น้ำน้อยมากและชาวบ้านเรียกว่าหุบเขาแห้ง
วันนี้เซี่ยชิงหยวนแต่งตัวสบาย ๆ
กางเกงยีน เสื้อกันลมสีอ่อน และรองเท้าผ้าใบส้นแบนคู่หนึ่ง
เธอไม่รู้สึกถึงความยากลำบากในการเดินตามหลังพวกเขาเลย
เมื่อเทียบกับเซี่ยชิงหยวนแล้ว ฉินซูอวี้และเซี่ยจื่ออี้รู้สึกลำบากลำบนกว่ามาก
ทั้งคู่สวมรองเท้าที่มีส้น โดยเฉพาะของฉินซูอวี้ที่ใส่ส้นแหลมและสูง 4-5 เซนติเมตร อีกทั้งพวกเธอยังสวมกระโปรงยาวด้วย ทำให้การเดินบนทางขรุขระยากลำบาก
ในตอนแรกเซี่ยจื่ออี้และฉินซูอวี้ช่วยกันเดิน แต่ต่อมาใบหน้าของพวกเธอดูเหมือนกำลังจะร้องไห้
เดิมทีฉู่ซิงอวี่ถูกเซี่ยจื่ออี้ดึงให้มาช่วยประคองด้วย แต่ต่อมาเมื่อเห็นทั้งสองสาวแสดงท่าทีเช่นนี้ เขาก็ไม่รู้จะช่วยยังไงอีก
เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ และชะลอความเร็วลงอย่างเงียบ ๆ พลางเดินไปพร้อมกับหลิงหลิน ซึ่งอยู่ข้างหลังพวกเขาหนึ่งก้าว
หลิงหลินซึ่งมีผมสั้นถึงหูและมีคิ้วที่คมกริบ เธอมองดูฉินซูอวี้และเซี่ยจื่ออี้ด้วยความรังเกียจ
เธอเตะหญ้าตรงหน้าด้วยรองเท้าหนังแหลมแล้วกระซิบกับฉู่ซิงอวี่ว่า “พี่นี่เป็นคนใจเย็นจริง ๆ นะสามารถอยู่กับพวกเธอได้ด้วยเนี่ย”
หลิงหลินเป็นน้องสาวของหลิงเยี่ย วันนี้เขาไม่ว่าง ตระกูลหลิงจึงส่งเธอมาแทน
ฉู่ซิงอวี่ถอนหายใจอีกครั้ง “พ่อของพี่และพวกคุณลุงเป็นเพื่อนร่วมงานกัน พี่ขอให้เธอมองข้ามซูอวี้ไปก่อน คงไม่ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเรามีปัญหาใช่ไหม?”
เขาหยุดชั่วคราว “ซูอวี้กำลังอารมณ์ไม่ดี เอาเป็นว่าวันนี้เธออยู่กับพี่หรือจะไปคุยกับคุณนายเสิ่นก็ได้ เธอกับคุณนายเสิ่นน่าจะเข้ากันได้ดีนะ”
หลิงหลินไม่ค่อยถูกกับฉินซูอวี้และเซี่ยจื่ออี้ตั้งแต่สมัยเด็กแล้ว โดยเฉพาะฉินซูอวี้ ซึ่งเธอมักจะทะเลาะกับอีกฝ่ายทุกครั้งที่พบกัน
ดังนั้นเมื่ออายุมากขึ้น พวกเธอก็แทบจะไม่ปรากฏตัวพร้อมกันเลย หายากจริง ๆ ที่จะได้มางานเลี้ยงร่วมกันแบบวันนี้
หลิงหลินอยากจะบอกว่าไม่ได้กลัวฉินซูอวี้
แต่ในขณะที่กำลังจะพูด เธอก็ชำเลืองมองชายร่างผอมที่อยู่ถัดจากฉินซูอวี้จากหางตา หญิงสาวส่ายหัวและไม่พูดอะไรอีก
ฉีจิ่นจือเดินมาจากด้านหลัง เมื่อหญิงสาวคนอื่นต้องการคุยกับเขา ทัศนคติของเขาคือไม่แยแสและไม่กระตือรือร้นเลย ซึ่งมันทำให้พวกผู้หญิงที่หน้าบางมากเหล่านั้นทำใจไม่ได้และวิ่งหนีไป
เขาหัวเราะเยาะตัวเองและอมหญ้าหางม้าไว้ในปาก ราวกับว่ามันเป็นแค่ฉากตลกเล็ก ๆ
เซี่ยจื่ออี้สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของฉู่ซิงอวี่ แต่ตอนนี้มีทั้งคนที่อยู่ข้างหน้าและข้างหลังเธอ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะหันกลับไปและเรียกหาเขา
เธอทำได้เพียงกัดฟันกรอดแล้วมองไปยังเสิ่นอี้โจวที่กำลังช่วยประคองเซี่ยชิงหยวนตรงหน้าด้วยดวงตาสีแดงก่ำ
ถ้ารู้ว่าการออกมานอกบ้านในวันนี้จะเป็นแบบนี้ เธอจะไม่แต่งตัวแบบนี้แน่นอน
เธอยังคงรู้สึกไม่สบายใจเมื่อนึกถึงเซี่ยเจิ้งที่มองตัวเองด้วยแววตาผิดหวังก่อนออกมาข้างนอกเมื่อเช้านี้
ยิ่งไปกว่านั้น ในวันนี้ฉีจิ่นจือเปลี่ยนนิสัยเดิมที่เย็นชาของเขา และเริ่มพูดทักทายสองสามคำกับฉินซูอวี้เป็นครั้งแรก ทำให้ฉินซูอวี้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่และหัวเราะคิกคัก
เหตุการณ์แล้วเหตุการณ์เล่าทำให้ดวงตาของเธอค่อย ๆ เย็นชามากขึ้น
เส้นทางที่เธอเลือกขัดกับความปรารถนาของเซี่ยเจิ้ง แต่ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดเธอก็จะกัดฟันเดินต่อไป
เธอจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ และจะไม่ยอมให้ตัวเธอพ่ายแพ้ด้วย
เมื่อเปรียบเทียบกับความยากลำบากของเซี่ยจื่ออี้และฉินซูอวี้ เซี่ยชิงหยวนเหมือนกับกำลังเดินบนพื้นราบ
เธออาศัยอยู่ในชนบทมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะสวมรองเท้าหรือเท้าเปล่า หญิงสาวก็เคยเดินทางที่ยากลำบากแบบนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว แถมเธอยังรู้สึกเคยชินเสียด้วยซ้ำ
เสิ่นอี้หลินดึงหญ้าหางสุนัขไปตลอดทาง และในกำมือก็มีหญ้ากำเล็ก ๆ แล้ว
ขณะที่เดินผ่านพุ่มไม้เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เสิ่นอี้หลินก็ค้นพบดอกตูมของพืช
กิ่งและใบของมันดูคล้ายกับดอกกุหลาบมาก มีหนามเล็ก ๆ บ้าง แต่มีความแข็งแรงกว่า โดยเฉพาะหน่อที่ยาวและสวยงาม
เมื่อหยิบหน่อตรงปลายออก ฉีกเปลือกชั้นนอกแล้วจะเจอก้านด้านใน ซึ่งกินได้
มันมีรสหวานจาง ๆ ถึงจะไม่อร่อยนัก แต่เป็นความทรงจำของเด็ก ๆ ในชนบท
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ยิ้มและพูดว่า “ที่นี่เองก็มีด้วยแฮะ”
เธอลูบศีรษะของเสิ่นอี้หลิน “ถ้านายอยากกินก็เด็ดกินได้เลยนะ”
หลังจากนั้นเธอและเสิ่นอี้โจวก็ยืนขึ้น แล้วเดินหลบไปข้างหน้าอีกหน่อยเพื่อให้คนข้างหลังเดินผ่านไปได้
หลังจากได้รับการอนุญาตจากเซี่ยชิงหยวนแล้ว เสิ่นอี้หลินก็รีบเด็ดพวกมันขึ้นมา
เขาต้องการเด็ดมาสามอัน คนละอันสำหรับพี่ชาย พี่สะใภ้ และตัวเขาเอง
อ้อและพี่ฉู่ ให้เขาอันหนึ่งด้วย
เมื่อเซี่ยจื่ออี้ช่วยฉินซูอวี้กำลังเดินผ่านไป เธอพลันเห็นเสิ่นอี้หลินที่ดูไร้เดียงสา จากนั้นดวงตาของเธอก็สว่างวาบ
เสิ่นอี้หลินกำลังดึงดอกตูมที่สูงที่สุด เขายืนเขย่งเท้า และใช้แรงหักดอกตูม เมื่อดึงมาได้ก็ถอยหลังกลับ
ในขณะเดียวกันนี้ เซี่ยจื่ออี้และอีกสองคนได้เดินเข้ามาอยู่ด้านหลังของเสิ่นอี้หลินพอดี
เด็กชายก้าวถอยหลังและชนกับเซี่ยจื่ออี้อย่างจัง
เซี่ยจื่ออี้อุทาน “ว้าย” และล้มไปทางฉินซูอวี้
ฉินซูอวี้กำลังเดินอยู่ริมด้านนอก และอีกด้านหนึ่งคือทุ่งนาที่ข้าวถูกเก็บแล้ว เธอโซเซเพราะสวมรองเท้าส้นสูง และเมื่อไม่ทันระวัง ทั้งร่างของเธอจึงเสียสมดุลทันที
“กรี๊ดด!” เธอร้องอุทาน พยายามจับเซี่ยจื่ออี้โดยไม่รู้ตัว
เซี่ยจื่ออี้ยื่นมือออกไปหาเธอราวกับจะช่วยจับไว้ “ซูอวี้ ระวัง!”
ทว่าด้วยเหตุผลบางอย่าง ปลายนิ้วของพวกเธอสัมผัสได้เพียงอากาศเท่านั้น และคลาดกันไป
จากนั้นก็มีเสียงอู้อี้ดังขึ้น และฉินซูอวี้ก็ล้มลงหงายหลังบนนาข้าว
บทที่ 326 เสี่ยวโจวเอ๋อเข้าใจไหม?
บทที่ 326 เสี่ยวโจวเอ๋อเข้าใจไหม?
เมื่อเสิ่นอี้โจวกลับมาจากการเข้าสังคมในตอนเย็น เซี่ยชิงหยวนก็กำลังนอนอยู่บนเตียง มองสมุดบัญชีที่อยู่ตรงหน้าพลางพึมพำอะไรบางอย่างในปากของเธอ จากนั้นมือข้างหนึ่งก็จับผมยาวแล้วส่งเสียงไม่พอใจในลำคอ
เสียงของเสิ่นอี้โจวปิดประตูทำให้เซี่ยชิงหยวนตกใจ เสียงในลำคอของเธอหยุดทันที และไม่รู้ว่าควรทำต่อดีไหม
เมื่อเห็นเธอแบบนี้ เสิ่นอี้โจวก็อดไม่ได้ที่คิดว่าช่างน่าสนใจ
เขาปลดกระดุมปกเสื้อ ขยับคอเสื้อแล้วเดินเข้าหาภรรยา “เกิดอะไรขึ้น? มีอะไรที่ทำให้คุณ…อารมณ์ไม่ดีเหรอ?”
เขาแก้ไขคำพูดเพื่อทำให้เซี่ยชิงหยวนเขินอายน้อยลง
เซี่ยชิงหยวนชี้ไปยังบัญชีที่เธอเพิ่งคำนวณเสร็จ และเม้มริมฝีปาก “เงินฉันจะหมดแล้ว”
เสิ่นอี้โจวหยิบมันขึ้นมาแล้วมองดู หน้าอันเคร่งขรึมของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “คุณได้ร้านที่ต้องการแล้วเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ใช่”
จากนั้นเซี่ยชิงหยวนก็ขมวดคิ้วด้วยสีหน้าลำบากใจ “แต่ค่าเช่าอย่างเดียวก็ทำให้ฉันใช้จ่ายหลายพันแล้วเนี่ย”
เธอพูดด้วยความหงุดหงิด “เดี๋ยวพอฉันรวยเมื่อไหร่ ฉันจะซื้อร้านค้าพวกนี้ทั้งหมดเลย”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “นั่นเป็นความคิดที่ดีนะ หากเงื่อนไขเอื้ออำนวย ก็เป็นไปได้ที่จะสร้างบ้านใกล้ใจกลางเมืองหลวงด้วย”
เซี่ยชิงหยวนยกนิ้วให้เสิ่นอี้โจว “คุณมีเป้าหมายที่ดีมากนะ”
เสิ่นอี้โจวยิ้มอีกครั้ง “นี่ไม่ใช่วิธีแบบเดียวกับการหาเงินของคุณเหรอ?”
ระบบจัดสรรที่อยู่อาศัยแบบสวัสดิการเดิมที่แทบไม่มีค่าเช่าเลย ตอนนี้เริ่มไม่สามารถตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยของคนสมัยใหม่ได้ ในช่วงทศวรรษ 1980 ประเทศได้ออกนโยบายเพื่อให้ชาวเมืองสามารถซื้อบ้านได้
เมื่อเทียบกับมณฑลอื่น ๆ ในประเทศจีน ปัญหาที่อยู่อาศัยในมณฑลยูนนานค่อนข้างตึงเครียดน้อยกว่า ตราบใดที่คุณมีแนวคิดในเรื่องนี้ คุณจะซื้ออสังหาริมทรัพย์ในทำเลที่มีค่ามากขึ้นได้
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “เป็นเรื่องดีที่จะซื้อไว้สักสองสามที่แล้วเก็บไว้นะ”
น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยอยู่ในวงการอสังหาริมทรัพย์มาก่อน ไม่อย่างนั้นเธออาจได้รับโชคลาภจากการอยู่เหนือสายลมฤดูใบไม้ผลินี้ก็ได้
เธอยื่นมือไปทางเสิ่นอี้โจว “แต่ฉันไม่มีเงินน่ะสิ”
ทองคำแท่งที่เธอนำออกมาจากหมู่บ้านซีสุ่ยยังคงถูกเก็บไว้ในธนาคาร ต่อมาเธอกับอาเซียงขายเสื้อผ้าบางส่วนและมีเงินทั้งหมดหนึ่งหมื่นแปดพันหยวน
ล่าสุดเธอเพิ่งเช่าร้านและใช้เงินไปประมาณสี่พันหยวน
ยิ่งไปกว่านั้น การตกแต่งและการซื้อสินค้าหลังจากนั้นก็เป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมด
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “ผมมีเงินอยู่กับตัวสองพันหยวน พรุ่งนี้ผมจะให้คุณนะ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เซี่ยชิงหยวนก็เบิกตากว้าง “คุณมีเงินมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ?”
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “เพราะเรื่องฝูเถียนที่เกิดล่าสุดยังไงล่ะ ผมได้เงินพิเศษจากผลงานที่จ่ายโดยเบื้องบน และมันก็รวมกับเงินเก็บของผมที่ได้มาจากเงินเดือนตามปกติ ก็แค่นั้นแหละ”
เซี่ยชิงหยวนมีความสุขมาก “เลขาธิการเสิ่นเก็บเงินนั้นไว้เป็นเงินเก็บของคุณเองเถอะค่ะ”
เสิ่นอี้โจวยิ้ม “คุณไม่ต้องการมันเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ตอนนี้ไม่จำเป็นหรอก ฉันแค่ถอนหายใจว่าในเพียงไม่กี่วันฉันก็ใช้เงินหมดไปเท่านี้แล้วน่ะ”
แต่ถึงยังไง เงินทั้งหมดนั้นก็คือเงินที่เธอได้มาจากการทำงานหนัก
ฝ่ามือใหญ่ของเสิ่นอี้โจวแตะบริเวญหลังสะโพกของเธอ ขณะที่เขาโน้มตัวเข้าหา เธอก็รู้สึกถึงสัมผัสเบา ๆ
ชุดนอนผ้าไหมที่เธอสวมนั้นเรียบลื่น ทั้งยังให้ความรู้สึกเย็นสบาย ซึ่งช่วยคลายความร้อนผ่าวบนฝ่ามือที่ของเขาได้ดี
ชายหนุ่มลูบปลายจมูกของเธอ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “คนรักเงินตัวน้อยของผม”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและปัดมือของเขาออกไป “ฉันมุ่งมั่นที่จะทำเงินให้ได้มากมายต่างหากล่ะ”
เธอลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วไปนั่งคุกเข่าบนเตียง จากนั้นยื่นมือออกไปข้างหน้า และพูดด้วยน้ำเสียงที่เกินจริง “ความทะเยอทะยานของฉันออกจะสูงส่ง ฉันจะมัวมายึดติดกับโลกใบเล็กนี้ได้ยังไง?”
เธอหันไปหาเสิ่นอี้โจวอีกครั้ง และใช้นิ้วเชยคางของเขาขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “เอาละ เสี่ยวโจวเอ๋อ เก็บดอกไม้และต้นไม้ของคุณทิ้งไปซะเถอะ อย่ามาทำให้ฉันต้องกังวลกับสิ่งที่ไม่จำเป็นพวกนี้ เข้าใจไหม?”
เสิ่นอี้โจวยืนขึ้นพร้อมกับการเคลื่อนไหวของเธอ และเซี่ยชิงหยวนก็เปลี่ยนจากการมองลงที่เขา เปลี่ยนเป็นเงยหน้ามองแทน
ถึงกระนั้น มันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับความดุดันขณะที่เธอพูดคำเหล่านี้
เขาไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับเธอเท่าไหร่นัก แต่ถึงอย่างนั้นก็พูดด้วยดวงตาที่ชวนค้นหา “ผมเข้าใจแล้วครับ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็พอใจอย่างมาก
เธอตบไหล่เสิ่นอี้โจวแล้วพูดว่า “จากนี้ไปฉันจะหาเงินมาเลี้ยงดูครอบครัว ส่วนคุณก็รับผิดชอบในเรื่องความสวยงามของตัวเองให้เป็นราวกับดอกไม้ไปนะ”
เสิ่นอี้โจวเลิกคิ้ว “สวย…งามราวกับดอกไม้?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ใช่”
จากนั้นเธอก็มองเสิ่นอี้โจวจากบนสู่ล่าง “คุณต้องสวยกว่าฉันสิ”
ทันทีที่เธอพูดจบ เสิ่นอี้โจวก็คว้าเอวของภรรยาแล้วดึงเข้ามาใกล้ทันที
ร่างกายของเธอชนเข้ากับหน้าอกอันแข็งแกร่งของเขา และถูกโอบกอดไว้ในอ้อมแขน
เซี่ยชิงหยวนไม่รู้ว่าทำไม จึงพยายามอยู่ครู่หนึ่งและเงยหน้าขึ้นมองเขา “หรือคุณคิดว่าตัวเองไม่สวย?”
ขณะที่เซี่ยชิงหยวนพยายามขัดขืน เสื้อนอนผ้าไหมที่เธอสวมก็ยุ่งเหยิงเผยให้เห็นเนินอกขาวด้านซ้าย
เธอรู้ตัวช้าไป เพราะตอนนี้เสิ่นอี้โจวกำลังมองดูอยู่ หญิงสาวจึงรีบดึงเสื้อขึ้นทันที “คุณกำลังทำอะไรเนี่ย?”
เสิ่นอี้โจวยังคงไม่พูดอะไรและอุ้มเธอขึ้นมา
เซี่ยชิงหยวนตกใจมากจนตบไหล่เขา “เสิ่นอี้โจว ปล่อยฉันลงไปเดี๋ยวนี้เลยนะ”
เขาอุ้มเธอไปที่ห้องน้ำ “ไปอาบน้ำกัน”
เซี่ยชิงหยวนตบหลังของเขา “ฉันอาบแล้ว ฉันสะอาดแล้ว!”
เสิ่นอี้โจว “ไม่เป็นไร อาบด้วยกันอีกรอบก็ได้”
…
ในตอนเช้า เสิ่นอี้โจวทิ้งคำพูดเอาไว้ว่า “คุณยังติดต่ออาจารย์ค่งเพื่อขอให้เขาไปตกแต่งร้านใหม่ตรงถนนหลินไห่ได้นะ เขาคือผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้ เขาเป็นคนที่เก่งและมีความรู้มากมายเลย”
เซี่ยชิงหยวนคลุมตัวด้วยผ้าห่มแล้วตอบว่า “อืม!”
เมื่อคืนกว่าเธอจะได้นอนก็ดึกมาก จนเช้านี้เธอแทบไม่อยากตื่นแล้วด้วยซ้ำ
พอเห็นว่าถึงเวลาไปทำงานแล้ว เสิ่นอี้โจวก็อดใจไม่ได้ที่จะดึงเธอขึ้นจากเตียง และจูบภรรยาแรง ๆ พร้อมพูดว่า “ผมไปทำงานก่อนนะ เจอกันเย็นนี้”
จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องนอนไป
เซี่ยชิงหยวนลุกขึ้นจากเตียงเมื่อได้ยินเสียงประตูปิด เธอนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งและดึงคอเสื้อลงให้เห็นช่วงด้านล่างคอ
ฮึ่ม! เจ้าคนบ้าเถื่อนนี่เริ่มเอาใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ฝากรอยใต้คอให้เธอซะชัดเชียว!
เมื่อนึกถึงความวุ่นวายในห้องน้ำเมื่อคืนนี้ และลายนิ้วมือจำนวนนับไม่ถ้วนที่กดกับหน้ากระจกที่ขึ้นฝ้าหนา เซี่ยชิงหยวนก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงก่ำ
เธอมองดูตัวเองในกระจก ผิวของเธอตอนนี้เป็นสีชมพู และดวงตาเต็มไปด้วยประกาย
ต้องยอมรับว่านี่เป็นผลงานจากยาจีนที่เธอและเสิ่นอี้โจวกินจริง ๆ
เธอตระหนักได้ว่าสภาพร่างกายของตัวเองเริ่มดีขึ้น และรู้สึกว่าทั้งเธอกับเสิ่นอี้โจวพร้อมแล้วทั้งทางร่างกายและจิตใจ
เธอหวังว่าจะตั้งท้องลูกของตัวเองในอนาคตอันใกล้นี้
หลังจากจัดการตัวเองเสร็จ หญิงสาวก็ลงไปชั้นล่างและนึกถึงเรื่องสำคัญที่ต้องถามป้าอู๋ได้ขึ้นมา
“ป้าอู๋คะ ร้านแม่สามีของฉันคงต้องการผู้ช่วย ฉันสงสัยว่าคุณพอจะแนะนำใครสักคนให้ได้ไหมคะ?”
ตอนอยู่ที่เตียนเฉิงเคยมีเจียงเพ่ยหลานอยู่ด้วย แต่ที่นี่หากเธอต้องการหาคนที่เหมาะสมในช่วงเวลาสั้น ๆ เธอคิดว่าไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าคำแนะนำของป้าอู๋แล้ว
อย่างน้อยจนถึงตอนนี้เธอก็พอใจกับทุกสิ่งที่ป้าอู๋ทำมาก
ป้าอู๋คิดสักพักแล้วพูดว่า “คุณนายคะ ฉันมีญาติห่าง ๆ คนหนึ่ง สามีของเธอจากไปนานแล้ว เหลือเพียงเธอและลูกสาวเท่านั้น หลายปีที่ผ่านมาเธอไม่ได้แต่งงานใหม่และทำงานรับจ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ ทั่วไปเพื่อหาเลี้ยงตัวเองและลูกสาวน่ะค่ะ”
ป้าอู๋กลัวว่าเซี่ยชิงหยวนจะกังวลเรื่องสถานะแม่ม่ายจึงพูดต่อ “แม้เราจะเป็นญาติห่าง ๆ กัน แต่ครอบครัวของเราก็ยังติดต่อกับเธออยู่บ้าง เธอเป็นผู้ช่วยที่ดีในการทำงาน เธอทนงานหนักได้ดีมากและปากปิดสนิทไว้ใจได้ ถ้าคุณนายเห็นว่าเหมาะสม ฉันจะเรียกเธอมาให้ดูตัวก่อนค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ยิ้มออกมา “ป้าอู๋อย่ากังวลไปเลยค่ะ ตั้งแต่ที่ฉันถาม ฉันก็เชื่อป้าอยู่แล้วค่ะ เอาแบบนี้ไหมคะ พรุ่งนี้ถ้าสะดวกก็ให้เธอไปที่ร้านตรงถนนคนเดิน แล้วฉันจะไปพบเธอที่นั่นค่ะ”
