กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี – บทที่ 333 หมายความว่ายังไง

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

บทที่ 333 หมายความว่ายังไง

บทที่ 333 หมายความว่ายังไง

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นกะทันหันจนไม่มีใครคาดคิด

คนที่เหลืออยู่ห่างไกลและทำได้เพียงเฝ้าดูฉินซูอวี้ตกลงไปในนาข้าวเท่านั้น

มีคนสองสามคนจากกลุ่มของฉีหยวนซานที่เดินอยู่ข้างหน้า เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงอุทานและหันกลับมา พวกเขาก็เห็นฉินซูอวี้นอนหงายหลังในนาข้าวแล้ว

เสิ่นอี้หลินมองย้อนกลับไป และตกใจมากจนไม่กล้าขยับตัว

เขาไปชนใครเข้าหรือเปล่า?

เด็กชายกลัวมากจนมองเซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวโดยไม่รู้ตัว

เซี่ยชิงหยวนรีบเก็บสีหน้าประหลาดใจ และยื่นมือไปทางเสิ่นอี้หลิน “มาหาพี่สะใภ้นี่มา”

เสิ่นอี้โจวขมวดคิ้วและพยักหน้าไปทางน้องชาย

ความกังวลและความกลัวส่วนใหญ่ของเสิ่นอี้หลินหายไปทันที เขาก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวแล้วโถมตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเซี่ยชิงหยวน

เซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวมองหน้ากัน และเสิ่นอี้โจวก็พูดว่า “ผมจะไปช่วยคนก่อนนะ”

เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “อื้ม”

นอกเหนือจากบุคคลที่เกี่ยวข้องแล้ว เธอและเสิ่นอี้โจวยังอยู่ใกล้ที่สุดด้วย

เมื่อกี้พวกเขากำลังพูดคุยและมองไปที่เสิ่นอี้หลิน แต่เมื่อเซี่ยจื่ออี้กับฉินซูอวี้บังเอิญผ่านมา ทั้งสองกลับมองไปทางอื่นพอดี

คลาดสายตาเพียงไม่กี่วินาที ก็มีเรื่องเกิดขึ้นซะแล้ว

แต่ทั้งคู่เชื่อใจเสิ่นอี้หลิน เขาไม่ใช่เด็กที่ประมาท

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนก็มืดลง

หรือว่าอีกฝ่ายมีความคิดที่ชั่วร้ายจนลามไปถึงเด็ก?

เมื่อฉินซูอวี้ตระหนักได้ถึงสถานการณ์ที่เกิด เธอก็นอนหงายอยู่ในดินนาข้าวแล้ว

เสื้อผ้าของเธอเปียกและเต็มไปด้วยดินโคลน

หญิงสาวพยายามดิ้นรนที่จะลุกขึ้นยืน แต่เมื่อลุกขึ้นได้แล้วก็พบว่าทั้งเท้าของเธอจมอยู่ในโคลนหนึบ จนไม่สามารถขยับได้

ฉินซูอวี้เกือบร้องไห้!

เซี่ยจื่ออี้ยืนอยู่บนคันนาด้วยสีหน้ากังวล พลางเอื้อมมือออกไปหาฉินซูอวี้เพื่อจะช่วยดึงออกมา “ซูอวี้ รอก่อนนะ ฉันจะดึงเธอขึ้นมาเอง”

เซี่ยชิงหยวนมองอย่างเย็นชาไปยังเซี่ยจื่ออี้ที่กำลังทำหน้าตากังวลอย่างหนัก แต่เธอก็ไม่ได้คิดที่จะช่วยเหลือฉินซูอวี้มากนัก

ในเวลานี้เสิ่นอี้โจวก้าวไปด้านข้างของเซี่ยจื่ออี้แล้ว ตามมาด้วยฉู่ซิงอวี่และคนอื่น ๆ ก็มาทางนี้เช่นกัน

เสิ่นอี้โจวโบกมือให้เซี่ยจื่ออี้หลีกทาง “ผมทำเอง”

ขณะที่พูดอย่างนั้น เขาก็โยนฟางแห้งที่ชาวบ้านตัดทิ้งไว้แถวนั้นลงไปในนา เหยียบมันแล้วยื่นมือไปทางฉินซูอวี้

ฉู่ซิงอวี่ยังเลียนแบบเสิ่นอี้โจว และเหยียบบนฟางแห้งเพื่อดึงฉินซูอวี้

นับตั้งแต่ช่วงเวลานั้นในเมืองเตียนเฉิง ฉินซูอวี้และเสิ่นอี้โจวไม่ได้พูดคุยกันอีกเลย

ฉินซูอวี้รู้สึกประหลาดใจระคนอับอาย กับการที่เสิ่นอี้โจวมาช่วยดึงเธอในเวลานี้ โดยไม่นึกสงสัยว่าทำไมเธอถึงตกน้ำ

สถานการณ์ปัจจุบันไม่อำนวยให้เธอคิดมากนัก หญิงสาวไม่ลังเลที่จะเอื้อมมือไปหาเสิ่นอี้โจวและฉู่ซิงอวี่

ชายทั้งสองจับมือของฉินซูอวี้ และช่วยกันดึงเธอออกจากโคลน

เฉินหลี่ก็รีบวิ่งมาเช่นกัน ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความวิตกกังวล “เกิดอะไรขึ้น?”

ฉินซูอวี้มองดูสภาพที่น่าอายของเธอแล้วตะโกน “แม่…”

ใบหน้าของเฉินหลี่แย่มาก เธอประคองฉินซูอวี้ไว้ในอ้อมแขน มองดูคนอื่น ๆ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ตั้งคำถาม “ทำไมซูอวี้ถึงตกลงไปในนาแบบนี้?”

“ป้าหลี่คะ ทั้งหมดมันเป็นความผิดของหนูเองค่ะ” เซี่ยจื่ออี้พูดขึ้น

เธอทำหน้าตาเหมือนคนทำผิด แต่กลับเหลือบมองไปทางเซี่ยชิงหยวนและพูดต่อ “เมื่อกี้หนูถูกชนจนเสียการทรงตัว ดังนั้นซูอวี้จึงตกลงไปในนาน่ะค่ะ”

ฉินซูอวี้เหลือบมองเซี่ยจื่ออี้อย่างเกลียดชัง จากนั้นฝังศีรษะให้อยู่ในอ้อมแขนของเฉินหลี่ พยายามกระตุกแขนเสื้อแม่ให้พาเธอออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

ในความคิดของเธอ ไม่ว่าใครจะชนเซี่ยจื่ออี้ แต่อีกฝ่ายก็เป็นคนที่ทำให้เธอตกลงไปในนาโดยตรง

หากเธอยังคงอยู่ที่นี่ต่อไปท่ามกลางความสนใจของทุกคน มันคงน่าอึดอัดเหมือนกับการถูกย่างบนกองไฟ

ทุกคนรอบ ๆ เห็นสายตาของเซี่ยจื่ออี้

พวกเขามองตามเซี่ยจื่ออี้ และสบตาไปที่เซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้หลินที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอ

เซี่ยชิงหยวนดูสงบมาก ในขณะที่เสิ่นอี้หลินดูหวาดกลัว ดังนั้นพวกเขาจึงเดาได้

แต่เฉินหลี่ไม่ได้คิดถึงปัญหาของฉินซูอวี้

เธอมุ่งความสนใจไปที่การทวงหาความยุติธรรมให้กับลูกสาวเท่านั้น “คุณนายเสิ่น คุณมีอะไรจะอธิบายไหม?”

คิ้วของเธอเลิกขึ้น และใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ มันเป็นการแสดงอย่างชัดเจนว่าเธอต้องการให้เซี่ยชิงหยวนรับผิดชอบ

เซี่ยชิงหยวนรู้สึกได้ว่าร่างกายของเสิ่นอี้หลินแข็งค้างไป

เธอตบปลอบเสิ่นอี้หลินเบา ๆ แล้วพูดว่า “คุณเซี่ยบอกอย่างชัดเจนแล้วนี่คะว่าเกิดอะไรขึ้น เธอคือคนที่ทำให้คุณฉินตกลงไปในนา”

เฉินหลี่ไม่คาดคิดเลยว่าเซี่ยชิงหยวนจะพูดเฉพาะส่วนที่เซี่ยจื่ออี้พูดออกมาเท่านั้น!

ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ก็ตกตะลึงเช่นกัน

คุณนายเสิ่นคิดจะหลบกระสุนแบบนี้เลยเหรอ?

คู่พ่อลูกฉีหยวนซานและฉีจิ่นจือมีท่าทีคล้ายกัน พวกเขาเฝ้าดูเซี่ยชิงหยวนด้วยความสนใจ

เฉินหลี่สำลักด้วยความโกรธกับคำพูดของเซี่ยชิงหยวน

เธอหายใจเข้าแล้วพูดว่า “คุณพูดตัดหัวตัดหางเรื่องราวแบบนี้ได้ยังไงคะ? จื่ออี้พูดอย่างชัดเจนว่าเธอถูกใครบางคนชน และนั่นทำให้เธอชนซูอวี้โดยบังเอิญ ดังนั้นเรื่องนี้ถือว่าไม่เกี่ยวข้องกับจื่ออี้อยู่แล้ว!”

ในมุมมองของเฉินหลี่ เซี่ยจื่ออี้คือคนที่อ่อนโยนและใจดี มีน้ำใจมากกว่าฉินซูอวี้ลูกสาวแท้ ๆ ของเธอด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าเธอไม่สงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่เซี่ยจื่ออี้พูดเลยสักนิด

และเธอก็เชื่ออย่างแน่วแน่ว่าเซี่ยจื่ออี้กับลูกสาวของเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน จนเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจงใจทำร้ายกันเองแบบนี้

เมื่อได้ยินสิ่งนี้เซี่ยชิงหยวนก็ยิ้มอย่างใจเย็น

เธอพูดเหน็บแนม “คุณนายฉินคะ ในเมื่อคุณเพิ่งพูดว่าคุณเซี่ยชนเข้ากับคุณฉินโดยไม่ได้ตั้งใจ หากเป็นกรณีแบบนี้แล้วสามารถบอกได้ว่าคุณเซี่ยไม่ได้ตั้งใจทำ แล้วทำไมคนที่ชนคุณเซี่ยโดยไม่ตั้งใจต้องถูกตำหนิด้วย? ในเมื่อทุกคนต่างก็ไม่ได้ตั้งใจกันทั้งนั้น การที่คุณนายฉินตำหนิเด็กแทนที่จะตำหนิผู้ใหญ่แบบนี้มันยุติธรรมเหรอคะ?”

หลังจากได้ยินคำพูดของเซี่ยชิงหยวน ทุกคนก็มองดูเฉินหลี่โดยไม่รู้ตัว

พวกเขาทั้งหมดเป็นแค่ผู้รับชม อย่างมากที่สุดหากเรื่องราวบานปลายเกินไปพวกเขาจะทำหน้าที่เป็นคนไกล่เกลี่ยทั้งสองฝ่ายเอง ทว่าการกระทำของเฉินหลี่นั้นดูจงใจพุ่งเป้าอย่างชัดเจนเกินไปจริง ๆ ซึ่งมันอยู่นอกเหนือความคาดหมายของทุกคน

เสิ่นอี้โจวก็พูดขึ้นเช่นกัน “น้องชายของผมยืนอยู่ข้างทาง กำลังเก็บดอกไม้และบังเอิญชนเข้ากับคุณเซี่ย ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น น้องชายของผมยังเด็กและไม่รู้ประสีประสา ในฐานะพี่ชายผมจะชดใช้แทนเขาให้เองครับ”

แม้ว่าเขาจะพูดแบบนี้ แต่ก็ไม่มีสีหน้าขอโทษเลย

หลังจากได้ยินคำพูดของเขา ทุกคนก็หรี่ตาลง

เสิ่นอี้หลินไม่ใช่เด็กร่างใหญ่หรือแข็งแรงมากนัก เด็กคนนี้จะมีแรงมากจนถึงขนาดกระแทกใครสักคนลงนาข้าวได้เลยเหรอ?

จากนั้นพวกเขานึกถึงชุดที่เซี่ยจื่ออี้กับฉินซูอวี้ใส่ในวันนี้ ดวงตาของพวกเขาจ้องมองไปยังร่างกายของพวกเธออยู่พักหนึ่ง และพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตลก

เฉินหลี่ไม่ได้โง่ขนาดนั้น เธอค่อย ๆ รู้สึกตัวหลังจากได้ยินคำพูดของเสิ่นอี้โจว

แต่การที่เธอสงสัยเซี่ยจื่ออี้ นั่นเป็นเรื่องยากมากที่จะยอมรับ

ยิ่งไปกว่านั้น เธอนึกถึงเหตุผลไม่ออกได้ว่าทำไมเซี่ยจื่ออี้ถึงทำแบบนี้

เซี่ยจื่ออี้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของเฉินหลี่และหลั่งน้ำตาก่อนที่จะพูดอะไร

เธอมองไปยังเสิ่นอี้โจวเหมือนว่าคับข้องใจอย่างยิ่งและพูดว่า “เลขาธิการเสิ่น คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไงคะ!”

————————————

บทที่ 327 น่าเสียดายที่ชายหนุ่มไม่มีความคิดก้าวหน้า

บทที่ 327 น่าเสียดายที่ชายหนุ่มไม่มีความคิดก้าวหน้า

หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนทำข้อตกลงกับป้าอู๋ เธอก็พาหลินตงซิ่วไปที่ตลาดสดหลังมื้อเช้า

ตอนนี้หลินตงซิ่วรู้จักถนนหนทางต่าง ๆ ตั้งแต่เขตที่พักอาศัยไปจนถึงตลาดสดและถนนคนเดิน รวมถึงจากถนนคนเดินไปจนถึงถนนหลินไห่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังไม่กล้าออกไปข้างนอกด้วยตัวเองอยู่ดี

แต่เมื่อไหร่ที่ร้านบนถนนหลินไห่เปิดอย่างเป็นทางการ เซี่ยชิงหยวนจะไม่สามารถดูแลหลินตงซิ่วได้ตลอดอีกต่อไป ดังนั้นหญิงสาวจึงใช้โอกาสที่ยังว่างนี้พาแม่สามีเดินให้ชินมากกว่าเดิม

เซี่ยชิงหยวนไปหาเจ้าของร้านคนเดิมกับที่ซื้อเครื่องในวัวเมื่อครั้งที่แล้ว

เครื่องในวัวที่ซื้อไปครั้งล่าสุดนั้นพอนำไปปรุงและชิมแล้วมันรสชาติดีมาก วันนี้เซี่ยชิงหยวนจึงตัดสินใจจะคุยเรื่องราคา หากได้ราคาที่เหมาะสม เธอก็จะสั่งจากเขาอีกในครั้งต่อไป

ตอนนี้ราคาเนื้อวัวโดยทั่วไปอยู่ที่หนึ่งหยวนเจ็ดเหมา ในขณะที่เนื้อแกะมีราคาแพงกว่าอยู่ที่หนึ่งหยวนแปดเหมา

เนื่องจากเครื่องในวัวนั้นเอามาทำอาหารยากกว่าเครื่องในหมู เนื่องจากมันมีกลิ่นที่แรงกว่า ดังนั้นราคาจึงถูกกว่า

หลังจากการต่อรองอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเซี่ยชิงหยวนก็ได้เครื่องในวัวมาในราคาหนึ่งหยวนต่อสิบจิน แต่ขั้นต่ำในการซื้อแต่ละครั้งจะต้องมีอย่างน้อยสามสิบจิน

สำหรับเนื้ออกวัว ราคาขายปลีกสำหรับเซี่ยชิงหยวนอยู่ที่หนึ่งหยวนหกเหมา แต่ถ้าซื้อจำนวนมากจะอยู่ที่หนึ่งหยวนสี่เหมา

ส่วนกระดูกเนื้อวัวที่ขูดเนื้อออกทั้งหมดแล้วจะมีราคาอยู่ที่จินละสามเหมา

ต้องบอกว่าต้นทุนในการทำอาหารเนื้อสัตว์นั้นสูงกว่าเมนูผักมาก

วันนี้เซี่ยชิงหยวนไม่ได้ซื้อเครื่องในกลับบ้าน แต่ซื้อเนื้อวัวหนักสองจินแทน

เธออยากลองทำลูกชิ้นเนื้อดู

ถ้าวัตถุดิบสด ต่อให้ต้มในน้ำเปล่าเฉย ๆ ก็อร่อยมาก สุดท้ายโรยด้วยขึ้นฉ่ายหรือผักชีสับละเอียดหนึ่งกำมือ และส่วนผสมที่สำคัญที่สุดคือ กระเทียมเจียว เพียงเท่านั้นซุปลูกชิ้นเนื้อก็เป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว

ตอนที่เจ้าของร้านชั่งน้ำหนักเนื้อให้เซี่ยชิงหยวนก็มีชายชราคนหนึ่งเดินมาอยู่ข้าง ๆ เธอ

ชายชราพูดกับเจ้าของร้าน “เถ้าแก่ คุณเหลือตัวเดียวอันเดียวเอาไว้ให้ฉันบ้างหรือเปล่า?”

ชายชราดูเหมือนจะอายุหกสิบเศษแล้ว แต่เขาดูจะยังมีสุขภาพดีอยู่เลย

เจ้าของร้านยิ้มแล้วพูดว่า “ผมเก็บไว้ให้คุณอยู่แล้ว”

ขณะที่เจ้าของร้านพูดอย่างนั้น เขาก็หยิบตัวเดียวอันเดียวที่ยาวที่สุดขึ้นมาบนเขียง ชั่งน้ำหนักแล้วใส่ลงในตะกร้าของชายชรา

ชายชรามองไปที่ตัวเดียวอันเดียววัวในตะกร้าอย่างพอใจมาก “ไว้อีกสองสามวันฉันจะมาใหม่นะ”

เจ้าของร้านพยักหน้าพลางยิ้มแย้ม “ตราบใดที่คุณต้องการก็แค่มาสั่งล่วงหน้าไว้ได้เลยครับ”

พอเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า เซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกประหลาดใจก่อนจะตอบสนองอย่างรวดเร็ว

เธอยืนเฉยโดยไม่พูดอะไร และมอบเงินให้เจ้าของร้านอย่างเงียบ ๆ

ในทางกลับกัน หลินตงซิ่วตกตะลึง

เธอคิดกับตัวเองว่าชายชราแก่มากขนาดนี้แล้วยังจะต้องการกินสิ่งนี้อีกต่อไปเพื่ออะไร? หรือว่าเขาคงซื้อให้ลูกชายกินใช่ไหม?

เจ้าของร้านเดาความคิดของสองแม่สามีและสะใภ้ได้จากสีหน้าของพวกเธอ

เขาหัวเราะและพูดว่า “อย่าดูถูกตัวเดียวอันเดียวของวัวนี้เด็ดขาดเชียวนะ มันมีประโยชน์มาก นอกเหนือจากการบำรุงไตและเสริมสร้างหยางอย่างที่ทุกคนรู้แล้ว จริง ๆ แล้วมันยังมีผลในการทำให้ใบหน้าอ่อนวัยและเสริมเลือดลมในร่างด้วยนะครับ”

เขายกคางขึ้นไปทางหลินตงซิ่วแล้วกล่าวว่า “เมื่อคนแก่อายุมากขึ้น พวกเขามักจะปวดหลังและขาอ่อนแรง การดื่มซุปตัวเดียวอันเดียวจะได้ผลดีมาก ตอนนี้เข้าสู่ฤดูหนาวอีกครั้งแล้ว ซึ่งเป็นเวลาดีที่จะกินอาหารเสริมแบบนี้นะครับ”

หลังจากฟังคำพูดของเจ้าของร้าน เซี่ยชิงหยวนก็นึกถึงหลินตงซิ่วทันที ที่พอฤดูหนาวมาถึงแม่สามีของเธอจะถูขาและเอว ซึ่งเห็นได้ชัดว่าขากับเอวของเธอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ซึ่งปัญหานี้ต้องเกี่ยวข้องกับการที่ไม่ได้พักฟื้นหลังคลอดอย่างดีเมื่อในอดีตแน่

เซี่ยชิงหยวนชี้ไปที่ตัวเดียวอันเดียวที่ยังอยู่ตรงหน้าเธอแล้วพูดว่า “เถ้าแก่คะ ฉันขอซื้ออันนี้ด้วยค่ะ”

เจ้าของร้านโบกมือ “อันนี้มีคนสั่งจองไว้แล้วน่ะ ที่ฉันวางไว้บนเขียงก็เพียงเพื่อให้คนอื่นรู้ว่าที่ร้านฉันมีขายมันเท่านั้นแหละ ถ้าเธอต้องการมัน งั้นพรุ่งนี้ฉันจะเก็บอันที่ใหญ่ที่สุดไว้ให้อย่างดีเลย”

เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ขอบคุณค่ะเถ้าแก่”

ลูกสะใภ้ของเธออยากทำซุปให้ตัวเองดื่ม คิดแล้วหลินตงซิ่วก็รู้สึกอบอุ่นในใจ

แต่ทันทีที่เธอพูดจบก็มีเสียงไออยู่ข้างหลัง

เสียงที่คุ้นเคยทำให้หัวใจของเซี่ยชิงหยวนกระตุกวูบ

หญิงสาวหันกลับไปอย่างกระอักกระอ่วน และแน่นอนว่ามันคือฉีจิ่นจือที่กำลังไอแรงมากจนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้

เขาเป็นคนผิวขาวอยู่แล้ว และเมื่อไอ แก้มของเขาเปลี่ยนเป็นสีชมพูจาง ๆ และดวงตาที่สุกสว่างก็เปื้อนไปด้วยน้ำตาที่เล็ดออกมา ทำให้ดูเป็นประกายมากยิ่งขึ้น

เซี่ยชิงหยวน “…”

เธอไม่รู้ว่าเขาได้ยินมากแค่ไหน

ให้ตายสิ ขอให้เขาได้ฟังตั้งแต่ต้นด้วยเถอะ!

เธอจะไม่ว่าเลยถ้าเขาได้ยินตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะความหมายเบื้องหลังการซื้อตัวเดียวอันเดียวให้แม่สามีและของผู้ชายของตัวเองนั้นแตกต่างกันมาก

เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมา

เธอไม่มีความกล้าพอที่จะรอให้ฉีจิ่นจือไอจนเสร็จแล้วค่อยเดินเข้ามาตรวจสอบสิ่งที่เขาได้ยินหรอกนะ

เธอบอกตัวเองว่าในเมื่อไม่สนิทกับเขาอยู่แล้ว ก็จะไม่สนใจว่าเขาคิดอย่างไร ดังนั้นหญิงสาวจึงหันหน้ากลับไปพลางดึงหลินตงซิ่วเข้ามาใกล้อย่างเงียบ ๆ และส่งสัญญาณให้รีบออกไปพร้อมกัน

ในขณะเดียวกันนี้ เพื่อนร่วมงานที่อยู่กับฉีจิ่นจือพูดว่า “พี่ฉี นี่ไม่ใช่ผู้หญิงที่เตะคุณวันนั้นเหรอ?”

คนที่อยู่ข้าง ๆ เขาอีกคนพูดว่า “ใช่ ดูเหมือนว่าจะเป็นเธอนะ”

เซี่ยชิงหยวนพูดไม่ออก “…”

ตอนนี้เซี่ยชิงหยวนไม่สามารถแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินได้อีกแล้ว เธอหันกลับมาและยิ้มอย่างขอโทษที่ฉีจิ่นจือ “ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริง ๆ นะคะ”

ฉีจิ่นจือเพิ่งหยุดไอ เขาเอามือปิดปากพลางใส่ผ้าเช็ดหน้าลงในกระเป๋ากางเกง ยืนตัวตรงและยกขนตาขึ้น มองไปที่เซี่ยชิงหยวนแล้วพยักหน้า “ใช่ครับ”

สายตาของเขาดูไร้อารมณ์มาก และการแสดงออกของเขาก็เฉยเมยเช่นกัน

เซี่ยชิงหยวนจ้องมองดวงตาเพื่อนร่วมงานของเขาที่อยู่ข้างหลัง และรอคำพูดต่อไป

ไม่ว่าจะเป็นการเยาะเย้ยหรือการเสียดสี เธอก็จะยอมรับมันแต่โดยดี

แต่เขาดันหันกลับไป ชกไหล่เพื่อนร่วมงานที่อยู่ข้างหลังเบา ๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ไปกันเถอะ นายไม่ได้บอกว่าอยากไปดื่มรึไง?”

จากนั้นเขาก็เดินผ่านเซี่ยชิงหยวน ไป

เมื่อคนที่เหลือเห็นสิ่งนี้ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกและรีบตามไปเช่นกัน

เซี่ยชิงหยวนมองไปยังแผ่นหลังของชายหนุ่ม และด้วยเหตุผลบางอย่าง เธอมองเห็นความเหงาในความเฉยเมยของเขา

ราวกับว่าเขาอยู่บนถนนที่พลุกพล่านที่สุด รายล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย แต่เขาก็ยังอยู่อย่างโดดเดี่ยว

หลินตงซิ่วก็เข้ามาและพูดว่า “ชิงหยวน ชายหนุ่มคนนั้นคือคนที่เราพบที่นี่ในวันนั้นหรือเปล่า?”

เซี่ยชิงหยวนเรียกสติของเธอกลับคืนและพยักหน้า “เป็นเขาค่ะ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ หลินตงซิ่วก็ถอนหายใจ “น่าเสียดายนะ ชายหนุ่มที่หล่อเหลาเช่นนี้กลับไม่ยอมทำงานหนักเพื่อให้เจริญก้าวหน้า”

เซี่ยชิงหยวนมองดูหลินตงซิ่วด้วยความสับสน

หลินตงซิ่วพูดว่า “ก็พวกเขาบอกว่าจะไปดื่มนี่”

เธอลดเสียงลง “ยังหัววันอยู่เลย แถมพวกเขาสวมเครื่องแบบด้วย พวกเขาน่าจะทำงานอยู่ไม่ใช่เหรอ? ลูกว่าไหมว่าถ้าพวกเขาถูกพบ พวกเขาจะต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์แน่ ๆ”

เซี่ยชิงหยวนคิดกับตัวเอง ไม่เพียงแต่ฉีจิ่นจือจะถูกวิพากษ์วิจารณ์เท่านั้น แต่ผลที่ตามมายังร้ายแรงยิ่งกว่านั้นอีกมากด้วย

แต่ไม่ว่าจะยังไง ฉีจิ่นจือก็ได้รับการสนับสนุนจากฉีหยวนซาน ดังนั้นสุดท้ายแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรนี่นะ

เธอเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเสิ่นอี้โจวเคยเล่าให้เธอฟังว่า ลูกชายของฉีหยวนซานผู้มีเกียรติถูกมอบตำแหน่งให้มาดูแลความปลอดภัยของตลาดเนี่ยนะ?

ในเวลานั้น เธอคิดว่าฉีหยวนซานมีความคิดว่าอย่างน้อยลูกชายของตัวเองก็ควรได้อยู่ในตำแหน่งที่เป็นหัวหน้าคนสักหน่อย

แต่ในเวลานั้น เสิ่นอี้โจวพูดออกมาเพียงประโยคเดียว “ผมเกรงว่ามันจะเป็นความคิดของนายน้อยฉีคนนั้นเองมากกว่านะ”

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

Status: Ongoing
หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ประสบอุบัติตุจนเสียชีวิต และเธอก็ได้ย้อนไปตอนที่เธออายุ 21 ปี …ลับมาครั้งนี้เธอจะไม่ยอมหย่ากับเสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธออีกเด็ดขาด! หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ช่วยเด็กชายคนหนึ่งเอาไว้จนประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ปีแล้วปีเล่าผ่านไป เสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธอก็มักจะมายี่ยมหลุมศพของเธอประจำ เธอในร่างวิญญาณออกปากไล่เขาทุกครั้งต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ยิน เขาจำไม่ได้เลยหรืออย่างไร ว่าเธอทำอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่แล้วเธอก็ได้ย้อนกลับมาใน ในวันที่เธออายุ 21 ปี แลยังไม่ได้หย่าขาดกับเสิ่นอี้โจว ในเมื่อเธอได้โอกาสอีกครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมหย่าเด็ดขาด ครั้งนี้เธอจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับเสิ่นอื้โจวได้จงได้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท