บทที่ 349 ผู้ริเริ่ม
บทที่ 349 ผู้ริเริ่ม
สุดท้ายเฟิงหว่านก็พูดว่า “ไม่ต้องกังวลนะคะ ฉันจะยืนเคียงข้างคุณในเรื่องนี้อย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลาที่คุณต้องการให้ฉันช่วยก็แค่บอกมาเท่านั้นได้เลยค่ะ”
การได้รับความช่วยเหลือจากเฟิงหว่านเช่นนี้เซี่ยชิงหยวนประหลาดใจเล็กน้อย
เธอยิ้มและพยักหน้า “ขอบคุณค่ะพี่สาวหว่าน”
การถูกเรียก ‘พี่สาวหว่าน’ คือสิ่งที่เฟิงหว่านเพิ่งขอให้เซี่ยชิงหยวนเรียกเธอแบบนี้
เฟิงหว่านเป็นคนที่รู้ความตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เธอได้เห็นแผนการและการต่อสู้เพื่ออำนาจมากมายในครอบครัวตัวเอง และไม่ชอบคนอย่างเซี่ยจื่ออี้มากที่สุด
แต่คนในเขตที่พักกลับชื่นชมเซี่ยจื่ออี้มากจนมองไม่เห็นอะไรเลย
เซี่ยชิงหยวนส่งแขกที่ประตู และเสิ่นอี้หลินก็เข้ามาหาพร้อมกับเถาเหนียนซี
หลังจากที่ทั้งสองเล่นสนุกกันอยู่พักใหญ่ พวกเขาก็ไม่อยากที่จะแยกจากกันเลย
เถาเหนียนซีกอดเอวของเสิ่นอี้หลิน และกะพริบตาใส่เฟิงหว่าน
“แม่คะ หนูยังอยากเล่นกับพี่ชายของหนูอยู่เลย”
ทันใดนั้นร่างกายของเสิ่นอี้หลินก็แข็งค้างไป และยืนอยู่กับที่โดยไม่กล้าขยับตัว
เฟิงหว่านคุกเข่าลงและจับลูกของสาวของเธอ “วันนี้ไม่ได้นะ มันค่อนข้างสายแล้ว”
เธอจับมือเล็ก ๆ ของลูกสาวแล้วพูดว่า “เอาไว้วันหลังเรามาเล่นกับพี่ชายของลูกใหม่ดีไหม?”
เถาเหนียนซีพยักหน้า แต่ยังลังเล หลังจากนั้นไม่นานเด็กน้อยก็ยอมปล่อยเสิ่นอี้หลิน “ค่ะแม่”
เฟิงหว่านอุ้มเถาเหนียนซีขึ้นมากล่าวคำอำลากับเซี่ยชิงหยวน และกลับบ้านไป
เซี่ยชิงหยวนตบไหล่เสิ่นอี้หลินที่ยืนเขย่งเท้าแล้วมองตามคู่แม่ลูก “คนเขาไปแล้ว นายยังดูอยู่อีกเหรอ?”
ใบหน้าของเสิ่นอี้หลินเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที “ผมเปล่าสักหน่อย!”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มกริ่ม “นายกับเธอห่างกันสามปีพอดี เป็นเรื่องที่ดีนะที่จะหาลูกสะใภ้ตั้งแต่ยังเล็ก แต่ยังไม่ใช่ความคิดที่ดีที่จะเริ่มปลูกความสัมพันธ์ในตอนนี้หรอก”
คราวนี้เสิ่นอี้หลินหน้าแดงจนถึงโคนคอของเขาแล้ว
เขาตะโกนทันที “ผมไม่สนใจพี่อีกต่อไปแล้ว!”
เขาสะบัดก้นหนีแล้ววิ่งกลับเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและส่ายหัว
หญิงสาวพิงประตู มองดูเมฆสีแดงที่ลอยอยู่นอกบ้าน และดวงอาทิตย์สีแดงเพลิงที่กำลังตกหลังภูเขาแล้วหรี่ตาลง
ภายในสองวันก็น่าจะได้เห็นอะไรดี ๆ ได้แล้วแหละ
…
วันนี้ฉินซูอวี้กลับบ้านหลังจากเลิกงาน เห็นได้ชัดว่ามีอารมณ์ไม่ดีมาก
วันนี้ทั้งวัน เพื่อนร่วมงานของเธอที่สถาบันธรณีวิทยามองตัวเองด้วยสายตาแปลก ๆ
ทุกครั้งที่เธอเดินลับไป พวกเขาจะพูดคุยอะไรบางอย่างกัน และเมื่อเธอกลับมาพวกเขาก็เงียบทันที
เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นและน่าจะเกี่ยวข้องกับเธอ
หญิงสาวยังได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับเซี่ยชิงหยวนเมื่อวานนี้ด้วย
ตอนที่เสิ่นอี้โจวยังอยู่ที่สถาบันธรณีวิทยาของเมืองเตียนเฉิง เขาได้ติดต่อกับผู้คนจากสถาบันธรณีวิทยาประจำมณฑลด้วย
ตอนนั้นเขามาที่นี่เพื่อศึกษาดูงาน ซึ่งบอกได้เลยว่าความสามารถของเขาทำให้คนอื่นตกตะลึง และหลายคนก็พูดถึงหลังจากที่เขากลับไป
ดังนั้นทันทีที่คนอื่นได้ยินว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับภรรยาของเสิ่นอี้โจว ความสนใจก็เพิ่มขึ้นทันที
มีคนมาถามเธอด้วยว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่
เธอไม่ได้ตอบปฏิเสธหรือตอบว่าใช่ แค่ตอบว่า “ฉันไม่รู้” เท่านั้น
แม้เธอจะไม่ได้ยินเรื่องแบบนี้ตอนที่อยู่ในเมืองเตียนเฉิง แต่เธอก็ยังปล่อยให้ข่าวลือแพร่กระจายมากขึ้นเรื่อย ๆ ในสถาบันธรณีวิทยา
หญิงสาวมีความสุขเล็ก ๆ โดยคิดว่าเซี่ยชิงหยวนก็มีวันที่ต้องทุกข์ทนเช่นกัน
ในความเห็นของฉินซูอวี้ เธอไม่ใช่คนปล่อยข่าวลืออยู่แล้ว ดังนั้นทำไมต้องชี้แจงเรื่องของเซี่ยชิงหยวนให้คนอื่นฟังด้วยล่ะ?
ทว่าในวันนี้กระแสข่าวลือก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และทุกคนเริ่มมองเธออย่างแปลก ๆ แทน
คนที่เป็นประเด็นคือเซี่ยชิงหยวนชัด ๆ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอ?
ฉินซูอวี้รู้สึกงุนงง ด้วยอารมณ์หดหู่เช่นนี้ เธอจึงกลับบ้านหลังจากเลิกงานทันที
แต่สิ่งที่เธอไม่คาดคิดก็คือคนในเขตที่พักอาศัยก็มองเธอแปลก ๆ เช่นกัน!
ขณะที่เธอเดินผ่านถนนสายเล็ก จู่ ๆ เธอก็ได้ยินชื่อของตัวเอง
ฉินซูอวี้เห็นพวกป้าแม่บ้านคุยกันอยู่ตรงหัวมุมถนน หนึ่งในนั้นพูดว่า “นี่คุณฉินก็ชอบเลขาธิการเสิ่นด้วยเหรอ?”
มีคนตอบว่า “มันจะไม่ถูกต้องได้ยังไง? ข่าวลือเกี่ยวกับภรรยาของเลขาธิการเสิ่นในครั้งนี้ ฉันได้ยินมาว่าเธอเป็นคนแพร่ข่าวลือนะ!”
“ใช่เหรอ? แต่ฉันได้ยินมาว่าเป็นลูกสาวของผู้อำนวยการเซี่ยที่เป็นคนสร้างข่าวลือนี่นา? มีคนบอกว่าเธอทำเพื่อเอาคืนให้คุณฉินที่เคยถูกรังแก”
“ไม่ใช่ ดูเหมือนว่านายน้อยฉีจะชอบคุณฉิน และคุณเซี่ยก็อิจฉาต่างหาก ดังนั้นคุณเซี่ยจึงจงใจใส่ร้ายคุณฉินไงล่ะ”
“เป็นไปได้ยังไง? คุณเซี่ยเป็นคนดีมากนะ เธอเคยเห็นคุณเซี่ยทะเลาะกับใครบ้างไหม? เธอจะวางแผนจัดฉากคนอื่นแบบนี้ได้ยังไง?”
“ถูกต้อง ฉันเชื่อว่าคุณฉินเป็นคนทำ มีโอกาสสูงกว่าด้วย”
“นี่ แล้วพวกเธอคิดว่าเรื่องเกี่ยวกับภรรยาของเลขาธิการเสิ่นนั้นจริงไหม? ฉันได้ยินมาว่า คุณฉินบอกว่าเธอเห็นคุณนายเสิ่นไปหาหมอฮวงเพื่อรับการรักษาด้วย”
“หมอฮวงที่อยู่ในโรงพยาบาลประจำมณฑลน่ะเหรอ? ที่เธอเชี่ยวชาญด้านนั้นใช่ไหม? …ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องจริงนะเนี่ย”
หลังจากพูดถึงเรื่องนี้แล้ว หลายคนก็เริ่มหวาดกลัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่พูด เสียงของพวกเธอก็เบาลงและเบาลง
ฉินซูอวี้แอบรับฟังอยู่ในมุมลับตา และอดไม่ได้ที่จะกัดฟันกรอด
จื่ออี้!
เซี่ยจื่ออี้อีกแล้ว!
เซี่ยจื่ออี้เป็นคนที่บอกเธอก่อนหน้านี้ว่าเห็นเซี่ยชิงหยวนกำลังรับการรักษาจากหมอฮวง และบอกเธอว่าอย่าบอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะจะทำให้ชื่อเสียงของเซี่ยชิงหยวนเสียหาย
เธอไม่สนใจเรื่องนี้เลย และลืมมันไปนานแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องนี้จะหลุดจากปากของเธอ
และแน่นอน ฉินซูอวี้ไม่คิดว่าเซี่ยชิงหยวนจะทำลายชื่อเสียงของตัวเองเพียงเพื่อจัดการกับตน
ท้ายที่สุด หากเซี่ยชิงหยวนมีความคิดนี้จริง มันจะเป็นการฉลาดกว่าไหมที่จะหยิบเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองเตียนเฉิงมาปล่อยข่าวออกไป แทนที่จะทำให้ชื่อเสียงตัวเองถูกตั้งคำถามไปด้วย
ในความเห็นของเธอ ไม่มีใครอื่นนอกจากเซี่ยจื่ออี้ที่สามารถทำสิ่งนี้ได้!
เซี่ยจื่ออี้ดีกว่าเธอในทุกเรื่องอยู่แล้ว แม้แต่แม่ของเธอเองก็ชอบเซี่ยจื่ออี้มากกว่า แล้วทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงยังไม่พอใจอีก?
หรือเพียงเพราะในวันนั้นถูกฉีจิ่นจือหมางเมิน และเขาก็มาพูดคุยกับเธอแค่สองสามคำก็เลยอิจฉา?
ผลักเธอให้ตกลงในนาอย่างเดียวไม่พอ แต่ยังจะทำลายเธอด้วยวิธีนี้อีกเหรอ?
และคนเหล่านั้น ทำไมพวกเขาถึงไม่คิดบ้างว่าเซี่ยจื่ออี้ก็สามารถทำเรื่องเลวทรามได้?
มันกลับกลายเป็นว่าพอมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น ทุกคนกลับมองว่าเธอทำได้เป็นเรื่องปกติ แต่เซี่ยจื่ออี้กลับไม่มีทางทำได้! ทำไม!
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ฉินซูอวี้ก็โกรธมากจนเกือบจะเสียสติ
ความโกรธในอกของเธอล้นหลาม และหันไปทางบ้านของเซี่ยจื่ออี้เพื่อจะไปสอบถามรายละเอียด
ฉินซูอวี้ก้าวไปเพียงสองก้าวเท่านั้นก็พบกับเฟิงหว่าน ซึ่งกำลังเดินมาทางเธอโดยมีเถาเหนียนซีอยู่ในอ้อมแขน
เมื่อเฟิงหว่านเห็นฉินซูอวี้ เธอก็พยักหน้าทักทาย “คุณฉิน”
จากนั้นเฟิงหว่านก็เดินเข้ามาหยุดในระยะประชิด
เมื่อบรรดาป้าแม่บ้านที่รวมตัวกันได้ยินคำทักทาย พวกเธอก็ตกใจกลัวจนเงียบไปทันที
อะไรจะน่ากลัวกว่าการนินทาคนอื่นแล้วถูกคนนั้นได้ยินล่ะ?
พวกเธอไม่กล้าออกไป และเริ่มผลักกันเอง แต่จากนั้นก็รีบเดินหนีไปจากทางด้านข้าง
ฉินซูอวี้เห็นว่าเฟิงหว่านดูเหมือนมีอะไรจะถาม ดังนั้นเธอจึงยืนอยู่กับที่ หายใจเข้าลึกและรอให้อีกฝ่ายพูดออกมา
บทที่ 343 เขาโกหก
บทที่ 343 เขาโกหก
อาหารทำเสร็จจากร้านไว้แล้ว เซี่ยชิงหยวนเพียงแค่ใส่กล่องและออกจากร้านก็ได้แล้ว
แค่ต้องหุงข้าวเพิ่มอีกจานหนึ่งเท่านั้น
ที่ร้านมีอุปกรณ์สำหรับทำอาหารเองในครัวเล็ก ในตอนเที่ยง หลินตงซิ่วและเฉิงซวงจือสามารถปรุงอาหารกลางวันได้ที่นี่
เซี่ยชิงหยวนใช้หม้อดินเผาในการหุงข้าว และที่กว่างโจวมีอาหารอันโอชะอีกอย่างหนึ่งที่เรียกกันว่า ข้าวอบหม้อดิน
หลังจากที่ข้าวพร้อมแล้วก็เทซุปราดลงไป และข้าวขาวก็กลายเป็นมันเงาทันที
เมล็ดข้าวจะมีลักษณะเฉพาะ ส่วนของก้นหม้อจะไหม้เล็กน้อยเพื่อให้ความหอม เหตุที่ใช้หม้อดินเพราะว่าเก็บความร้อนได้ค่อนข้างดี ดังนั้นเมื่อเอาไปส่งก็จะยังร้อนอยู่
เซี่ยชิงหยวนวางเครื่องในเนื้อวัวและหัวไชเท้าไว้ด้านบน เช่นเดียวกับลูกชิ้นที่เด้งดึ๋ง จากนั้นลวกผักสองสามอย่างลงในต้มเครื่องในเนื้อวัวแล้วโปะไว้ด้านบนอีกที
ทั้งยังตักกิมจิใส่ถ้วยเล็ก ๆ แยกไปด้วยเพื่อตัดเลี่ยน
หลังจากเตรียมสิ่งเหล่านี้เสร็จก็เกือบจะสิบเอ็ดโมงแล้ว
เซี่ยชิงหยวนเก็บของเหล่านี้ในตะกร้าไม้ไผ่ จากนั้นคลุมด้วยผ้าหลายชั้น แล้วหยิบแอปเปิลที่เธอซื้อมาอีกสองผลในตอนเช้า ก่อนจะบอกกับหลินตงซิ่ว แทรกตัวผ่านฝูงชนในร้านแล้วไปโรงพยาบาล
…
เซี่ยชิงหยวนเคาะประตูก่อน และจากนั้นเสียงเย็นชาของฉีจิ่นจือก็ดังมาจากข้างใน “เข้ามา”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนเปิดประตูและเข้าไปข้างใน เธอก็เห็นเขานั่งอยู่บนขอบเตียงมองออกไปนอกหน้าต่าง
เธอกระแอมในลำคอและพูดทัก “คุณฉี?”
แผ่นหลังของฉีจิ่นจือถึงกับสะดุ้ง จากนั้นเธอก็เห็นเขาจับหน้าท้องและพยายามเก็บอาการ “คุณมาแล้วเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนคิดว่าเขาเจ็บแผล ดังนั้นเธอจึงรีบวางตะกร้าลงและเข้าไปช่วย “เจ็บแผลอีกแล้วเหรอ?”
เธอเพิ่งได้ยินพยาบาลข้างนอกบอกว่าใกล้จะตัดไหมได้แล้ว มันไม่ควรจะเจ็บมากขนาดนี้
ฉีจิ่นจือยอมรับการช่วยประคองจากเซี่ยชิงหยวน และเอนกายลงบนเตียงโดยมีหมอนหนุนอยู่ด้านหลัง
เซี่ยชิงหยวนเหลือบมองบาดแผลของเขา “ฉันจะเรียกหมอมาดูให้นะ”
“ไม่จำเป็น” ฉีจิ่นจือคว้าข้อมือของเธอแล้วรีบปล่อย “เดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง”
พอเห็นท่าทางเขาแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ไม่ได้เซ้าซี้เช่นกัน
เธอหยิบตะกร้ามาตั้งบนโต๊ะเล็ก ๆ ข้างเตียง จากนั้นหยิบหม้อดินออกมาแล้วพูดว่า “ตอนเที่ยงฉันทำข้าวหม้อดินให้คุณ และพวกเครื่องในวัวก็เป็นของจากร้านฉันเอง”
หญิงสาวกล่าวเสริม “ฉันเพิ่งเปิดร้านอาหารบนถนนอาหารและแม่สามีของฉันก็คอยดูแลมันน่ะ”
ดวงตาของฉีจิ่นจือพลันเป็นประกายขึ้นมาเมื่อได้ยินเซี่ยชิงหยวนบอกว่าเธอทำอาหารกลางวันให้เขาเอง
เขาเหลือบมองเซี่ยชิงหยวน ซึ่งเธอกำลังจดจ่ออยู่กับการเตรียมตะเกียบด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน
เขาพยายามสงบอารมณ์ของตัวเองลงอย่างรวดเร็วก่อนจะพูดว่า “ผมคิดว่าคุณจะไม่มาซะแล้ว”
การเคลื่อนไหวของเซี่ยชิงหยวนชะงักไปชั่วคราว
แน่นอนว่าเธอรู้สึกผิด
เธอพูดได้เพียงว่า “สองวันมานี้ฉันยุ่งมากและไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้เลยน่ะ แต่ฉันได้สั่งให้ป้าอู๋ทำอาหารด้วยตัวเองแล้ว”
เซี่ยชิงหยวนมองดูเขาแล้วพูดอีกครั้ง “แต่วันนี้ฉันว่างแล้ว เลยเอาอาหารมาให้คุณเองได้”
หลังจากนั้นเธอก็ยื่นตะเกียบให้เขา
ฉีจิ่นจือพยักหน้า “ขอบคุณ” และไม่ได้พูดอะไรอีก
แต่ตอนที่เขาเอื้อมมือไปรับตะเกียบ นิ้วของเขาก็ไปสัมผัสกับเธอโดยไม่ได้ตั้งใจ
มันเป็นเพียงการสัมผัสชั่วขณะ ช่างเบาราวกับขนนก ไม่มีแม้แต่ระลอกคลื่นของอารมณ์
อย่างน้อยในความเห็นของเซี่ยชิงหยวนก็เป็นอย่างนั้น
เธอลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงโดยวางแผนที่จะเอาหม้อดินกลับไปด้วยหลังจากที่เขากินเสร็จ
ฉีจิ่นจือเปิดฝาออก ข้าวหม้อดินสไตล์เมืองกว่างโจวที่คุ้นเคยและหัวไชเท้ากับเครื่องในวัวก็อยู่ตรงหน้า
ครั้งหนึ่งในฤดูหนาวที่เปียกชื้น เขาพาฟู่ชุนไจ่ไปกินต้มเครื่องในและหัวไชเท้าแบบต้นตำรับในตรอก
ทว่าหลังจากแสร้งทำเป็นตายและหลบหนี เขาก็ไม่ได้เห็นฟู่ชุนไจ่อีกเลย
สำหรับคนที่ยอมตายแทนพวกพ้องได้เหมือนเขา อีกฝ่ายคงเสียใจมากเมื่อทราบข่าวการเสียชีวิตของเขา
พอคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของฉีจิ่นจือก็เย็นชาขึ้นมา
ใช่แล้ว ทำไมคนที่มืดมิดอย่างเขาถึงพยายามคว้าหาแสงที่อบอุ่นทันทีที่มีคนยื่นมอบให้กันนะ?
ช่างเป็นความคิดที่ฝันเฟื่องจริง ๆ
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของฉีจิ่นจือ และเธอก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเป็นแบบนี้
เขาไม่ชอบข้าวของเธอเหรอ?
แต่เมื่อกี้เธอเห็นความสุขและอารมณ์ในดวงตาของเขาอย่างชัดเจน
เดิมทีเธอต้องการใช้ข้าวหม้อดินเพื่อสร้างความสัมพันธ์ เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องสนใจเรื่องในกว่างโจวและเลิกล้มความคิดที่เขาจะปิดปากเธอ
เป็นไปได้ไหมว่าตอนนี้เขากำลังต่อสู้กับความคิดในใจของตัวเอง?
เซี่ยชิงหยวนถามอย่างลังเล “มันไม่ถูกใจคุณเหรอ?”
ฉีจิ่นจือส่ายหัว “เปล่า”
เซี่ยชิงหยวน “ถ้างั้นคุณชอบกินอะไรล่ะ? พรุ่งนี้ฉันจะทำมาให้คุณดีไหม?”
เธอหยุดชั่วคราว “หมี่เกี๊ยว ก๋วยเตี๋ยวหลอด ไก่ผัดขิงหัวหอม ห่านพะโล้ หรือข้าวขาหมู?”
เมื่อพูดถึงข้าวขาหมู ในที่สุดฉีจิ่นจือก็หันมามองเธอ
เซี่ยชิงหยวนเลิกคิ้วขึ้นทันที “ฉันทำข้าวขาหมูได้ค่อนข้างดีทีเดียวนะ โดยเฉพาะหลังจากกินเข้าไป คุณอาจจะได้รับการบำรุงด้วยเพราะผู้หญิงที่อยู่ไฟมักจะกินมันกันน่ะ”
ฉีจิ่นจือ “…”
เขาเหมือนมีคนร้ายสองคนทะเลาะกันอยู่ข้างในหัว คนหนึ่งบอกให้เขาเพิกเฉยและปฏิบัติต่อเธออย่างเย็นชา แต่อีกคนกลับล่อลวงเขาโดยบอกว่ามันอบอุ่นแค่ไหนที่ได้อยู่ใกล้เธอ
การต่อสู้ระหว่างสวรรค์และนรก เธอกลับบังเอิญพูดคำพูดเช่นนี้
เขาถอนหายใจโดยไม่รู้ว่าตัวเองต้องรู้สึกอย่างไร
ทั้งการแสดงออกที่ทำอะไรไม่ถูกและความน่ากลัวที่ฉายบนใบหน้าของเขา กลับสื่อความไปอีกนัยหนึ่ง
เซี่ยชิงหยวนตกใจมากจนลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วพูดว่า “ได้ ได้ ฉันจะทำให้พรุ่งนี้เลย”
เธอพูดในใจ ‘ตราบใดที่เขาไม่ทำตัวเหมือนคืนนั้นในโรงแรม เธอจะทำอาหารให้เขาไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม!’
ฉีจิ่นจือ “…”
จู่ ๆ เขาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา พลันนวดขมับตัวเอง
ช่างเถอะปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนี้ดีแล้ว
เขาหยุดคุยกับเซี่ยชิงหยวนและก้มหน้าลงเพื่อกินอาหาร
ไม่ว่าจะเป็นข้าวหม้อดิน เครื่องในวัวที่ตุ๋นจนนุ่ม หรือเครื่องเคียงที่เซี่ยชิงหยวนเตรียมไว้ เขาก็กินจนหมดไม่เหลือ
คอของเขามันจุกและเจ็บแปลก ๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสำลักข้าว หรือเพราะน้ำตาที่พานจะไหลออกมาไม่หยุดกันแน่
เมื่อเขากินเสร็จ ท้องของเขาก็แน่นและไม่ค่อยสบายตัวเท่าไหร่นัก
แต่เขาไม่ได้แสดงมันออกมา
เขาเช็ดปากด้วยทิชชูแล้วพูดว่า “อาหารวันนี้อร่อยมาก ขอบคุณครับ”
อาหารที่อบอุ่นอย่างนี้ ดูเหมือนว่าตั้งแต่ยังเด็กจนโตก็มีเพียงตอนที่เขาติดตามคนคนนั้นถึงจะได้กิน
เพียงแต่ทักษะการทำอาหารของชายคนนั้นแย่มากจนเขาไม่ชอบอาหารเลยด้วยซ้ำ “ช่างมันเถอะ อย่ากินมันเลย อาจารย์จะพานายออกไปกินข้าวข้างนอกเอง”
โจวโม่เป็นหญิงสาวจากครอบครัวนักวิชาการ นิ้วทั้งสิบของเธอไม่เคยสัมผัสน้ำในฤดูใบไม้ผลิด้วยซ้ำ เธอไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ดังนั้นนับประสาอะไรกับการดูแลฉีจิ่นจือ
ต่อมาเธอขายของมีค่าทั้งหมดและล้มป่วยอีก เมื่อแม่และลูกชายหิวมากจนกินได้แต่น้ำเย็นเท่านั้น พวกเขาก็ไม่เคยขอความช่วยเหลือจากตระกูลโจวเลย
เพื่อที่จะเลี้ยงตัวเองและโจวโม่ ฉีจิ่นจือจึงต้องไปต่อสู้แย่งชิงอาหารกับกลุ่มเด็ก ๆ หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ที่สูงกว่าตนมาก เขาถูกทุบตีจนหัวโชกเลือด และไม่ยอมให้อาหารที่เขาปกป้องไว้ในอ้อมแขนแก่คนอื่น
เขากลับบ้านด้วยสภาพจมูกและใบหน้าบวมปูดแทบตลอด แต่แทนที่จะได้รับความรักและความเอาใจใส่ของแม่ เขากลับต้องเผชิญกับการดุด่าและไม้เรียว
การรอคอยหลายปีทำให้โจวโม่กลายเป็นผู้หญิงหัวรุนแรงและบ้าคลั่ง
เธอรอให้ฉีหยวนซานบอกว่าเขาจะแต่งงานกับเธอ จนกระทั่งถึงช่วงสุดท้ายของชีวิตเธอเอง เธอก็ยังรอเขาอยู่
ในคืนที่โจวโม่ตาย มือที่ผอมเหลือแต่กระดูกหุ้มหนังจับฉีจิ่นจือไว้แน่น และดวงตาของเธอก็เบิกกว้างจนแทบจะถลนออกมา
เธอมองไปยังหน้าต่างแคบ ๆ แล้วพูดซ้ำ ๆ “จิ่นจือ เขาโกหกแม่!”
นี่เป็นคำพูดสุดท้ายที่เธอทิ้งไว้ให้เขา
ฉีจิ่นจือวัยเจ็ดขวบห่อโจวโม่ด้วยเสื่อฟางแล้วลากเธอไปที่สุสานด้วยร่างที่ผอมบางของตัวเอง
ขั้นแรกเขาขุดหลุมด้วยไม้ แล้วต่อมาจึงขุดหลุมศพให้เธอด้วยมือเปล่า
ในเวลานั้นเองที่เขาได้พบกับคนหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตของตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถดึงเขาออกจากหลุมลึกในใจได้
เซี่ยชิงหยวนสังเกตท่าทีของฉีจิ่นจืออย่างระมัดระวัง และเมื่อเธอเห็นว่าเขาไม่มีอะไรผิดปกติ หัวใจของหญิงสาวก็กลับมาสงบ
เธอเทน้ำมาหนึ่งแก้วแล้วพูดว่า “ดื่มน้ำล้างปากหน่อยสิ”
ฉีจิ่นจือเหลือบมองน้ำในมือของเธอ และกำลังจะหยิบมา แต่เวลานั้นเองประตูห้องก็ถูกเปิดจากด้านนอก
เซี่ยจื่ออี้ถือกล่องอาหารกลางวันหุ้มฉนวนเก็บความร้อนไว้ในมือพร้อมรอยยิ้มบนริมฝีปาก “จิ่นจือ ฉันเอาข้าวมาให้คุณ…”
ทว่าพอเธอเห็นเซี่ยชิงหยวนอยู่ในห้อง รอยยิ้มนั่นก็แข็งค้างไป “คุณนายเสิ่น ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ละ?”
เธอไม่เรียกว่า ‘ชิงหยวน’ อย่างที่ชอบแสร้งเรียกแบบคุ้นเคยอีกแล้ว ตอนนี้มันกลายเป็น ‘คุณนายเสิ่น’
บทที่ 338 เธอต้องการให้ฉันตาย
บทที่ 338 เธอต้องการให้ฉันตาย
นี่เป็นครั้งแรกที่เซี่ยชิงหยวนแสดงความเกลียดชังต่อใครบางคนอย่างตรงไปตรงมา
เธออยากจะให้เซี่ยจื่ออี้ตาย
เสิ่นอี้โจวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเข้าใจว่า ‘เธอ’ ที่เซี่ยชิงหยวนกำลังพูดถึงคือใคร
เขาปล่อยเซี่ยชิงหยวนและมองดูเธอโดยตรง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้น เขาไม่รู้ว่าเกิดขึ้นได้ยังไง
พวกผู้ชายกำลังตกปลาริมทะเลสาบ ผู้หญิงกำลังคุยกัน และเด็ก ๆ กำลังเล่นอยู่บนเนินเขา
ตำแหน่งที่ทุกคนอยู่นั้นมองเห็นได้กว้างไกลและมองเห็นได้ทั้งหมดโดยไม่มีใครคิดว่าสิ่งรอบตัวจะก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ
แม้ว่าเด็ก ๆ จะเล่นอยู่รอบวัว แต่เจ้าของวัวก็อยู่ที่นั่นและพวกผู้ใหญ่ก็คิดว่าแค่ให้คำแนะนำเพียงไม่กี่คำก็เพียงพอแล้ว
แต่ใครจะคิดว่าจู่ ๆ วัวที่เชื่องอยู่กลับกลายเป็นบ้าไปได้?
เกือบทุกคนเชื่อโดยไม่รู้ตัวว่าเด็ก ๆ ตั้งใจทำให้วัวโกรธ
แต่ตามคำพูดของเซี่ยชิงหยวน เรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเซี่ยจื่ออี้
แต่แล้วพยานล่ะ? หลักฐานอยู่ที่ไหน?
ไม่มีเลย
นั่นคือสิ่งที่ยุ่งยาก
ต่อให้พวกเขารู้ว่าเป็นเซี่ยจื่ออี้ แต่หากตระกูลฉีไม่ได้ติดตามเอาความเรื่องนี้ พวกเขาก็ไม่มีทางทำอะไรเธอได้
และเซี่ยจื่ออี้ก็สามารถแก้ตัวให้ตัวเองได้โดยสิ้นเชิงโดยบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ
นั่นเป็นสาเหตุที่เซี่ยชิงหยวนรู้สึกอัดอั้นใจมาก
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ฉันเห็นเธอพูดอะไรบางอย่างกับเด็กคนหนึ่ง และวัวก็บ้าแทบจะในทันทีที่เด็กคนนั้นวิ่งกลับไปที่วัว”
เธอพยายามอย่างหนักที่จะนึกถึงเหตุการณ์นั้น “มือของเธอสัมผัสหญ้าในมือของเด็กอยู่สองสามครั้ง”
เธอเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นอี้โจว และพูดด้วยน้ำเสียงสิ้นหวัง “แต่ฉันไม่มีหลักฐาน”
มันเป็นความรู้สึกไร้พลังอย่างแท้จริง ทั้ง ๆ ที่คุณรู้อย่างชัดเจนว่าใครเป็นตัวต้นเหตุ แต่กลับไม่มีทางพิสูจน์ได้
คิ้วของเสิ่นอี้โจวขมวดเข้าหากันแน่นทันทีที่ได้ยิน
เขากอดเซี่ยชิงหยวนไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง “ผมประมาทในเรื่องนี้เอง ผมขอโทษนะ”
พระเจ้ารู้ดีว่าเขารู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นวัวตัวนั้นกำลังจะวิ่งชนเซี่ยชิงหยวน
มือของเขาสั่นมาก แม้จะเป็นตอนหลังจากที่ส่งฉีจิ่นจือเข้าโรงพยาบาลก็ตาม
เขาคิดว่าจะสูญเสียเธอไปอีกครั้งแล้ว
ภายใต้ใบหน้าอันสงบนิ่งของเขามีคลื่นอันปั่นป่วน เขาหลอกลวงทุกคน ยกเว้นตัวเขาเอง
ในเวลาเพียงสิบวินาทีของการวิ่ง เขาเกือบจะคาดการณ์ถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดได้แล้ว
เขาคิดว่าคงต้องพยายามเกิดใหม่กับเธอให้ได้อีกครั้ง
ขณะเดียวกัน เซี่ยชิงหยวนก็น้ำตาไหลและสะอื้นออกมา “ผู้หญิงคนนั้นต้องการให้ฉันตาย”
ถ้าเธอไม่รีบวิ่งไปและเป็นเสิ่นอี้หลินที่เคราะห์ร้าย ครอบครัวของพวกเธอคงจะไม่สงบสุขแน่
ตามนิสัยของเซี่ยชิงหยวน เธอจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต โดยโทษตัวเองที่ไม่ดูแลเสิ่นอี้หลินให้ดี
ฝ่ามือใหญ่ของเสิ่นอี้โจวลูบแผ่นหลังบางของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อพยายามทำให้อารมณ์ของภรรยาสงบลง
“เธอจะทำไม่สำเร็จแน่นอน” เขาปลอบใจเซี่ยชิงหยวน “ครั้งหน้าหรือในอนาคตที่คุณเจอเธอให้ระวังไว้ด้วยนะ ส่วนที่เหลือให้ผมจัดการเอง”
ภายใต้เปลือกนอกที่สวยงามของเซี่ยจื่ออี้ มีจิตวิญญาณที่บิดเบี้ยวซ่อนอยู่
เธอบ้ากว่าที่เขาคิดมาก
เขาต้องใช้มาตรการบางอย่างเพื่อจัดการเธอ เขาหยุดชั่วคราวและปลอบใจต่อไป “ถ้าเธอทำอะไรผิดก็จะมีกฎหมายตัดสินเธอ มันไม่คุ้มค่าถ้าคุณจะทำอะไรให้ตัวเองต้องเสี่ยงนะ”
ตราบใดที่เซี่ยจื่ออี้เป็นลูกสาวของเซี่ยเจิ้ง กฎหมายจะทำอะไรได้บ้าง?
เช่นเดียวกับที่ฉีหยวนซานวางเพลิงทั้งโรงแรมใช้ชีวิตคนนับร้อยมาเสี่ยง เพื่อที่จะเปลี่ยนประวัติของฉีจิ่นจือและทุกวันนี้ก็ยังสามารถเดินอยู่ได้สบาย ๆ
ตราบใดที่มีอำนาจอย่างท่วมท้น กฎหมายจะทำอะไรได้?
เสิ่นอี้โจวถอนหายใจ กอดเธอแล้วพูดว่า “แม้เธอจะเป็นลูกสาวของเซี่ยเจิ้ง ผมก็จะไม่ปล่อยให้เธอทำร้ายคุณอีก เรายังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำและเราต้องมีชีวิตอยู่ด้วยกันอีกยาว ดังนั้นสัญญากับผมนะ ว่าจะไม่หุนหันพลันแล่น?”
หัวใจของเซี่ยชิงหยวนรู้สึกขมขื่น ซุกไหล่ของเขาแล้วตอบว่า “ตกลง ฉันสัญญา”
ในที่สุดหัวใจของเสิ่นอี้โจวก็ผ่่อนคลายลงได้บ้าง เขาจูบผมของภรรยาและกอดเธอไว้อย่างเงียบ ๆ
เขารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ทำให้เซี่ยชิงหยวนถูกกระตุ้นอย่างมาก ซึ่งทำให้เธอมีความคิดเช่นนั้น
เขาต้องการดึงเธอกลับมา
หากมีใครคนใดที่ต้องเดินในเส้นทางที่มืดมิด คนนั้นต้องเป็นเขา ไม่ใช่เธอ
…
ถึงช่วงเย็น ญาติของป้าอู๋ก็มาถึง
ญาติของป้าอู๋มีความสูงปานกลางประมาณ 1.65 เมตร รูปร่างค่อนข้างแข็งแรง ผิวสีแทน ผมสั้นถึงหู มีกิ๊บสีดำติดไว้ด้านหลังใบหูอย่างพิถีพิถัน แม้เสื้อผ้าจะขาวซีดนิดหน่อยจากการซัก แต่ก็สะอาดเป็นระเบียบ และทั้งคนให้ความรู้สึกที่สะอาดและเรียบร้อย
เธอเดินตามป้าอู๋เข้ามาและยืนอยู่ข้างโซฟา ก้มศีรษะลงและไม่ได้มองไปรอบ ๆ
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “รอสักครู่นะ ผมจะเรียกให้ภรรยาของผมลงมา”
ด้วยการปลอบของเสิ่นอี้โจว เซี่ยชิงหยวนจึงผล็อยหลับไป
ในระหว่างนอนหลับ เธอขมวดคิ้วและไม่สงบเลย ทั้งยังตื่นขึ้นมาเป็นระยะ ๆ เห็นได้ชัดว่าตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนกลางวันมากแค่ไหน
เมื่อเธอลงมาชั้นล่าง ใบหน้าก็ซีดผิดปกติ
ป้าอู๋ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเขตชานเมือง และคิดว่าเป็นเพราะเซี่ยชิงหยวนเหนื่อยเกินไปจากการออกไปเที่ยวเล่นในวันนี้เท่านั้น
ป้าอู๋พูดขึ้น “คุณนายคะ นี่คือญาติที่ฉันพูดถึง เธอชื่อเฉิงซวงจือค่ะ”
เฉิงซวงจือพยักหน้าให้เซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจว และเรียกว่า “คุณผู้ชาย คุณนาย”
เซี่ยชิงหยวนประทับใจเฉิงซวงจือตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
เธอถามคำถามง่าย ๆ สองสามข้อกับเฉิงซวงจือ และอีกฝ่ายก็ตอบอย่างจริงจัง เห็นได้ชัดว่าเฉิงซวงจือเป็นคนที่มีทัศนคติที่ดีเลย
เฉิงซวงจือกล่าวว่า “ขอบคุณน้ำใจของคุณผู้ชายและคุณนายมากนะคะ ฉันอาศัยอยู่ที่มณฑลอวิ๋นกับลูกสาวมาหลายปีแล้ว และปกติแล้วฉันได้รับการดูแลโดยครอบครัวของพี่สาวอู๋น่ะค่ะ ตอนนี้เธอแนะนำฉันให้รู้จักงานนี้ ฉันจะทำงานอย่างหนักเพื่อตอบแทนบุญคุณต่อครอบครัวของพี่สาวอู๋อย่างแน่นอนค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าและยกริมฝีปากขึ้น “เงินเดือนต่อเดือนอยู่ที่หกสิบหยวนไปก่อนชั่วคราวนะคะ เมื่อธุรกิจของร้านค้าเริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วจะมีเงินเพิ่มให้แน่นอนค่ะ ตอนนี้เป็นช่วงแรกของการเปิดร้าน ฉันต้องขอรบกวนคุณและแม่สามีของฉันด้วยนะคะ และในอนาคต หากคุณมีความต้องการใด ๆ เพียงแค่เอ่ยมาได้เลยนะคะ”
หลังจากได้ยินคำพูดของเซี่ยชิงหยวน เฉิงซวงจือก็มีความสุขมาก
ดูเหมือนว่าเซี่ยชิงหยวนจะน่ารักและเข้ากับคนง่ายจริง ๆ อย่างที่ป้าอู๋พูดเลย
ตราบใดที่คุณทำงานหนัก คุณจะได้รับการปฏิบัติอย่างดี
สุดท้ายเซี่ยชิงหยวนได้นัดหมายกับเฉิงซวงจือเพื่อเริ่มทำงานอย่างเป็นทางการในวันมะรืนนี้ และแจ้งให้อีกฝ่ายรู้ที่ตั้งของร้าน
เมื่อเสร็จเรื่องของเฉิงซวงจือ เซี่ยชิงหยวนก็ลูบคิ้วด้วยความเหนื่อยล้า
เสิ่นอี้โจวเดินเข้ามานวดขมับของเธอทั้งสองข้างทันที
จู่ ๆ เซี่ยชิงหยวนก็นึกถึงอะไรบางอย่างได้ จึงหันไปมองแล้วพูดว่า “อี้โจว พรุ่งนี้ไปโรงพยาบาลกับฉันเพื่อเยี่ยมฉีจิ่นจือทีนะ”
