การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 176

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 176 – เรื่องราวของเพื่อน

“ร้านนี้แหละ”

ในที่สุดพวกเราก็เดินมาถึงร้านอาหารที่อาจารย์เวโรเน่พูดถึงในที่สุด ก็สมกับเป็นร้านที่โด่งดังจริงๆ นั่นแหละ เพราะแค่ทางเข้าก็หรูหรา

ประดับประดาด้วยเวทมนตร์แสงระยิบระยับ และด้วยบัตรประจำตัวของอาจารย์เวโรเน่พวกเราก็สามารถลัดคิว

ไม่สิ ควรเรียกว่าเข้าได้แบบกรณีพิเศษ ถูกจัดให้อยู่ห้องระดับพิเศษเฉยเลย พอสเตฟานี่กับเซเรสเข้าทั้งสองก็แสดงท่าทางที่แตกต่างกันออกมา

สำหรับเซเรสเธออ้าปากค้างพร้อมกับตกตะลึง

ส่วนสเตฟานี่ก็แสดงท่าทางเหมือนอึดอัดให้อารมณ์ประมาณว่า “อ้า ข้าเข้ามาที่นี่ได้จริงๆ เหรอ” อะไรแบบนี้

“ว่าไปพวกเธอไม่เคยเข้าร้านแบบนี้เหรอ?”

ฉันถามออกไปแบบนั้น ฉันไม่รู้เลยนี่น่าว่าพวกเธอมาจากไหนกัน จะว่าไปอุตส่าห์เป็นเพื่อนกันแล้ว มีแต่พวกเธอรู้จักเรื่องของฉันฝ่ายเดียวเนี่ย

มันดูไม่ยุติธรรมเลยสิ..

“ข้าไม่เคยเข้าหรอก… ปกติท่านพ่อจะเอาอาหารใส่จานแล้ววางไว้หน้าห้องข้าแค่นั้นแหละ…”

เซเรสพูดด้วยน้ำเสียงขอไปที ถึงสิ่งที่เธอพูดออกมาจะเป็นเรื่องที่ดูน่าสงสารมากก็เถอะนะ มันให้อารมณ์ประมาณว่าเหมือนเธอเป็นสุนัขที่เลี้ยงไว้เลย

มันปกติของโลกใบนี้เหรอ? ขณะคิดแบบนั้นสเตฟานี่เองก็ตอบกลับมา

“ครอบครัวข้าเองก็เป็นขุนนาง.. แต่พวกเราตกอับลงมาจนท้ายที่สุดแม้จะมีฐานะขุนนางอยู่ แต่ทว่าขนาดคฤหาสน์ยังไม่เหลือเลย”

“อาณาเขตปกครองพวกเราถูกกดดันจากตระกูลอื่นจนท้ายที่สุดเหลือแผ่นดินเป็นของตัวเองแค่ไม่กี่ไร่..”

เธอพูดพึมพำ อันที่จริงเหมือนเธอไม่ได้บอกเล่าให้ฉันฟัง แต่เธอกำลังทบทวนกับตัวเองมากกว่า

ทุกคนก็มีปัญหาเป็นของตัวเองล่ะนะ สำหรับฉันที่เป็นนอกคงจะไปพูดว่าสู้ๆ นะ หรืออย่ายอมแพ้คงไม่ได้เพราะว่าตัวฉันไม่ได้แบกรับปัญหาของเธอ

และแน่นอนว่าเธอเองก็ไม่ได้แบกรับปัญหาของฉัน ดังนั้นหากเราจะไปพูดให้กำลังใจคนอื่นโดยที่ยังไม่เข้าใจถึงปัญหาเขาคนนั้น

มันก็เหมือนการทำแบบขอไปที ถึงจะรู้สึกว่าอยากเอาใจช่วย แต่ท้ายที่สุดแล้วเราก็ไม่เข้าใจแม้กระทั่งความเหนื่อยล้าของคนคนนั้นเลย

“อ๊ะ ขอโทษค่ะที่ทำให้บรรยากาศมันแย่ลง..”

“ไม่เป็นไรหรอก หากมีปัญหาอะไรก็มาระบายกับฉันได้นะ พวกเราเป็นเพื่อนกันนี่น่า”

“ท่า— เลทิเซีย..”

“อื้อ!”

เซเรสกับสเตฟานี่ทำหน้าซึ้งน้ำใจ ฉันไม่รู้หรอกว่าปกติคนเป็นเพื่อนเขาจะไปบอกว่าสู้ๆ นะ กับคนที่มีปัญหาอะไรแบบนั้นหรือเปล่า

แต่สำหรับฉัน.. ฉันแค่คิดว่าการให้พวกเธอมาปลดปล่อยระบายความเครียดสั่งสมให้ใครสักคนฟัง และใครสักคนนั้นก็นั่งฟังอย่างตั้งใจ

เพราะในบางครั้ง สำหรับฉันก็ต้องการแค่ใครสักคนมานับฟังฉันปลดปล่อยและระบายความเครียดออกมาเท่านั้นเอง

ฉันเลยคิดว่านั่นคือทางเลือกที่ดีที่สุด.. และแน่นอนว่าในฐานะที่เป็นเพื่อนฉันก็อยากจะแนะนำสิ่งที่ดีที่สุดให้อยู่แล้ว..

นั่นเป็นเหตุผลที่ฉันพูดออกไปแบบนั้น และพวกเธอดีใจแค่นั้นฉันก็รู้สึกโล่งอกแล้วล่ะ

“จ้อกกกก~”

ไม่รู้ว่าในวินาทีถัดมาเป็นความบังเอิญแบบไหนท้องพวกเราร้องพร้อมกัน ทำให้ทุกคนแม้แต่ฉันก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง

หลังจากมองหน้ากันสักพักก่อนจะหัวเราะออกมาและเริ่มสั่งอาหารพร้อมกับรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย

น่าแปลกที่ปกติฉันจะกินอาหารตามร้านไม่ได้เพราะกลัวมีพิษแม้จะพยายามฝืนกินก็คงอ้วกออกมาหลังจากทานเข้าไป

แต่ฉันในตอนนี้กำลังทานอาหารโดยลืมความหวาดระแวงทั้งหมดทิ้งไป และสิ่งที่ตามมามีเพียงความสุขจากรสชาติอาหารที่ไม่ได้รับรสมานาน

ความสุขจากการนั่งทานข้าวกับใครสักคนที่เป็นคนสำคัญชองชีวิต และในห้องนี้มีแค่พวกเรา..

สนุก.. เสียงเพลง แสงไฟ จากร้านอาหารก็ทั้งดังและงดงามทำให้พวกเรารื่นรมย์ไปกับบรรยากาศเช่นนี้ทั้งมีการพูดคุยบนโต๊ะอาหาร

ซึ่งปกติฉันทำไม่ได้.. ในฐานะองค์หญิงต้องรักษามารยาท รักษาหน้าตา… ต้องมีสติ แต่ครั้งนี้.. แค่ครั้งนี้

ฉันรู้สึกว่าเหมือนได้ย้อนกลับไปในอดีตชาติ.. ที่เคยนั่งกินข้าวกับพี่เอลน่า. แล้วก็ลูเซียมันก็สนุกแบบนี้เหมือนกัน

แต่คราวนี้กลับแตกต่างออกไป อาจจะเป็นเพราะว่าคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามไม่ใช่พี่น้อง.. แต่เป็น ‘เพื่อนต่างหาก’

เซเรสยิ่งสนุกมาก เธอร่าเริงหยิบช้อนขึ้นมาร้องเพลงตามเพลงจองร้านอาหารที่ไม่เคยฟังจึงมีเพียงเสียงครวญคราง

พวกเรายิ้มด้วยกัน พวกเราหัวเราะด้วยกันและพวกเราก็สนุกไปพร้อมๆ กัน.. ฉันในตอนนี้มีความสุขมาก .

นี่สินะ. คือเพื่อน… เพื่อนมันดีแบบนี้นี่เอง…

“ดูเหมือนจะหลับไปแล้วนะคะ”

หลังจากนั้นไม่นาน เซเรสก็นอนหลับบนตักของสเตฟานี่ด้วยหน้าที่ใสซื่อบริสุทธิ์ สเตฟานี่ลูบหน้าของเซเรสเบาๆ

ฉันเองก็มองไปที่เซเรสไม่รู้ทำไมเหมือนกันแต่จะมองกี่รอบเธอก็หน้าตาคุ้นๆ พอสเตฟานี่มองเห็นฉันเธอก็พูดขึ้นเบาๆ ว่า

“หวังว่าเธอคงไม่ลืมเรื่องของท่านนะ..”

“เอ๋ หมายความว่าไง?”

จู่ๆ สเตฟานี่ก็พูดแบบนั้นออกมาทำให้ฉันรู้สึกสับสน สเตฟานี่มองมาที่ฉันก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

“เซเรส.. สักวัน.. เธอจะสูญเสียความทรงจำไปทั้งหมดและกลายเป็นคนไม่มีสติค่ะ..”

“เอ๊ะ…?”

เดี๋ยวก่อนนะๆ มันหมายความว่าไง ฉันแสดงสีหน้าสับสนออกไปเหมือนสเตฟานี่จะสังเกตเห็นเช่นกันเธอเลยอธิบายต่อไป

“เซเรสน่ะเป็นโรคประหลาดค่ะ.. ข้าสังเกตเห็นตั้งแต่พวกเรารู้จักกันแรกๆ .. เธอน่ะเป็นคนที่ฉลาด.. ฉลาดจนเกินจะเรียกว่าเป็นอัจฉริยะด้วยซ้ำค่ะ”

“เพราะว่าเธอ.. สามารถแทรกแซงได้แม้แต่เวทมนตร์ของพาลาดิน.. ทำให้สามารถสร้างพันธสัญญาโซลได้ก่อนใครเพื่อนค่ะ”

“…..”

ฉันพูดไม่ออกเล็กน้อย การที่จะสามารถแทรกแซงพวกเวทมนตร์ระดับโครงสร้างแนวคิดเนี่ย… ไม่ใช่อัจฉริยะแล้วมั้ง

ถ้าไม่เข้าใจโครงสร้างของแนวคิดสิ่งหลักที่มีแนวคิดนี้ มีไว้เพื่ออะไร ทำไมถึงมี อะไรทำนองนั้นก็ทำไม่ได้.. ซึ่งฉันเองก็ทำไม่ได้หรอกนะจะบอกให้..

“แต่ว่ามันต้องแลกกับการที่เธอมีสติไม่สมบูรณ์ค่ะ..”

พอสเตฟานี่พูดแบบนั้นออกมา เซเรสก็ยกมือกุมหัวพร้อมกัดฟันจนเสียงดัง คิ้วขมวดเหมือนกำลังปวดหัวทรมานอยู่

“เซเรส..”

ฉันกำลังจะขยับเข้าไปไกลแต่สเตฟานี่ยกมือขึ้นห้ามฉันไว้ เธอพูดขึ้นเบาๆ ว่า..

“เราไม่ควรหยุดเธอ.. เพราะหากหยุดเธอไว้ตอนนี้เธอคงทำอย่างอื่นนอกจากกัดฟัน—”

“กร็อบ!”

ก่อนที่สเตฟานี่จะได้พูดจบ ฟันของเซเรสก็แตกหักเพราะแรงกัดของเธอ สเตฟานี่ยกมือขึ้นแล้วก็ใช้เวทมนตร์บางอย่าง

ก่อนที่ฟันของเซเรสจะถูกรักษา สเตฟานี่หันมาพูดกับฉันต่อ..

“งั้นฉันเล่าต่อนะคะ.. ฉันให้เธอไปให้หมอในโรงเรียนตรวจสอบดูแล้ว.. รู้สึกว่าเธอจะมีโรคประหลาดบางอย่างที่ทำให้สมองทำงานไม่คงที่”

“และยิ่งเวลาผ่านไป สมองมันจะยิ่งเสื่อมสภาพลงในที่สุด.. จนท้ายที่สุดเธอก็จะจำอะไรไม่ได้..”

“ในตอนแรกที่พวกเราพบกัน เธอน่ะจำได้ดีว่าพ่อตัวเองชื่ออะไร ว่าแม่ชื่ออะไร ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน…”

“แต่ตอนนี้เธอจำไม่ได้แล้วสักอย่าง.. นิสัยก็ก้าวร้าวขึ้นเรื่อยๆ ยังดีแค่ไหนที่เธอยังจำว่าตัวเองมีพ่อได้…”

“และข้าคิดว่าอีกไม่นาน… สมองก็คงเสื่อมสภาพ”

เธอพูดออกมาเบาๆ ฉันคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น

“การรักษาล่ะ ใช่? ลองรักษาดูหรือยั—”

“ไม่หายค่ะ.. ไม่สิ.. มันรักษาไม่ได้แล้ว มันสายเกินไปแล้วค่ะ แม้ว่าพวกเราจะซ่อมแซมสมองได้แต่ก็ฟื้นฟูการเสื่อมถอยไม่ได้และหากรักษาไปในตอนนี้”

“คงมีแต่จะทำให้เธอเสียสติไปเร็วขึ้นเท่านั้นค่ะ…”

“….”

ฉันนิ่งเงียบไป ความรู้สึกปวดหน้าอกประดาเข้ามา ในตอนนั้นสายตาของสเตฟานี่ก็จ้องมองมาที่ฉัน

ฉันรู้จักสายตานั้นดี.. ใช่ รู้จักมันดีเลยแหละ สายตาที่สิ้นหวังราวกับโลกใบนี้พังทลายลงไปต่อหน้าต่อตาโดยที่ตัวเองทำอะไรไม่ได้

ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาสเตฟานี่มองดูเพื่อนตัวเองค่อยๆ พังทลายลงไปอย่างต่อเนื่อง.. จนท้ายที่สุดก็ดับสลาย…

ความเจ็บปวด ความอึดอัด ความรู้สึกมากมายอัดแน่นในอก ดวงตานั้นจ้องมาที่ฉันแล้วถามขึ้น

“เลทิเซีย.. ทำไมคนที่มาเจออะไรแบบนี้ต้องเป็นเซเรสด้วย?”

“เซเรสเธอทำอะไรผิด เธอทำอะไรให้ใครโกรธแค้นกัน?”

“เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงใสซื่อบริสุทธิ์คนหนึ่งเท่านั้น”

“ทำไม.. พระเจ้าถึงได้ทำกับเธอแบบนี้…?”

………

[กลิ่นตุๆ มีอะไรแปลกๆ ? – ใครสักคน]

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท