บทที่ 350 โฉมหน้าที่แท้จริง
บทที่ 350 โฉมหน้าที่แท้จริง
เฟิงหว่านเดินไปหาฉินซูอวี้ และเถาเหนียนซีก็ตะโกนอย่างไพเราะในอ้อมแขนของเธอว่า “คุณน้า”
เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่ฉินซูอวี้จะทำหน้าตามืดหม่นโดยไม่มีเหตุผล
เธอตอบด้วยสีหน้าแข็งทื่อ “อื้ม”
เฟิงหว่านไม่สนใจ พลางวางเถาเหนียนซีลงและปล่อยให้เด็กน้อยเล่นอยู่ข้าง ๆ
เธอเหลือบมองฉินซูอวี้ด้วยสายตาที่สมเพชและพูดว่า “คุณฉิน คุณดูอารมณ์ไม่ดีเลยนะคะ?”
ฉินซูอวี้ลอบกัดฟันทันที เฟิงหว่านผู้นี้ไม่รู้เลยรึไงว่าอะไรควรทักอะไรไม่ควรทัก!
เธอถามกลับ “คุณนายเถาต้องการอะไรจากฉันหรือเปล่าคะ?”
เฟิงหว่านยิ้ม “จริง ๆ แล้วไม่มีอะไรเลยค่ะ เหตุผลหลักคือในช่วงสองวันที่ผ่านมาฉันได้ยินข่าวลือบางอย่างมาน่ะค่ะ ซึ่งดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับคุณฉิน และเราพบกันวันนี้ ฉันจึงมีสิ่งหนึ่งที่อยากจะเตือนคุณฉินน่ะค่ะ”
สายตาและคำพูดของเฟิงหว่านทำให้ฉินซูอวี้รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก
มันเหมือนกับว่าทุกคนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ตัวเองกลับถูกขังอยู่ในความมืดมิดเหมือนคนโง่
ฉินซูอวี้ถามกลับ “คุณหมายถึงอะไร?”
เฟิงหว่านเปิดริมฝีปากพูดขึ้น “ฉันแค่อยากจะบอกคุณฉินว่าหัวใจของผู้คนนั้นยากหยั่งถึง และบางครั้งคนที่ใกล้ตัวที่สุดก็อาจไม่ได้น่าไว้ใจที่สุด หากคุณยังแยกแยะให้ชัดเจนไม่ได้ก็จงระวังถูกหักหลังโดยที่ไม่รู้ตัวนะคะ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เฟิงหว่านก็ไม่สนใจการแสดงออกของฉินซูอวี้ และเดินจากไปโดยจูงเถาเหนียนซีไปด้วย
ฉินซูอวี้ยืนอยู่ที่นั่นตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อเธอรู้สึกตัวและต้องการให้เฟิงหว่านพูดให้กระจ่าง อีกฝ่ายก็จากไปแล้วพร้อมกับลูกแล้ว
เฟิงหว่านบอกว่าเธอกำลังถูกเซี่ยจื่ออี้หักหลังหรือเปล่า?
ว่าแต่เฟิงหว่านรู้ได้ยังไง?
เธอไม่คิดว่าเฟิงหว่านกำลังโกหกเลย เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรกับเฟิงหว่านสักนิด
ความโกรธที่ถูกทรยศและหลอกลวงโดยบุคคลที่ใกล้ชิดที่สุดได้ถาโถมเข้ามาในจิตใจของฉินซูอวี้ เธอใช้พลังอย่างมากในการควบคุมตัวเอง และไม่ไปตั้งคำถามกับเซี่ยจื่ออี้ในตอนนี้
ถ้าตอนนี้เธอไปหาด้วยความโกรธโดยไม่มีหลักฐาน เซี่ยจื่ออี้จะปฏิเสธและเล่นงานเธอกลับอย่างแน่นอน
หลายปีที่ผ่านมา เซี่ยจื่ออี้เก่งที่สุดในการใช้น้ำตาเพื่อเอาชนะความเห็นอกเห็นใจจากผู้คน
โดยเฉพาะเฉินหลี่ก็คงจะมาเล่นงานตัวเธอให้กับเซี่ยจื่ออี้แน่นอน
นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ฉินซูอวี้ระงับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองแบบนี้
เธอบังคับตัวเองให้เดินกลับบ้านอย่างยากลำบาก
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉินซูอวี้ตื่นเช้าตามปกติ
เมื่อคืนเธอไม่ได้นอนทั้งคืน ขอบตาก็ดำคล้ำและช้ำจนไม่อาจปกปิดได้
เฉินหลี่ทำงานในโรงพยาบาลและข่าวเกี่ยวกับฉินซูอวี้ยังไปไม่ถึงเธอ ยังไม่รู้ว่ากระแสเรื่องราวต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไป และยังไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ด้วย
เฉินหลี่เอื้อมมือไปสัมผัสรอยคล้ำใต้ตาของลูกสาว “ลูกคนนี้เป็นอะไรอีกเนี่ย?”
ฉินซูอวี้เอื้อมมือออกไปเพื่อปัดป้องและพูดเสียงเบา “เมื่อคืนหนูดื่มกาแฟแล้วนอนไม่หลับน่ะ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็ไม่ได้กินอาหารเช้าแล้วหยิบกระเป๋าออกจากบ้านไปทันที
เมื่อมองดูมือที่ถูกปัดออกของตัวเอง เฉินหลี่ก็รู้สึกถึงการสูญเสียอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เธอมองไปที่ฉินโย่วเหลียง “ตาเฒ่า เกิดอะไรขึ้นกับลูกน่ะ?”
ฉินโย่วเหลียงยังรู้สึกเมาค้างจากการเข้าสังคมเมื่อคืนนี้อยู่ และขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด “ไม่ใช่เพราะคุณรึไงที่สร้างปัญหาอีกแล้ว? ทุกวันนี้ผมไม่สามารถอยู่อย่างสงบได้เลยจริง ๆ! คืนนี้ไปกับผมที่บ้านของเลขาธิการเสิ่นเพื่อขอโทษซะ!”
หลังจากนั้นเขาก็ดื่มชาเพื่อดึงสติหนึ่งแก้วแล้วไปทำงาน
เฉินหลี่ตกตะลึงอย่างสิ้นเชิง “เกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี้เนี่ย? ทำไมฉันจะต้องไปขอโทษเสิ่นอี้โจวด้วย?”
เธอมองไปยังแม่บ้านที่ยืนอยู่ข้าง ๆ “เธอรู้อะไรไหม?”
แม่บ้านจะกล้าพูดอะไรได้ยังไง? แม่บ้านก้มหัวแล้วตอบด้วยเสียงเบา “คุณนายคะ คุณควรถามคุณผู้ชายเองจะดีกว่าค่ะ”
ถ้าเธอพูดออกไป เฉินหลี่อาจจะระบายความโกรธใส่ตัวเองก็ได้
จู่ ๆ เฉินหลี่ก็นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อนได้
เป็นเพราะเรื่องนี้เหรอ?
เธอใช้เงินไปบางส่วนเพื่อหาคนมากระจายข่าว ดังนั้นมันก็ไม่น่าจะมีใครสาวมาถึงตัวเธอได้นี่นา?
วันนั้นเซี่ยจื่ออี้มาที่บ้านเพื่อตามหาเธอ และเริ่มร้องไห้หลังจากพูดไปสองสามคำ
เธอถามว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นเซี่ยจื่ออี้ก็เล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับเซี่ยชิงหยวน และยังบอกด้วยว่าเซี่ยชิงหยวนจงใจแยกตัวเองออกจากฉินซูอวี้
สิ่งที่เธอเกลียดที่สุดคือการถูกปั่นหัวและเธอก็โกรธมาก “นังตัวเมียที่ไม่สามารถวางไข่ได้ตัวนั้น มันกล้าเดินไปมาและสร้างปัญหาให้กับลูกสาวของฉันเฉินหลี่คนนี้งั้นเหรอ!”
เธอสัญญากับเซี่ยจื่ออี้ “อย่ากังวลไปเลยนะ ป้าคนนี้จะจัดการเรื่องนี้เอง!”
เซี่ยจื่ออี้ทำสีหน้าลำบากใจ “แต่ถ้าเป็นเพราะหนูแล้ว คุณป้าจะต้องแตกหักกับตระกูลเสิ่นมันก็ไม่คุ้มเลยนะคะ เอาเป็นว่าลืมมันไปเถอะค่ะ หนูสามารถทำใจได้”
เฉินหลี่ตอบโดยได้คิดทันที “ไม่ เราจะปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้ ป้าต้องสั่งสอนนังนั่นก่อน!”
วันรุ่งขึ้น ข่าวลือเกี่ยวกับเซี่ยชิงหยวนก็แพร่กระจายรวดเร็วราวกับลมกระโชกแรงไปทั่วเขตที่พักอาศัยและหน่วยงานสำคัญหลายหน่วย
เฉินหลี่ถึงขนาดรอให้เซี่ยชิงหยวนมาที่ประตูบ้านของเธอ เพื่อที่จะได้ชี้หน้าและสาปส่ง ทำลายศักดิ์ศรีของเซี่ยชิงหยวนอีกรอบ
แต่สองวันผ่านไปอย่างไม่คาดคิด เซี่ยชิงหยวนไม่เพียงแต่ไม่เคลื่อนไหวใด ๆ แต่สามีและลูกสาวของเธอยังพูดคุยกับเธออย่างเย็นชา
เมื่อถึงเวลาไปทำงาน เธอก็ยังคิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น และไม่มีใจที่จะกินอาหารเช้าจึงรีบไปโรงพยาบาล
…
ฉินซูอวี้กลับไปที่สถาบันธรณีวิทยา เมื่อเพื่อนร่วมงานของเธอบอกว่าจะไปที่สำนักงานอัยการเพื่อส่งรายงาน เธอก็ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ฉันว่างอยู่ ฉันจะไปส่งให้เอง”
เพื่อนร่วมงานของเธอประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ “ได้ รบกวนเธอหน่อยนะ”
ในช่วงกว่าครึ่งปีนับตั้งแต่ฉินซูอวี้กลับมาที่มณฑลอวิ๋น เธอมักจะไปพบเซี่ยจื่ออี้เสมอ และคุ้นเคยกับผู้คนในอัยการด้วย
เมื่อยามถาม ฉินซูอวี้ก็ยื่นใบอนุญาตทำงานและเอกสารในมือให้อีกฝ่ายดู “ฉันมาเพื่อส่งรายงานให้ค่ะ”
ยามปล่อยให้ฉินซูอวี้เข้าไปอย่างง่ายดาย ขณะที่เดินเข้าไปในห้องโถง เธอก็รู้สึกได้ถึงสายตาของคนอื่นที่มองตัวเองด้วยความประหลาดใจและสนุกสนาน
ฉินซูอวี้ไม่สนใจเลยว่าจะมีคนมองเธอยังไงในตอนนี้ สำหรับเธอ ยิ่งมีคนมองเยอะหรือให้ความสนใจเยอะยิ่งดี
เธอเป็นคนตรงไปตรงมาและไม่สามารถเรียนรู้วิธีการทำเรื่องแบบอ้อม ๆ ได้อย่างเซี่ยจื่ออี้
สำหรับเธอ การเปิดเผยการกระทำชั่วของเซี่ยจื่ออี้โดยตรงเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุด
เซี่ยจื่ออี้สนใจชื่อเสียงมากที่สุดใช่ไหม? งั้นฉันจะทำลายชื่อเสียงของแกให้ย่อยยับไปเลย!
ยิ่งเมื่อก่อนพวกเธอเคยสนิทกันแค่ไหน ตอนนี้ฉินซูอวี้ก็โกรธมากเท่านั้น
หากเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นหลังจากการมาถึงของเซี่ยชิงหยวน ฉินซูอวี้อาจให้โอกาสซึ่งกันและกัน และจะไม่ทำให้เกิดความยุ่งยากใหญ่หลวงเช่นนี้
แต่เมื่อหว่านเมล็ดแห่งความสงสัยและความอิจฉาริษยาแล้ว แสงแดดและฝนเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้มันงอกเงยและเติบโตอย่างดุเดือด
ฉินซูอวี้เดินไปที่แผนกของเซี่ยจื่ออี้ด้วยไฟที่ลุกโชนอยู่ในใจของเธอ
ประตูเปิดอยู่และคนข้างในกำลังทำงานอยู่เช่นกัน
ฉินซูอวี้เหลือบมองเซี่ยจื่ออี้นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง
เซี่ยจื่ออี้ยังมีผมยาวสีดำที่มีกิ๊บไข่มุกติดผมที่ขมับ แสงแดดยามเช้าส่องมาบนตัว ช่างดูสวยงามมาก
ฉินซูอวี้กำมือแน่นและกำลังจะเดินเข้าไป แต่ทันใดนั้นเธอก็เห็นเซี่ยจื่ออี้ลุกขึ้นจากที่นั่ง ถือเอกสารในมือแล้วเดินไปอีกโต๊ะหนึ่ง
ที่โต๊ะนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาสวมแว่นตากรอบโลหะ มีผิวขาว สง่างามและหล่อเหลามาก
เมื่อเห็นเซี่ยจื่ออี้เข้ามาหา เขาก็รีบวางงานทันที เงยหน้าขึ้นแล้วพูดอะไรบางอย่างกับเธอ
ฉินซูอวี้มองเห็นใบหน้าของชายคนนั้นอย่างชัดเจน รูม่านตาของเธอขยายออก และการหายใจของเธอกลายเป็นถี่รัว
ทั้งสองไม่มีใครสังเกตเห็นเธอเลย
เซี่ยจื่ออี้ยิ้มเบา ๆ เอียงศีรษะไปในทิศทางของชายคนนั้น และปัดผมที่หล่นบนขมับของเธอด้วยนิ้วเรียวยาว เผยให้เห็นกิริยาที่สวยที่สุดของตน รวมถึงคอที่เรียวยาวไร้ที่ติต่อหน้าชายคนนั้น
ฉินซูอวี้จำการกระทำของเซี่ยจื่ออี้ได้
ครั้งหนึ่งเมื่อเธอไปที่บ้านของเซี่ยจื่ออี้เพื่อตามหาเพื่อนรัก เธอเห็นเซี่ยจื่ออี้กำลังฝึกการกระทำนี้อยู่หน้ากระจก โดยมีรอยยิ้มแบบเดียวกันอยู่ที่มุมปาก
เซี่ยจื่ออี้วางแฟ้มไว้บนโต๊ะของชายคนนั้น ก้มลงแล้วพูดอะไรบางอย่างกับเขา
ชายคนนั้นยิ้มอย่างเขินอาย พลางหยิบปากกาออกมาเขียนบางอย่างลงบนกระดาษ
พวกเขาทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก และผมยาวของเซี่ยจื่ออี้ก็ห้อยลงมาสัมผัสหลังมือของชายคนนั้น ซึ่งอาจจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ
เมื่อมีความรู้สึกจั๊กจี้และได้กลิ่นหอมจาง ๆ มันก็เห็นได้ชัดว่าการหายใจของชายคนนั้นหยุดนิ่งราวกับว่าหัวใจของเขากำลังเต้นแรง
เซี่ยจื่ออี้ทำเหมือนไม่รู้ตัวเลย เธอยังคงท่าทางเหมือนก่อนหน้า ถามคำถามของชายคนนั้น และแสดงความชื่นชมต่อชายคนนั้นเป็นครั้งคราว
ผู้ชายจะมีสมาธิกับผู้หญิงที่สวยขนาดนี้ได้ยังไง?
ฉินซูอวี้แทบจะถึงจุดเดือดแล้ว
หญิงสาวยืนอยู่ที่ประตู มองภาพตรงหน้าด้วยดวงตาที่แดงก่ำราวกับว่ามีเลือดคั่ง
ระหว่างทางมาที่นี่ เธอยังคงคิดถึงเหตุผลหลายประการเพื่อแก้ตัวให้กับเซี่ยจื่ออี้โดยคิดว่าตัวเองอาจเข้าใจอีกฝ่ายผิดไป
ทว่าหลังจากที่เธอเห็นเหตุการณ์นี้ ความคิดที่เคยเข้าข้างเซี่ยจื่ออี้ก็กลายเป็นความโกรธและความเกลียดชัง
ไม่จำเป็นต้องแก้ตัวให้นังนี่อีกต่อไปแล้ว ทุกสิ่งที่เซี่ยจื่ออี้ทำมีคำตอบอยู่แล้วในขณะนี้
ฉินซูอวี้รู้สึกว่าตัวเองไร้สาระมากที่ยังคงพยายามแก้ตัวให้คนอย่างเซี่ยจื่ออี้
หลายปีที่ผ่านมา มันยังไม่เพียงพอสำหรับเธออีกเหรอที่จะสามารถมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของผู้หญิงคนนี้ได้!?
ฉินซูอวี้ตะโกนด้วยความโกรธใส่ทั้งสองคนที่คุยกันอย่างมีความสุข “เซี่ยจื่ออี้! เหยาเป่ยเซิง!”
————————————
บทที่ 344 ขโมยของ
บทที่ 344 ขโมยของ
เซี่ยชิงหยวนมองย้อนกลับไปยังเซี่ยจื่ออี้ และตอบด้วยรอยยิ้มที่หวานกว่าอีกฝ่าย “ฉันมาเยี่ยมคุณฉีน่ะค่ะ”
จากนั้นเธอก็ทัดผมตัวเองด้วยนิ้วก้อย “ทำไม? ฉันมาไม่ได้เหรอ?”
เซี่ยจื่ออี้ก้าวเข้ามาใกล้ขึ้น จมูกพลันได้กลิ่นหอมของอาหารที่ยังไม่หายไป และดวงตาของเธอก็มองไปยังตะกร้าที่เซี่ยชิงหยวนวางไว้ และทันใดนั้นสีหน้าก็มืดหม่นทันที
เธอแสร้งยิ้มออกมา “จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไงละคะ? คุณนายเสิ่นอุตส่าห์มาเยี่ยมจิ่นจือ ฉันเองก็ควรจะยินดี จะไปคัดค้านได้ยังไงกัน?”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำพูดอันสวยหรูของเซี่ยจื่ออี้ เซี่ยชิงหยวนก็เลิกคิ้วและไม่ตอบอะไร
เซี่ยจื่ออี้มองไปที่ฉีจิ่นจือ “ฉันคิดว่าอาหารในโรงพยาบาลไม่อร่อย ฉันก็เลยขอให้แม่บ้านที่บ้านของฉันทำอาหารมาให้คุณน่ะค่ะ”
ดวงตาของเธอดูเศร้าสร้อย “แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าคุณคงไม่ต้องการมันแล้วสินะ”
หลังจากพูดแบบนั้น เธอก็ก้มศีรษะลง ทำให้ดูเศร้ายิ่งขึ้น
สีหน้าของฉีจิ่นจือไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด “ใช่ มันไม่จำเป็นแล้ว”
เซี่ยจื่ออี้สำลักทันที “…”
ส่วนเซี่ยชิงหยวนแทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่
แน่นอนว่าทันทีที่มุมริมฝีปากของเซี่ยชิงหยวนโค้งขึ้น เซี่ยจื่ออี้ก็เหลือบมองด้วยความโกรธ
เซี่ยชิงหยวนอดกลั้นและเก็บอาการ เธอไม่อยากอยู่ที่นี่เพื่อทำให้ตัวเองป่วยจิตอีกต่อไป
เธอยืนขึ้น พลางวางแอปเปิลสองลูกที่ถือไว้ลงบนโต๊ะ แล้วพูดกับฉีจิ่นจือ “กินผลไม้หลังมื้ออาหารเพื่อเสริมวิตามินนะคะ มันช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้ด้วย”
ก่อนที่ฉีจิ่นจือจะพูดอะไร เซี่ยจื่ออี้ก็เอื้อมมือปิดจมูกด้วยท่าทางรังเกียจแล้ว “คำพูดของคุณนายเสิ่นค่อนข้างหยาบคายจังเลยนะคะ”
การแสดงออกแบบนี้ทำให้ดูเหมือนว่าเซี่ยชิงหยวนมีกลิ่นแปลก ๆ ออกมาจากร่างกาย
เซี่ยชิงหยวนเยาะเย้ยกลับไป “ถึงคำพูดของฉันจะฟังดูหยาบหรอก แต่มันก็เป็นเรื่องจริงและมีเหตุผล”
จากนั้นเธอจงใจมองไปที่กล่องอาหารกลางวันที่สวยงามในมือของ เซี่ยจื่ออี้และพูดอย่างประชดประชัน “บางสิ่งไม่ว่าภายนอกจะดูสวยงามแค่ไหน แต่แล้วยังไงล่ะ? ถ้าข้างในมันแย่ก็ไม่มีใครอยากได้มันหรอกนะคะ”
หลังจากพูดอย่างนั้นเซี่ยชิงหยวนก็ไม่สนใจอีกฝ่ายอีก เธอกล่าวอำลาฉีจิ่นจือแล้วจากไป
ช่างเป็นเรื่องตลก ฉีจิ่นจือไม่ใช่ผู้ชายของเธอเองสักหน่อย ทำไมเธอจะต้องไปรู้สึกหึงฉีจิ่นจือกับเซี่ยจื่ออี้กันล่ะ?
นอกจากนี้หากเสิ่นอี้โจวกล้าทำเรื่องพวกนี้ เธอจะเป็นคนแรกที่หักขาที่สามของเขาแน่นอน ดูสิว่าเขาจะกล้ากระโดดไปหาใครอีกไหม?
“บ้า บ้า” เซี่ยชิงหยวนตบปากตัวเองอย่างรวดเร็ว “นี่ฉันกำลังคิดบ้าอะไรอยูุ่เนี่ย?”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนเดินไปถึงห้องโถงของโรงพยาบาล เซี่ยจื่ออี้ก็เรียกเธอจากด้านหลัง “คุณนายเสิ่น”
เซี่ยชิงหยวนหยุดแล้วหันกลับไปมองอีกฝ่าย “มีอะไรอีก?”
การที่เซี่ยจื่ออี้ออกมาจากห้องอย่างรวดเร็วแบบนี้ เธอคงถูกฉีจิ่นจือไล่ออกมาสินะ
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้ฉีจิ่นจือ
เซี่ยจื่ออี้ยิ้มกลับ “ฉันมีคำถามค่ะ ฉันอยากจะถามคุณนายเสิ่นสักหน่อย โปรดอย่ารังเกียจกันเลยนะคะ”
เซี่ยชิงหยวนดูหมิ่นความหน้าซื่อใจคดของอีกฝ่ายอย่างมาก และพูดตรง ๆ แทน
“ในเมื่อคุณก็รู้ว่าฉันจะรังเกียจ แล้วทำไมคุณยังจะถามอยู่อีกล่ะ? และไม่ใช่ว่าไอ้ท่าทางจริงใจนี้มันก็เป็นแค่การแสร้งทำหรอกเหรอ?”
เซี่ยจื่ออี้ไม่คาดคิดว่าเซี่ยชิงหยวนจะพูดหยาบคายขนาดนี้ จนเธอแทบจะสำลักทันที
เธอยิ้มอย่างไม่เต็มใจ “คุณนายเสิ่นชอบพูดติดตลกจริง ๆ นะคะ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มเยาะ “นี่ดวงตาของคุณผิดปกติหรือเปล่าถึงเห็นว่าฉันกำลังล้อเล่นน่ะ?”
เซี่ยจื่ออี้เม้มริมฝีปากทันที “แต่ในเมื่อคุณนายเสิ่นไม่ได้ปฏิเสธ เช่นนั้นก็แสดงว่ามันไม่จริงใช่ไหมคะ?”
เธอมองยังเซี่ยชิงหยวนด้วยสายตาที่แผ่วเบา “ฉันแค่อยากถามคุณนายเสิ่นน่ะ เลขาธิการเสิ่นรู้ไหมคะว่าคุณมาที่นี่วันนี้?”
เธอหยุดชั่วคราว “นอกจากนี้ ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าคุณนายเสิ่นดูเหมือนจะรู้จักจิ่นจือมาก่อนเลยนะ?”
ไม่อย่างนั้นทำไมฉีจิ่นจือต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเธอด้วยล่ะ?
เธอสบตากับเซี่ยชิงหยวนอย่างสงสัย
เซี่ยชิงหยวนยิ้มทันทีที่ได้ยิน “อยากรู้มากเหรอ? งั้นก็ไปถามเสิ่นอี้โจวกับฉีจิ่นจือเอาเองสิ แล้วดูว่าพวกเขาจะตอบคุณยังไงก็แล้วกัน”
หลังจากพูดจบ เซี่ยชิงหยวนก็แทบจะสามารถเห็นรอยร้าวในสีหน้าของเซี่ยจื่ออี้ได้เลย
ใบหน้าของเซี่ยชิงหยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา “คุณเซี่ยคะ อย่าคุยกันแบบเสแสร้งอย่างนี้อีกเลยดีกว่า เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว มันไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องมาเสแสร้งกันอีกต่อไปหรอก”
เซี่ยจื่ออี้ยิ้มตอบทันที “ฉันไม่เข้าใจว่าคุณนายเสิ่นหมายถึงอะไร”
ขณะเดียวกัน เซี่ยชิงหยวนก็คิดถึงดวงตาที่บ้าคลั่งของเซี่ยจื่ออี้หลังจากถูกวัวชนในวันนั้น
แต่พออยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ทำเป็นใสซื่อ
เมื่อไม่มีใครเห็น ในที่สุดเซี่ยจื่ออี้ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าที่เน่าเฟะของตัวเองออกมาครู่หนึ่ง
โชคร้ายที่แผนการฆ่าคนไม่สำเร็จ
เมื่อมองดูคนหน้าซื่อใจคดอย่างเซี่ยจื่ออี้ เซี่ยชิงหยวนก็ไม่อยากที่จะเสวนากับอีกฝ่ายอีกต่อไปและรู้สึกรังเกียจมากขึ้นเรื่อย ๆ เท่านั้น
เซี่ยชิงหยวนก้าวเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วพูดว่า “บางครั้งเมื่อคนแสร้งทำเป็นคนดีเมานาน พวกเขาจะคิดว่าพวกเขาเป็นคนดีจริง ๆ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถแสร้งทำเป็นคนดีได้อยู่ดี เพราะ…จิตใจของพวกเขามันดำมืดและเน่าเฟะหมดเลยไง”
หลังจากพูดอย่างนั้น เซี่ยชิงหยวนก็ตบไหล่อีกฝ่ายและจากไปอย่างสง่างาม
เซี่ยจื่ออี้ยืนอยู่ที่นั่น มือบีบกล่องอาหารกลางวันจนนิ้วของตัวเองเปลี่ยนเป็นสีขาว
เธอมองไปยังแผ่นหลังของเซี่ยชิงหยวน ซึ่งยังคงสง่างามแม้จะสวมเสื้อผ้าหน้าหนาว และดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ทำไมถึงอยากจะแย่งของบางอย่างที่เป็นของเธอแต่แรกแบบนี้?
…
เซี่ยชิงหยวนกลับไปที่ร้านตรอกเก่า ซึ่งหลินตงซิ่วและเฉิงซวงจือยังคงทักทายลูกค้าอยู่
ลูกค้าทั้งหมดล้วนหลงใหลในกลิ่นของหม้อต้มเครื่องในที่ประตู และกิมจิสีแดงที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
เมื่อมีคนถามราคา ต้มเครื่องในเนื้อวัวและหัวไชเท้าตุ๋นในหม้อมีราคาเพียงสองหยวนสี่เหมาต่อจิน และยังลดอีก 20% แต่เมื่อเห็นว่าในน้ำหนักนั้นคิดรวมหัวไชเท้าไปด้วย บางคนจึงลังเลที่จะซื้อมัน
แต่พวกเขาไม่สามารถต้านทานความโลภในท้องของตนได้ และยิ่งเห็นคนที่กำลังกินในร้านมันก็ยิ่งอดไม่ไหว ดังนั้นพวกเขาจึงหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาทีละคน
คนส่วนใหญ่ซื้อหนึ่งจินก่อน และบางคนก็ซื้อเพียงครึ่งจินเพื่อกินในร้าน บางคนเห็นว่าไม่มีโต๊ะว่างแล้วจึงถือชามไปนั่งยอง ๆ กินแถวหน้าประตู
เมื่อเห็นเช่นนี้เฉิงซวงจือก็ย้ายเก้าอี้เล็ก ๆ สองสามตัวจากในร้านไปให้พวกเขา แต่ก็ยังไม่เพียงพอ
เซี่ยชิงหยวนมองไปที่ภาพตรงหน้า และตระหนักว่าเธอประเมินกำลังซื้อของคนในมณฑลอวิ๋นและความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาต่ำไป
เซี่ยชิงหยวนรีบวางสิ่งของในมือลง และทักทายลูกค้าด้วยกัน จนเกือบบ่ายสองก็เหลือคนอยู่ในร้านเพียงไม่กี่คนแล้ว
เฉิงซวงจือและหลินตงซิ่วเคยชินกับงานแบบนี้และคิดว่ามันไม่มีอะไรเลย แต่เซี่ยชิงหยวนคิดว่าหากธุรกิจยังไปได้สวยคล้ายกับวันนี้ทุกวัน หลังจากสังเกตไปอีกสองวันอาจจำเป็นต้องจ้างคนอื่นมาช่วยเพิ่มก็เป็นได้
หรืออีกทางหนึ่ง การจ้างพนักงานพาร์ทไทม์ที่มีหน้าที่แค่ซักผ้าและทำลูกชิ้นก็ช่วยแบ่งเบาภาระได้เช่นกัน
มีกล่องเหล็กถูกล็อกอยู่ในตู้ใกล้ ๆ และหลินตงซิ่วก็โบกมือให้เซี่ยชิงหยวนหยิบมันไปดู
เซี่ยชิงหยวนเปิดกล่องเหล็กและหยิบเงินออกมานับ แค่ช่วงเช้าและเที่ยงของวันเดียว ร้านทำเงินได้หนึ่งร้อยหยวนแล้ว แน่นอนว่าต้นทุนยังไม่ได้เอามาหัก
หลินตงซิ่วพูดขึ้น “ยังมีเวลาช่วงบ่ายและเย็นอีกนะ ของในหม้อคงไม่พอขายแน่ ๆ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ถ้ามันขายหมดเร็วเราก็จะได้กลับไปพักผ่อน ถือว่าเป็นเรื่องดีเหมือนกันนะคะ”
แน่นอนว่าหลินตงซิ่วไม่เต็มใจที่จะกลับบ้านก่อนเวลา ตั้งแต่มาที่เมืองหลวงของมณฑลนี้ เธอแทบไม่ได้ทำงานอะไรเลยแม้แต่ในบ้าน ดังนั้นเธอจึงอยากออกมาหาเงินเป็นพิเศษ
แต่เธอไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของเซี่ยชิงหยวนและตอบว่า “แบบนั้นก็ดีจ้ะ”
ในเวลาต่อมา เซี่ยชิงหยวนก็ได้พบกับคุณนายหยวนจริง ๆ
หลินตงซิ่วและเฉิงซวงจือถูกขอให้ไปพักผ่อนที่ด้านหลัง ในขณะที่เธอดูแลร้าน
เซี่ยชิงหยวนยืนขึ้นและทักทายด้วยรอยยิ้ม “คุณนายหยวน”
คุณนายหยวนก็ยิ้มและพูดว่า “ฉันรู้ว่าวันนี้ร้านของคุณเปิดแล้ว ฉันจึงมาดูสักหน่อยน่ะ”
เธอมองไปรอบ ๆ พบว่ายังมีเครื่องในเนื้อวัวตุ๋นอยู่ในหม้อ “ฉันออกมาสายมาก คิดว่าจะไม่เหลือให้ได้กินซะแล้ว โล่งอกจริง ๆ ค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนเชิญให้อีกฝ่ายนั่งลงที่โต๊ะเล็กด้านหนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าฉันรู้ว่าคุณนายหยวนจะมา ฉันจะเหลือเก็บไว้ให้แน่นอนค่ะ คราวหน้าคุณนายหยวนแค่บอกมาว่าอยากได้เท่าไหร่ แล้วฉันจะเก็บใส่กล่องไว้ให้ทีหลังรวมทั้งเครื่องเคียงที่ฉันทำเองด้วยค่ะ พอขากลับฉันก็แวะเอาไปให้ดีไหมคะ?”
แน่นอนว่าตามนิสัยของคุณนายหยวนแล้ว เธอจะไม่ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ และบอกว่าต้องการจ่ายเงิน “ตั้งแต่ที่ตาเฒ่าหยวนของฉันกินต้มเครื่องในที่คุณเอามาให้ในวันนั้น เขาก็เอาแต่นึกถึงกลิ่นต้มเครื่องในของคุณอยู่ตลอดเลยค่ะ และถามฉันหลายครั้งว่าเมื่อไหร่ร้านจะเปิด ซึ่งฉันก็วางแผนที่จะมาที่นี่บ่อย ๆ ในอนาคต ถ้าคุณให้ฉันฟรี ๆ ฉันคงไม่กล้ามาที่นี่อีกแน่ ๆ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและไม่ดึงดันอีกเช่นกัน
คุณนายหยวนนั่งคุยกับเธอสองสามคำ และถามเกี่ยวกับเรื่องวัวคลั่งเมื่อไม่กี่วันก่อน
เธอตบหน้าอกของตัวเองเห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวแค่ไหน “ฉันได้ยินมาว่าเป็นพวกเด็ก ๆ ที่ทำให้วัวโกรธหรือไม่พวกเขาก็เอาอะไรบางอย่างให้วัวกิน ซึ่งทำให้วัวเกิดคลั่งขึ้นมา และทำร้ายนายน้อยของตระกูลฉีใช่ไหมคะ?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ฉันเองก็ไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันค่ะ พอเห็นอีกทีวัวก็พุ่งเข้าหาเด็ก ๆ แล้ว”
คุณนายหยวนยังพูดอีกว่า “ทุกคนแค่สนุกกัน ใครจะจินตนาการได้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น แต่ถ้าพูดตามหลักเหตุผล วัวแก่ที่ถูกเลี้ยงในบ้านแบบนั้นเชื่องที่สุดแล้ว สาเหตุมันจึงน่าจะมาจากมีเด็กซนคนไหนสักคนที่เป็นต้นเหตุของปัญหานะคะ”
น่าเสียดายที่ทุกคนมาจากตระกูลหรือครอบครัวที่มีเกียรติ ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถถามรายละเอียดได้ว่าเด็กคนไหนทำอะไร
และเมื่อมีพยานจำนวนมากก็จะไม่มีข่าวลือที่อุกอาจ ไม่อย่างนั้นเซี่ยจื่ออี้คงจะใช้โอกาสนี้ใส่ร้ายเธออย่างแน่นอน
พอได้เปิดหัวข้อคุยเรื่องนี้แล้ว คุณนายหยวนก็พูดอะไรบางอย่างต่อ “ฉันได้ยินมาว่าซูอวี้ตกลงไปในนา แต่เมื่อจื่ออี้ไปที่บ้านฉินในตอนเย็น ซูอวี้กลับไม่ต้องการเจอเธอเลย จนถึงตอนนี้ทั้งสองคนยังคงไม่ได้ปรับความเข้าใจกันเลยค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนรีบจดจำรายละเอียดที่ได้ยินทันที
จากนั้นจึงถามกลับว่า “หมายความว่าทั้งสองคนยังไม่คืนดีกันเหรอคะ?”
