บทที่ 342 คุณนายและคุณฉี
บทที่ 342 คุณนายและคุณฉี
เซี่ยชิงหยวนเกือบจะลุกพรวดจากเก้าอี้ทันที
เธอรู้สึกปวดหัวทันพลัน “เขารู้ได้ยังไงว่าฉันไม่ได้ทำอาหาร?”
นั่นเป็นสิ่งเดียวที่เธอโกหกเขา
ป้าอู๋ไม่รู้ถึงเบื้องลึกเบื้องหลัง และตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนจะเข้าใจ
สิ่งนี้มันทำให้เธอตกใจจริง ๆ
เธอกำลังคิดว่า หรือคุณนายของตัวเองจะมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับฉีจิ่นจือ?
แม้ฉีจิ่นจือจะหล่อ แต่คุณนายของเธอแต่งงานแล้วนะ
จากนั้นเธอก็พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ “วันนี้คุณฉีถามฉันว่า ช่วงวันสองวันนี้คุณนายยุ่งอะไรอยู่ไหม ฉันไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เลยบอกเขาว่าคุณนายยุ่งกับการตกแต่งร้านอยู่ และออกไปข้างนอกทุกวันค่ะ”
เมื่อพูดถึงจุดนี้ เสียงของป้าอู๋ก็เบาลง “คุณนายคะ ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่าคะ?”
“มันไม่เกี่ยวกับป้าอู๋หรอกค่ะ” เซี่ยชิงหยวนโบกมือ “ฉันเข้าใจแล้ว ป้าอู๋ไปพักผ่อนเถอะค่ะ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็ถอนหายใจและนวดขมับ
ดูเหมือนว่าเธอคงต้องทำอาหารให้ฉีจิ่นจือจริง ๆ ซะแล้วแหละ
“ป้าอู๋คะ” เซี่ยชิงหยวนเรียกป้าอู๋ที่เพิ่งเดินออกไปกลับมา “รู้ไหมคะว่าคุณฉีคนนั้นจะออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่?”
ป้าอู๋ตอบว่า “วันนี้ฉันได้ยินจากพยาบาลว่าเขาน่าจะต้องนอนอยู่ต่ออีกสามหรือสี่วันค่ะ จากนั้นถึงจะอนุุญาตให้กลับไปพักฟื้นที่บ้านต่อ”
ป้าอู๋หยุดชั่วคราวและคิดว่าเป็นการดีกว่าที่จะบอกเซี่ยชิงหยวนในสิ่งที่เธอได้ยิน
“ฉันได้ยินมาเหมือนกันว่านอกจากผู้อำนวยการฉีที่ไปเยี่ยมเขาไม่กี่ครั้งแล้ว ก็มีแต่ผู้ช่วยของผู้อำนวยการฉีที่ไปเยี่ยมทุกวันค่ะ ส่วนคุณนายฉีนั้นไม่เคยไปเลย”
ในโรงพยาบาลมีการซุบซิบกันว่า ‘คุณนายฉีใช่แม่ที่แท้จริงหรือเปล่า? ลูกชายของตัวเองบาดเจ็บแท้ ๆ แต่เธอกลับไม่ไปเยี่ยมลูกชายของตัวเองเลย’
ป้าอู๋ไม่ได้พูดคำเหล่านี้ออกมา
แต่เธอยังสามารถบอกได้ว่าอันไหนเป็นข้อเท็จจริง และอันไหนเป็นข่าวซุบซิบของคนอื่น
เดิมทีเธอคิดว่าฉีจิ่นจือเป็นบุคคลที่เข้าถึงยากเหมือนข่าวลือ ดังนั้นเธอจึงกังวลเมื่อไปที่นั่น
แต่โดยไม่คาดคิด เมื่อเจอตัวจริงฉีจิ่นจือกลับเป็นคนไม่ค่อยพูดมากนัก และท้ายที่สุดเขาก็ค่อนข้างสุภาพกับเธอ
ภายหลังพอได้ยินคำพูดเหล่านั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะใจอ่อนและยิ่งรู้สึกเห็นใจเมื่อได้ยินว่าเซี่ยชิงหยวนโกหกอีกฝ่าย
