ตอนที่ 225 ความกังวล
ดวงอาทิตย์เทียมแห่งคิไคถูกบดบัง เขาไดโกะถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมน
เออซูร่า อุตการ์ซ่ากำลังยืนอยู่ตัวคนเดียวในมุมหนึ่งของค่าย ตัวเธอในตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับความกังวลขณะถูกสายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน
ลัทธิแห่งแสงกับตระกูลมิตสึรุกินั้นมีความเกี่ยวข้องกัน สิ่งที่ได้ยินมาจากปากของคลิมก็คือผู้นำตระกูลโฮโซที่ชื่อว่าอูรุยคือคนที่ฆ่าพ่อของเธอ นอกจากนี้ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่เธอได้เห็นและได้ยินตั้งแต่เข้ามาภายในคิไค
หลังจากเธอรวบรวมเอาเรื่องราวต่างๆ เข้าด้วยกันความจริงที่ว่าการตายพ่อของเธอถูกจัดแจงเอาไว้แล้วก็เผยออกมา
นั่นไม่ใช่คิจิน 4 ตาลึกลับที่สังหารพ่อของเธอ แต่เป็นตระกูลโฮโซและลัทธิแห่งแสง ดังนั้นก็คงเป็นเรื่องยากหากจะบอกว่าตระกูลมิตสึรุกิซึ่งมีความเกี่ยวข้องทางเบื้องหลังกับลัทธิไม่รู้เรื่องนี้
ก็ไม่รู้ว่าเป็นคำสั่งโดยตรงหรือจำเป็นต้องยินยอม แต่ไม่ว่าจะทางไหนผู้นำตระกูลอย่างชิกิบุก็ปล่อยให้อูรุย สังหารชิโกะแห่งมิตสึรุกิได้
แล้วคำพูดที่อูรุยก็ผุดขึ้นมาในหัวของเธอ
「ก็อย่างที่เจ้าพูด ในเมื่อเจ้ารู้แล้วว่าตัวข้าคือศัตรูของพ่อเจ้าแล้วเจ้ายังเลือกจะเดินตามรอยของเขาอีก อย่างน้อยสุดท้ายนี้ข้าก็จะขอเป็นคนส่งเจ้าไปหาพ่อของเจ้าเอง」
พอมาคิดดูอีกครั้งคำพูดนั้นอาจจะสื่อไปถึงว่ามีคนอื่นนอกจากอูรุยเกี่ยวข้องกับการตายของพ่อเธอก็ได้….เดินตามรอย….
ความคิดแรกหลังเรียบเรียงข้อมูลเสร็จก็คือการกลับไปยังเกาะแล้วถามผู้นำตระกูลเกี่ยวกับความจริงนี้ทันที
อย่างไรก็ตาม คำพูดของคลิมที่กล่าวมาทั้งหมดก็ใช่จะมีหลักฐานอะไรยืนยัน หากชิกิบุปฏิเสธ เออซูร่าก็ไม่มีทางคาดคั้นต่อได้แน่
ถ้าเธอจะเข้าใกล้ความจริงมากกว่านี้เธอก็ต้องรู้เรื่องของลัทธิให้มากขึ้น
ถึงผลที่ได้จะไม่พบอะไรที่เชื่อมโยงไปถึงตระกูลมิตสึรุกิเลยก็ไม่เป็นไร เพราะหากหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เธอก็จะได้สบายใจแล้วคิดว่าเรื่องที่อูรุยพูดนั้นโกหก
นี่คือสิ่งที่เออซูร่าควรกระทำในตอนนี้ แต่คำถามคือเธอจะทำมันสำเร็จไหม
เธอค่อยๆ เอามือสัมผัสไปยังบริเวณไหล่ซ้ายของเธอ ทันใดนั้นความเจ็บปวดก็แล่นจากไหล่ลงมาถึงหน้าอกเธอ
มันคือรอยแผลที่อูรุยฝากเอาไว้เมื่อวันก่อน ต้องขอบคุณโซระจริงๆ ที่ช่วยให้แผลของเธอปิดไปแล้ว ทว่าความเจ็บปวดก็ยังหลงเหลือสลักภายในร่างของเธอ
มันคือการโจมตีที่เกือบจะเอาชีวิตของเธอไป แค่รอดมาแล้วยังเจ็บแผลเฉยๆ ก็โชคดีมากแล้ว แต่ด้วยสภาพนี้ก็ยากจะสู้ต่อ
เนื่องจากการใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่า ทำให้เธอสูญเสียเลือดไปมาก จนบางครั้งก็มีอาการเวียนหัว เธอแทบจะมองไม่เห็นภาพเลยว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ในสภาพแบบนี้ เรื่องการหาข้อมูลของลัทธิอีก
นอกจากนี้ก่อนที่เธอจะบาดเจ็บ ภารกิจที่เธอได้รับมาคือการเดินทางร่วมกับโซระและไคลอาภายในคิไค เธอคงไม่สามารถทอดทิ้งพวกเขาแล้วออกเดินทางภายในคิไคคนเดียวได้
ถึงเธอจะสงสัยตระกูลมิตสึรุกิมากสักแค่ไหน แต่ในฐานะของนักรบธงแห่งผืนป่า เธอไม่สามารถละทิ้งความรับผิดชอบได้โดยขาดหลักฐานที่ชัดเจน จนถึงตอนนี้เป้าหมายในชีวิตส่วนใหญ่ของเธอก็คือการล้างแค้นให้กับพ่อของเธอ แต่ความภักดีต่อตระกูลมิตสึรุกิและความภูมิใจในฐานะธงแห่งผืนป่าที่ปกป้องประตูปีศาจก็ยังมีอยู่เช่นกัน
พอคิดเรื่องนั่นนี่ไปมา สุดท้ายเออซูร่าก็ทำได้แค่ถอนหายใจ
ว่าตามตรง เธออยากจะให้โซระกับคนอื่นๆ อยู่ในคิคไคต่อเพื่อร่วมมือกันสืบสวนเรื่องของลัทธิ หากเป็นแบบนั้นเธอก็จะสามารถบรรลุเป้าหมายโดยไม่ขัดต่อภารกิจที่ได้รับมา
ทว่า――
「ผมจะไปพูดเรื่องเห็นแก่ตัวแบบนั้นกับผู้มีพระคุณได้ยังไงกัน」
ไม่ว่าตระกูลมิตสึรุกิจะมีปริศนามากมายอยู่เบื้องหลัง แต่ก็คงไม่สำคัญสำหรับโซระที่ถูกเทรเทศออกจากเกาะไปแล้วแน่ๆ
แล้วเธอจะไปบังคับผู้มีพระคุณของเธอให้ทำตามความต้องการส่วนตัวของเธอได้ยังไงกัน ทว่าถึงจะคิดแบบนั้นแต่ใจของเธอก็นึกไปถึงเรื่องที่หากต้องขอให้โซระช่วยจะทำยังไงดี
ถ้าก้มหัวแล้วเข้าไปขอเฉยๆ ก็คงโดนบอกว่าเป็นพวกเห็นแก่ตัวแน่ ดังนั้นเธอก็น่าจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมพอสำหรับเขา
หากจะให้ขอร้องเฉยๆ การยื่นผลประโยชน์ให้ย่อมดีกว่าเป็นไหนๆ
เหตุผลที่โซระช่วยไคลอาเอาไว้ ก็ไม่ได้เกิดจากมิตรภาพหรือความเมตตาอะไร แต่เป็นสิ่งค้ำประกันว่าเขาจะได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับแรงที่ลงไป แล้วความปรารถนาของไคลอาก็เป็นจริง โซระทำการช่วยเหลือคลิมไว้ได้สำเร็จ ดังนั้นหากเออซูร่าสามารถมอบค่าตอบแทนให้เหมาะสมเหมือนที่ไคลอาทำ เธอก็น่าจะได้รับความร่วมมือจากโซระ
――ปัญหามันก็อยู่ตรงนี้แหละ ไคลอานึกไม่ออกเลยว่าสิ่งที่เธอเสนอให้กับโซระจะทำให้เขาพึงพอใจไหม
เธอใช้มือขวาของเธอม้วนหน้าม้าไปมา
เออซูร่าไม่ได้ถามกับไคลอาจริงๆ จังๆ มาก่อนด้วยว่าสิ่งที่เธอเสนอให้กับโซระคืออะไร อย่างไรก็ตามพอเห็นคำพูดและการกระทำของไคลอาที่ส่งไปยังโซระแล้ว เออซูร่าก็พอจะเดาๆ ได้บ้าง
นั่นก็คือทุกสิ่งทุกอย่าง
ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับวิถีแห่งดาบ
ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเป็นหญิงสาว
หลังก่อเรื่องครั้งใหญ่และหนีออกจากเกาะไป ไคลอาผู้ไม่มีใครให้พึ่งพิงได้ขอร้องโซระให้ช่วยเหลือโดยยอมแลกกับทุกสิ่งที่ตนมี แล้วโซระก็ตอบรับ――อย่างน้อยนั่นคือสิ่งที่เออซูร่าคิด
พอเห็นไคลอาที่ให้โซระนอนหนุนตัก คอยติดตามเขาไม่ห่างและมอบทั้งหัวใจให้โซระแล้ว ไม่ว่าใครก็ต้องคิดแบบนั้น
หากโซระเป็นฝ่ายบังคับให้ไคลอาทำแบบนั้น เธอก็มีความคิดจะช่วยจัดการให้มันถูกต้องอยู่หรอก แต่เท่าที่เธอดูทั้งคำพูดและการกระทำของไคลอามันไม่ได้สือไปถึงการฝืนทำใดๆ เลย เธอสัมผัสไม่ได้ถึงการต้องเสียสละตัวเองเพื่อน้องชายตนเลยสักนิด
เออซูร่าที่ไม่สามารถทำอะไรให้กับคลิมและไคลอาได้ ก็เลยคิดจะช่วยไคลอาในเรื่องค่าตอบแทนที่โซระพูดถึง ทว่าตอนนี้เธอเข้าใจแล้วว่าไม่จำเป็นเลยสักนิด
ทว่าความคิดอย่างเรื่องที่เธอจะเสียสละเข้าไปแทนที่ไคลอากลับโผล่มาแทน หรือก็คือเธอพร้อมจะยอมจ่ายค่าตอบแทนในราคาเดียวกันกับที่ไคลอาจ่าย――มือที่กำลังเล่นหน้าม้าได้เลื่อนลงมาเตะที่แก้ม แม้ว่าร่างกายของเธอจะขาดเลือดไปจากการใช้อาภรณ์แห่งความว่างเปล่า แต่ความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากแก้มของเธอก็รู้สึกได้ชัดเลย
เออซูร่าคิดว่าหากส่องกระจกดูตอนนี้แก้มของเธอคงได้แดงเหมือนลูกแอปเปิลแน่
มันคือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อนสักครั้งในชีวิต
เธอไม่ใช่คนที่จะไม่รู้สึกตัวถึงความแตกต่างของตัวเองระหว่างอดีตกับตอนนี้หรอก แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสับสน
จากนั้นเธอก็เผลอค่อยๆ ใช้นิ้วเรียวยาวของเธอรูดไปตามริมฝีปาก พอรู้สึกตัวเธอก็รีบนำมันออกมาจากตรงนั้นทันที ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
———
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code
