บทที่ 352 ขอให้ผู้ชายหมา ๆ และผู้หญิงต่ำช้าทั้งสองเจ็บปวดเจียนตายแสนสาหัส
บทที่ 352 ขอให้ผู้ชายหมา ๆ และผู้หญิงต่ำช้าทั้งสองเจ็บปวดเจียนตายแสนสาหัส
หูของฉินซูอวี้เกิดเสียงวิ้งขึ้นทันทีจากการถูกตบ
หญิงสาวตัวแข็งอยู่กับที่ และสูญเสียเสียงของตนไปทันที
เธอปิดใบหน้าด้านที่ชา และมองดูเหยาเป่ยเซิงด้วยความไม่เชื่อ
เหยาเป่ยเซิงไม่ได้มองเธออีกต่อไป เขาหันกลับไปช่วยเซี่ยจื่ออี้แทน “เธอเป็นอะไรมากไหม?”
เขาช่วยเซี่ยจื่ออี้อย่างระมัดระวังโดยมองไปยังหน้าผากที่แดงบวมของเธอ และเริ่มรังเกียจฉินซูอวี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
เซี่ยจื่ออี้ส่ายหัว “ฉันสบายดี”
ฉินซูอวี้มองไปที่คนสองคนตรงหน้าอย่างเย็นชา เหตการณ์ในอดีตฉายขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในหัว และทันใดนั้นเธอก็ยิ้มออกมา
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ฉันน่าจะรู้เร็วกว่านี้!”
หนุ่มสาวสองคนตรงหน้าหันกลับมาจ้องตาเธอทันที
ฉินซูอวี้เริ่มยอมแพ้กับตัวเอง “ก่อนหน้านี้ฉันบอกเธออยู่ตลอดว่าชอบเหยาเป่ยเซิงและเธอก็สนับสนุนฉัน ให้คำแนะนำกับฉัน และยังบอกว่าจะช่วยฉันส่งจดหมายรัก”
“แต่เกิดอะไรขึ้นต่อมา?”
“เหยาเป่ยเซิงกลับบอกฉันว่าเขาชอบเธอ และขอให้ฉันช่วยส่งจดหมายรักของตัวเองถึงเธอซะงั้น!”
“ฉันถามเธออยู่หลายครั้งว่าจดหมายรักที่ฉันเขียนอยู่ที่ไหน แต่เธอก็บอกว่าทำหายโดยไม่ได้ตั้งใจ บอกว่าช่วยส่งข้อความผ่านทางคำพูดให้ฉันแทนแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็ไม่รู้ว่าเขาตกหลุมรักเธอได้ยังไงเนอะ!”
ดวงตาของฉินซูอวี้เต็มไปด้วยอารมณ์ ยิ่งรู้สึกเกลียดชังมากขึ้น “มาตอนนี้ฉันเข้าใจชัดเจนแล้วว่ามันเป็นเธอต่างหากที่ซ่อนจดหมายฉันไว้ทั้งหมด!”
“เซี่ยจื่ออี้ เขาเป็นคนแรกที่ฉันชอบ และในตอนนั้นฉันก็เชื่อใจเธอมาก แต่ช่างมันเถอะ ฉันไม่คิดเลยว่าเธอมันจะเลวทรามมากขนาดนี้!”
เธอเกลียดเซี่ยจื่ออี้สำหรับการทรยศ และยังเกลียดเหยาเป่ยเซิงที่ยังคงยืนอยู่เคียงข้างเซี่ยจื่ออี้อย่างไม่มีเงื่อนไข
ความรักของวัยรุ่นนั้นบริสุทธิ์ที่สุด มันช่างบริสุทธิ์เพียงพอที่จะจดจำไปตลอดชีวิต
ด้วยเหตุนี้ มันจึงกลายเป็นอุปสรรคในใจของฉินซูอวี้ที่ไม่อาจผ่านไปได้
หากก่อนหน้านี้เธอถึงขั้นจินตนาการเกี่ยวกับการใช้ชีวิตกับเหยาเป่ยเซิงมาก่อน ตอนนี้ทุกอย่างคงพังทลายลงหมดแล้ว
เธอโยนรายงานในมือไปที่ใบหน้าของเซี่ยจื่ออี้โดยตรง “เป็นเพราะฉันเองที่ไม่ตาสว่างสักที ปล่อยให้โดนหลอกมาได้ตั้งหลายปี ฉันขอให้ผู้ชายหมา ๆ และผู้หญิงต่ำช้าอย่างพวกเธอเจ็บปวดเจียนตายแสนสาหัส!”
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็หันหลังกลับและจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย
เมื่อผู้คนที่อออยู่ที่ประตูเห็นเธอเดินมา พวกเขาก็กลั้นลมหายใจโดยไม่รู้ตัวและหลีกทางให้ทันที
เมื่อฉินซูอวี้เดินออกไปข้างนอก ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งมายืนอยู่ตรงหน้าเธอ
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นเซี่ยเจิ้งกำลังมีสีหน้าที่ซับซ้อน
เนื่องจากวันนี้เธอฉีกหน้าเซี่ยจื่ออี้แล้ว จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ฉินซูอวี้จะเรียกเขาว่า ‘ลุงเซี่ย’ อีกครั้ง ดังนั้นเธอจึงทำเพียงเดินผ่านเขาและจากไป
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่เห็นเซี่ยเจิ้งยืนอยู่ข้างหลัง
จากนั้นคนทั้งหมดก็ทักทายอย่างงุ่มง่าม “ท่านเซี่ย”
เมื่อได้ยินคำนี้ เซี่ยจื่ออี้ก็รีบมองไปยังที่มาของเสียงอย่างรวดเร็ว
ดวงตาที่ตื่นตระหนกของเธอสบกับเซี่ยเจิ้งทันที
เซี่ยเจิ้งขมวดคิ้ว และดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความผิดหวัง
มันเป็นความรู้สึกผิดหวังในตัวเซี่ยจื่ออี้
เขาไม่คาดคิดเลยว่าลูกสาวที่ตนเองภาคภูมิใจจะมีจิตใจที่มืดหม่นเช่นนี้
เมื่อเซี่ยจื่ออี้สบตากับเซี่ยเจิ้ง หัวใจของเธอก็ตกตะลึง
สิ่งที่เธอกลัวที่สุดคือความดำมืดในใจของเธอถูกผู้เป็นพ่อค้นพบ
เธอไม่รู้ว่าเขายืนอยู่ที่นั่นนานแค่ไหน และได้ยินมากแค่ไหนแล้ว
เซี่ยจื่ออี้เม้มริมฝีปากแน่น และต้องการอธิบาย
ทว่าโดยไม่คาดคิด เซี่ยเจิ้งก้าวถอยหลัง หันหลังกลับและจากไป
ทันใดนั้นหัวใจของเซี่ยจื่ออี้ก็รู้สึกว่างเปล่าราวกับว่าสูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดไป
เธอไล่ตามเขาทันที “พ่อคะ!”
เธอคว้าแขนของเซี่ยเจิ้งแล้วมองดูเขาอย่างอ้อนวอน “พ่อคะ ได้โปรดฟังคำอธิบายของหนูก่อน”
เซี่ยเจิ้งมองลึกไปที่เซี่ยจื่ออี้ แล้วมองไปที่เหยาเป่ยเซิง ซึ่งกำลังไล่ตามมาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เก็บข้าวของแล้วกลับบ้านกับพ่อ พ่อจะบอกหัวหน้าของลูกเองว่าช่วงนี้ลูกจะยังไม่ว่างมาทำงาน”
“พ่อคะ!” เซี่ยจื่ออี้ตื่นตระหนกทันที “พ่อจะทำอย่างนี้ไม่ได้นะ!”
ถ้าเธอยอม มันจะไม่เท่ากับว่าเธอยอมรับในคำพูดของฉินซูอวี้ว่าเป็นเรื่องจริงอ้อม ๆ หรอกเหรอ?
เมื่อเห็นแบบนี้ เซี่ยเจิ้งก็ไม่ได้บังคับอีกต่อไป
ราวกับว่าเขาเหนื่อยมากแล้ว พลางมองลึกไปที่ลูกสาวและพูดว่า “จริงสินะ ลูกโตพอที่จะมีความคิดเป็นของตัวเองแล้วจริง ๆ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็จากไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย
เซี่ยจื่ออี้ต้องการไล่ตามไปอีกครั้ง แต่เหยาเป่ยเซิงก้าวเข้ามาและคว้าแขนหยุดเธอไว้ “จื่ออี้ คุณลุงน่าจะยังโกรธอยู่ เขาคงยังไม่ฟังสิ่งที่เธอพูดหรอก ตอนนี้ให้ฉันช่วยทำแผลที่หน้าผากเธอก่อนดีไหม?”
พอเผชิญหน้ากับเหยาเป่ยเซิงที่กำลังกังวล เซี่ยจื่ออี้ก็สะบัดมือของเขาทิ้งอย่างไม่ไยดีทันที “สหายเหยาคะ เราเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกัน กรุณาอย่าทำกิริยาที่รุ่มร่ามแบบนี้ เดี๋ยวคนจะเข้าใจผิดค่ะ!”
เมื่อพูดเช่นนี้ เธอก็ก้มศีรษะลง ซึ่งมันทำให้เห็นน้ำตาที่เปื้อนขนตาราวกับไข่มุกเม็ดเล็ก ๆ อย่างชัดเจน
เมื่อเห็นเซี่ยจื่ออี้เป็นแบบนี้ ความโกรธในคำพูดของเธอในใจเหยาเป่ยเซิงก็หายไป
เธอเป็นผู้หญิงที่วิเศษและใจดีเสมอมา
เธอคงต้องทำแบบนี้เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของตัวเองสินะ
เขาพยักหน้าและพูดว่า “ผมขอโทษครับ ผมบุ่มบ่ามเกินไป”
เซี่ยจื่ออี้เดินกลับไปที่โต๊ะตัวเองภายใต้สายตาที่แตกต่างกันของทุกคน พลางบังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์ไว้
หญิงสาวหยิบเอกสารขึ้นมาเพื่อจะทำงาน แต่นิ้วของเธอก็สั่นและรู้สึกอึดอัดมากขึ้นเรื่อย ๆ ข้างในอก
ทุกคนมองดูเธอที่กำลังมีสีหน้าที่สงบนิ่งและอารมณ์ที่อ่อนโยน ไม่เหมือนคนประเภทที่ฉินซูอวี้พูดเลย
หัวหน้าแผนกสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกัน ก่อนจะเดินเข้ามาสนใจเธอ “จืออี้ คุณเป็นอะไรไหม?”
เซี่ยจื่ออี้ส่ายหัวพร้อมน้ำตาที่เปียกชื้นบนใบหน้า “ฉันสบายดีค่ะ”
เพื่อนร่วมงานชายบางคนพอเห็นแบบนี้ก็รู้สึกเป็นทุกข์ แต่เพื่อนร่วมงานหญิงและเพื่อนร่วมงานชายสองสามคนแสดงสีหน้าซับซ้อน
ยกเว้นหัวหน้าแผนกก็ไม่มีใครมาสนใจเธอ และทุกคนต่างกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง
เซี่ยจื่ออี้สังเกตเห็นว่าท่าทีของคนอื่น ๆ แตกต่างไปจากปกติอย่างสิ้นเชิง และเธอก็กำเอกสารในมือแน่นโดยไม่ตั้งใจ
สองวันที่ผ่านมา เธอเอาแต่จดจ่อกับฉีจิ่นจือมากเกินไป มันต้องมีบางสิ่งที่เธอพลาดไปแน่ เธอจะต้องตามหาคนที่เปิดเผยความลับนี้ให้เจอ!
…
อีกด้านหนึ่ง เซี่ยชิงหยวนเพิ่งคัดเลือกผู้หญิงที่ดูแข็งแรงมาเป็นผู้ช่วยในร้านตรอกเก่า ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระของหลินตงซิ่วและเฉิงซวงจือได้มาก
โดยเฉพาะหลินตงซิ่วที่ตอนนี้แค่ต้องช่วยต้อนรับลูกค้าเท่านั้น และไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว
เซี่ยชิงหยวนกลับไปที่บ้านและเอนกายบนโซฟา ดื่มชาพร้อมฟังสิ่งที่ป้าอู๋ไปเจอมา
หญิงสาวมีรอยยิ้มจาง ๆ บนริมฝีปากอยู่เสมอ ดูมีความสุขมาก
เธอพยักหน้าและพูดว่า “ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณค่ะป้าอู๋”
เซี่ยชิงหยวนสังเกตเห็นว่าป้าอู๋เงียบไป จึงถามขึ้น “ป้าอู๋คิดว่าฉันทำเกินไปหรือเปล่าคะ?”
ป้าอู๋ตกใจมากจนโบกมืออย่างรวดเร็ว “ไม่เลยค่ะ ๆ ฉันจะไปคิดแบบนั้นได้ยังไงกันคะ?”
เธอแค่ตกตะลึงกับวิธีการของเซี่ยชิงหยวนเท่านั้น
ทั้งตกตะลึงและชื่นชมที่เซี่ยชิงหยวนสามารถใช้ประโยชน์จากข่าวลือที่ใส่ร้ายตัวเอง ให้ย้อนกลับไปเล่นงานพวกคนฝ่ายตรงข้ามที่เป็นคนปล่อยข่าวเองได้
ในเวลานี้ ไม่เพียงแต่ข่าวลือจะถูกทำลายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตระกูลเซี่ยกับตระกูลฉินที่แตกหักกัน และคนจัดฉากทั้งหมดก็ถูกลงโทษด้วย
เซี่ยชิงหยวนหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบแล้วอธิบายให้ป้าอู๋ฟังอย่างอารมณ์ดีที่หาได้ยาก “ป้าอู๋คะ แม้จะดูเหมือนว่าฉันเป็นคนที่โหดเหี้ยมในเรื่องนี้ แต่จริง ๆ แล้วคนเริ่มมันคือคนพวกนั้นเอง ถ้าฉินซูอวี้แก้ต่างให้ฉันตั้งแต่ข่าวลือแพร่สะพัด เฉินหลี่ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีและจงใจทำลายชื่อเสียงของฉัน หรือเซี่ยจื่ออี้ไม่ได้วางแผนร้ายกับฉันครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะความเห็นแก่ตัวของเธอเอง สิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลยค่ะ”
เธอมองป้าอู๋ด้วยสายตาที่จริงจัง “ฉันแค่ปกป้องตัวเองเท่านั้นเองค่ะ”
ป้าอู๋แสดงความภักดีของตนทันที “คุณนายพูดถูกแล้วค่ะ พวกเขาต้องเป็นคนรับผิดชอบทุกอย่าง”
เซี่ยชิงหยวนยิ้ม พลางยืนขึ้นจากโซฟาแล้วพูดว่า “ตอนนี้ก็สายแล้ว ฉันต้องไปส่งอาหารให้คุณฉีแล้วล่ะค่ะ”
เธอนับวันไว้แล้ว ฉีจิ่นจือน่าจะออกจากโรงพยาบาลได้ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งในที่สุดเธอก็จะสามารถจบหน้าที่คนส่งข้าวได้สักที
…
วันนี้เซี่ยชิงหยวนทำไก่นึ่งใส่อินทผาลัมแดงและเก๋ากี้ รวมถึงเต้าหู้ยัดไส้เนื้อ
เธอไม่ได้ทำขาหมูเหมือนเมื่อวานแล้ว
ในตอนหลังเธอสังเกตเห็นว่าใบหน้าของฉีจิ่นจือซีดหลังจากกินอาหารไป และมีสีหน้าอดกลั้น เพียงเท่านั้นเธอก็เข้าใจในทันที
เขาอาจจะไม่ชอบกินมัน แต่ไม่กล้าพูดจึงบังคับตัวเองให้กินอย่างอดกลั้น
เซี่ยชิงหยวนถอนหายใจ เขาเป็นคนโง่จริง ๆ
เซี่ยชิงหยวนถือกล่องอาหารกลางวันไปที่โรงพยาบาล และบังเอิญไปพบกับเฉินหลี่ที่ห้องโถงโรงพยาบาลพอดี ซึ่งอีกฝ่ายกำลังรีบกลับบ้าน
เมื่อเฉินหลี่เห็นว่าเป็นเซี่ยชิงหยวน เธอก็มองอย่างมาดร้าย
เซี่ยชิงหยวนยิ้มเยาะ หยุดเฉินหลี่ที่กำลังจะจากไปและพูดว่า “คุณนายฉิน ฉันต้องการพูดอะไรบางอย่างกับคุณหน่อยน่ะค่ะ”
เฉินหลี่หยุดและจ้องมองที่เซี่ยชิงหยวนด้วยสีหน้าน่ากลัว
เซี่ยชิงหยวนทำราวกับว่าไม่เห็นมันและพูดว่า “มันไม่เป็นไรหรอกนะคะ หากจะหาดูตัวเองก่อน อย่าคิดโทษคนอื่นเสมอไปสิคะ”
เซี่ยชิงหยวนมองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเยาะเย้ย
เฉินหลี่โต้ตอบทันที “เป็นแกสินะที่ก่อเรื่อง!”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ยิ้มกลับ “คุณนายฉิน ฉันไม่เข้าใจเลยค่ะว่าคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร ฉันเป็นเหยื่อนะคะ ฉันจะก่อเรื่องอะไรได้ล่ะ?”
“มันเป็นคุณต่างหาก ถ้าคุณไม่มีเจตนาทำร้ายผู้อื่น แล้ววันนี้คุณจะเจอเรื่องอะไรแบบนี้เหรอ?”
จากนั้นเซี่ยชิงหยวนก็เดินเข้าไปหาเฉินหลี่แล้วพูดใกล้ ๆ ว่า “ลูกสาวของคุณคือกรรมสนองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณไงล่ะ”
0
บทที่ 346 ชอบกินอาหารที่คุณนายเสิ่นปรุง
บทที่ 346 ชอบกินอาหารที่คุณนายเสิ่นปรุง
เสิ่นอี้โจวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “แต่วิธีของผมอาจอ้อมค้อมอยู่หน่อย ๆ นะ”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยิน เธอก็อยากจะตบหน้าเขาทันที
ในเวลาแบบนี้ ยังจะใช้วิธีอ้อมค้อมอยู่อีกเหรอ?
สามสิบหกกลยุทธ์ ไม่ใช่ว่าทั้งหมดมันเกี่ยวกับที่ฉันจะคุยกับคุณก่อนโจมตีเหรอ? และจะต่อสู้เมื่อคุณพร้อมหรือไง?
เมื่อเซี่ยจื่ออี้ทำสิ่งที่น่ารังเกียจมากมายกับเธอ หล่อนทำอย่างเปิดเผยรึเปล่า?
เสิ่นอี้โจวจับเอวของภรรยาแล้วพูดว่า “จริง ๆ แล้วถ้าเราไม่รีบ เราก็สามารถใช้ประโยชน์จากข่าวลือนี้ได้นะ”
เซี่ยชิงหยวนพบว่าเขาดูเหมือนจะคิดถึงตัวเองอยู่บ้าง
ดวงตากลมโตของเธอมองดูเขาด้วยความคาดหวัง
จากนั้นเสิ่นอี้โจวพูดว่า “เผยแพร่เหตุการณ์นี้ให้เป็นเหมือนว่าฉินซูอวี้เป็นคนปล่อยข่าว และทำให้ฉินซูอวี้คิดว่าเป็นเซี่ยจื่ออี้ที่จัดฉากทั้งหมด…”
รอยยิ้มของเซี่ยชิงหยวนกว้างขึ้นเรื่อย ๆ
พูดให้ตรง ๆ คือปล่อยให้พวกหมามันกัดกันเอง
เห็นได้ชัดว่าเซี่ยจื่ออี้เป็นผู้บงการ แต่ในท้ายที่สุดกลับมีข่าวลือว่าฉินซูอวี้เป็นคนปล่อยข่าวลือด้วยความอิจฉาแทน และค่อยจัดฉากให้ฉินซูอวี้รู้ว่าคนบงการเรื่องทั้งหมดคือเซี่ยจื่ออี้ ดูจากความสัมพันธ์ในปัจจุบันของพวกเธอแล้ว ฉินซูอวี้จะต้องคิดว่าเซี่ยจื่ออี้ใส่ร้ายเธอโดยตั้งใจแน่
พอทำแบบนี้แล้วจะมีฉากดี ๆ ให้ได้รับชมกันแน่นอน
เหตุผลที่ฉินซูอวี้เข้ามาเกี่ยวข้องก็เพราะมันเป็นไปไม่ได้ที่เซี่ยจื่ออี้จะทำคนเดียว และมันจะต้องเกี่ยวข้องกับเฉินหลี่ด้วย
ในฐานะลูกสาวของเฉินหลี่ ฉินซูอวี้ไม่สามารถนั่งเฉย ๆ และรอเพลิดเพลินกับความสำเร็จได้หรอก เธอไม่ได้ไร้เดียงสาสักหน่อย
เซี่ยชิงหยวนจูบริมฝีปากของเขา “แผนยอดเยี่ยมมากค่ะ”
เสิ่นอี้โจวเลิกคิ้วและมองเซี่ยชิงหยวนที่ไม่ประหลาดใจเลย
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “ตอนแรกฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ฉันไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ตอนนี้ฉันได้รับการสนับสนุนจากคุณแล้ว ฉันก็เลยรู้สึกโล่งใจน่ะ”
เสิ่นอี้โจวขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้
เขาหันมามองให้ถนัดมากขึ้นแล้วพูดว่า “ถ้าคุณต้องการทำให้เรื่องราวมันใหญ่โตขึ้น คุณจะขอให้ฉีจิ่นจือร่วมด้วยก็ได้นะ”
รอยยิ้มในดวงตาของเซี่ยชิงหยวนแข็งแกร่งขึ้น
เธอยื่นมือออกมาบีบปลายจมูกอันหล่อเหลาของเขา “ทำไมคุณถึงร้ายกาจได้ขนาดนี้เนี่ย”
เสิ่นอี้โจว “คุณจะไม่ปล่อยให้ผมร้ายกาจคนเดียวใช่ไหม?”
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัว “ไม่ดีกว่า นี่มันล้อเล่นกับอารมณ์ของคนไปหน่อยน่ะ”
ความขัดแย้งของฉินซูอวี้กับเซี่ยจื่ออี้ทวีความรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากเรื่องของฉีจิ่นจือ เธอบรรลุเป้าหมายแล้ว และไม่สามารถขอให้ฉีจิ่นจือเล่นละครต่อฉินซูอวี้ได้อีกต่อไป
คำตอบของเธอทำให้เสิ่นอี้โจวรู้สึกไม่พอใจ “คุณปกป้องเขาเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวน “เป็นแบบนั้นที่ไหนกัน?”
เสิ่นอี้โจวอุ้มเธอขึ้นมาแล้วเดินไปที่เตียง
เซี่ยชิงหยวนเกร็งขาทันที และเสียงของเธอก็สั่น “ถึงเวลากินข้าวแล้วนะ”
เสิ่นอี้โจว “ผมบอกหรือยังว่าผมจะทำอะไร?”
เขาวางเธอบนเตียง ถอดรองเท้าแล้วนวดเท้าให้ภรรยาด้วยฝ่ามือใหญ่ของตน ในขณะที่มือกำลังนวดเท้าเธอเบา ๆ ดวงตาของเขาก็สงบลง
การเคลื่อนไหวง่าย ๆ ที่เขาทำนั้นสร้างอารมณ์อย่างอธิบายไม่ถูก
ภายใต้การจ้องมองอย่างระมัดระวังของเซี่ยชิงหยวน เสิ่นอี้โจวโค้งริมฝีปากบางของเขาแล้วยิ้ม “วันนี้ที่คุณต้องทำงานหนัก ผมรู้สึกเสียใจมากเลยนะ ให้ผมนวดให้คุณไม่ได้เหรอ?”
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดัง ‘ผลั่ก!’ เซี่ยชิงหยวนเตะเสิ่นอี้โจวเข้าที่ไหล่
เสิ่นอี้โจวไม่ได้ทันตั้งตัว และล้มลงก้นจ้ำเบ้ากับพื้นห้องทันที
เสิ่นอี้โจว “…”
เซี่ยชิงหยวนนอนอยู่บนเตียงและจ้องมองเขา “หมอฮวงบอกไว้อยู่นะ ในช่วงที่ไม่ตกไข่ไม่ว่าคุณจะพยายามอย่างหนักแค่ไหน มันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี”
เธอมองลงไปที่เขาและพูดว่า “คุณควรจะอั้นเอาไว้ก่อน แล้วค่อยพยายามอย่างเต็มที่เมื่อถึงช่วงที่ฉันตกไข่สิ”
หลังจากพูดจบ เธอก็รีบเดินผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว และเล็ดลอดออกไปจากห้อง
เสิ่นอี้โจวซึ่งนั่งอยู่บนพื้นส่ายหัวอย่างตกตะลึง
…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เซี่ยชิงหยวนไปที่ร้านตรอกเก่ากับหลินตงซิ่ว ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ซื้อผัก ล้างและปรุง มีเพียงเท่านี้
ป้าอู๋นึกถึงการเตรียมการของเซี่ยชิงหยวน และออกไปด้วยความวิตกกังวล
เธอมีไหวพริบ แต่ก็ซื่อสัตย์ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอทำอะไรแบบนี้ ดังนั้นจึงรู้สึกกังวลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
จากนั้นในเขตที่พักอาศัย เธอได้พบกับเพื่อนร่วมงานที่เคยทำงานร่วมกัน…
เซี่ยชิงหยวนอยู่ที่ร้านตรอกเก่า กำลังฮัมเพลงขณะเตรียมอาหารกลางวันให้กับฉีจิ่นจือ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเธอกำลังอารมณ์ดี
เธอสัญญากับฉีจิ่นจือว่าจะทำข้าวขาหมู และเธอก็ทำอาหารจานนี้ขึ้นมาจริง ๆ
เพียงแต่ว่าน้ำส้มสายชูหวานนั้นหาซื้อยากนิดหน่อย เธอจึงต้องไปเดินหาที่ร้านค้าถึงสองสามแห่ง
แต่จากนั้นเธอคิดว่าต่อให้ทำน้อยหรือทำมากมันก็มีค่าเท่ากัน จึงคิดที่จะทำมากขึ้น เธอซื้อกีบหมูเพิ่มอีกสองสามอันแล้วเคี่ยวให้เข้ากัน
ด้วยวิธีนี้เธอจะได้เอามาลองดูว่าสามารถขายมันในมณฑลอวิ๋นได้หรือไม่
ยังไงเธอก็ทำไม่เยอะมากอยู่ดี ดังนั้นถ้าขายไม่หมดก็เอากลับบ้านไปกินเองก็ได้
ขาหมูไม่ได้มีรสเค็มมากนัก และไม่เหมาะกับข้าว เซี่ยชิงหยวนจึงทำซี่โครงหมูกระเทียมเพิ่ม ซึ่งเป็นอาหารกวางตุ้ง
และท้ายที่สุดเธอก็ตักเครื่องในเนื้อวัวชามเล็กให้เขาอีกหนึ่งอย่าง
หลังจากเตรียมอาหารเสร็จแล้ว เธอก็ห่ออาหารทั้งหมดแล้วออกเดินทาง
เธอเดินไปที่ประตูห้องผู้ป่วย และได้ยินเสียงของเซี่ยจื่ออี้ก่อนที่จะเคาะประตูด้วยซ้ำ
เสียงของเซี่ยจื่ออี้ออดอ้อนราวกับกำลังพยายามเอาใจผู้คน
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมความพากเพียรของอีกฝ่ายจริง ๆ
เธอเคาะประตูและเสียงภายในประตูหยุดลงทันที จากนั้นเสียงของฉีจิ่นจือก็ดังขึ้น “เข้ามา”
เซี่ยชิงหยวนผลักประตูให้เปิดแล้วเข้าไป เธอพบว่าเซี่ยจื่ออี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียงของฉีจิ่นจือ โดยถือกล่องอาหารกลางวันที่เปิดฝาแล้วอยู่ในมือ
ปรากฏว่าเซี่ยจื่ออี้กำลังเกลี้ยกล่อมให้ฉีจิ่นจือทานข้าว
เซี่ยชิงหยวนหยุดชั่วคราว และพูดอย่างจงใจ “คุณฉีมีคนเอาอาหารมาให้แล้วเหรอคะเนี่ย?”
ขณะที่พูด เธอก็ถอยหลังหนึ่งก้าวและกำลังจะออกจากประตู “ถ้าอย่างนั้น ฉันกลับไปก่อนดีกว่า”
“คุณนายเสิ่น” ฉีจิ่นจือหยุดเธอ แต่การเคลื่อนไหวของเขานั้นเร่งรีบเกินไปและส่งผลกระทบต่อบาดแผล ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วอย่างห้ามไม่ได้
เขามองเธอด้วยดวงตาสีพีชที่ดูจริงจัง ซึ่งหาได้ยากทันที “ผมชอบกินอาหารที่คุณนายเสิ่นทำ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มกลับไปทันทีที่ได้ยิน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอได้เห็นใบหน้าของเซี่ยจื่ออี้ที่ซีดลง รอยยิ้มของเธอก็สดใสยิ่งขึ้น
หญิงสาวปิดประตูแล้วเดินเข้าหาเขา โดยตั้งใจที่จะเหยียบย่ำเซี่ยจื่ออี้ซ้ำให้จมดินมากกว่าเดิม “เมื่อวานฉันคิดว่าทำอาหารมาให้น้อยเกินไป เพราะงั้นวันนี้ฉันเลยทำอาหารมาหลายอย่างเลยค่ะ คุณฉีคงสามารถกินมันได้หมดใช่ไหมคะ?”
ฉีจิ่นจือสังเกตเห็นท่าทางขี้เล่นในดวงตาของเซี่ยชิงหยวน
ดวงตาของเขามองกลับไปกลับมาระหว่างเธอกับเซี่ยจื่ออี้ และพูดด้วยรอยยิ้ม “ผมชอบกินอาหารที่เป็นฝีมือของคุณนายเสิ่นเท่านั้นเลยครับ”
ดวงตาดอกพีชเย็นยะเยือกของเขาเต็มไปด้วยความยินดี มันแสดงออกอย่างชัดเจนถึงความรักและเปล่งประกาย
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกเหมือนว่าแทบจะถูกสุนัขจิ้งจอกล่อลวงในทันที
เธอกระแอมในลำคอและเก็บรอยยิ้มไว้ไม่เปลี่ยนแปลง “คุณฉีนี่เป็นคนอารมณ์ขันเหมือนกันนะคะ”
ฉีจิ่นจือมองไปที่เธอแล้วยิ้มเบา ๆ
เซี่ยจื่ออี้กัดริมฝีปากและราวกับจะร้องไห้ออกมา “จิ่นจือคะ นี่คืออาหารที่ฉันทำให้คุณเองเลยนะ”
ขณะเดียวกัน มือของเซี่ยจื่ออี้ที่กำลังถือกล่องอาหารกลางวันก็มีรอยสีแดงราวกับว่าเธอถูกไฟลวกมา
โอ้ ช่างดูจงใจทำอะไรแบบนี้
สีหน้าเศร้าโศกและน้ำตาคลอเบ้าแบบนี้ย่อมทำให้คนอื่นรู้สึกสงสาร
แต่ฉีจิ่นจื่อไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว
ใบหน้าของเขาเย็นชา “คุณเซี่ย ผมซาบซึ้งในความมีน้ำใจของคุณนะครับ แต่ผมไม่เคยขอให้คุณทำสิ่งเหล่านี้ให้ผมเลยสักคำ และผมเชื่อว่าเมื่อวานนี้ผมได้พูดทุกอย่างไปอย่างชัดเจนมากแล้ว ว่าไม่ต้องการให้คุณเซี่ยมาทำอะไรให้ผมอีก”
สิ่งที่เขาพูดนั้นไร้ความปรานีอย่างยิ่ง
เซี่ยจื่ออี้รู้สึกอับอายมาก
เธอไม่คาดคิดว่าฉีจิ่นจือจะพูดสิ่งนี้ต่อหน้าเซี่ยชิงหยวน
เซี่ยชิงหยวนเป็นคนที่เธอไม่อยากให้มาเห็นฉากอับอายนี้มากที่สุด
ใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอขาวซีดครั้งแล้วครั้งเล่า และความภาคภูมิใจของเธอก็บอกให้ออกไปจากห้องนี้ซะ
แต่ท้ายที่สุดเธอก็ไม่เต็มใจที่จะทำแบบนั้น
เธอเงยหน้าขึ้นและมองตรงเข้าไปในดวงตาของฉีจิ่นจือ “จิ่นจือ ฉันรู้ว่าคุณไม่พอใจกับการจับคู่ของที่บ้านมาก แต่คุณต้องเข้าใจว่าสำหรับคุณ ฉันเหมาะสมที่สุดแล้ว และฉันสามารถให้ความช่วยเหลือทั้งหมดแก่คุณได้ รวมถึงในด้านอาชีพการงานของคุณด้วย”
ฉีจิ่นจือพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “ผมเคยบอกเมื่อไหร่กันว่าผมอยากจะอยู่ในเส้นทางรับราชการ?”