หลังจากได้ยินคำพูดของป้าอู๋ เซี่ยชิงหยวนก็ขมวดคิ้ว
ดูเหมือนว่าฉีจิ่นจือไม่ใช่ลูกของคุณนายฉีจริง ๆ สินะ
ไม่น่าแปลกใจเลย ตอนนั้นที่ฉีจิ่นจือได้รับบาดเจ็บ ทุกคนมารวมตัวกันรอบตัวเขายกเว้นคุณนายฉีที่ยืนอยู่ด้านข้างโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมอง
สิ่งที่เรียกว่าสายสัมพันธ์แม่ลูกนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจตัดขาดได้ ต่อให้จะบอกว่าคุณนายฉีไม่มีความรู้สึกอะไรเพราะไม่ได้อยู่ด้วยกันมาหลายปี มันก็ไม่สมเหตุสมผลเลย
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าฉีจิ่นจือน่าสงสาร
แต่สิ่งเหล่านี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของเธอ
หญิงสาวพยักหน้า “ฉันเข้าใจแล้วค่ะ สองวันมานี้ฉันสร้างปัญหาให้ป้าอู๋แล้ว
เอาไว้หลังจากนี้ฉันจะเอาอาหารที่ปรุงจากร้านตรอกเก่าไปให้คุณฉีเองนะคะ”
ร้านตรอกเก่าจะเปิดในวันพรุ่งนี้ ดังนั้นเธอจึงสามารถนำอาหารของที่นั่นไปให้ฉีจิ่นจือได้ เธอสามารถเอาต้มเครื่องในเนื้อวัวและเครื่องเคียงที่ทำไว้ที่ร้านแล้วไปให้ได้ เพื่อที่เธอจะได้ไม่ต้องทำอะไรใหม่
ป้าอู๋ถามขึ้น “คุณนายอยากให้ฉันช่วยอะไรไหมคะ?”
ร้านอาหารก็เปิดแล้ว และเซี่ยชิงหยวนต้องส่งอาหารให้ฉีจิ่นจืออีก ป้าอู๋กังวลว่าเธอจะยุ่งเกินไป
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัว “ฉันจัดการได้ค่ะ ขอบคุณนะคะป้าอู๋”
ป้าอู๋ถูกมอบหมายงานมาให้ดูแลบ้านโดยหน่วยงานมณฑล หากเซี่ยชิงหยวนขอให้เธอไปที่ร้านเพื่อช่วยงาน มันจะเป็นการใช้ทรัพยากรของหน่วยงานในทางที่ไม่เหมาะสม
ท้ายที่สุดแล้วหน่วยงานมณฑลเป็นผู้ลงนามในสัญญา
แม้ป้าอู๋อยากจะทำ แต่มันก็ไม่เหมาะสมที่จะทำ
…
เมื่อเสิ่นอี้โจวกลับมาในตอนเย็น เซี่ยชิงหยวนก็เล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับฉีจิ่นจือ
เสิ่นอี้โจวนั่งลงด้วยดวงตาที่มืดหม่นทันที
หญิงสาวนั่งข้าง ๆ พลางดูสีหน้าของสามีแล้วพูดว่า “พรุ่งนี้ฉันจะไปส่งอาหารให้เขาเอง แต่หลังจากนั้นวันมะรืนฉันจะทำอาหารที่ร้านตรอกเก่าแล้วให้ป้าอู๋ไปส่งแทน ยังไงซะเดี๋ยวเขาก็ออกจากโรงพยาบาลเร็ว ๆ นี้แล้ว อีกแค่สามหรือสี่วันเท่านั้นน่ะ”
เมื่อถูกจับได้แบบนี้ อย่างน้อย ๆ เธอต้องไปส่งถึงประตูด้วยตนเองสักครั้ง
มือเล็ก ๆ ของเธอวางบนต้นขาของเขา และสัมผัสมันราวกับเล่นเปียโนผ่านกางเกงสูท ทำให้รู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย
เธอขยับเข้ามาใกล้แขนของเขามากขึ้น และสอดมือเล็ก ๆ อีกข้างของเธอผ่านช่องว่างระหว่างกระดุมเสื้อของชายตรงหน้า
หญิงสาวยิ้มอย่างออดอ้อน “ป้าอู๋ยังบอกอีกว่าไม่มีสมาชิกในครอบครัวของเขาไปเยี่ยมเลย เขาค่อนข้างน่าสงสารเลยนะ”
เสิ่นอี้โจวจับมือเล็ก ๆ ของเธอที่ซุกซนอยู่บนหน้าอกของเขาแล้วมองดูภรรยา “เขาน่าสงสารเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ก็นิดหน่อย”
เธอจับนิ้วของเขาขึ้นมาเล่นแล้วพูดว่า “แค่มองว่าเขาเป็นน้องชายคนเล็กและเราทำอาหารให้เขาสักสองสามมื้อก็ได้ นอกจากนี้คุณสัญญากับเขาเอาไว้เองตั้งแต่แรกแล้วนะ”
เสิ่นอี้โจวเลิกคิ้วแล้วพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่น “นั่นสินะ แต่ผมเกรงว่าเขาจะมีเจตนาแอบแฝงน่ะสิ”
เซี่ยชิงหยวนพลันยิ้มขึ้นมาหลังจากได้ยิน มือของเธอที่อยู่แถวขาของสามีคนนี้ได้เกาะกุมบางส่วนของเขาโดยตรง “ไม่ใช่ว่าเป็นคุณงั้นเหรอ? ใครกันแน่ที่ถูกเขาจ้องมองก่อนหน้านี้?”
เสิ่นอี้โจว “…”
เขาไม่พูดอะไรอีกแล้วและกอดภรรยาทันที
และวินาทีต่อมาเขาก็โยนเซี่ยชิงหยวนลงบนเตียงนุ่ม ๆ
เซี่ยชิงหยวนไม่รู้ว่าเขาต้องการทำอะไร จึงคลานหนี แต่เสิ่นอี้โจวจับเธอไว้เพื่อไม่ให้หญิงสาวหนีไปได้
ลมหายใจร้อนรดลงบนคอของเธอ ทำให้หญิงสาวต้องรีบหดตัวกลับทันที จากนั้นร้องอุทานดังลั่น “เสิ่นอี้โจว!”
เสิ่นอี้โจวยิ้มกริ่ม “อย่ากังวลน่า เราไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อผ้าของคุณออกหรอก”
ขณะที่เขาพูด ฝ่ามือใหญ่ของเขาก็เลิกกระโปรงของเธอจากด้านหลังแล้ว
เซี่ยชิงหยวน “!”
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ร้านตรอกเก่าเปิดขายอย่างเป็นทางการ
เซี่ยชิงหยวนกับหลินตงซิ่วสวมเสื้อผ้าที่ดูดี และไปที่นั่นในตอนเช้า ป้ายบนร้านคำว่า ‘ตรอกเก่า’ ถูกห่อด้วยผ้าสีแดง รอให้ถูกถอดออกเมื่อร้านเปิด
เฉิงซวงจือยืนอยู่ใต้ป้าย เมื่อเห็นคนทั้งสองจึงตะโกนว่า “คุณนาย คุณนายหญิง”
ตอนนี้เพิ่งเจ็ดโมงเช้าเท่านั้น ยกเว้นร้านขายอาหารเช้าและโรงน้ำชา ร้านอื่น ๆ ก็ยังไม่เปิด
เซี่ยชิงหยวนพาทั้งสองคนไปทำความคุ้นเคยกับสินค้าในร้านก่อน จากนั้นจึงพาพวกเธอไปที่ตลาดสด
หนึ่งคือพาเฉิงซวงจือไปพบกับเจ้าของร้านที่จะซื้อเครื่องในในอนาคต และอีกอย่างคือซื้อวัตถุดิบสำหรับวันนี้
หลังจากซื้อวัตถุดิบแล้วทั้งสามคนก็เริ่มทำงาน
เฉิงซวงจือทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก อีกทั้งยังแข็งแรงกว่าพวกเธอสองคนอีก พวกเขาใช้เวลาเตรียมส่วนผสมทั้งหมดเพียงชั่วโมงกว่าเท่านั้นเอง
ต่อไปก็เป็นการต้มเครื่องในเนื้อวัว
ในฤดูหนาว พวกเขาสามารถขายซุปเครื่องในวัวได้ตลอดเวลา
เพียงเคี่ยวหัวเชื้อซุปในวันแรก จากนั้นเติมส่วนผสมและเครื่องปรุงรสตามเหมาะสม เท่านี้ก็พร้อมแล้ว
สำหรับกิมจิผักกาดขาว กิมจิหัวไชเท้า และหัวไชเท้าดองที่เตรียมไว้เมื่อไม่กี่วันก่อน เซี่ยชิงหยวนก็นำพวกมันมาด้วย
เมื่อเธอเปิดขวดโหล กลิ่นกิมจิก็ตีขึ้นจมูกทันที ปากของเธอก็พลันหลั่งน้ำลายออกมาโดยไม่รู้ตัว
เซี่ยชิงหยวนนำพวกมันออกมาใส่ไว้ในภาชนะที่สะอาด จากนั้นก็ปิดด้วยฝาแก้วที่ดูสะอาดตา และวางไว้ในตู้ใส
มีเตาสำหรับตุ๋นเครื่องในวัวอยู่สามเตา เตาหนึ่งอยู่ข้างตู้ในร้าน หนึ่งเตาอยู่ประตูร้าน และเตาใหญ่ที่สุดอยู่ในครัว
เซี่ยชิงหยวนยังเก็บกิมจิส่วนหนึ่งไว้ที่ทางเข้าร้าน ซึ่งใช้เพื่อดึงดูดลูกค้า
สองชั่วโมงต่อมา พอต้มเครื่องในวัวและหัวไชเท้าก็เคี่ยวจนนิ่ม ลูกชิ้นที่เติมเข้าไปก็ซึมซับซุปเรียบร้อย แม้จะปิดฝาอยู่ แต่ก็ไม่สามารถปิดกลิ่นหอมที่อยู่ในหม้อได้
เมื่อถึงเวลาสิบโมงเช้าก็มีคนเดินถนนมากขึ้นเรื่อย ๆ
พวกเธอทั้งสามจุดประทัด และทันทีที่ผ้าสีแดงบนป้ายถูกเปิดออก ‘ตรอกเก่า’ แห่งถนนอาหารก็เปิดอย่างเป็นทางการ
เซี่ยชิงหยวนติดป้ายที่ประตูว่า ‘ลด 20% สำหรับสามวันแรกของการเปิดทำการ’
ซึ่งถือเป็นวิธีการส่งเสริมการขายเพื่อดึงดูดลูกค้าโดยการลดราคา
บางทีรอยยิ้มของเซี่ยชิงหยวนอาจสดใสเกินไป หรืออาจเป็นเพราะป้ายชื่อร้านตรอกเก่าที่แขวนอยู่สะดุดตาเกินไป หรือบางทีกลิ่นที่ลอยมาจากหม้อกระตุ้นความโลภในท้องของผู้คน ตอนนี้จึงมีผู้คนเดินเข้ามาในร้านทีละคนแล้ว
หลังจากไม่ได้ทำธุรกิจมาระยะหนึ่ง หลินตงซิ่วก็เริ่มกังวล
เฉิงซวงจือดูเหมือนจะเคยทำสิ่งเหล่านี้มาก่อน เธอทักทายลูกค้าและทำอย่างอื่นได้ดีทีเดียว
เซี่ยชิงหยวนตบหลังมือของหลินตงซิ่วแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “แม่คะ ไม่ว่าแม่จะทำอะไรในเมืองเตียนเฉิงมาก่อน ตอนนี้ก็ยังทำได้นะคะ”
หลินตงซิ่วเข้าใจความหมายของคำพูดนี้ทันที และพูดว่า “แม่แค่กังวลนิดหน่อยน่ะ”
ค่าเช่าปีละหนึ่งพันแปดร้อยหยวน แถมยังต้องจ้างคนอื่นมาตกแต่งอีก ด้วยเงินลงทุนมากมาย เธอจึงตกอยู่ภายใต้ความกดดันขึ้นมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
เซี่ยชิงหยวนยิ้มตอบ “แม่คะ ร้านนี้เปิดให้แม่ทำเพื่อฆ่าเวลาเป็นหลัก แม่ไม่ต้องกังวลเรื่องที่เหลือหรอกค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้โกหกเธอ
ไม่ว่าธุรกิจของร้านตรอกเก่าจะดีแค่ไหน ก็คาดว่าน่าจะมีรายได้เพียงสองถึงสามพันหยวนต่อเดือนเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะพึ่งพาร้านนี้เพื่อหาทุนในการเริ่มต้นธุรกิจที่ใหญ่กว่า
เธอต้องการเน้นไปที่ร้านขายเสื้อผ้าเป็นหลัก
เมื่อหลินตงซิ่วได้ยิน เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าลูกสะใภ้คนนี้กล้าหาญมาก
เธอไม่กังวลอะไรอีกและพยักหน้า “แม่จะไม่ฉุดลูกไว้อย่างแน่นอน”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและไม่พูดอะไรอีก
เธอดูนาฬิกาบนข้อมือ ตอนนี้ก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว และเธอจะต้องไปส่งอาหารให้กับฉีจิ่นจือ
————————————
บทที่ 337 ฉันอยากจะฆ่าเธอ
บทที่ 337 ฉันอยากจะฆ่าเธอ
ระหว่างทางกลับทุกคนก็เงียบไม่พูดอะไร
หลิงหลินนั่งอยู่เบาะหน้าที่นั่งข้างคนขับและรถถูกขับโดยฉู่ซิงอวี่ เธอสังเกตเห็นบาดแผลบนมือของฉู่ซิงอวี่ด้วย แต่เมื่อเธอกำลังจะอ้าปาก ฉู่ซิงอวี่ก็หยุดเธอด้วยสายตาของเขา
เมื่อกี้เขาและเสิ่นอี้โจวดึงวัวด้วยกัน ดังนั้นมือของเขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน
เพียงแต่ว่าบาดแผลที่มือของเขาดีกว่าของเสิ่นอี้โจวที่จับเชือกเป็นคนแรก
หลิงหลินพยักหน้าอย่างเชื่อฟังและไม่พูดอะไร
เธอเหลือบมองเซี่ยชิงหยวนอย่างเงียบ ๆ จากกระจกมองหลังในรถ
เธอเห็นเซี่ยชิงหยวนกอดเสิ่นอี้หลินไว้ในอ้อมแขน และมองออกไปนอกหน้าต่างรถ เธอสงสัยว่าเซี่ยชิงหยวนกำลังคิดอะไรอยู่
เซี่ยชิงหยวนดูเหนื่อยล้าอย่างรุนแรง ความเหนื่อยล้านี้มันเหมือนออกมาจากกระดูกเลยด้วยซ้ำ และในขณะเดียวกันก็มีความโศกเศร้า
เห็นแบบนี้หลิงหลินก็ไม่กล้าถามอะไรทั้งนั้น
ในที่สุดเมื่อไปถึงประตูบ้านเสิ่น เซี่ยชิงหยวนก็กล่าวคำอำลาพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ฉันขอโทษที่รบกวนพวกคุณนะคะ”
เธอหันไปหาหลิงหลินอีกครั้ง “เอาไว้วันหลัง ฉันขอเชิญเธอมานั่งเล่นที่บ้านนะ”
หลิงหลินรู้สึกประทับใจ “ได้เลย…ตกลงค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าให้กับพวกเขาแล้วพาเสิ่นอี้หลินเข้าไปในบ้าน
หลิงหลินมองไปที่แผ่นหลังของเซี่ยชิงหยวน และอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้นี่มันช่าง…”
เมื่อหันไปมองที่ฉู่ซิงอวี่ ชายหนุ่มก็มองไปในทิศทางที่เซี่ยชิงหยวนจากไปเช่นกัน เขาขมวดคิ้วแน่นก่อนจะถอนหายใจ “ไปกันเถอะ พี่จะพาเธอกลับบ้าน”
พูดจบเขาก็เดินไปที่รถแล้วเปิดประตู
หลิงหลินรีบเดินตามและเข้าไปในรถ “พี่ไม่คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นเรื่องบังเอิญเกินไปหน่อยเหรอ?”
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นทุกครั้งเวลาเซี่ยชิงหยวนอยู่ใกล้ ๆ
แน่นอนว่าเธอไม่ได้ตั้งใจจะสงสัยเซี่ยชิงหยวน แต่เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังมุ่งเป้าไปที่เซี่ยชิงหยวน
ฉู่ซิงอวี่หยุดครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “สิ่งที่เราคิดไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือผลลัพธ์ที่ใครบางคนหวังไว้”
ยิ่งกว่านั้นไม่มีใครเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นได้อย่างไร
ต่อให้เดาออกไปว่าใครอยู่เบื้องหลังทั้งหมดนี้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานอยู่ดี
ดังนั้นความเกลียดชังในดวงตาของเซี่ยชิงหยวนจึงชัดเจนและดับลงในเวลานั้น จนในที่สุดเธอก็ระงับมันได้
หลิงหลินเข้าใจการพลิกผันนี้เช่นกัน
เธอพยักหน้า “ยังไงซะ ฉันก็คิดว่าเซี่ยจื่ออี้ไม่ใช่คนที่พวกเราเห็นกันอยู่ทุกวันนะ”
ขณะที่พูด เธอก็สังเกตการแสดงออกของฉู่ซิงอวี่อย่างเงียบ ๆ เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีความสุข เธอก็พูดต่อ “แต่พวกผู้ชายอย่างพวกพี่ก็ชอบคนที่ดูอ่อนแอและเรียบร้อย ตั้งแต่ยังเด็กนี่นะ ทุกครั้งที่เธอร้องไห้ พวกพี่จะช่วยกันปลอบเธอทันที”
ไม่ต้องพูดถึงผู้ชาย แม้แต่ผู้หญิงหลายคนก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเซี่ยจื่ออี้
หลิงหลินและหลิงเยี่ยเป็นคนของตระกูลหลิงเหมือนกัน ขณะที่หลิงเยี่ยไปฝึกทหาร เมื่อโตขึ้นเธอเองก็ถูกโยนเข้ากองทัพไปถึงสองสามปี
เธอมีนิสัยตรงไปตรงมา ไม่ชอบผู้คนและสิ่งของที่ซับซ้อนหรือเสแสร้ง ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วเธอจึงไม่สามารถเข้ากันได้กับเซี่ยจื่ออี้
แต่ทุกครั้งที่เกิดความขัดแย้ง ผู้พิทักษ์ที่ไร้สมองสองสามคนก็จะรีบวิ่งออกมาปกป้องเซี่ยจื่ออี้เสมอ และฉินซูอวี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ดังนั้นหลิงหลินจึงกลายเป็นศัตรูกับฉินซูอวี้โดยปริยาย
ฉู่ซิงอวี่ไม่ได้ปกป้องเซี่ยจื่ออี้เหมือนเด็กผู้ชายคนอื่น ๆ แต่เขาจะเป็นคนกลางในการประนีประนอมความขัดแย้งของพวกเขาเหมือนพี่ชายคนโต
ไม่ว่าหลิงหลินจะเปิดเผยเซี่ยจื่ออี้ยังไง ฉู่ซิงอวี่มักจะยิ้มอย่างอบอุ่นเสมอ เห็นได้ชัดว่าปฏิบัติต่อเธอราวกับเด็กที่มีอารมณ์ฉุนเฉียว
ดังนั้นหลิงหลินจึงมักไม่พอใจฉู่ซิงอวี่
แต่คราวนี้เมื่อฟังคำพูดของหลิงหลิน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉู่ซิงอวี่ไม่ได้พูดเพื่อเซี่ยจื่ออี้
เขามองไปที่ทางข้างหน้าอย่างเดียวโดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
…
เมื่อเซี่ยชิงหยวนกลับเข้าบ้าน หลินตงซิ่วและป้าอู๋กำลังเตรียมอาหารกลางวันกันอยู่
เมื่อเห็นทั้งสองกลับมา หลินตงซิ่วก็ประหลาดใจมาก “ทำไมพวกลูกกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “พวกเขามีธุระบางอย่างที่ต้องทำน่ะค่ะ ดังนั้นพวกเราจึงกลับมาเร็ว”
หลินตงซิ่วไม่สงสัยเลยและพูดว่า “งั้นลูกก็ยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม? เดี๋ยวรอกินข้าวพร้อมกันเลยนะ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะแม่”
เมื่อเห็นแบบนี้ หลินตงซิ่วก็รีบเข้าไปในครัวอีกครั้ง
เซี่ยชิงหยวนลูบหัวของเสิ่นอี้หลินที่กำลังก้มหัวลงมองเท้าตัวเอง “เอาล่ะ นายกลับไปที่ห้องแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้า และมารอกินข้าวกันเถอะ”
เสิ่นอี้หลินเงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขายังคงเป็นสีแดง และพูดว่า “พี่สะใภ้ ผมขอโทษ”
ถ้าเขาไม่ได้เล่นกับทุกคน หรือถ้าเขาไม่ได้ทำตัวเป็นฮีโร่เพื่อช่วยเด็กหญิงตัวเล็กคนนั้น บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็นั่งยอง ๆ และรักษาระดับสายตาของเธอไว้ให้ตรงกับเสิ่นอี้หลิน พลางยิ้มให้เขา “เด็กโง่ ทำไมนายถึงพูดขอโทษล่ะ? คนที่ควรจะขอโทษคือคนที่จงใจทำร้ายคนอื่นต่างหาก ไม่ใช่คนแบบนายที่ช่วยชีวิตผู้คนโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเอง”
ดวงตากลมโตของเสิ่นอี้หลินเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “พี่สะใภ้ พี่ไม่โกรธผมเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “ฉันจะโกรธนายได้ยังไง? ฉันมีความสุขมากต่างหากที่เห็นนายยืนหยัดอย่างกล้าหาญในวันนี้”
เธอไม่ต้องการให้เสิ่นอี้หลินมีภาพจำแย่ ๆ ในเหตุการณ์นี้ และไม่ต้องการให้ดวงตาที่สดใสของเขาไม่บริสุทธิ์เมื่อมองโลกอีกต่อไป
ดังนั้นไม่ว่าจะกังวลแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถตำหนิเขาได้
เธอหยุดชั่วคราว “เพียงว่าในอนาคตถ้านายช่วยเหลือผู้อื่น พี่สะใภ้หวังว่านายจะคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองก่อน พี่สะใภ้ของนาย พี่ชายของนายและแม่ของนายไม่ใช่นักบุญ เราไม่อยากเห็นนายได้รับบาดเจ็บเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น เพียงแค่ปกป้องตัวเองก่อนเท่านั้นถึงจะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ เข้าใจไหม?”
เซี่ยชิงหยวนไม่เห็นด้วยกับผู้คนที่ต่อสู้อย่างสิ้นหวังเพื่อการกดขี่ทางศีลธรรม และความเห็นของประชาชนโดยรู้ว่าตนไม่มีความสามารถ
ท้องฟ้าและโลกนั้นกว้างใหญ่ แต่ไม่มีอะไรเทียบได้กับชีวิตของตัวเอง
เสิ่นอี้หลินพยักหน้าและน้ำตาก็ไหลออกมาอีกครั้ง เขารีบเช็ดออกแล้วพูดอย่างหนักแน่น “พี่สะใภ้ ผมเข้าใจแล้ว”
เซี่ยชิงหยวนลูบศีรษะเขาอีกครั้ง “นายไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
เมื่อเห็นเสิ่นอี้หลินกลับเข้าไปในห้อง เซี่ยชิงหยวนก็ยืดตัวขึ้นและดวงตาของเธอก็เย็นชา
เซี่ยจื่ออี้ต้องการชีวิตของพวกเธอ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เซี่ยจื่ออี้ต้องการบรรลุเป้าหมายของตัวเองโดยไม่สนใจแล้วว่าจะต้องแลกด้วยชีวิตของใคร
ผู้หญิงคนนี้มันบ้าไปแล้วจริง ๆ
ไม่คาดคิดเลยว่าเซี่ยเจิ้งผู้มีชื่อเสียงจะเลี้ยงดูคนแบบนี้มาได้
น่าเสียดายที่เพราะสิ่งนี้เกี่ยวกับตัวเอง เพราะงั้นเธอน่าจะต้องเผชิญหน้ากับเซี่ยเจิ้งในไม่ช้า
เซี่ยชิงหยวนทัดผมที่กระจัดกระจายไปด้านหลังใบหู หันหลังกลับและขึ้นไปชั้นบน
เธอขึ้นไปทีละก้าว เหมือนเดินบนยอดเขาด้วยหัวใจที่มั่นคงโดยไม่สั่นสะท้าน
…
ในช่วงบ่าย เสิ่นอี้โจวก็กลับมา
มือของเขาถูกพันด้วยผ้ากอซ ซึ่งได้รับการทำแผลในโรงพยาบาล
เซี่ยชิงหยวนนอนครุ่นคิดบนโซฟาในห้องนอน เมื่อเสิ่นอี้โจวเปิดประตูเข้ามา เธอก็สังเกตเห็นมือของเขาตั้งแต่แรกเห็น
เธอรีบยืนขึ้นและจับมือของเขา “คุณได้รับบาดเจ็บด้วยเหรอ?”
ตอนนั้นสถานการณ์วุ่นวายมาก ต่อมาเสิ่นอี้โจวเอาแต่ช่วยพันแผลให้กับฉีจิ่นจือ ซึ่งมันเป็นโอกาสเดียวที่เธอจะได้เห็นมือของเสิ่นอี้โจวอย่างใกล้ชิด
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ได้คิดถึงอาการบาดเจ็บของเสิ่นอี้โจว เพียงคิดแค่ว่ามือของเขาที่เต็มไปด้วยเลือดตอนนั้นคือเลือดของฉีจิ่นจือ
โดยไม่คาดคิด เลือดที่เปื้อนมือเหล่านั้นก็มีของเสิ่นอี้โจวเช่นกัน
เสิ่นอี้โจวยื่นมือออกมาอย่างไม่ใส่ใจและกอดเธอ “ไม่เป็นไร มันเป็นแค่บาดแผลเล็กน้อยน่ะ”
“มันเป็นแค่บาดแผลเล็กน้อยยังไง?” เซี่ยชิงหยวนพยายามดิ้นรนที่จะออกจากอ้อมแขนของเขาและมองไปที่มือ
เสิ่นอี้โจวกอดเอวของภรรยาแน่นขึ้น “อย่าเพิ่งขยับสิ ให้ผมกอดคุณก่อนนะ”
เมื่อได้ยินเสียงเหนื่อยล้าของเสิ่นอี้โจว เซี่ยชิงหยวนก็หยุดดิ้นรน
เธอโน้มตัวเงียบ ๆ ในอ้อมแขนของเขา และวางมืออันบอบบางบนเอวอันบางของสามี
ความเกลียดชังที่เธอปกปิดมาโดยตลอดปะทุขึ้นมาในหัวใจอีกครั้งทันทีที่เห็นเสิ่นอี้โจวได้รับบาดเจ็บ
เธอได้ยินตัวเองพูดกับเสิ่นอี้โจวด้วยน้ำเสียงสงบมาก “อี้โจว ฉันอยากจะฆ่าเธอ”
