บทที่ 360 ยกเลิกการหมั้นหมาย
บทที่ 360 ยกเลิกการหมั้นหมาย
หลังจากที่เสิ่นอี้โจวและฉีจิ่นจือออกไปข้างนอก เซี่ยชิงหยวนก็เห็นเสื้อคลุมของฉีจิ่นจือที่ลืมทิ้งไว้ในห้องนั่งเล่นที่บ้าน เธอจึงหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาและไล่ตามพวกเขาออกไป
แต่เมื่อเธอวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นแผ่นหลังของทั้งสองคน พวกเขาสูงและโดดเด่น
ขณะที่เซี่ยชิงหยวนกำลังจะตะโกนเรียกหาพวกเขา เธอก็เห็นร่างของชายร่างทั้งสองกอดรัดกัน
เซี่ยชิงหยวน “!”
เธอตกใจมากจนปิดปากทันที เพราะกลัวว่าจะกรีดร้องออกไป
เธอเห็นอะไร?
หญิงสาวขยี้ตาอีกครั้ง
เมื่อลืมตาอีกครั้ง ทั้งสองก็แยกจากกันไปแล้ว
สีหน้าของเซี่ยชิงหยวนเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่รู้ว่าเธอควรก้าวไปข้างหน้าหรือไม่
ในขณะที่ลังเล เธอเห็นเสิ่นอี้โจวและฉีจิ่นจือแยกจากกัน ทั้งสองหันหลังกลับแล้วเดินแยกกันไป
เซี่ยชิงหยวนหันหลังกลับอย่างรวดเร็วเช่นกัน และวิ่งกลับบ้าน
เธอวิ่งกลับบ้านอย่างหายใจไม่ออก โยนเสื้อคลุมของฉีจิ่นจือลงบนโซฟา จากนั้นจึงนั่งลง หยิบหนังสือพิมพ์ที่อยู่ใกล้ ๆ ขึ้นมาแล้วทำท่าอ่านหนังสือพิมพ์อยู่
เมื่อเสิ่นอี้โจวเดินเข้าบ้านมา เซี่ยชิงหยวนก็เงยหน้าขึ้นมองเขา “คุณกลับมาแล้วเหรอ?”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “อืม” และปิดประตูก่อนจะเปลี่ยนรองเท้าโดยไม่มีสีหน้าใด ๆ
เขามานั่งข้าง ๆ เซี่ยชิงหยวน เหลือบมองเสื้อคลุมที่เธอโยนทิ้งไว้ และยิ้มขณะหยิบมันขึ้นมา “คุณซื้อมาให้ผมเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัว “มันเป็นของฉีจิ่นจือน่ะ”
แทบจะในทันที เสิ่นอี้โจวโยนเสื้อคลุมลงบนโซฟาอย่างไม่แยแส
ที่ที่มันถูกโยนลงไปนั้นเป็นขอบโซฟาแล้วมันก็ตกลงไปที่พื้น
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกสับสนกับการกระทำของเสิ่นอี้โจว
เธอลุกขึ้นก้มลงหยิบเสื้อคลุมแล้วปัด ๆ มัน “คุณทำอะไรเนี่ย?”
เสิ่นอี้โจวยักไหล่และพูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “มือลื่นน่ะ”
เซี่ยชิงหยวนก้าวไปข้างหน้า และจ้องมองเสิ่นอี้โจว “ทำไมคุณถึงต้องหน้าแดงด้วยล่ะ? หรือเพราะว่ามือลื่นเหรอ?”
เธอเริ่มมีความรู้สึกไม่ดีในใจ แม้ไม่อยากจะเชื่อก็ตาม
เสิ่นอี้โจวแตะแก้มตัวเองโดยไม่รู้ตัว และพบว่ามันอุ่นกว่าอุณหภูมิฝ่ามือของเขาจริง ๆ
เขาโบกมือให้ตัวเอง “แค่อากาศร้อนน่ะ”
เซี่ยชิงหยวนกำลังจะร้องไห้
นี่มันไม่น่าเป็นไปได้เลย ทุกครั้งที่อยู่บนเตียง เขาทำตัวเหมือนสัตว์ร้ายที่หิวโหยกับเธอตลอดเวลา แล้วไหงมันกลับกลายเป็นแบบนี้ได้ล่ะ?
และตอนที่พวกเขากำลังกินข้าวกันวันนี้ ทั้งสองคนก็แทบจะฆ่ากันตายอยู่หลายรอบ
เป็นไปได้ไหมว่าทั้งหมดนั้นเป็นการแสร้งทำเพื่อสร้างความสับสนให้กับเธอ หรือเป็นสิ่งที่เรียกว่าทำให้ศัตรูตายใจ?
เซี่ยชิงหยวนม้วนผมอย่างฉุนเฉียวก่อนจะจับมือของเสิ่นอี้โจว “อี้โจว ตอบคำถามฉันอย่างจริงจังนะ”
เสิ่นอี้โจวตกตะลึงกับการแสดงออกที่จริงจังของภรรยา และพยักหน้าเป็นคำตอบ “ได้สิ คุณถามมาเลย”
เซี่ยชิงหยวนเอ่ยถาม “คุณรักฉันมากที่สุดใช่ไหม?”
เสิ่นอี้โจวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา
เขากอดเซี่ยชิงหยวนไว้ในอ้อมแขนแล้วลูบหลังเธอเหมือนปลอบเด็ก
“แน่นอน ผมรักคุณ ผมรักคุณมากที่สุด”
เขาพูดและจูบหน้าผากเธออย่างแรง
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หัวใจครึ่งหนึ่งของเซี่ยชิงหยวนก็หล่นลงท้องอย่างสบายใจเล็กน้อย
เธอไม่อยากจะถามคำถามต่อไปเลย เธอกลัวกับคำถามว่า ‘งั้นคุณคิดยังไงกับฉีจิ่นจือ?’ เพราะหญิงสาวกังวลว่าตอนนี้เสิ่นอี้โจวอาจจะยังไม่รู้ใจตัวเอง ถ้าเธอย้ำเตือนเขา มันคงจะไม่ดีแน่ ชายหนุ่มอาจตื่นรู้ขึ้นมา ถ้าเธอเผลอไปกระตุ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
เธอกอดเสิ่นอี้โจวแน่น “งั้นคุณต้องจำสิ่งที่คุณพูดในวันนี้ให้ดี ๆ นะ”
ท่าทางการพูดแปลก ๆ ของเซี่ยชิงหยวนในคืนนี้ทำให้เสิ่นอี้โจวขมวดคิ้ว
“เกิดอะไรขึ้นกับคุณเนี่ย?”
จากนั้นเขาก็ถอยหลังก้าวหนึ่งเพื่อมองดูภรรยาของตัวเองชัด ๆ
“ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรหรอก” เซี่ยชิงหยวนส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นกอดเขาแน่นและไม่ยอมปล่อย
ให้ตายเถอะ ตอนนี้เธอหัวเราะไม่ออกเลย เสิ่นอี้โจวสามารถเดาได้อย่างแน่นอนถ้าเขามองที่ใบหน้าของเธอ
เธอแค่เกลียดตัวเองที่พาหมาป่าเข้ามาในบ้าน ทำให้ผู้ชายของเธอเกือบจะถูกล่อลวง
เมื่อคิดถึงใบหน้าที่หล่อเหลามากเกินไปของฉีจิ่นจือ
เซี่ยชิงหยวนก็บอกตัวเองว่าจะต้องจับตาดูเสิ่นอี้โจวในอนาคตให้มากขึ้น
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉีหยวนซานไปที่บ้านของเซี่ยเจิ้ง
วันนี้เป็นวันเสาร์ ทุกคนล้วนพักผ่อนอยู่บ้าน
เมื่อแม่บ้านเปิดประตูแล้วเห็นฉีหยวนซาน เธอก็รีบต้อนรับเขาเข้ามาทันที “ผู้อำนวยการฉี เชิญเข้ามาได้เลยค่ะ”
เซี่ยจื่ออี้ได้ยินเสียงและลงมาชั้นล่าง “คุณป้า ใครมาเหรอคะ?”
หลังจากเกิดปัญหากับฉินซูอวี้ คนที่มาเยี่ยมบ้านก็แทบไม่มีเลย โดยเฉพาะพวกเพื่อนสาวที่เมื่อก่อนชวนเธอไปเที่ยวบ่อย ๆ ตอนนี้หายหัวไปหมดแล้ว
แม่บ้านเดินมาอย่างรวดเร็วและตอบว่า “ผู้อำนวยการฉีมาค่ะ”
เซี่ยจื่ออี้รีบมองในกระจกทันทีที่ได้ยินแบบนี้ พอเห็นว่าชุดที่เธอใส่นั้นค่อนข้างดูดีอยู่แล้ว จึงลงไปชั้นล่าง
เธอยิ้มอย่างสุภาพและอ่อนโยน “คุณลุงฉี เชิญนั่งก่อนนะคะ”
เซี่ยเจิ้งที่กำลังเดินอยู่ในสนามก็เดินเข้ามาทันทีหลังจากได้ยินเสียง และรู้สึกไม่คาดคิดว่าคนที่มาเยี่ยมคือฉีหยวนซาน
สายตาของเขาจ้องมองไปยังของที่ฉีหยวนซานถือมาด้วย และเข้าใจอะไรบางอย่างทันที
เขาเดินเข้ามาโดยไม่แสดงสีหน้าอะไรและพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่นึกเลยว่าวันนี้ผู้อำนวยการฉีจะมาเยี่ยมบ้านของผม ต้องขอโทษด้วยนะครับที่ผมไม่ได้เตรียมการต้อนรับไว้ล่วงหน้า”
ฉีหยวนซานโบกมือ “ไม่เป็นไรครับ ผมแค่มานั่งคุยไม่นาน ไม่ต้องมีพิธีรีตองขนาดนั้นหรอก”
เซี่ยจื่ออี้นำชามาให้ทั้งสองคน หลังจากชงเสร็จ เธอก็นั่งข้าง ๆ และวางแผนที่จะฟังการสนทนาระหว่างทั้งสองด้วย
เมื่อตอนที่ตื่นขึ้นมาเมื่อเช้านี้ เปลือกตาขวาของเธอกระตุกอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้พอเห็นฉีหยวนซานมาที่บ้าน ความรู้สึกไม่สบายใจของเธอก็รุนแรงขึ้น
ทั้งสองคนเป็นคนเก่าแก่ในหน่วยราชการและพวกเขาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายจะพูดเรื่องอะไรเพียงแค่มองครั้งเดียวเท่านั้น
เมื่อเห็นการปรากฏตัวของเซี่ยจื่ออี้ เซี่ยเจิ้งจึงพูดว่า “เช้านี้พ่อตากใบชาไว้ที่สนามหญ้า ลูกไปดูให้ทีสิว่ามันเปียกน้ำค้างแล้วรึยัง”
เซี่ยจื่ออี้รู้ว่าพ่อของเธอต้องการบังคับให้ตัวเองออกไป แต่แค่ทำมันแบบอ้อม ๆ เท่านั้น
แม้เธอกับพ่อจะคุยกันอยู่ทุกวันนี้ แต่น้ำเสียงของทั้งสองก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว หากเธอไม่เชื่อฟังเขาตอนนี้ เธอกลัวว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับลูกสาวจะแย่ลงไปอีก
หญิงสาวเหลือบมองเซี่ยเจิ้งอย่างวิงวอนและพูดว่า “งั้นหนูจะไปดูให้พ่อเดี๋ยวนี้ค่ะ”
แววตาของเซี่ยจื่ออี้ถูกมองออกโดยเซี่ยเจิ้ง แต่เขาไม่ได้สนใจมากนักและพูดว่า “ไปเถอะ”
เมื่อเห็นว่าเซี่ยจื่ออี้เดินจากไปแล้ว ฉีหยวนซานก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ขอบคุณนะ แต่ผมเชื่อว่าคุณคงรู้อยู่แล้วว่าทำไมผมถึงมาพบคุณวันนี้”
เซี่ยเจิ้งพยักหน้า “เอาละ คุณอยากจะพูดอะไรก็พูดมาเลยเถอะ”
ฉีหยวนซานพูดขึ้น “วันนี้ผมมาที่นี่ด้วยใบหน้าไร้ยางอาย ผมอยากจะพูดกับคุณตรง ๆ ว่าการหมั้นหมายของเด็กทั้งสองคนของเราควรถูกยกเลิก”
เซี่ยเจิ้งหยุดชั่วคราวโดยเอามือวางไว้ที่เข่า “ผมขอเหตุผลได้ไหม?”
แม้เซี่ยเจิ้งจะเดาได้ถึงประเด็นที่ฉีหยวนซานจะพูดตั้งแต่แรก แต่การที่ลูกสาวของตัวเองถูกปฏิเสธการแต่งงานมันก็ไม่ใช่เรื่องที่สามารถปล่อยวางได้ง่าย ๆ เขาต้องถามให้ชัดเจนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
ฉีหยวนซานคิดเรื่องนี้ทั้งคืนเพื่อที่เขาจะสามารถอธิบายได้อย่างมีเหตุผลที่เหมาะสมที่สุด “คุณก็น่าจะรู้ว่าลูกชายคนเล็กของผมโตมาโดยไม่มีผมและไม่พอใจผมมาเสมอ ก่อนที่จะมามณฑลอวิ๋นเขามีความสัมพันธ์กับใครบางคน แต่เนื่องจากครอบครัวของหญิงสาวไม่เห็นด้วยและบังคับให้เธอแต่งงานกับคนอื่น จิ่นจือก็ดื้อรั้นและไม่สามารถลืมเธอได้โดยบอกว่าเขาจะไม่มองใครอีก”
เขาถอนหายใจอีกครั้ง “เดิมทีผมคิดว่าหนูจื่ออี้นั้นโดดเด่นมาก จิ่นจือจะชอบเธอแน่นอนถ้าพวกเขาได้ใช้เวลาศึกษากันสักพัก แต่ใครจะรู้ เมื่อคืนเขาทะเลาะกับผมอีกครั้งเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“แทนที่จะปล่อยให้ลูก ๆ แต่งงานและทนทุกข์กับความอยุติธรรม เป็นการดีกว่าที่จะล้มเลิกตอนนี้ไม่ไปไกลถึงขั้นการแต่งงาน”
ฉีหยวนซานมองไปที่เซี่ยเจิ้ง “ตระกูลฉีของผมเสียใจต่อคุณในเรื่องนี้จริง ๆ หากคุณอยากได้ตำแหน่งของผมในอนาคต เพียงแค่ขอมาได้เลย”
ฉีหยวนซานใช้สัญญาเพื่อแลกกับการยกเลิกการหมั้นหมายระหว่างทั้งสองครอบครัว ซึ่งเรื่องนี้เขาคิดมาดีแล้ว
เพราะเขารู้จักนิสัยของเซี่ยเจิ้ง อีกฝ่ายไม่มีวันขอให้ตระกูลฉีทำอะไรหลังจากเหตุการณ์นี้แน่
นี่คือความภาคภูมิใจในตัวเองของเซี่ยเจิ้ง และเป็นสิ่งที่เขาชื่นชมมากที่สุดเกี่ยวกับตัวสหายคนนี้
แน่นอน เซี่ยเจิ้งกล่าวว่า “ผมเข้าใจสิ่งที่คุณพูด ขนาดแตงโมช้ำนั้นยังไม่หวานนับประสาอะไรกับเรื่องสำคัญอย่างการแต่งงาน เราปล่อยเรื่องนี้ไปเถอะ และไม่ต้องพูดถึงมันอีกในอนาคตก็พอ”
“ท้ายที่สุดมันก็เป็นเพียงการตกลงกันส่วนตัวระหว่างเราสองคนเท่านั้น หากเด็กทั้งสองไม่ได้มีใจตรงกันจริง ๆ เราก็ควรทำให้ชัดเจนและเรื่องก็จะได้ยุติลง”
“พ่อคะ หนูไม่เห็นด้วย!” ในขณะเดียวกันนี้เซี่ยจื่ออี้รีบวิ่งเข้ามาจากประตูที่เชื่อมกับสนามหญ้า
————————————
บทที่ 353 ไม่ต้องการให้เธอรู้ความลับนี้ที่สุด
บทที่ 353 ไม่ต้องการให้เธอรู้ความลับนี้ที่สุด
เฉินหลี่รีบกลับบ้านหลังจากได้รับโทรศัพท์จากฉินโย่วเหลียง
หลังจากแต่งงานมาหลายปี ฉินโย่วเหลียงตะโกนใส่เธอทางโทรศัพท์เป็นครั้งแรกก็วันนี้
“ดูสิว่าคุณได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไรลงไปบ้าง! ตอนนี้คุณได้ทำร้ายลูกสาวของคุณแล้ว!”
“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ลูกจะไปก่อเรื่องที่สำนักงานอัยการไหม!?”
“ลูกสาวก่อปัญหาขนาดนี้แล้วยังจะทำงานอยู่อีกทีรึไง? กลับมาจัดการความยุ่งเหยิงนี้ซะ!”
เมื่อเธอได้ยินว่าฉินซูอวี้ไปที่สำนักงานอัยการเพื่อสร้างปัญหาให้กับเซี่ยจื่ออี้ และเซี่ยเจิ้งก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดด้วย หัวของเฉินหลี่ก็แทบจะระเบิด
เธอขอลาหยุดทันทีและรีบกลับบ้าน ซึ่งโดยไม่คาดคิดเธอได้พบกับเซี่ยชิงหยวนและถูกเยาะเย้ยแบบนี้
เฉินหลี่ทั้งกังวลและโกรธมาก เธอไม่เคยพ่ายแพ้แบบนี้มาก่อน พลางยกมือขึ้นโดยไม่ยั้งคิดและตบหน้าเซี่ยชิงหยวน
ทว่าเซี่ยชิงหยวนหันไปด้านข้างเพื่อหลบการตบ ก่อนจะคว้าข้อมือของเธอไว้แล้วพูดอย่างประชดประชัน “คุณนายฉิน ทำไมคุณถึงกล้าตบคนอื่นในที่สาธารณะอย่างนี้ล่ะ? ดูเหมือนว่าลูกสาวของคุณจะได้เรียนรู้นิสัยจากคุณมาเต็ม ๆ เลยจริง ๆ สินะ”
“นิสัยแบบนี้ไม่ดีเลยนะคะ มันจะทำให้คนอื่นพากันเรียกว่าอันธพาล และจะหาใครแต่งงานด้วยไม่ได้เอานะ”
“แก!” เซี่ยชิงหยวนกำข้อมือของเฉินหลี่แน่น จนอีกฝ่ายไม่สามารถหลุดพ้นได้
เธอไม่คาดคิดเลยว่าเซี่ยชิงหยวนจะแข็งแกร่งขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่ดูผอมบางมาก!
มันเหมือนกับมีไฟกำลังลุกโชนอยู่ในใจของเฉินหลี่ และไม่สามารถระงับมันได้ไม่ว่าเธอจะพยายามแค่ไหนก็ตาม
เธอยกแขนอีกข้างขึ้นและกำลังจะเหวี่ยงลูกตบอีกครั้ง
เซี่ยชิงหยวนมองเห็นการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายอยู่แล้ว เธอคว้าข้อมืออีกข้างของเฉินหลี่และจับล็อคไพล่หลัง
หลังจากทำทั้งหมดนี้แล้ว เซี่ยชิงหยวนก็พูดโดยไม่หน้าแดงหรือหายใจหอบแม้แต่นิด “คุณนายฉิน คนในโรงพยาบาลของคุณรู้ไหมคะเนี่ยว่าคุณดุร้ายขนาดนี้?”
เฉินหลี่ถูกล็อคอย่างแน่นหนาโดยเซี่ยชิงหยวน มือทั้งสองข้างถูกจับไพล่หลัง และเธอก็อับอายมาก
เธอเงยหน้าขึ้นมองไปรอบ ๆ การกระทำของทั้งสองคนดึงดูดความสนใจของคนรอบ ๆ แล้ว นอกจากผู้ป่วยก็ยังมีเพื่อนร่วมงานที่ทำงานร่วมกับเธออีกด้วย
แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยการแต่งกายและท่าทางของเซี่ยชิงหยวนได้แสดงให้คนอื่น ๆ เห็นแตกต่างออกไป มือของเฉินหลี่ที่ถูกล็อคไพล่หลังถูกร่างกายของเซี่ยชิงหยวนปิดบังอย่างชาญฉลาด คนส่วนใหญ่จึงคิดว่าพวกเธอทั้งสองเพียงทะเลาะกันเล็กน้อย และยังไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น
ใบหน้าของเฉินหลี่เปลี่ยนเป็นสีแดง และพยายามดิ้นรนอยู่ครู่หนึ่ง “ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!”
แม้เธอจะอยู่ในตำแหน่งที่เสียเปรียบมาก แต่ก็ยังไม่มีความตั้งใจที่จะยอมแพ้
แทนที่จะปล่อยไป เซี่ยชิงหยวนยิ่งเพิ่มกำลังทำให้เฉินหลี่ขมวดคิ้ว “ถ้าฉันปล่อยคุณไปแล้วคุณกลับอยากจะตีฉันอีกล่ะ? คุณยิ่งเหมือนหมาบ้าที่ควบคุมยากอยู่ด้วยสิ”
เซี่ยชิงหยวนไม่กลัวที่จะทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองอีกต่อไป
ตั้งแต่ตอนที่เฉินหลี่โจมตีหลินตงซิ่วโดยไม่มีเหตุผลที่ตลาดสด มันถูกกำหนดไว้แล้วว่าทั้งสองครอบครัวจะไม่ปรองดองกัน
ประกอบกับสิ่งที่เฉินหลี่ทำในภายหลัง มันยิ่งยกโทษให้ไม่ได้มากกว่าเดิม
ดวงตาของเฉินหลี่เบิกกว้าง “ฉันจะฆ่าแก!”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็เดาะลิ้นแล้วพูดว่า “คุณฉิน คุณเป็นหมอนะคะ ทำไมถึงสามารถพูดว่าจะฆ่าคนอื่นได้อย่างเต็มปากขนาดนี้ล่ะ?”
การเสียดสีนี้รุนแรงมาก
เซี่ยชิงหยวนหมดความสนใจที่จะหยอกล้ออีกฝ่ายอีกต่อไป พลางปล่อยมือแล้วผลักเฉินหลี่ไปข้างหน้า
เฉินหลี่เดินโซเซสองสามก้าวก่อนจะสามารถทำให้ร่างกายของเธอมั่นคงได้
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายต้องการจะกระโจนเข้ามาอีกครั้ง ใบหน้าของเซี่ยชิงหยวนก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา “เฉินหลี่ ฉันแนะนำให้คุณอย่าทำอะไรโง่ ๆ อีกดีกว่า หากคุณไม่อยากสนุกไปกับการถูกจับกดหน้าคะมำไปที่พื้นตรงนี้ต่อหน้าทุกคน ก็เข้ามา”
คำพูดของเซี่ยชิงหยวนทำให้เฉินหลี่หยุดชะงักทันที
เมื่อมองดูดวงตาที่ขุ่นเคืองของเฉินหลี่แล้ว เซี่ยชิงหยวนก็พูดว่า “คุณต้องจำให้ชัดเจนว่าตั้งแต่ต้นจนจบ คุณคือผู้ที่กระทำผิดตั้งแต่แรกแล้ว”
หลังจากพูดอย่างนั้น เซี่ยชิงหยวนก็เพิกเฉยต่ออีกฝ่ายและเดินผ่านห้องโถงพร้อมกับตะกร้า เดินเข้าไปข้างในอาคารผู้ป่วยอย่างเฉยเมย
…
เมื่อเซี่ยชิงหยวนไปถึงหน้าห้อง ประตูห้องผู้ป่วยก็เปิดอยู่ก่อนแล้ว
ฉีจิ่นจือไม่ได้นอนอยู่บนเตียงตามปกติ เขานั่งอยู่บนขอบเตียงโดยหันหลังให้กับประตู มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย
เมื่อเธอเดินเข้ามาในห้อง เขาจึงได้ยินเสียงและหันกลับมาทัก “คุณมาแล้ว”
จากนั้นเซี่ยชิงหยวนก็รู้ว่าฉีจิ่นจือได้เปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดผู้ป่วยเป็นชุดของเขาเองแล้ว
เมื่อมองดูห้องที่ถูกเก็บกวาดอย่างดีอีกครั้ง เซี่ยชิงหยวนพลันรู้สึกประหลาดใจ “วันนี้คุณจะออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอ?”
ฉีจิ่นจือพยักหน้า “ใช่ คนขับรถของผมกำลังไปทำเรื่องปล่อยตัวออกจากโรงพยาบาลอยู่น่ะ”
เซี่ยชิงหยวนเดินเข้ามาและวางตะกร้าบนโต๊ะ “ไม่ใช่ว่าเป็นพรุ่งนี้เหรอ? คุณถอดไหมเย็บแผลออกแล้วเหรอ?”
เมื่อเห็นความกังวลในดวงตาของเซี่ยชิงหยวน ดวงตาที่เย็นชาของฉีจิ่นจือก็เริ่มอ่อนโยนขึ้น
เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า “วันนี้หมอเอาออกให้แล้วน่ะ”
เขามองดูตะกร้าแล้วพูดว่า “วันนี้คุณทำอาหารอร่อย ๆ อะไรมาให้ผมบ้างล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนจับตะกร้า “คุณจะได้กลับบ้านอยู่แล้ว งั้นกลับไปกินข้าวเที่ยงที่บ้านตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ?”
อาหารที่บ้านน่าจะดีกว่าของเธอแน่นอน หญิงสาวพูดอย่างจริงใจ
ไม่ว่าอาหารที่เธอปรุงจะอร่อยแค่ไหน มันก็ไม่น่าจะดีกว่าอาหารที่ปรุงใหม่ ๆ จากครัวในบ้านแล้วได้ทานเลยมากกว่า
ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลฉีน่าจะกำลังรอให้เขากลับไป แต่ถ้าเขาทานที่นี่มันคงไม่เหมาะนัก
มือของฉีจิ่นจือหยุดชั่วคราว
ดวงตาสีเข้มของเขาจ้องมองไปที่เซี่ยชิงหยวน “ไม่ว่าฝีมือของแม่บ้านผมจะดีแค่ไหน แต่ก็ยังไม่รู้สึกเหมือนอยู่บ้านอยู่ดี”
เมื่อฉีจิ่นจือพูดสิ่งนี้ เขาก็ปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ ที่มุมปากราวกับว่าล้อเล่น แต่กลับกัน สีหน้าเขาดูจริงจังแทน
ในตอนท้ายของการหัวเราะ ริมฝีปากบางของเขาก็เม้มแน่น ทำให้ดูรู้สึกขมขื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแสงในดวงตาของเขาค่อย ๆ หรี่ลง ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกเศร้าไปด้วย
เซี่ยชิงหยวนคิดถึงข่าวลือที่ได้ยินเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของฉีจิ่นจือ แล้วใจของเธอก็อ่อนลงโดยไม่รู้ตัว
ดูเหมือนว่าเด็กชายคนนี้ค่อนข้างน่าสงสารไม่น้อยเลย
เธอจึงพูดสิ่งที่จะเสียใจไปอีกนานในอนาคตว่า “ไม่เป็นไร ยังไงซะเราก็อยู่ในเขตที่พักอาศัยเดียวกันทั้งนั้น ถ้าว่าง ๆ คุณก็สามารถมากินข้าวเย็นที่บ้านฉันได้นะ และอีกอย่างฉันก็มีร้านอาหารที่อยู่ตรงถนนอาหารซึ่งอยู่ห่างจากพื้นที่ที่คุณต้องคอยลาดตระเวนไม่เท่าไหร่ คุณสามารถไปกินที่ร้านของฉันก็ได้”
ฉีจิ่นจือไม่รู้เลยว่าตัวเองถูกเซี่ยชิงหยวนเรียกว่า ‘เด็กชาย’ สองครั้งแล้วในใจของเธอ เมื่อได้ยินคำเชิญนี้เขาจึงตอบโดยไม่ลังเล “ตกลง ขอบคุณครับคุณนายเสิ่น”
ฉีจิ่นจือตอบอย่างรวดเร็วจนเซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่าตัวเองมองข้ามรายละเอียดบางอย่างไปหรือไม่
เธอมองอย่างตั้งใจ แต่ฉีจิ่นจือก็มองตาไม่กระพริบตาที่ตะกร้าของตนแล้ว
เธอไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ “สรุปคือคุณจะกินของในตระกร้าก่อนแล้วค่อยกลับเหรอ?”
ฉีจิ่นจือยิ้มด้วยความพึงพอใจ “ใช่แล้ว”
เซี่ยชิงหยวนนั่งเฉย ๆ รอให้ฉีจิ่นจือกินเหมือนที่เขาทำเมื่อหลายวันที่ผ่านมา
เมื่อเขากินใกล้จะเสร็จแล้ว คนขับรถก็เข้ามาหลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนการทำเรื่องออกจากโรงพยาบาล
เมื่อคนขับรถเห็นเซี่ยชิงหยวนเขาก็ตกตะลึง
ฉีจิ่นจือแนะนำอย่างเฉยเมย “นี่คือคุณนายเสิ่น เลขาธิการเสิ่นขอให้เธอมาที่นี่น่ะ”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกอบอุ่นในใจกับคำอธิบายของฉีจิ่นจือ
คนขับก้มหัวลงแล้วทักทาย “คุณนายเสิ่น”
เมื่อฉีจิ่นจือและคนขับกำลังช่วยกันขนของออกไปจากห้อง เซี่ยชิงหยวนเห็นกล่องไม้เล็ก ๆ วางอยู่ข้างเตียง หญิงสาวคิดเกี่ยวกับมันแล้วหยิบมันขึ้นมา และคิดจะช่วยเขาเก็บมันกลับเข้าไปในกระเป๋า
โดยไม่คาดคิด ทันทีที่เธอแตะกล่อง ฉีจิ่นจือก็รีบวิ่งมาคว้ามันไว้อย่างรวดเร็ว
เพราะความกังวล เขาจึงโน้มทั้งร่างเข้าหาเธอ ทั้งสองอยู่ใกล้กันมากจนเซี่ยชิงหยวนได้กลิ่นจาง ๆ ของยาฆ่าเชื้อบนร่างกายของชายหนุ่ม
เมื่อเขาคว้ากล่อง ฝ่ามือเย็นของเขาบังเอิญกุมหลังมือของเซี่ยชิงหยวน จากนั้นจึงดึงกล่องออกจากฝ่ามือของเธอ
เขามีสีหน้าตื่นตระหนกซึ่งหาได้ยากให้เห็น “ขอบคุณนะ ผมจะทำเอง”
เซี่ยชิงหยวนพลันเห็นผ้าสีขาวชิ้นเล็ก ๆ โผล่ออกมาจากขอบกล่องที่ปิดอยู่
หญิงสาวรู้สึกคุ้นเคยกับมันนิดหน่อย แต่ฉีจิ่นจือยัดมันลงในกระเป๋าของเขาเองก่อนที่เธอจะมองเห็นได้ชัดเจน
เซี่ยชิงหยวนขอโทษทันที “ขอโทษด้วยนะคะ ฉันแค่อยากช่วย”
ปลายหูของฉีจิ่นจือจู่ ๆ กลายเป็นสีแดง “ผมเองก็กังวลจนเกินไปน่ะ”
นี่คือความลับของเขา และเขาไม่ต้องการให้เธอรู้ความลับนี้ที่สุด
บทที่ 347 ผมชอบมันมาก
บทที่ 347 ผมชอบมันมาก
ถ้าฉีจิ่นจือไม่ได้คิดจะอยู่ในเส้นทางรับราชการ เขาก็จะไม่มีความหมายกับเซี่ยจื่ออี้
เซี่ยจื่ออี้อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง
ริมฝีปากของเธอสั่นเครือ “จิ่นจือ คุณหมายความว่าอะไร?”
ตอนนี้ความอดทนของฉีจิ่นจือได้หมดลงแล้ว “อันที่จริงผมรู้นะว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ ดังนั้นผมอยากจะบอกคุณว่าสิ่งที่คุณกำลังคิดอยู่นั้นมันใช้ไม่ได้ผลกับผม เพราะผมจะไม่ให้ในสิ่งที่คุณต้องการ!”
เซี่ยจื่ออี้ซ่อนความปรารถนาในอำนาจของตัวเองไว้เป็นอย่างดี
แต่ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนก็ยังเป็นแค่ผู้หญิงในวัยยี่สิบ เธอสามารถหลอกลวงคนอื่นได้ แต่เธอไม่สามารถหลอกลวงเขาได้
ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มีชีวิตรอดอยู่ในปีนรกเหล่านั้นได้มาจนป่านนี้หรอก
เซี่ยชิงหยวนไม่คาดคิดว่าเธอจะได้ยินสิ่งนี้
มันสายเกินไปไหมที่เธอจะจากไปตอนนี้?
เธอเบือนหน้ามองไปที่หน้าต่างด้านข้างทันที
หรือว่าเธอควรออกไปตอนนี้ดี?
เซี่ยจื่ออี้ไม่สามารถรักษาสีหน้าของตัวเองได้อีกต่อไป
บนใบหน้าของเธอ เต็มไปด้วยอารมณ์ที่เปลี่ยนไปหลายครั้ง ทั้งตกใจและโกรธเคือง จนในที่สุดก็กลายเป็นน้ำตา และพยายามกระตุ้นความสงสารของฉีจิ่นจือ “จิ่นจือ คุณเข้าใจฉันผิดแล้วนะคะ”
ฉีจิ่นจือยกมือขึ้นขัด “คุณไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้ผมฟังอีก เพราะผมไม่เคยคิดหรือสัญญาว่าจะแต่งงานกับคุณ เมื่อผมออกจากโรงพยาบาล ผมจะไปที่ประตูบ้านคุณพร้อมกับพ่อด้วยตัวเอง และชี้แจงให้คุณลุงทราบ”
เซี่ยจื่ออี้ยืนขึ้นด้วยความตื่นตระหนก “ฉันรู้ตัวว่าช่วงนี้ที่ฉันมาที่นี่ มันทำให้คุณไม่พอใจ แต่ถ้าหากคุณไม่ต้องการพบฉัน ฉันจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าคุณอีก แต่คุณควรคิดให้รอบคอบเกี่ยวกับเรื่องการหมั้นของเรา เพราะมันอาจจะทำให้ทั้งสองครอบครัวมองหน้ากันไม่ติด แถมเรื่องนี้จะทำให้เราเสียหน้าไปถึงอนาคตด้วยนะคะ”
หลังจากพูดจบ เซี่ยจื่ออี้ก็หันหลังกลับไปโดยไม่หยิบกล่องข้าวไปด้วย
เมื่อเดินผ่านเซี่ยชิงหยวน เธอก็มองอย่างเกลียดชัง
เอาน่า ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องมาส่งสายตาเกลียดชังหรอก เพราะความเกลียดของเรามันเต็มจนล้นไปหมดแล้ว
จากนั้นเซี่ยชิงหยวนมองไปที่ฉีจิ่นจืออย่างกระอักกระอ่วน “เอ่อ…คุณยังอยากกินอยู่ไหม?”
สีหน้าเย็นชาของฉีจิ่นจือสลายหายไปทันทีเมื่อเขามองเธอ “กินสิ”
เซี่ยชิงหยวนชี้ไปยังข้าวที่เซี่ยจื่ออี้ทิ้งไว้ “แล้วข้าวกล่องนี้ล่ะ?”
ฉีจิ่นจือส่ายหัว “คุณนายเสิ่น ตอนออกไปโปรดช่วยผมเอามันไปให้พวกเด็กขอทานทีนะครับ”
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ ความคิดดั้งเดิมของเซี่ยชิงหยวนเกี่ยวกับความเย็นชาของเขาก็เปลี่ยนไป
จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนเซี่ยจื่ออี้ใช่ไหม?
เธอพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ค่ะ”
จากนั้นเธอก็เปิดกล่องอาหารกลางวันแล้วพูดว่า “เมื่อวานเห็นว่าคุณอยากกินขาหมูไม่ใช่เหรอ? วันนี้ฉันเลยทำมาให้น่ะ”
เธอยื่นกล่องอาหารกลางวันให้เขาราวกับว่าขอผลงาน “ฉันสัญญาว่ามันอร่อยแน่นอน”
ฉีจิ่นจือรู้สึกแปลกใจขึ้นมาเมื่อได้กลิ่นที่คุ้นเคยของน้ำส้มสายชูหวาน
เมื่อเขาเห็นซุปสีดำในกล่องอาหาร ใบหน้าของเขาก็ยิ่งมืดลง
แน่นอนว่าเขาคงต้องกินมัน
เซี่ยชิงหยวนมองไปที่เขา “มีอะไรผิดปกติรึเปล่า? หรือว่าคุณไม่ชอบ?”
ฉีจิ่นจือหยิบกล่องอาหารกลางวันแล้วส่ายหัว “ไม่มีอะไร ผมชอบมันมาก ขอบคุณนะ”
อันที่จริงเขาไม่ชอบกินอาหารรสเปรี้ยว และถึงกับเกลียดการกินอาหารรสเปรี้ยวด้วยซ้ำ
เมื่อตอนที่เขายังเด็ก ครอบครัวของเขายากจนเกินกว่าจะซื้อผลไม้ได้
โจวโม่จะพาเขาไปที่สหกรณ์เพื่อขายส้มเขียวหวานที่เก็บเกี่ยวได้ และซื้อส้มในแบบที่ราคาถูกที่สุดมากิน
ส้มมีสีเขียวผลเล็ก เมื่อรับประทานนอกจากจะมีรสเปรี้ยวแล้วยังมีรสขมในปากอีกด้วย
เขาจนมาก ในกระเพาะจึงมีเพียงน้ำต้มโจ๊กเท่านั้น และเมื่อกินส้มเปรี้ยว ๆ แบบนี้เข้าไปมันจึงยิ่งทำให้ทั้งกระเพาะรู้สึกอึดอัด
แต่โจวโม่ยังคงให้อาหารเขาต่อไปราวกับว่าเธอไม่สนใจความรู้สึกของเขา “กินมันเร็วเข้า! ทำไมแกไม่กินมันฮะ? พ่อของแกชอบมันมากที่สุดนะ!”
ฉีจิ่นจือตกใจมากกับเสียงของเธอจนเขาร้องไห้
โจวโม่ดูเหมือนจะบ้าไปแล้ว ส้มที่ยังไม่ได้ปอกเปลือกเหล่านั้นก็ถูกยัดเข้าไปในปากของเขา และบังคับให้เขากลืนมันลงไป
ไม่สิ แม่ของเขาน่าจะบ้านานแล้วมากกว่า
เพราะงั้นตั้งแต่นั้นมาเขาจึงเกลียดทุกอย่างที่มีรสเปรี้ยว แม้แต่รสเปรี้ยวเพียงเล็กน้อยเขาก็เกลียด
เขามองดูขาหมูตุ๋นตรงหน้าและไข่กลม ๆ ที่ชุ่มไปด้วยซุปสีเข้ม แต่เขาไม่กล้าพูดว่าไม่ชอบมัน
ภายใต้การจ้องมองอย่างคาดหวังของเซี่ยชิงหยวน เขากัดคำแรกลงคอ ท้องของเขาพลันสั่นสะท้านโดยไม่รู้ตัว และรู้สึกไม่สบายตัว
เขากัดฟันและกลืนความรู้สึกนั้นลงไปในที่สุด
ต่อมาคำที่สองและสามก็ตามมา
หลังจากกินขาหมูเสร็จไปส่วนหนึ่ง เขาก็เหงื่อออกไปทั่วแล้ว และใบหน้าเริ่มซีดเซียว
เซี่ยชิงหยวนคิดว่าเขาร้อน เธอจึงเปิดหน้าต่างแล้วบ่นพึมพำ “คุณไม่น่าจะมีอาการเร็วขนาดนี้นี่นา นี่ยังไม่ได้ย่อยเลยนะ”
ฉีจิ่นจือเช็ดเหงื่อบาง ๆ จากหน้าผาก แล้วมองดูหญิงสาวตรงหน้าเปิดหน้าต่าง เธอยืดแขนออกไป ซึ่งทำให้เสื้อผ้าส่วนเอวของเธอรัดขึ้นเผยให้เห็นหุ่นเพรียวบาง
ทันใดนั้นสมองของเขาสับสน และต้องรีบมองไปทางอื่นทันที
…
เซี่ยจื่ออี้กลับบ้าน ปิดประตูห้องนอน และเขวี้ยงสิ่งของบนโต๊ะในห้องลงไปที่พื้นอย่างฉุนเฉียว
เมื่อยังไม่สามารถทำให้ความเกลียดชังสงบลงได้ เธอจึงหยิบกรรไกรออกจากลิ้นชัก คว้าผ้าห่มบนเตียงแล้วเริ่มตัดมันอย่างบ้าคลั่ง
ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความเกลียดชัง และตอนนี้ผ้าห่มในมือก็เหมือนเป็นคนที่หญิงสาวเกลียด ซึ่งเธออยากจะลอกเนื้อเฉือนหนังอีกฝ่ายออกให้หมด
เสียงผ้าฉีกขาดดังอย่างต่อเนื่อง ผ้าห่มถูกตัดเป็นริ้ว ๆ จนก้อนนุ่นที่ยัดอยู่ด้านในหลุดออกมา
เซี่ยจื่ออี้มองไปที่เศษผ้าและนุ่นที่กระจายบนเตียง จากนั้นโยนผ้าห่มไว้ใต้เตียงอีกครั้ง
ในขณะนี้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น “จื่ออี้”
เป็นเซี่ยเจิ้งที่กลับมา
เธอรีบเช็ดน้ำตา เตะผ้าห่มเข้าไปแอบใต้เตียงแล้วเดินไปเปิดประตู หญิงสาวออกจากห้องแล้วรีบปิดประตูทันที “พ่อคะ ทำไมกลับมาแล้วล่ะ?”
โดยปกติแล้วเซี่ยเจิ้งจะไม่กลับมาตอนเที่ยง
เซี่ยเจิ้งเหลือบมองลูกสาวแล้วพูดว่า “ไปที่ห้องหนังสือกันเถอะ”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็ออกเดินนำหน้าไป
เซี่ยจื่ออี้รู้สึกไม่สบายใจโดยไม่มีเหตุผล แต่ยังคงเดินตามพ่อไป
ในห้องหนังสือ เซี่ยเจิ้งนั่งอยู่ที่เก้าอี้ของเขา ยกเว้นก็แต่เซี่ยจื่ออี้ ซึ่งเธอไม่ได้ถูกขอให้นั่งลง
เขาพูดว่า “พ่อได้ยินจากลุงเหยียนของลูกมา เช้านี้ลูกขอลางานหรือเปล่า?”
ลุงเหยียนที่เซี่ยเจิ้งกล่าวถึงคือหัวหน้าหน่วยของเซี่ยจืออี๋
เซี่ยจื่ออี้ก้มศีรษะลงแล้วตอบ “ใช่ค่ะ”
เซี่ยเจิ้งมองไปยังดวงตาแดงก่ำของลูกสาว แล้วพูดว่า “ลูกไปโรงพยาบาลเพื่อพบฉีจิ่นจืออีกแล้วเหรอ?”
เมื่อเซี่ยจื่ออี้ได้ยินเซี่ยเจิ้งถามเกี่ยวกับคำร้องขอลางานของตัวเอง เธอก็รู้แล้วว่าเขาน่าจะเดาได้ ดังนั้นหญิงสาวจึงยอมรับโดยไม่ปิดบังสิ่งใด “ใช่ค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยเจิ้งก็ถอนหายใจ “จื่ออี้ ทำไมลูกถึงดื้อขนาดนี้?”
เขาเคาะนิ้วบนโต๊ะ “ครั้งที่แล้ว ลูกเพิกเฉยต่อความคิดเห็นของพ่อและออกไปข้างนอก ผลลัพธ์เป็นไปตามที่ลูกหวังไว้ไหม? แล้วตอนนี้ลูกยังไปโรงพยาบาลเพื่อดูแลเขาอีกเหรอ?”
หน้าอกของเซี่ยเจิ้งเริ่มพองและยุบแรงขึ้น “จื่ออี้ ตั้งแต่เด็กพ่อสอนลูกให้เรียนรู้ที่จะรักตัวเอง ลูกลืมไปแล้วเหรอ?”
นี่คือครั้งแรกที่เซี่ยเจิ้งพูดจริงจังกับเซี่ยจื่ออี้แบบนี้
เซี่ยจื่ออี้รู้สึกเศร้ามากยิ่งขึ้น และไม่อยากจะเชื่อ “พ่อคะ!”
เซี่ยเจิ้งโบกมือ “พ่อพยายามอย่างหนักเพื่อฝึกให้ลูกเติบโตและเก่งในทุกสิ่ง พ่อจะไม่ปล่อยให้ลูกทำให้ตัวเองต้องอับอายต่อหน้าคนอื่นแบบนี้”
เขายืนขึ้น “พรุ่งนี้พ่อจะไปชี้แจงให้ฉีหยวนซานเข้าใจว่าการแต่งงานครั้งนี้ อยู่นอกเหนือขอบเขตของครอบครัวเราแล้ว”
เซี่ยจื่ออี้ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว แล้ววางมือลงบนโต๊ะ “พ่อทำอย่างนี้ไม่ได้นะ!”
เธอโต้เถียงด้วยเหตุผล “พ่อคะ นี่คือสังคมใหม่แล้ว พ่อไม่สามารถปฏิบัติกับหนูด้วยความคิดเก่า ๆ ของพ่อได้อีกต่อไปแล้วนะคะ”
เซี่ยเจิ้งตบโต๊ะด้วยความโกรธ “ความคิดเก่า ๆ? แล้วสิ่งที่ลูกทำตอนนี้มันเรียกว่าความคิดใหม่ได้รึไง? ถ้าฉีจิ่นจือเหลือบมองลูกสักครั้ง วันนี้พ่อคงไม่พูดอะไรแบบนี้แน่นอน!”
แม่ของเซี่ยจื่ออี้เสียชีวิตเร็ว และเขาก็กลายเป็นทั้งพ่อกับแม่ให้เธอเพียงลำพัง เขาเปลี่ยนจากพ่อที่เข้มงวดเป็นพ่อที่อ่อนโยนและตามใจ เขาไม่เคยยอมที่จะปล่อยให้เธอหลั่งน้ำตา
เขาตามใจลูกสาวในทุก ๆ สิ่ง ให้ความสำคัญกับเธอในทุกที่ เซี่ยจื่ออี้เติบโตขึ้นมาอย่างที่เขาคาดหวัง และเกินความคาดหมายของเขามาก
เขาภูมิใจในตัวลูกสาวขนาดไหน แต่เธอกลับไม่ได้คิดถึงมันเลย
ลูกสาวของเขาคิดตื้นเกินไป
เซี่ยเจิ้งพูดขึ้น “เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้ พ่อจะแนะนำคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์คนอื่นให้กับลูก หากลูกไม่ชอบคนในสำนักงานมณฑล เราก็แค่หาใครสักคนจากหน่วยอื่น มันจะต้องมีสักคนที่สามารถเข้ากับลูกได้ดีแน่นอน ลูกสาวของฉันเซี่ยเจิ้งไม่ใช่คนที่ตกต่ำถึงขนาดให้คนอื่นมาดูถูกได้!”
หลังจากเขาพูดจบ ไม่ว่าเซี่ยจื่ออี้จะพูดอย่างไร เซี่ยเจิ้งก็เดินออกไปจากห้องหนังสือแล้ว
เซี่ยจื่ออี้ไล่ตามเขาและตะโกน “พ่อคะ!”
ทว่าในครั้งนี้ เซี่ยเจิ้งไม่ตามใจเธออีกแล้ว
เซี่ยจื่ออี้คว้าหินหมึกบนโต๊ะและกำลังจะเขวี้ยงมันลงพื้น แต่ทันใดนั้นเธอก็จำได้ว่านี่คือของที่เซี่ยเจิ้งหวงแหนมาก เธอจึงหยุดมือตัวเองทันที
เธอวางหินหมึกกลับลงบนโต๊ะแล้วใช้นิ้วขุดรอยตื้น ๆ บนมันแทน
ถึงแม้นอกจากฉีจิ่นจือแล้วยังมีคนหนุ่มที่มีความสามารถที่โดดเด่นอีกมากมาย แต่ใครจะเทียบได้กับครอบครัวของฉีจิ่นจือล่ะ?
หากก้าวไปข้างหน้าก็จะสามารถเข้าถึงเมืองหลวงได้ หรือหากถอยออกมาก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งสูงสุดของมณฑลยูนนาน
เมื่อพยายามอย่างเต็มที่ คนเราย่อมไม่เต็มใจที่จะยอมเปลี่ยนไปมองหาสิ่งใดที่ด้อยกว่า
หากถอยกลับ เธอจะถูกเซี่ยชิงหยวนเหยียบย่ำไปตลอดชีวิต
เสิ่นอี้โจวแต่งงานแล้ว และเธอไม่สามารถแย่งเขามาได้
แต่ทำไมฉีจิ่นจือถึงดูต่อต้านเธอนัก?
เธอชนะมาทั้งชีวิตแล้ว เธอจะแพ้เซี่ยชิงหยวนได้ยังไง!
…
ในตอนเย็น เซี่ยชิงหยวนและหลินตงซิ่วก็กลับบ้าน
งานที่ต้องวุ่นทั้งวันทำให้ทั้งคู่ดูเหนื่อยล้าอย่างมาก
ระหว่างทางเซี่ยชิงหยวนได้ตกลงกับหลินตงซิ่วแล้วว่าจะจ้างผู้ช่วยอีกคน
เซี่ยชิงหยวนพูดเอาไว้ว่า “การหาเงินเป็นสิ่งสำคัญ แต่ไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองเหนื่อยขนาดนั้นนะคะ แม่แก่แล้ว และแม่ไม่ควรที่จะเหนื่อยมาก ๆ แบบนี้ ร้านนี้มีไว้ให้แม่ทำฆ่าเวลา อย่าทำให้ตัวเองลำบากหรือกดดันจนสุขภาพเสียเลยค่ะ”
หลินตงซิ่วรู้สึกสะเทือนใจและหยุดยืนกราน
ในที่สุดป้าอู๋ก็รอจนกระทั่งเซี่ยชิงหยวนกลับมา และรีบรายงานให้เซี่ยชิงหยวนทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน ขณะที่หลินตงซิ่วกลับไปที่ห้องของตัวเอง
“ฉันทำตามที่คุณนายสั่งแล้วค่ะ ฉันได้พูดกับคนหลายคนที่มักจะชอบนินทา และเรื่องนั้นคงจะแพร่สะพัดไปทั่วในเช้าวันพรุ่งนี้แน่นอนค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ฉันรบกวนป้าอู๋แล้วค่ะ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน กริ่งประตูก็ดังขึ้น
ป้าอู๋เดินไปเปิดประตู และจู่ ๆ เธอก็ได้ต้อนรับแขกที่ไม่คาดคิด
เมื่อเห็นว่าเป็นใครที่มา เซี่ยชิงหยวนก็รีบบีบต้นขาตัวเอง และบีบน้ำตาออกมาทันที
