กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี – บทที่ 361 แม้แต่แกก็ยังหัวเราะเยาะฉัน

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

บทที่ 361 แม้แต่แกก็ยังหัวเราะเยาะฉัน

บทที่ 361 แม้แต่แกก็ยังหัวเราะเยาะฉัน

บทสนทนาระหว่างทั้งสองหยุดกะทันหัน และพวกเขาก็มองไปที่เซี่ยจื่ออี้

เซี่ยจื่ออี้เดินเข้ามาอย่างรวดเร็วและพูดอย่างจริงจัง “ลุงฉีคะ พ่อคะ หนูไม่เห็นด้วยค่ะ”

ความไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเซี่ยเจิ้ง และเอ่ยเตือน “จื่ออี้ กลับไปที่ห้องของลูกก่อน”

กลับกัน ดวงตาของเซี่ยจื่ออี้มั่นคงอย่างมาก “พ่อกำลังคุยเรื่องการแต่งงานของหนู หนูควรจะอยู่ที่นี่ด้วยไม่ใช่เหรอคะ? หนูคิดว่าหนูมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นนะ”

คำพูดของเซี่ยจื่ออี้ทำให้ใบหน้าของเซี่ยเจิ้งซีดลงทันที

เสียงของเขาเริ่มรุนแรงขึ้น “จื่ออี้!”

เซี่ยจื่ออี้ไม่คิดกังวลกับความคิดของเซี่ยเจิ้งได้อีกต่อไป เธอพูดต่อ “ถ้าจิ่นจือปฏิเสธหนูเพราะเหตุผลที่ลุงฉีเพิ่งพูดเมื่อครู่ หนูคิดว่าสิ่งนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ…”

“ให้หนูได้ใช้เวลากับเขาอีกสักหน่อยเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป เขาจะรู้อย่างแน่นอนว่าใครคือคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขา ลุงฉีคะ หนูเชื่อว่าก่อนที่คุณลุงจะเลือกบ้านของหนู คุณลุงจะต้องพิจารณาเงื่อนไขทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นคุณลุงต้องคิดไปบ้างแล้วว่าหนูจะเป็นลูกสะใภ้ที่น่าพอใจแน่ ๆ เพราะงั้นในกรณีนี้ ทำไมไม่ให้หนูพยายามมากกว่านี้ล่ะ?”

“พอแล้ว!” เซี่ยเจิ้งทนไม่ได้อีกต่อไป และตะโกนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ลูกยังมีความละอายใจอยู่บ้างไหม?”

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับเซี่ยจื่ออี้ด้วยน้ำเสียงแบบนี้

เซี่ยเจิ้งต้องการพูดมากกว่านี้ แต่ฉีหยวนซานหยุดเขาไว้ก่อน และพูดกับเซี่ยจื่ออี้แทน

“หนูจื่ออี้ ลุงเข้าใจทุกอย่างที่หนูจะสื่อนะ แต่ความรู้สึกของคนเรามันไม่สามารถบังคับกันได้ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาได้หรอก”

“พวกเธอเป็นคนหนุ่มสาวที่ยอมรับแนวคิดใหม่ ๆ มากมายในปัจจุบันนี้ น่าจะเข้าใจความจริงข้อนี้ดีนะ”

เขาพูดด้วยท่าทางเสียใจ “ส่วนตัวแล้วลุงชอบหนูมากนะ และหวังว่าหนูจะเป็นสะใภ้ให้ลุงได้ เพียงแต่ไอ้ลูกชายไม่เอาไหนของลุงมันไม่รักดีเอง ซึ่งลุงเปลี่ยนเขาไม่ได้เลย”

“ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองครอบครัวของเรานะ เราจะไม่บาดหมางเพราะเรื่องนี้แน่”

แม้ว่าเสียงของฉีหยวนซานจะสงบ แต่น้ำเสียงของเขาก็หนักแน่นมาก ไม่ว่าเซี่ยจื่ออี้จะมีผิวหนาแค่ไหนก็ไม่มีอะไรที่เธอจะพูดแย้งได้อีก

ใบหน้าหญิงสาวซีดเซียว พยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาจากดวงตาของเธอและพูดว่า “ลุงฉีคะ หนูทำให้เรื่องยากขึ้นต่อคุณลุงซะแล้ว”

หลังจากพูดแล้วเธอก็หันหลังกลับ และขึ้นไปชั้นบนแล้วปิดประตูห้องนอน

เซี่ยเจิ้งมองไปยังร่างที่จากไปของเซี่ยจื่ออี้ และถอนหายใจอย่างหนักราวกับว่าเขาอายุแก่ขึ้นอีกหลายปีเพียบพริบตา

ฉีหยวนซานพูดอีกครั้ง “ขอบคุณนะสหาย ผมเสียใจกับเรื่องนี้จริง ๆ”

เซี่ยเจิ้งรู้สึกโกรธในใจ แต่เขาก็ยังอดทน “ลูกสาวของผมก็ดื้อรั้นเกินไปเช่นกัน”

หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็ไม่มีความตั้งใจที่จะพูดให้ฉีหยวนซานอยู่ต่อไป ทำเพียงพูดคุยไม่กี่คำและส่งแขก

จากนั้นเซี่ยเจิ้งก็เดินไปที่ประตูห้องของเซี่ยจื่ออี้ เขาได้ยินเสียงสะอื้นไห้เบา ๆ อยู่ข้างใน พลันจะยกมือขึ้นเคาะประตูก็ทำได้แค่ลดมือลง

ช่างเถอะ ปล่อยให้เธออยู่คนเดียวก่อนสักพักจะดีกว่า

เธอเติบโตมาอย่างสบายเกินไป ได้รับทุกสิ่งที่ต้องการตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ในตอนนี้เป็นการดีที่จะปล่อยให้เธอประสบกับความลำบากบ้าง

ความคิดนี้เซี่ยเจิ้งจึงเดินจากไป

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เซี่ยชิงหยวนปรุงบะหมี่หนึ่งชามให้กับเสิ่นอี้โจวและพูดกับเขาเมื่อเดินออกไปส่งหน้าบ้าน “วันนี้กลับมาเร็ว ๆ หน่อยนะ”

ตอนนี้มันเป็นช่วงใกล้ปีใหม่แล้ว ซึ่งเป็นเวลาที่เสิ่นอี้โจวใกล้จะได้รับตำแหน่งใหม่เช่นกัน ดังนั้นจึงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขายังคงต้องเรียนรู้งานจากหยวนหงหลี่

เสิ่นอี้โจวไม่รู้ว่าทำไม แต่เขายังคงพยักหน้าและพูดว่า “ตกลง”

เมื่อเห็นว่าเสิ่นอี้โจวตกลง เซี่ยชิงหยวนก็ส่งเขาขึ้นรถแล้วกลับเข้าไปในบ้าน

หญิงสาวหยิบผ้าพันคอถักสีเทาเข้มออกมาจากตู้ เธอซื้อไหมพรมขนสัตว์ที่ดีที่สุดจากห้างสรรพสินค้ามา และเรียนรู้การถักจากป้าอู๋เมื่อมาที่มณฑลอวิ๋น

เธอถักอย่างเงียบ ๆ เป็นระยะ ๆ เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว และในที่สุดก็ถักเสร็จจนได้

เซี่ยชิงหยวนมองดูการถักเย็บที่ประณีตและรู้สึกค่อนข้างพอใจ

เธอเก็บผ้าพันคอและวางแผนที่จะนำไปที่ห้างสรรพสินค้า ขอให้พนักงานช่วยห่อก่อนมอบให้เสิ่นอี้โจว

ใช่แล้ว วันนี้เป็นวันเกิดปีที่ยี่สิบหกของเขา

เซี่ยชิงหยวนลังเลอยู่พักหนึ่งระหว่างกินเลี้ยงเฉพาะคนในครอบครัว หรือเชิญคนอื่นมาฉลองวันเกิดของเขาด้วย แต่ท้ายที่สุดเธอก็เลือกอย่างแรก

เธอกลัวว่าฉีจิ่นจือจะมาหลังจากทราบข่าว และพยายามล่อลวงผู้ชายของตัวเองอีกครั้ง

ทว่าเมื่อเธอกำลังจะออกไปข้างนอก หลิงหลินก็โทรมา

ทางโทรศัพท์นอกจากเสียงของหลิงหลินแล้ว เธอยังได้ยินเสียงของฉู่ซิงอวี่และหลิงเยี่ยอีกด้วย

หลิงหลินพูดว่า “พี่สาวชิงหยวนคะ วันนี้เป็นวันเกิดของเลขาธิการเสิ่นใช่ไหม? มาสั่งเค้กวันเกิดและกินอาหารเย็นด้วยกันตอนเย็นกันเถอะ ดีไหมคะ?”

ในฐานะที่เป็นผู้ช่วย ฉู่ซิงอวี่จึงรู้เกี่ยวกับวันเกิดของเสิ่นอี้โจวเช่นกัน

อีกฝ่ายกระตือรือร้นมาก ดังนั้นเซี่ยชิงหยวนจึงไม่สามารถปฏิเสธได้และตอบตามมารยาทว่า “ตกลงจ้ะ ขอบคุณล่วงหน้าด้วยนะ”

หลิงหลินมีความสุขมากเมื่อได้ยินคำตกลงของเซี่ยชิงหยวน และถามว่า “พี่สาวชิงหยวนมีร้านอาหารในดวงใจที่อยากกินไหมคะ? พี่ชายของฉันบอกว่าเขาจะไปจองโต๊ะให้เองน่ะ”

เซี่ยชิงหยวนจำได้ว่าตอนที่อยู่เมืองเตียนเฉิง ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าอยากเชิญฉู่ซิงอวี่กับหลิงเยี่ยมากินมื้อเย็นที่บ้านบ้าง แต่มันก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลย ดังนั้นเธอจึงพูดว่า “มากินข้าวด้วยกันที่บ้านเถอะ พวกเธอจะได้ลองชิมฝีมือของฉันด้วยไง”

หลังพูดออกไปแบบนั้น เสียงดีใจของหลิงหลินก็แทบจะทะลุแก้วหูของเธอทันที “เยี่ยมมากเลยค่ะ! ขอบคุณนะพี่สาวชิงหยวน!”

เธอพูดทันที “ว่าแต่พี่สาวอยากไปเดินซื้อของไหม? ฉันใส่เสื้อผ้าเตรียมพร้อมโอกาสนี้ไว้แล้ว ถ้าพี่ตกลง ฉันจะไปตลาดกับพี่แล้วไปช่วยพี่ทำอาหารด้วย!”

เซี่ยชิงหยวนจะพูดอะไรได้อีกล่ะนอกจากคำว่า ‘ตกลง’

เมื่อเซี่ยชิงหยวนและหลิงหลินออกจากบ้านไปพร้อมกับตะกร้าในมือ พวกเธอก็พบกับเฟิงหว่านที่กลับมาบ้านพร้อมกับลูกสาว

เฟิงหว่านยิ้มและถามว่า “ชิงหยวน คุณจะไปซื้อของเหรอคะ?”

จากนั้นก็มีอีกครอบครัวหนึ่งมาร่วมงานวันเกิดในตอนค่ำกับเซี่ยชิงหยวนด้วย

ต่อมาเซี่ยชิงหยวนก็ไปเชิญครอบครัวของหยวนหงหลี่

แผนการใหญ่ที่ผ่านมา มันอาจพูดได้ว่าครอบครัวของหยวนหงหลี่มีส่วนช่วยเหลือด้วยเช่นกัน

เซี่ยชิงหยวนกังวลเกี่ยวกับการให้ของขวัญและไม่ได้บอกว่าเป็นวันเกิดของเสิ่นอี้โจว เธอเพียงแต่บอกทุกคนว่าแค่มาร่วมมื้ออาหารด้วยกันเท่านั้น

เมื่อไปถึงตลาด เซี่ยชิงหยวนก็ได้พบกับฉีจิ่นจือ คนที่เธออยากเจอน้อยที่สุดในตอนนี้

เขาพยักหน้าให้เธอและหลิงหลิน พลางมองหญิงสาวทั้งสองที่ถือตะกร้าใบใหญ่คนละมือ ซึ่งเต็มไปด้วยวัตถุดิบการทำอาหาร เขาจึงถามว่า “ซื้อของเยอะจังเลยนะวันนี้?”

หลิงหลินยังได้ยินเรื่องที่เซี่ยชิงหยวนส่งอาหารให้กับฉีจิ่นจือมาบ้าง นอกจากนี้ฉีจิ่นจือยังได้รับบาดเจ็บขณะช่วยเซี่ยชิงหยวนในครั้งที่แล้ว เธอจึงคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองครอบครัวนั้นดีมาก เลยพูดออกไปว่า “ใช่ค่ะ คืนนี้จะมีเลี้ยงวันเกิดเลขาธิการเสิ่นน่ะ”

เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินประโยคนี้ เธอก็รู้ว่าจบสิ้นแล้ว

แน่นอนฉีจิ่นจือหรี่ตาลงและมองเซี่ยชิงหยวนด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “โอ้งั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องไปฉลองให้กับเลขาธิการเสิ่นในคืนนี้ซะแล้วสิ”

ไม่รู้ว่าตัวเธอเองอ่อนไหวเกินไปหรือเปล่า แต่เซี่ยชิงหยวนมักจะรู้สึกว่าฉีจิ่นจือกำลังสื่อถึงบางสิ่งบางอย่างเมื่อเขาพูดถึงเสิ่นอี้โจว

ขณะที่เธอพยายามหาเหตุผลบางอย่างที่จะปฏิเสธ แต่ฉีจิ่นจือพูดอีกครั้ง “ผมสัญญากับอี้หลินเมื่อคืนนี้ไว้ด้วยว่าจะไปหาเขาเพื่อต่อของเล่นด้วยกัน วันนี้ผมมีเวลาพอดีเลย”

ภายใต้การจ้องมองของฉีจิ่นจือ เซี่ยชิงหยวนสะดุ้งก่อนจะตอบอย่างกล้าหาญ “ได้เลยค่ะ”

ในตอนเย็น ตอนที่ทุกคนกำลังกินอาหารกันอย่างสนุกสนานที่บ้านตระกูลเสิ่น แม่บ้านของบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ กันก็ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่เจ้าของบ้านของพวกเธอกำลังกินข้าวออกมาจับกลุ่มพูดคุยกัน

“ฉันได้ยินมาว่ามีแขกมาที่บ้านของเลขาธิการเสิ่นคืนนี้ด้วยแหนะ”

“ใช่ไหม? ดูเหมือนจะมีคนค่อนข้างเยอะนะ”

“ใช่ มีคนจากตระกูลฉู่ ตระกูลหลิง บ้านผู้อำนวยการเถา และบ้านเลขาธิการหยวน คนไปเยอะมากเลย”

“ใช่ พวกเขาแทบทั้งหมดเป็นคนรุ่นหนุ่มสาวทั้งนั้นเลยนะ”

“ว่าแต่ทำไมคนในครอบครัวคุณถึงไม่ถูกเชิญล่ะ?”

หลังได้ยินแบบนั้น แม่บ้านของบ้านเซี่ยเจิ้งก็พูดขึ้น “อย่าพูดถึงบ้านของฉันเลย ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งล่าสุด ทั้งพวกชายหนุ่มและหญิงสาวที่มักจะมาหาคุณหนูของฉันก็ไม่มาอีกเลยน่ะสิ”

ขณะเดียวกัน เซี่ยจื่ออี้นั่งอยู่ในห้องโดยไม่เปิดไฟและฟังการสนทนาข้างนอก เธอทนไม่ไหวอีกต่อไป พลันคว้าตุ๊กตาผ้าใกล้ตัวมา และใช้มือฉีกกระชากมันจนเละเทะ

หญิงสาวยังรู้สึกสาแก่ใจไม่พอ เธอก็หยิบกรรไกรอีกครั้ง เล็งไปที่ใจกลางตัวของตุ๊กตาแล้วแทงเข้าไป

กรรไกรตัดผ้าและนุ่นที่อยู่ด้านใน ส่งเสียงกะซวกครั้งแล้วครั้งเล่า นุ่นที่อัดอยู่ในตัวตุ๊กตาปลิวไปทั่วตามการแทงของเธอ

ดวงตาของเซี่ยจื่ออี้เป็นสีแดงก่ำขณะจ้องมองไปที่หน้าตุ๊กตา อีกทั้งเธอยังเห็นมุมปากของตุ๊กตาส่งยิ้มมาให้

เธอยกกรรไกรขึ้น เฉือนหน้าตุ๊กตาอีกครั้ง และกัดฟันพูดประโยคหนึ่งซ้ำ ๆ “แม้แต่แกก็ยังหัวเราะเยาะฉัน! แม้แต่แกก็ยังหัวเราะเยาะฉัน! แม้แต่แกก็ยังหัวเราะเยาะฉัน…!”

บทที่ 354 รอให้เขามาดูแลครอบครัว

บทที่ 354 รอให้เขามาดูแลครอบครัว

หลังออกจากโรงพยาบาล เซี่ยชิงหยวนก็กลับไปที่ร้านตรอกเก่าอีกครั้ง

ตอนนี้เป็นเวลาอาหารกลางวันสำหรับทุกคนแล้ว มีผู้คนมากมายมาออกันที่หน้าร้านตรอกเก่า และยังมีคนเข้าคิวด้วยซ้ำ

เป็นครั้งแรกที่เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่าร้านนี้เล็กเกินไป

เธอเดินเข้าไปสวมผ้ากันเปื้อนและช่วยงานจนถึงบ่ายโมงครึ่ง ซึ่งคนในร้านเริ่มน้อยลงแล้ว

หญิงสาวเรียกให้ทุกคนที่ทำงานในร้านมารวมตัวกัน เพื่อรับประทานอาหารกลางวัน และเซี่ยชิงหยวนก็กล่าวว่า “ในอนาคต เราจะต้องกินข้าวเที่ยงให้เสร็จก่อนเริ่มทำงานนะคะ หรือก็คือเราต้องเปลี่ยนเวลากินให้เร็วกว่านี้โดยทุกคนต้องกินข้าวให้เสร็จก่อนสิบเอ็ดโมงครึ่ง เพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่ต้องทนท้องหิวในช่วงกลางวันด้วยค่ะ”

แน่นอนว่าหลินตงซิ่วไม่คัดค้าน เฉิงซวงจือและลูกจ้างหญิงที่เพิ่งเข้ารับเข้ามาทำงานใหม่เอาแต่พูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าเซี่ยชิงหยวนมีจิตใจดี

หลังรับประทานอาหาร เซี่ยชิงหยวนนำสมุดบัญชีออกมา นับรายได้และรายจ่ายตั้งแต่เปิดร้าน

สามวันที่ผ่านมาเมื่อมีการให้ส่วนลด ปริมาณการขายก็มากขึ้น วันนี้หมดช่วงลดราคาแล้วคนซื้อจึงน้อยลง แต่ราคาที่เพิ่มขึ้นมาก็เติมเต็มช่องว่างรายได้ที่หายไปได้

รายได้สามวันครึ่งมีมากกว่า 800 หยวน หลังจากหักค่าใช้จ่ายไปแล้วกว่า 300 หยวน ก็เหลือกำไร 400 กว่าหยวน

เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่ามันค่อนข้างดีไม่น้อย

เธอเก็บข้าวของแล้วไปที่ถนนหลินไห่อีกครั้ง

หลังจากที่พวกคนงานแต่งร้านรับประทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว พวกเขาก็ปูกระดาษลังและฟางไว้บนพื้น จากนั้นก็พักผ่อนเช่นนั้น

อาจาร์ยค่งบังเอิญอยู่ในร้านพอดีและพูดว่า “ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จุดที่ต้องรื้อถอนก็ทำเสร็จแล้ว ผนังและพื้นบางส่วนก็ถูกรื้อออกไปด้วย เดี๋ยวหลังจากนี้ผมวางแผนที่เริ่มก่อโครงสร้างตามแบบที่คุณวาดไว้แล้วแหละ เราจะทำการก่ออิฐ ฉาบปูน เสร็จแล้วก็ถึงเวลาติดตั้งระบบน้ำ ไฟฟ้า กระจก โคมไฟ และอย่างอื่น”

อาจารย์ค่งลูบคางตัวเอง “มากที่สุดไม่น่าจะเกินสองสัปดาห์ ร้านก็จะพร้อมแล้วครับ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ยิ้มด้วยความพึงพอใจ “ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของคุณนะคะ อาจารย์ค่ง”

ถ้าอาจารย์ค่งใช้เวลาอีกสองสัปดาห์ในการทำร้าน การเดินทางไปกว่างโจวแล้วกลับมามันจะตรงตามกำหนดเวลาเปิดร้านพอดี

คราวนี้สินค้าที่จะเอามาขายในวันเปิดร้านจะต้องถูกเลือกให้ดีที่สุด เธอจะต้องไม่ประมาท ดังนั้นเธออาจต้องอยู่ที่กว่างโจวเพิ่มอีกสักสองสามวันเพื่อเลือกสินค้าให้ได้ดีขึ้น

จากนั้นเซี่ยชิงหยวนก็กลับไปที่ร้านตรอกเก่าอีกครั้ง และหาโทรศัพท์เพื่อโทรกลับไปที่เมืองเตียนเฉิง

เซี่ยชิงหยวนเดินไปที่ตู้โทรศัพท์ที่อยู่ใกล้ ๆ ร้านตรอกเก่า และในไม่ช้าอาเซียงก็มารับสาย

หลังจากที่ทั้งสองแลกเปลี่ยนคำทักทายอย่างมีความสุขกัน เซี่ยชิงหยวนก็พูดเข้าประเด็น “อาเซียง ร้านที่นี่จะเปิดในอีกประมาณสองสัปดาห์ แต่พี่อยากไปเมืองกว่างโจวเพื่อไปซื้อสินค้าในสองสามวันหลังจากนี้ เธอไปกับพี่หน่อยได้ไหม?”

“ไม่มีปัญหาเลยค่ะ พี่เซี่ย” อาเซียงตอบอย่างร่าเริง

อาเซียงขายเสื้อผ้าที่เหลือหมดเมื่อสองวันก่อน และตอนนี้ก็ไปช่วยเจียงเพ่ยหลานทุกวัน เธอรอโทรศัพท์ของเซี่ยชิงหยวนมาหลายวันแล้ว

พอเห็นว่าอาเซียงไม่มีปัญหาอะไร เซี่ยชิงหยวนจึงนัดหมายกับเด็กสาวและโทรหาเหล่าไต้เพื่อบอกเขาเกี่ยวกับการไปเมืองกว่างโจวของเธอ

เซี่ยชิงหยวนเน้นย้ำว่า “ครั้งนี้ฉันไม่เพียงต้องการสินค้าที่ทันสมัยที่สุดเท่านั้น แต่ยังต้องการคุณภาพที่ดีที่สุดด้วยค่ะ”

แม้ภรรยาของพวกเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านี้จะไม่ได้แต่งกายด้วยผ้าไหมทองคำและด้ายเงินอย่างฟุ่มเฟือย แต่เสื้อผ้าของพวกเธอก็ไม่ธรรมดาเลย

ลูกค้าในมณฑลอวิ๋นนี้สามารถรู้ได้ถึงคุณภาพของเสื้อผ้าเพียงแค่มองและสัมผัสเท่านั้น

เนื่องจากเธอตัดสินใจสร้างแบรนด์ระดับกลางถึงระดับสูง เธอจึงไม่มีความตั้งใจที่จะเอาสินค้าราคาถูกมาวางขาย

เหล่าไต้เห็นด้วยซ้ำแล้วซ้ำเล่า “นี่ไม่ใช่ปัญหาเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง”

หลังจากจัดการทุกอย่างแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็ขมวดคิ้วและนึกถึงหมู่บ้านซิ่งฮวา ซึ่งเธอจงใจละเลยในทุกวันนี้

หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เซี่ยชิงหยวนก็หยิบหูโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งและกดโทรออกไป

ต่างจากเมื่อก่อนที่มีคนจากบ้านพ่อแม่ของเธอมารับสายอย่างรวดเร็ว เซี่ยชิงหยวนรออยู่หลายนาทีก่อนที่กงเหลียนซินจะรีบวิ่งมารับ

พร้อมกับเสียงหายใจหอบ ยังมีเสียงร้องไห้ของเด็กจากปลายสายอีกด้วย

กงเหลียนซินอุ้มเซี่ยซือเหยียนในมือข้างหนึ่ง และอีกข้างก็ถือหูโทรศัพท์ “นี่ชิงหยวนรึเปล่า?”

เซี่ยชิงหยวนตกตะลึงไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “พี่สะใภ้ ฉันเองค่ะ”

หญิงสาวถามต่อด้วยความกังวล “มีอะไรเกิดขึ้นกับซือเหยียนเหรอพี่สะใภ้?”

กงเหลียนซินเหงื่อออกพลางตอบว่า “พี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเมื่อคืนเธอเป็นหวัดรึเปล่า แต่วันนี้พอเธอตื่นมาก็มีอาการคัดจมูกและไอสองสามรอบแล้วแหละ”

“พี่ว่าจะรอให้พี่ใหญ่เธอกลับจากที่ทำงานก่อน แล้วค่อยพาหลานไปตรวจสุขภาพที่ศูนย์สุขภาพน่ะ”

เมื่อเทียบกับตอนที่เซี่ยซือถงยังเด็ก ตอนนั้นเซี่ยชิงหยวนยังอยู่ที่บ้านพ่อแม่ และส่วนใหญ่เป็นเธอที่ดูแลเซี่ยซือถง ส่วนเซี่ยซือเหยียนส่วนใหญ่ได้รับการดูแลโดยจางอวี้เจียว

แต่จางอวี้เจียวเอาแต่สนใจบ้านพ่อแม่ของตัวเองตลอดทั้งวัน ความสัมพันธ์กับเซี่ยจิ่งเฉินในเวลานั้นก็แย่ลงเรื่อย ๆ และยิ่งละเลยที่จะดูแลเซี่ยซือเหยียน ส่งผลให้สภาพร่างกายของเซี่ยซือเหยียนแย่มาโดยตลอด

แย่กว่าเซี่ยซือถงมาก และเธอก็ป่วยเดือนละครั้งเป็นอย่างน้อย

ตอนนี้จู่ ๆ ทั้งแม่และพี่สาวก็จากไป แถมสุขภาพของหวังผิงยังไม่ค่อยดีตั้งแต่นั้นมา กงเหลียนซินจึงต้องรับมือเลี้ยงดูเด็กสามคนด้วยตัวเองเท่านั้น

เซี่ยชิงหยวนสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้าในคำพูดของกงเหลียนซิน แต่อีกฝ่ายไม่ได้บ่นเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ซึ่งมันทำให้เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมพี่สะใภ้ของเธอ

เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “พี่สะใภ้กับพี่ใหญ่ต้องดูแลทั้งพ่อแม่และเด็ก ๆ ที่บ้าน ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของพี่มาก ๆ นะคะ”

กงเหลียนซินยิ้มรับ “เราทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องพูดเกรงใจกันแบบนี้หรอก”

ในขณะเดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่ในที่ว่าการหมู่บ้านซึ่งอยู่ใกล้ ๆ พอเห็นว่ากงเหลียนซินไม่สะดวกที่จะอุ้มเด็กที่ร้องไห้ เขาจึงเดินมาช่วยอุ้มเด็กออกไปเพื่อที่เธอจะได้คุยโทรศัพท์อย่างสะดวกขึ้น

เซี่ยชิงหยวนถามคำถามเพิ่มเติมสองสามข้อเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว และกงเหลียนซินก็หยิบเรื่องสำคัญบอกให้หญิงสาวรู้

ท้ายที่สุดเธอก็จำเรื่องเลวร้ายของสองวันที่ผ่านมาได้และพูดว่า “จางอวี้เจียวกับพี่ใหญ่ของหล่อนพาถงถงมาที่บ้านเมื่อสองวันก่อนน่ะ”

“พวกเขาบอกว่าเด็กไม่ได้กินอาหารและใส่เสื้อผ้าดี ๆ มานานแล้ว และขอให้ครอบครัวเราให้เงินไปซื้ออาหารกับเสื้อผ้า”

เมื่อนึกถึงพฤติกรรมที่ไร้ยางอายของตระกูลจาง กงเหลียนซินก็โกรธจัด “แม่ต้องการมอบนมผงสองกระป๋องในบ้านให้พวกเขา แต่โชคดีที่พ่อหยุดไว้”

“ไม่ใช่ว่าเขาลังเลที่จะให้นมผง แต่ต่อให้มอบไปมันก็ไม่เข้าไปอยู่ในท้องของเซี่ยซือถงอยู่ดี ให้กับตระกูลจางมันจะเป็นการเสียของไปเปล่า ๆ” เธอถอนหายใจ “เด็กก็น่าสงสารมาก เธอผอมกว่าครั้งที่แล้วมากและเสื้อผ้าที่ใส่ก็ดูบางมากจริง ๆ ไม่รู้เลยว่ามันเคยเป็นเสื้อผ้าของใครมาก่อน แต่มันสกปรกและขาดรุ่งริ่งเชียวแหละ”

“ต่อมาพอพี่ใหญ่ของจางอวี้เจียวเห็นว่าครอบครัวเราปฏิเสธที่จะให้เงินและสิ่งของ เขาก็สาปแช่งและลากถงถงออกไปเลย”

เมื่อเห็นแบบนั้น ยังไม่ต้องพูดถึงความอ่อนโยนของหวังผิงในฐานะคนเป็นย่า แม้แต่เธอที่มีศักดิ์เป็นป้าสะใภ้ก็รู้สึกเศร้าใจเมื่อเห็นมันเช่นกัน

บางทีอาจเพราะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดโดยตรง เธอจึงมองเห็นได้ชัดเจนกว่าหวังผิง และเธอก็ไม่แยแสเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปยามมองดูตระกูลจาง

ไม่อย่างนั้นถึงแม้จะหย่าร้างออกไปแล้ว ความรู้สึกก็ไม่ถึงขั้นตัดขาดกันขนาดนี้หรอก

เซี่ยชิงหยวนเข้าใจความจริงข้อนี้เช่นกัน

ตระกูลจางต้องการเก็บเซี่ยซือถงไว้ไม่ใช่เพราะความผูกพันทางสายเลือด แต่เพียงเพื่อควบคุมครอบครัวของเธอ

ตอนนี้เธอมาอยู่ที่เมืองหลวงของมณฑลแล้ว ด้วยสถานะและความสัมพันธ์กับคนอื่นมากมาย เธอรู้สึกว่าเรื่องการทดสอบว่าเซี่ยซือถงเป็นลูกทางสายเลือดของเซี่ยจิ่งเฉินหรือไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าเธอพยายาม

แต่สุดท้ายเซี่ยชิงหยวนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เธอปลอบกงเหลียนซินสักพักแล้วบอกว่าจะส่งเงินกลับบ้านพรุ่งนี้ และขอให้กงเหลียนซินพาหวังผิงกับเซี่ยซือเหยียนไปโรงพยาบาลเพื่อให้หมอดูแล จากนั้นจึงวางสายโทรศัพท์ไป

หลังจากโทรหากงเหลียนซิน เซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย

เรื่องของเซี่ยจื่ออี้และเฉินหลี่ได้รับการแก้ไขชั่วคราวแล้ว แต่เรื่องของครอบครัวเธอกลับมารบกวนอีกครั้ง

ครอบครัวเดิมของเธอเป็นเหมือนปรสิตที่เติบโตบนร่างกาย ทำให้เธออึดอัดและไม่สามารถกำจัดมันออกไปได้

ไม่แน่ว่าบางทีเธออาจจะสามารถทำสิ่งที่โหดร้ายและตัดความสัมพันธ์แม่ลูกกับหวังผิงได้ แต่เซี่ยโยว่หมิงล่ะ? พี่ชาย พี่สะใภ้ หลานชายและหลานสาวล่ะ?

ด้วยกระดูกและเส้นเอ็นที่ยังคงเชื่อมติดกันอยู่ ไม่มีทางที่เธอจะแยกจากพ่อและพี่ของตัวเองได้อย่างสิ้นเชิง

แม้หญิงสาวจะรู้ว่าครอบครัวนี้มีปัญหามาเป็นเวลานาน และมันไม่ง่ายเลยที่จะแก้ไข แต่เธอก็ไม่สามารถเมินเฉยได้

ความมีน้ำใจและคำสอนของคุณปู่ยังคงตราตรึงอยู่ในใจเธอเสมอ

เซี่ยชิงหยวนคิดว่าถ้าเหนื่อย เธอก็จะพักก่อนแล้วค่อยเดินหน้าต่อไป

รอจนกว่าเซี่ยจิ่งเฉินจะลุกขึ้น แล้วค่อยให้เขามาดูแลครอบครัวนี้ต่อ

บทที่ 348 ไม่มีใครเป็นคนโง่

บทที่ 348 ไม่มีใครเป็นคนโง่

แขกที่ไม่คาดคิดคนนี้คือเฟิงหว่าน แม่ของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ในวันนั้น

เธอถือของขวัญอยู่ในมือและเดินตามป้าอู๋มาด้วยรอยยิ้ม

เซี่ยชิงหยวนยืนขึ้นและชำเลืองมองอีกฝ่าย ทันใดนั้นก็ราวกับว่าจำอะไรบางอย่างได้ หญิงสาวรีบหันหน้าหนีและบีบน้ำตาออกมาทันที

เมื่อเฟิงหว่านเข้ามา สิ่งที่เธอเห็นคือฉากที่หญิงสาวสวยก้มศีรษะลงและปาดน้ำตา

พอคิดถึงสิ่งที่สามีของเธอพูดกับตัวเองในวันนี้ เธอก็ยิ่งรู้สึกมั่นใจ

เฟิงหว่านยิ้มและพูดว่า “คุณนายเสิ่น”

ขณะที่พูดจบ เด็กหญิงน่ารักคนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากด้านหลังของเธอ

เด็กหญิงมีผมเปียสีดำแวววาวสองเส้น กล่าวทักทายเซี่ยชิงหยวนด้วยรอยยิ้ม “คุณน้า”

เมื่อเซี่ยชิงหยวนเห็นเด็กหญิง ใจของเธอก็ละลายไปหมดแล้ว

เธอจำชื่อเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ได้ว่าชื่อเถาเหนียนซี ซึ่งแม้แต่ชื่อนี้ก็น่ารักมาก

เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะยิ้มตอบ “เหนียนซีน้อย”

เมื่อเถาเหนียนซีได้ยินเซี่ยชิงหยวนเรียกตน เด็กน้อยก็ยิ้มอย่างมีความสุขมากยิ่งขึ้น ดวงตาของเธอโค้งเหมือนพระจันทร์เสี้ยวดวงเล็ก ๆ

เซี่ยชิงหยวนขอให้เฟิงหว่านนั่งลงและป้าอู๋ก็ไปรินชาทันที

เฟิงหว่านพูดว่า “ฉันว่าจะมาบ้านคุณตั้งนานแล้วน่ะค่ะ แต่เด็กคนนี้มีไข้มาหลายวันแล้วนับตั้งแต่เธอกลับมาในวันนั้น พอวันนี้ดีขึ้นแล้วฉันเลยกล้าพาเธอออกมาข้างนอก”

เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ไม่เป็นไรค่ะ ร่างกายของเด็กคือสิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่แล้วค่ะ”

ไม่น่าแปลกใจเลยที่เธอเห็นว่าเถาเหนียนซีดูผอมกว่าในวันนั้น

เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะโกรธเซี่ยจื่ออี้อีกครั้ง

เพื่อที่จะทำร้ายเธอ ผู้หญิงคนนั้นถึงขนาดใจอำมหิตทำร้ายเด็กน่ารักเช่นนี้ด้วยซ้ำ

เถาเหนียนซีประพฤติตัวดีมาก เมื่อเธอเห็นผู้ใหญ่คุยกัน เธอก็แยกไปเล่นเองโดยไม่มีเจตนารบกวนพวกเขา

เซี่ยชิงหยวนขอให้ป้าอู๋เรียกหาเสิ่นอี้หลิน “อี้หลินน่าจะอ่านหนังสืออยู่ในห้องหลังจากกลับมาจากโรงเรียน ช่วยไปเรียกให้เขาออกมาเล่นกับเหนียนซีด้วยกันทีนะคะ”

เมื่อเสิ่นอี้หลินออกมา ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นเมื่อเห็นเถาเหนียนซี

เขาทักทายเฟิงหว่านอย่างสุภาพมาก จากนั้นจับมือของเถาเหนียนซีแล้วพาออกไปเล่นข้างนอก

มือของเถาเหนียนซีนุ่มและเล็กมาก เสิ่นอี้หลินไม่กล้าใช้แรงเยอะเลย

เขาเอาแต่คิดว่าเมื่อไหร่พี่สะใภ้จะมอบหลานสาวตัวน้อยที่อ่อนโยนแบบนี้ให้เขาได้ดูแลกันนะ?

เมื่อเห็นเด็กสองคนเดินจากไป เฟิงหว่านก็บอกเหตุผลโดยตรงว่าทำไมเธอถึงมาเยี่ยมในวันนี้

เธอแสดงความขอบคุณต่อเซี่ยชิงหยวน และยกย่องความกล้าหาญของเสิ่นอี้หลิน

เซี่ยชิงหยวนยิ้ม “เรื่องปกติค่ะ เป็นใครก็คงจะทำอย่างเรา อย่าคิดมากเลยค่ะ”

เมื่อเซี่ยชิงหยวนพูดถึงคนอื่น เฟิงหว่านก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงเซี่ยจื่ออี้

ในเวลานั้นเธอกำลังพูดคุยกับกลุ่มผู้หญิงที่อยู่ด้านข้าง และจากหางตาของเธอ เธอให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของเด็ก ๆ เป็นครั้งคราว

เธอเห็นเซี่ยชิงหยวนไปคุยกับเสิ่นอี้หลิน และจากนั้นเห็นชัดเจนว่าเสิ่นอี้หลินพาเด็กสองสามคนเดินออกห่างจากวัวแก่ตัวนั้น

แต่ต่อมาเซี่ยจื่ออี้ก็เดินเข้าไป

เธอเห็นเซี่ยจื่ออี้พูดกับเด็กคนหนึ่ง และเด็กคนนั้นก็วิ่งกลับไปที่วัวโดยมีหญ้ากำหนึ่งอยู่ในมือ

เธอเคยไปต่างมณฑล และเป็นเรื่องปกติมากที่เด็ก ๆ จะให้วัวกินหญ้า ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจอะไรมาก

แต่เมื่อมองอีกครั้ง เธอก็เห็นว่าวัวแก่กำลังบ้าคลั่ง

ตอนนั้นวิญญาณของเธอแทบหลุดออกจากร่างและวิ่งเข้าไปทันที

ทว่าระยะทางนั้นไกลเกินไป และเธอไม่สามารถไปหาเด็กได้ทัน

เมื่อคิดว่าเถาเหนียนซีกำลังจะตายภายใต้เท้าวัว เสิ่นอี้หลินก็วิ่งไปใช้ตัวกำบังลูกสาวของเธอ และจากนั้นเซี่ยชิงหยวนก็กอดเด็กทั้งสองคนไว้

ท้ายที่สุดฉีจิ่นจือก็หยุดวัวแก่ที่กำลังคลั่งด้วยร่างกายของเขาแทน

เธอกลับไปบอกสามีถึงข้อสงสัยของตัวเอง

สามีของเธอครุ่นคิดอยู่นาน เขาสูบบุหรี่จนที่เขี่ยเต็มไปด้วยก้นบุหรี่ และในที่สุดก็พูดกับเธอด้วยความยากลำบาก “เสี่ยวหว่าน เราไม่มีหลักฐาน”

เขาเต็มไปด้วยคำขอโทษ “ผมเพิ่งเข้ารับตำแหน่งและยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเอง ผมไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองได้เลยจริง ๆ”

เฟิงหว่านเข้าใจความจริงข้อนี้ดี เธอปลอบโยนสามี “ขอสวรรค์อวยพรให้คุณนายเสิ่นและตระกูลฉีที่ช่วยชีวิตลูกของเราไว้ด้วยเถอะ แต่ถึงแม้เราจะสู้ซึ่งหน้าไม่ได้ เราก็ไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นรังแกเราได้ การที่เซี่ยจื่ออี้คิดทำอะไรบางอย่างแล้วทำร้ายลูกของเราแบบนี้ ฉันจะบอกครอบครัวฝ่ายของฉัน!”

ในภาคตะวันตกเฉียงใต้ ตระกูลเฟิงเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุด และเฟิงหว่านมาจากตระกูลเฟิงนั้น

เมื่อเฟิงหว่านต้องการเอาเรื่อง เธอก็ได้ยินข่าวลือบางอย่างเกี่ยวกับเซี่ยชิงหยวน

ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจความตั้งใจของเซี่ยจื่ออี้แล้ว

เธอเป็นคนที่แยกแยะได้ชัดเจนระหว่างบุญคุณและความแค้น เธอไม่ได้โกรธเซี่ยชิงหยวนด้วยเหตุนี้ แต่รู้สึกหวาดกลัวกับความชั่วร้ายของเซี่ยจื่ออี้มากกว่า

เฟิงหว่านมองดูดวงตาที่แดงก่ำของเซี่ยชิงหยวนแล้วพูดว่า “ฉันได้ยินข่าวลือที่แพร่กระจายไปทั่วเขตที่พักอาศัยในช่วงสองวันที่ผ่านมาด้วยค่ะ”

เธอตบหลังมือของเซี่ยชิงหยวนแล้วพูดว่า “อย่าเก็บเอามาใส่ใจเลยนะคะ ถ้าเราถูกสุนัขกัด เราจะกัดมันกลับก็คงไม่ได้จริงไหม?”

เซี่ยชิงหยวนรู้แล้วว่าตอนนี้ถึงเวลาที่เธอจะต้องแสดงแล้ว

เธอก้มศีรษะลงและสูดจมูก จากนั้นแอบหยิกตัวเอง “ตอนเราอยู่ในเมืองเตียนเฉิง ฉันพบกับคุณฉินเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นเองค่ะ ฉันไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงขุ่นเคืองฉันนักหนา ถึงใส่ร้ายฉันแบบนี้”

“คุณคิดว่าเป็นฉินซูอวี้เหรอคะ?” เฟิงหว่านเลิกคิ้ว

เซี่ยชิงหยวนทำสีหน้างงงวยอย่างเป็นธรรมชาติมาก

เมื่อเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนยังไม่รู้ว่าใครอยู่เบื้องหลังปัญหา เฟิงหว่านก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธ “คุณไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”

เธอถอนหายใจ “เดิมทีฉันเองก็คิดว่าเป็นฉินซูอวี้ที่ปล่อยข่าวลือไร้สาระ แต่วันนี้ฉันได้รู้อย่างอื่นมาค่ะ”

เธอลดเสียงลง “คุณลองคิดดูนะ ฉินซูอวี้เคยไปที่เมืองเตียนเฉิงมาก่อน ดังนั้นเธอน่าจะเคยเจอกับคุณใช่ไหม?”

เซี่ยซิงหยวนพยักหน้า “ใช่ค่ะ”

เฟิงหว่านพูดต่อ “แต่จากเมืองเตียนเฉิง คุณมาที่นี่ก็ได้พักใหญ่แล้ว หากเธอไม่พอใจคุณจริง ๆ เธอคงปล่อยข่าวลือไปนานแล้วสิ ดังนั้นเรื่องนี้มันเป็นคนอื่นที่อยู่เบื้องหลังต่างหาก”

“หือ?” เซี่ยชิงหยวนทำตาเบิกกว้าง

เฟิงหว่านคิดกับตัวเองว่าเซี่ยชิงหยวนซึ่งเป็นคนไร้เดียงสาและมีจิตใจดีแบบนี้ การที่เซี่ยจื่ออี้วางแผนใส่ร้ายมันน่าจะมาจากความอิจฉาแน่นอน

เธอตบมือเซี่ยชิงหยวนเบา ๆ และพูดต่อ “ฉันได้ยินมาว่าฉินซูอวี้กับเซี่ยจื่ออี้ทะเลาะกันเรื่องผู้ชายคนหนึ่งมาเป็นเวลานาน ตอนนี้ชายคนนั้นกลับมาแล้ว และอยู่ในแผนกเดียวกับเซี่ยจื่ออี้ด้วยค่ะ”

“นอกจากนี้ เดิมทีตระกูลฉีตั้งใจจะสู่ขอจื่ออี้ให้เป็นลูกสะใภ้ของพวกเขา แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ลูกชายคนเล็กของท่านฉีและฉินซูอวี้กลับดูเหมือนมีใจกันมากกว่า”

“ตั้งแต่ยังเด็ก เซี่ยจื่ออี้เป็นคนที่โดดเด่นที่สุดมาโดยตลอด และได้รับการยกย่องจากคนอื่น ๆ คุณคิดว่าเธอจะยอมเป็นผู้แพ้แบบนี้ได้ไหมล่ะคะ?”

คราวนี้เซี่ยชิงหยวนมองดูเฟิงหว่านด้วยความชื่นชม

เมื่อเผชิญหน้ากับการจ้องมองของเซี่ยชิงหยวนเช่นนี้ เฟิงหว่านก็อดรู้สึกตื่นเต้นในใจไม่ได้ที่จะชักดาบออกมาช่วย “ลองคิดดูสิว่าจริง ๆ แล้วผู้หญิงสองคนนั้นมีความรู้สึกที่แน่นแฟ้นต่อกันจริง ๆ เหรอ?”

“ฉินซูอวี้เป็นคนอารมณ์ร้ายและไม่ค่อยฉลาดนัก ซึ่งแย่กว่าแม่ของเธอมาก ฉินซูอวี้นั่นแหละเป็นเป้าหมาย และเซี่ยจื่ออี้เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ส่วนคุณคือเหยื่ออีกคน”

ริมฝีปากของเซี่ยชิงหยวนอ้าออกราวกับว่ามันยากที่จะแยกแยะเรื่องราวทั้งหมดได้

แต่ในใจของเธอมีความสุขมาก

ผู้หญิงที่สามารถเป็นภรรยาของเจ้าหน้าที่ในเขตที่พักอาศัยนี้ได้จะเป็นคนโง่ได้ยังไงกัน?

สิ่งที่เฟิงหว่านสามารถอนุมานได้ คนอื่น ๆ ก็สามารถคิดได้เช่นเดียวกัน

สิ่งที่เซี่ยชิงหยวนต้องการคือผลลัพธ์นี้แหละ

แน่นอนว่ามันอาจจะมีคนอื่นที่อนุมานไปได้ในแบบอื่นบ้าง ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นปัญหาเลย

ไม่ใช่ว่าเซี่ยจื่ออี้ชอบยืมมือคนอื่นฆ่าคนและเพลิดเพลินกับผลประโยชน์งั้นเหรอ?

เธอจะทำให้เซี่ยจื่ออี้ได้ลิ้มรสในวิธีการเดียวกันนี้ ให้ได้สำนึกว่าคนฉลาดไม่ได้มีแค่ตัวเองฝ่ายเดียว!

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

Status: Ongoing
หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ประสบอุบัติตุจนเสียชีวิต และเธอก็ได้ย้อนไปตอนที่เธออายุ 21 ปี …ลับมาครั้งนี้เธอจะไม่ยอมหย่ากับเสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธออีกเด็ดขาด! หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ช่วยเด็กชายคนหนึ่งเอาไว้จนประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิต ปีแล้วปีเล่าผ่านไป เสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธอก็มักจะมายี่ยมหลุมศพของเธอประจำ เธอในร่างวิญญาณออกปากไล่เขาทุกครั้งต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ยิน เขาจำไม่ได้เลยหรืออย่างไร ว่าเธอทำอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่แล้วเธอก็ได้ย้อนกลับมาใน ในวันที่เธออายุ 21 ปี แลยังไม่ได้หย่าขาดกับเสิ่นอี้โจว ในเมื่อเธอได้โอกาสอีกครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมหย่าเด็ดขาด ครั้งนี้เธอจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับเสิ่นอื้โจวได้จงได้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท