บทที่ 341 โกหกและไม่รักษาคำพูด
บทที่ 341 โกหกและไม่รักษาคำพูด
ในความเป็นจริง เซี่ยชิงหยวนเคยคิดเกี่ยวกับปัญหานี้อยู่เมื่อเช่าร้านสองร้านพร้อมกัน
แน่นอนว่าคนอื่นไม่คาดคิดว่าเธอมีแผนนี้จริง ๆ
ถ้าร้านเปิดขึ้น หากเซี่ยชิงหยวนยกเลิกสัญญาเช่าในอนาคต เธอจะต้องใช้เงินเพื่อก่อกำแพงกลับ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีเงินและความกล้าพอที่จะเปิดร้านใหญ่แบบนี้
เซี่ยชิงหยวนเข้าใจความกังวลของเจ้าของร้านและพูดว่า “คุณชิวไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ในอนาคตถ้าฉันยกเลิกสัญญาเช่าเมื่อไหร่ ฉันจะก่อกำแพงกลับคืนให้คุณเหมือนเดิมอย่างแน่นอนค่ะ”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนพูดเช่นนี้ เจ้าของร้านก็รู้สึกกระอักกระอ่วน
เขาโบกมือแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร คุณสามารถรื้อมันออกก็ได้ถ้าคุณต้องการ”
เมื่อเห็นทัศนคติของเซี่ยชิงหยวน หลังจากนี้เธอคงตกแต่งร้านได้ดีมากแน่ ๆ ถ้ากำแพงถูกก่อกลับเหมือนเดิม รูปแบบร้านที่เธอแต่งใหม่คงไม่เหลือ
บางทีผู้คนในอนาคตอาจจะเต็มใจที่จะเช่าร้านของเขาต่อหลังจากได้เห็นการตกแต่งของเซี่ยชิงหยวนก็ได้ ดังนั้นต่อให้เธอไม่ก่อกำแพงกลับก็ไม่มีปัญหา
เมื่อเห็นว่าเจ้าของร้านไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ ทั้งสองจึงตกลงกันเรื่องเงินและเพิ่มคำว่า ‘ได้รับค่าเช่าแล้ว’ ลงในสัญญา
เจ้าของร้านมอบกุญแจสองดอกให้กับเซี่ยชิงหยวน “ผมไม่รบกวนคุณแล้วดีกว่าครับ ผมขออวยพรให้กิจการของคุณเจริญรุ่งเรืองนะ!”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพยักหน้า “ขอบคุณค่ะคุณชิว”
เซี่ยชิงหยวนเฝ้าดูเจ้าของร้านจากไป และเห็นอาจารย์ค่งกำลังวัดพื้นที่ร้านแล้ว
เขาวิ่งไปที่ห้องเล็ก ๆ ด้านหลังร้านเพื่อดูและพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณนายเสิ่น ร้านนี้น่าจะมีพื้นที่มากกว่าเจ็ดสิบตารางเมตรเลยนะเนี่ย!”
เซี่ยชิงหยวนสะดุ้ง “มากกว่าเจ็ดสิบเลยเหรอคะ?”
อาจารย์ค่งชี้นิ้ว “พื้นที่กว่าเจ็ดสิบตารางเมตรน่าจะเป็นเพียงพื้นที่ด้านนอกเท่านั้นด้วยซ้ำ ผมลองเข้าไปดูหลังร้านแล้ว มีห้องเก็บของเล็ก ๆ และที่พักผ่อนอยู่ด้านหลังอีก พอรวมพื้นที่พวกนั้นแล้ว คาดว่ามีพื้นที่มากกว่าเก้าสิบตารางเมตรเลยล่ะ ในอดีตเจ้าของร้านคงไม่ได้เปลี่ยนเค้าโครงเดิม เลยคำนวณไว้เจ็ดสิบน่ะ”
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะทันทีที่ได้ยิน
ในความเป็นจริง อาจเป็นไปได้ด้วยว่าข้อมูลที่อู๋ฟ่างได้รับนั้นผิดพลาดไปเล็กน้อย แต่ยังไงซะ ไม่ว่าจะเป็นอะไรมันก็เป็นความจริงที่เธอทำเงินได้อยู่ดี
อาจารย์ค่งพูดต่อ “เราจะทำห้องเก็บของหนึ่งห้องและห้องน้ำหนึ่งห้องเท่านั้น จากนั้นเราจะเพิ่มพื้นที่ว่างได้ นอกจากนี้รูปแบบการจัดวางภายนอกที่นี่ยังดูไม่สอดคล้องกับพื้นที่ใช้จริง ทำให้ในร้านมีจุดที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ ดังนั้นเราควร…”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ อาจารย์ค่งก็หยุดและมองเซี่ยชิงหยวนด้วยความอับอาย “ขอโทษนะคุณนายเสิ่น ผมเผลอทำนิสัยเก่า ๆ อีกแล้ว”
เซี่ยชิงหยวนไม่สนใจและยิ้มตอบ “ไม่เป็นไรค่ะ อาจารย์ค่งคงมีความคิดมากมายเกี่ยวกับร้านนี้จริง ๆ ฉันควรจะมีความสุขต่างหากค่ะ”
เมื่อเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนไม่ได้คิดอะไรมากจริง ๆ อาจารย์ค่งจึงพูดด้วยความโล่งใจ “ว่าแต่คุณนายเสิ่นคิดว่ายังไงบ้างครับ? คุณอยากตกแต่งร้านออกมาเป็นแบบไหนงั้นเหรอ?”
ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนเป็นประกายทันที “ฉันอยากเปิดร้านขายเสื้อผ้าที่ดูทันสมัยและหรูหราค่ะ”
“ทันสมัยและหรูหรา?” อาจารย์ค่งเลิกคิ้วมองที่เธอ
“รอเดี๋ยวนะคะ” ขณะที่พูด เซี่ยชิงหยวนก็หยิบสิ่งที่เตรียมไว้ออกจากกระเป๋า
มันเป็นกระดาษหลายแผ่นที่เธอตัดออกจากนิตยสารและหนังสือพิมพ์
มีรูปภาพเสื้อผ้าและร้านขายเสื้อผ้าสไตล์ฮ่องกงจำนวนมาก เซี่ยชิงหยวนเลือกสไตล์บางอย่างที่ต้องการและฉีกมาเก็บไว้
อาจารย์ค่งหยิบมันมาดู ยิ่งดูก็ยิ่งสนใจมากขึ้น
เขาไม่ใช่คนที่มองโลกแคบคิดว่าฝีมือของตัวเองดีที่สุด
ในทางตรงกันข้าม เขามักจะให้ความสนใจกับรูปแบบสถาปัตยกรรมใหม่ ๆ ของคนอื่นมาก เมื่อตกแต่งให้กับลูกค้า เขาจะใช้สถาปัตยกรรมใหม่ล่าสุดบางส่วนตามการอนุมัติของลูกค้า
สิ่งเหล่านี้เป็นหนึ่งในข้อได้เปรียบที่มีค่าที่สุดของเซี่ยชิงหยวน
หญิงสาวพูดขึ้น “ที่ด้านนอกของร้าน ฉันต้องการทำให้มันเป็นหน้าต่างโชว์ที่ปิดด้วยกระจกบานใหญ่ แล้ววางหุ่นโชว์เรียงกันเป็นแถวเพื่อโชว์เสื้อผ้าหลักของฤดูกาล ให้ผู้คนสัญจรผ่านไปมา สามารถมองเห็นพวกมันได้ในทันทีในคราวเดียวค่ะ”
จากนั้นเซี่ยชิงหยวนชี้ไปที่เพดาน “ฉันอยากติดโคมระย้าหลายอันด้านบน และต้องการติดโคมไฟที่มีแสงสว่างมากที่กระจก เอาไว้โชว์หุ่นด้านหน้าร้านเพื่อให้คนมองเห็นหุ่นได้อย่างชัดเจนค่ะ”
โคมที่มีแสงดีจะยิ่งทำให้เสื้อผ้าดูดีขึ้น ชวนให้น่าซื้อ
อาจารย์ค่งมองลงไปที่ภาพในมือของเขา จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองที่ร้าน และค่อย ๆ เข้าใจว่าเซี่ยชิงหยวนหมายถึงอะไร เขาพูดว่า “คุณนายเสิ่น อยากจะทำร้านเสื้อผ้าที่ดีที่สุดใช่ไหมครับ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ใช่ค่ะ”
อาจารย์ค่งลูบคางของเขา และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ผมเกรงว่าต้นทุนจะสูงนะครับหากตกแต่งร้านแบบนี้”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าก่อนจะยกนิ้วขึ้นสามนิ้ว “ฉันได้กะราคาคร่าว ๆ เอาไว้แล้วค่ะ ค่าตกแต่งร้านน่าจะสักสามพัน คุณคิดว่ามันจะทำได้ไหมคะ?”
อาจารย์ค่งมองดูสามนิ้วที่เซี่ยชิงหยวนยกขึ้น และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อเห็นเธอเต็มใจที่จะยอมจ่ายขนาดนี้
ด้วยเงินสามพันหยวน คุณสามารถสร้างบ้านสองชั้นในมณฑลอวิ๋นได้เลยนะ
แต่บ้านเหล่านั้นจะมีคุณค่าเท่ากับร้านบนถนนหลินไห่ได้ยังไง?
เขาตอบกลับ “น่าจะเพียงพอนะครับ ผมมีคนรู้จักเกี่ยวกับวัสดุก่อสร้างอยู่ เรื่องราคาอาจถูกกว่านี้ก็ได้”
เขาหยุดชั่วคราว “ว่าแต่คุณต้องการเปิดร้านประมาณช่วงไหนครับ?”
เซี่ยชิงหยวนตอบกลับ “อย่างช้าที่สุดฉันอยากเปิดร้านก่อนปีใหม่ประมาณยี่สิบวันค่ะ”
การซื้อเสื้อผ้าใหม่ในช่วงปีใหม่ถือเป็นนิสัยที่คนจีนมีมาช้านาน การใช้โอกาสนี้จะทำให้เธอสามารถสร้างรายได้ได้ดีแน่นอน
เมื่อได้ยินแบบนี้ อาจารย์ค่งก็พยักหน้า “เวลากระชั้นชิดเล็กน้อย แต่ถ้าจ้างคนงานเพิ่มอีกสักสองคน และตราบใดที่การออกแบบไม่มีการเปลี่ยนแปลง ร้านก็น่าจะเสร็จได้ภายในยี่สิบวันอยู่ครับ”
เซี่ยชิงหยวนก็มีความสุขมากยิ่งขึ้นหลังจากได้ยิน “ขอบคุณค่ะอาจารย์ค่ง”
อาจารย์ค่งยิ้มและพูดอีกว่า “ช่วงนี้ใกล้ตรุษจีนแล้ว ใคร ๆ ก็อยากได้เงินก่อนจะกลับบ้าน ถือว่าเป็นโอกาสพอดีเลยครับ”
เขาพูดต่อ “ผมจะโทรหาคนทีหลังแล้วกัน ตอนนี้ก็วัดขนาดและทำอย่างอื่นไปก่อน จากนั้นเราค่อยหารือกันอีกที เพื่อให้สามารถเริ่มการก่อสร้างโดยเร็วที่สุดแล้วกันครับ”
เมื่อพูดคุยเบื้องต้นกันเรียบร้อยแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็จ่ายค่าแรงและค่าวัสดุของร้านตรอกเก่าบนถนนอาหาร
ก่อนหน้านี้เธอให้เงินไปแล้วสองร้อยหยวน และการชำระเงินครั้งสุดท้ายนี้คือหนึ่งร้อยห้าสิบหยวน
ร้านตรอกเก่ามีขนาดเล็ก ตกแต่งเรียบง่าย ใช้เวลาก่อสร้างเพียงไม่กี่วัน ราคาตกแต่งจึงไม่สูงเท่าไหร่นัก
แต่ถึงกระนั้นเมื่อเซี่ยชิงหยวนจ่ายค่าวัสดุงวดแรกสำหรับการตกแต่งร้านขายเสื้อผ้า เธอก็กำกระเป๋าแน่นด้วยความทุกข์
เธอยังไม่ได้ทำเงินเลย แต่กลับใช้เงินไปมากมายแล้ว
หญิงสาวเปลี่ยนความโศกเศร้าให้เป็นแรงบันดาลใจ และภายในสองวัน เธอกับอาจารย์ค่งก็สรุปภาพวาดตกแต่งและวัสดุที่จะใช้
หลังจากกลับมาบ้าน ป้าอู๋ก็พบโอกาสพูดคุยกับเธอในที่สุด
“คุณนายคะ วันนี้ฉันไปส่งอาหารให้คุณฉีมา เขาขอให้ฉันบอกอะไรบางอย่างกับคุณนายน่ะค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนทรุดตัวลงบนเก้าอี้แล้วถามกลับ “เขาฝากมาบอกว่าอะไรคะป้าอู๋?”
ด้วยคำพูดของเสิ่นอี้โจว เธอจะกล้าทำอาหารให้ฉีจิ่นจือด้วยตัวเองได้ยังไง?
ทุกวันนี้เธอเพียงบอกป้าอู๋เกี่ยวกับอาหารที่ต้องปรุงให้ฉีจิ่นจือ แล้วจากนั้นเธอก็รีบออกไปคุยงานกับอาจารย์ค่งเกี่ยวกับการตกแต่งร้าน
ที่ร้านตรอกเก่า เฉิงซวงจือกับหลินตงซิ่วได้ทำความสะอาดครั้งสุดท้ายแล้ว และได้ย้ายสิ่งที่ต้องการไปที่นั่นเพื่อรอการเปิดในวันพรุ่งนี้
ป้าอู๋นึกถึงฉีจิ่นจือที่นอนอยู่บนเตียงอย่างโดดเดี่ยว ดวงตาของเธอก็พลันสงสารขึ้นมา และพูดว่า “เขาบอกว่าคุณนายโกหกเขา และคุณนายไม่รักษาคำพูดของตัวเองค่ะ”
“หืม?” เซี่ยชิงหยวนตกตะลึง
บทที่ 336 บาดเจ็บ
บทที่ 336 บาดเจ็บ
เซี่ยชิงหยวนเห็นเซี่ยจื่ออี้ยืนอยู่ในฝูงชนกับพ่อแม่ของเด็ก ๆ เธอพยายามปลอบโยนเด็ก ๆ ที่หวาดกลัวอย่างอ่อนโยน
เมื่อสังเกตเห็นการจ้องมองของเซี่ยชิงหยวน เซี่ยจื่ออี้ก็มองกลับมาที่เซี่ยชิงหยวนด้วยเช่นกัน
ใบหน้าของเธออ่อนโยนและสงบ มุมปากโค้งเป็นรอยยิ้มที่ไร้เดียงสาอย่างยิ่ง
เซี่ยชิงหยวนโกรธมาก
ต้องเป็นเธอแน่!
เซี่ยชิงหยวนต้องการที่จะก้าวไปข้างหน้าโดยไม่รู้ตัว และดึงเซี่ยจื่ออี้ออกมา แต่เสียงร้องอันแผ่วเบาในอ้อมแขนปลุกให้เธอได้สติ
เด็กทั้งสองถูกกอดไว้แน่นในอ้อมแขนของเธอ ตอนนี้พวกเขาก็ตัวสั่นด้วยความตกใจจากเสียงปืน
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังเด็กสองคนที่อยู่ในอ้อมแขน จากนั้นมองไปที่วัวแก่ซึ่งยังคงมองมาที่เธอ และรู้สึกหนักใจมาก
เธอก้าวไปไม่ได้
เธอไม่มีหลักฐานใด ๆ เลย
ความเกลียดชังก่อตัวขึ้นในใจของเธอ มันแพร่กระจายไปยังหัวใจและห่อหุ้มไว้แน่น ทำให้เธออึดอัดอย่างมาก แต่ไม่สามารถระบายมันออกมาได้
สักวันหนึ่ง เธอจะทำให้เซี่ยจื่ออี้ชดใช้สำหรับทุกสิ่ง!
พ่อแม่ของเด็กหญิงตัวเล็กวิ่งเข้ามา อุ้มเด็กไปและปลอบอย่างกังวล
พ่อของเด็กขอบคุณเซี่ยชิงหยวน ขณะที่แม่อุ้มเด็กไว้และร้องไห้
เมื่อเสิ่นอี้โจวเห็นว่าวัวถูกควบคุมแล้ว เขาก็เข้ามาอยู่ข้างเซี่ยชิงหยวนทันที
เขาไม่พูดอะไร แต่กอดเซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้หลินไว้ในอ้อมแขนของเขา
มือของเขาถลอกเพราะจับเชือกหยาบที่ล่ามวัวไว้ อีกทั้งในบางจุด เนื้อและหนังก็หลุดออกมาจนมีเลือดไหลซึม
เสิ่นอี้หลินไม่สามารถอดกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป พลันร้องไห้ออกมาในอ้อมแขนของเซี่ยชิงหยวน “ฮือ… ฮือ… พี่สะใภ้ ฮือ…”
นี่เป็นหายนะสำหรับทุกคน
ฉีจิ่นจือถูกพยุงจากใครบางคน ดวงตาของเขามืดลงในขณะที่เขามองไปยังคนสามคนที่กอดกันต่อหน้าเขา และอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกับความเจ็บปวดที่สีข้างตัวเอง
เขาจับบริเวณที่โดนวัวแก่ชน และเลือดของเขาก็ไหลออกมาไม่หยุด
มีคนอุทานทันที “เขาบาดเจ็บ จิ่นจือบาดเจ็บ!”
เมื่อกี้เขาใช้มือปิดมันไว้ และสถานการณ์ก็วุ่นวายมากจนไม่มีใครสังเกตเห็น
เมื่อฉีหยวนซานเห็น เขาก็วิ่งมาหาฉีจิ่นจือทันที พอได้เห็นเสื้อผ้าของลูกชายตัวเองเปื้อนเลือดสีแดง เขาก็ขมวดคิ้วและพูดเสียงดัง “เร็วเข้า ส่งเขาไปโรงพยาบาลเร็ว ๆ!”
เจ้าหน้าที่ที่ชักปืนออกมาเก็บมันกลับไป และตอบกลับ “ครับผม!”
เขารีบวิ่งไปที่รถแล้วขับเข้ามาทันที
ในเวลานี้เซี่ยจื่ออี้ก็วิ่งมาที่ฉีจิ่นจือ เธอเอื้อมมือไปช่วยเขาด้วยใบหน้าที่เป็นกังวล “จิ่นจือ คุณเป็นยังไงบ้าง?”
ฉีจิ่นจือปัดมือเธอออกไปโดยไม่มองแม้แต่นิดเดียว
เซี่ยจื่ออี้มองไปยังมือของตัวเองที่ถูกปัด และความรำคาญก็แวบเข้ามาในดวงตาของเธอ
หญิงสาวพยายามควบคุมอารมณ์และกัดฟันพูดเบา ๆ “จิ่นจือ”
ฉีจิ่นจือลืมตาขึ้นแล้วมองเธอ “อย่ามาแตะต้องฉัน!”
ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจที่ไม่คิดจะปิดบัง
เมื่อสบตากับสายตาของเขา เซี่ยจื่ออี้ก็ตัวแข็งราวกับถูกโจมตีอย่างแรง
ในเวลานี้เสิ่นอี้โจวปล่อยเซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้หลิน เขาเดินมาที่ฉีจิ่นจือและโค้งคำนับ “นายน้อยฉี ผมขอขอบคุณสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ด้วยครับ”
เมื่อกี้เขากำลังสนใจอยู่กับการคุยกับคนอื่น ถ้าไม่ใช่เพราะฉีจินจื่อ เกรงว่าเซี่ยชิงหยวนคงจะถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้กีบวัวไปแล้ว
ฉีจิ่นจือพยักหน้ารับคำขอบคุณ
ในใจฉีหยวนซานรู้สึกเสียใจ แต่เขาไม่สามารถแสดงมันออกมาบนใบหน้าได้ เขาพูดว่า “จิ่นจือแค่ทำในสิ่งที่เขาควรทำน่ะ”
เสิ่นอี้โจวมองไปยังฉีจิ่นจือที่เปื้อนเลือด
เขายกมือที่ถลอกและมีเลือดออกขึ้นแล้วพูดว่า “เสิ่นอี้โจวคนนี้จะไม่มีวันลืมบุญคุณที่ยิ่งใหญ่ของนายน้อยฉีครั้งนี้ครับ หากนายน้อยฉีต้องการให้ผมทำอะไรในอนาคต ผมจะทำมันให้ดีที่สุด!”
นี่คือบุญคุณอันยิ่งใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและความตาย การขอบคุณเพียงอย่างเดียวนั้นไม่พอแต่ต้องตอบแทนด้วย
แต่คำพูดของเสิ่นอี้โจวก็ฉลาดเช่นกัน เขามุ่งเป้าไปที่ฉีจิ่นจือเท่านั้น ไม่ใช่ตระกูลฉี
การแสดงออกของฉีจิ่นจือยังคงสงบมาก “เลขาธิการเสิ่นสุภาพเกินไปแล้วครับ”
เสิ่นอี้โจวไม่ได้พูดอะไรอีกเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขากล่าวว่า “ผมรู้เกี่ยวกับวิธีการพันแผลนิดหน่อย จะดีกว่าถ้าผมพันแผลหยุดเลือดให้นายน้อยฉีก่อน แล้วไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดนะครับ”
เมื่อดูสภาพของฉีจิ่นจือตอนนี้ ดูเหมือนว่าเขาวัวจะเจาะช่องท้องของเขา ทำให้เขาเลือดออกเช่นนี้
สถานที่แห่งนี้อยู่แถบชานเมืองและการไปถึงโรงพยาบาลไม่ใช่เวลาสั้น ๆ ดังนั้นอันดับแรกต้องทำการทำแผลก่อน
ฉีจิ่นจือพยักหน้า “ถ้างั้นผมก็ขอบคุณมากครับ”
ฉีหยวนซานและพ่อของเด็กผู้หญิงช่วยฉีจิ่นจือนอนลงตรงจุดนั้น เสิ่นอี้โจวโบกมือให้ฉีจิ่นจือเพื่อเอามือของเขาออกไปจากบาดแผล ในเวลาเพียงครู่เดียว เลือดสีแดงฉานก็ทะลักออกมาจากบาดแผลและเปื้อนเสื้อผ้าไปทุกที่
เสิ่นอี้โจวขมวดคิ้วและรีบเอื้อมมือไปกดแผลไว้
เขาหันกลับไปและถามว่า “พวกคุณคนไหนมีเศษผ้าหรือเสื้อผ้าที่สะอาดไหม?”
ก่อนที่เซี่ยชิงหยวนจะออกจากบ้านวันนี้ เธอเห็นว่าข้างนอกมีลมแรง จึงสวมผ้าพันคอยาวมาด้วย
เธอตอบอย่างรวดเร็ว “ใช้ของฉันสิ”
จากนั้นเธอก็ถอดผ้าพันคอออกแล้วมอบให้กับเสิ่นอี้โจว
เสิ่นอี้โจวรับผ้าพันคอมา และเริ่มใช้มันพันแผลให้ฉีจิ่นจือ
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้พูดอะไรและรออยู่ข้าง ๆ
เซี่ยจื่ออี้เปิดปากตัวเองเช่นกันโดยถือผ้าพันคอของเธอในมือ คิ้วของหญิงสาวขมวดแน่น
ในขณะที่กดบาดแผลของฉีจิ่นจือนั้น เสิ่นอี้โจวก็เปิดเสื้อที่ฉีจิ่นจือสวมอยู่ให้เลิกขึ้นเพื่อที่เขาจะได้ใช้ผ้าพันไว้รอบเอวของอีกฝ่ายได้ ให้มันสัมผัสกับบาดแผลโดยตรงเพื่อให้เลือดหยุุดไหล
เซี่ยชิงหยวนเห็นว่าเป็นเรื่องยากสำหรับเสิ่นอี้โจวที่ใช้แค่สองมือของเขาเอง ดังนั้นเธอจึงคุกเข่าลงและเลิกเสื้อของฉีจิ่นจือให้เขา
ขณะที่นั่งยอง ๆ เธอก็เข้าใกล้ฉีจิ่นจือมากขึ้น และต้องร่วมมือกับเสิ่นอี้โจวเป็นครั้งคราว โดยเข้าใกล้ฉีจื่นจือมากขึ้นอีก
ฉีจิ่นจือเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ใบหน้าของหญิงสาว เธอจ้องมองที่บาดแผลของเขาอย่างตั้งใจ ริมฝีปากเม้มแน่น และคิ้วขมวดเป็นปม
เธอก็กังวลเรื่องของเขาด้วยสินะ…
วินาทีต่อมา ฉีจิ่นจือก็หลับตาลงและไม่ได้มองเธออีก
หลังจากที่เสิ่นอี้โจวพันแผลให้เสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ขับรถมาถึงเช่นกัน
หลายคนช่วยกันอุ้มฉีจิ่นจือเข้าไปในรถ
ฉีจิ่นจือพยายามช่วยเซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้หลินจากการถูกวัวคลั่งทำร้าย ไม่ว่ายังไงก็ตามเสิ่นอี้โจวก็ต้องไปที่โรงพยาบาลด้วยกันกับเขา
เขากอดเซี่ยซิงหยวนอีกครั้งและพูดว่า “รอจนกว่าผมจะกลับไปนะ”
จากนั้นเขาก็หันไปหาฉู่ซิงอวี่แล้วพูดว่า “ช่วยไปส่งภรรยาของผมกลับบ้านทีนะ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็ก้าวขายาว ๆ แล้วขึ้นรถไปกับฉีจื่นจือ
เซี่ยชิงหยวนยืนอยู่ที่นั่น พลางกอดเสิ่นอี้หลินที่สะอื้นและเฝ้าดูรถขับออกไป
ฉู่ซิงอวี่เดินเข้ามาหาเธอแล้วพูดว่า “คุณนาย ให้ผมพากลับบ้านนะครับ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ได้ค่ะ”
เธอมองไปทางวัวแก่เป็นครั้งสุดท้าย
คนเลี้ยงวัวชรายังคงนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้าง ๆ มัน
แม้จะมีคนจ่ายเงินชดเชยให้เขา แต่เขาก็ยังไม่สามารถหยุดความรู้สึกเศร้านี้ได้
มือชราที่หยาบกร้านของเขาเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นแห่งวัย เขาลูบหลังวัวแก่อย่างสั่นสะท้านทีละครั้ง โดยคิดว่านี่อาจช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของวัวแก่ได้
ในเวลานี้ วัวแก่หายใจโรยรินมากขึ้นและรับอากาศเข้าน้อยลง แต่ดวงตาของมันยังคงเปิดกว้าง
นี่คือวัวแก่ที่อยู่กับครอบครัวของเขามาตลอดชีวิต กระทั่งในยามที่ครอบครัวลำบากที่สุด เขาก็ไม่เคยคิดจะขายมันเลย แต่ตอนนี้มันต้องจบชีวิตลงแบบนี้แล้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เซี่ยชิงหยวนเผชิญกับการสูญเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์
หลิงหลินยังก้าวมาข้างหน้าและรีบเร่งเซี่ยชิงหยวน “คุณนายเสิ่น เราไปกันเถอะค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าและจากไปพร้อมกับเสิ่นอี้หลิน
เมื่อเดินผ่านเซี่ยจื่ออี้ เซี่ยชิงหยวนก็หยุดและมองดูอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ
ริมฝีปากของเซี่ยจื่ออี้โค้งแสดงออกที่ไร้เดียงสา “ชิงหยวน?”
มีการเยาะเย้ยปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเซี่ยชิงหยวน และเธอก็เดินเข้าไปในรถโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย
————————————
