งานประมูลครั้งนี้ครึกครื้นและยิ่งใหญ่กว่าครั้งก่อนๆ ตั๋วห้องส่วนตัวต่างขายหมดแล้ว แม้แต่ตั๋วธรรมดาก็ยังขายจนเกลี้ยง ขนาดสถานจัดงานประมูลเพิ่มที่นั่งแล้วก็ยังแย่งชิงตั๋วกันจนหมด
ห้องส่วนตัวอักษรมนุษย์มีขนาดเล็ก วางได้เพียงโต๊ะและเก้าอี้ไม่กี่ตัวเท่านั้น พวกอวิ๋นโม่เข้ามาถึงแล้วก็เปิดหน้าต่าง ชมดูความครึกครื้นบริเวณที่นั่งธรรมดาซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนมากมายราวฝูงมด ทำเลบนนี้ดีมากสามารถมองเห็นโถงกว้างได้ทั้งหมด
พวกอวิ๋นโม่นั่งอยู่ในห้องส่วนตัว รอให้การประมูลเริ่มขึ้น อวิ๋นเสวียนเซิงยังคงแนะนำสินค้าต่างๆ ที่ร่วมประมูลอย่างไม่เบื่อหน่าย
กระทั่งอวิ๋นเสวียนเซิงถูกบางสิ่งดึงดูดจึงหยุดพูด อวิ๋นโม่ปลดปล่อยญาณหยั่งรู้กวาดไปทางห้องส่วนตัวอักษรฟ้า หากคาดไม่ผิด คู่แข่งของเขาสมควรอยู่ในห้องส่วนตัวเหล่านี้
‘นั่นเป็นเจ้าบ้านตระกูลฉินหรือ’ ญาณหยั่งรู้ของอวิ๋นโม่แผ่ไปยังห้องส่วนตัวของเจ้าบ้านตระกูลฉิน ‘ดูจากท่าทางของพวกเขาจะต้องสนใจถุงเฉียนคุนแน่นอน’
“ท่านเจ้าบ้าน คิดไม่ถึงว่าที่นั่นจะทำกำไรให้พวกเรามหาศาลขนาดนี้ ครั้งนี้ข้าจะรอดูว่าตระกูลอวิ๋นและตระกูลซางจะเอาอะไรมางัดข้อกับพวกเรา!”
“มีรายได้จากที่แห่งนั้น ตระกูลอวิ๋นและตระกูลซางไม่มีทางแข่งขันกับพวกเราได้แน่ แต่ยังต้องระวังคนผู้หนึ่ง ได้ยินว่ามีเด็กหนุ่มระดับเสริมกำลังผู้หนึ่งต้องการเข้าร่วมการประมูลถุงเฉียนคุน คล้ายมีเบื้องหลังไม่ธรรมดา”
“หึ เด็กนั่นกล่าวเช่นนั้นคงเพราะต้องการซื้อตั๋วห้องส่วนตัวเท่านั้น ไหนเลยจะมีความสามารถร่วมประมูลถุงเฉียนคุน มันกล้าทุบตีเหอหลินต่อหน้าผู้คนก็อย่าคิดว่าจะมีชีวิตรอดออกไปจากเมืองกวนซานเจิ้น!”
“เหอะๆ!” อวิ๋นโม่หัวเราะเสียงเย็นคำหนึ่ง ผู้พูดคือบิดาของฉินเหอหลิน อยู่ระดับเปลี่ยนชีพจรขั้นเจ็ดชั้นฟ้า อวิ๋นโม่ไม่ใส่ใจเลยสักนิด ญาณหยั่งรู้เคลื่อนไหวต่อไป มุ่งไปยังเจ้าบ้านตระกูลซาง คนผู้นี้คล้ายไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไร
สุดท้ายญาณหยั่งรู้ของอวิ๋นโม่ก็แผ่ไปทางห้องส่วนตัวของประมุขตระกูลอวิ๋น อวิ๋นเว่ยเซิง ผู้ที่นั่งอยู่ข้างกายเขาคือผู้อาวุโสสาม ผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรองต่อสู้แย่งชิงอำนาจกัน มีเพียงผู้อาวุโสสามที่ไม่สนใจเรื่องเหล่านั้นและสนับสนุนตระกูลอวิ๋นออยู่เงียบๆ
ขณะที่สีหน้าของผู้อาวุโสสามเป็นกังวล สีหน้าของอวิ๋นเว่ยเซิงแฝงความโกรธเคือง
“ครั้งนี้เกรงว่าพวกเราคงแย่งชิงกับตระกูลฉินไม่ได้แล้ว พวกเขาค้นพบสถานที่ที่มีฮวงจุ้ยดีเยี่ยม พลังปราณเต็มเปี่ยม อาศัยสถานที่แห่งนั้นพวกเขาก็สามารถหากำไรได้จำนวนมาก” ผู้อาวุโสสามถอนหายใจ
“ฮึ!” อวิ๋นเว่ยเซิงส่งเสียงเย็นชา สีหน้ากรุ่นโกรธ “หากไม่ใช่เพราะมีคนลอบขโมยยาในคลังยา เรื่องแค่นี้พวกเราจะไม่มีความมั่นใจเชียวหรือ ต่อให้พวกตระกูลฉินมีที่ดินผืนนั้น พวกเราก็มีทุนรอนพอจะสู้กันสักตั้ง!”
“ใครจะคาดคิดว่าอยู่ๆ คลังยาก็กลายเป็นว่างเปล่า”
“คนภายนอกไม่มีทางเข้าไปในคลังยาได้ ต้องมีเกลือเป็นหนอน! เสร็จเรื่องการประมูลครั้งนี้จะต้องสืบสาวให้ละเอียด!” อวิ๋นเว่ยเซิงตบโต๊ะพูด
อวิ๋นโม่ดึงญาณหยั่งรู้กลับมาก่อนเอ่ยกับตนเอง “คลังยาอยู่ๆ ก็ว่างเปล่าหรือ”
เขาพลันนึกถึงเรื่องไม่กี่วันก่อน ในใจเกิดความคิดประการหนึ่งจึงผุดยิ้มเย็น ไม่จำเป็นต้องคิดถึงใครอื่นอีก อวิ๋นโม่รู้แล้วว่าคู่ต่อสู้ที่สำคัญที่สุดของตนในครั้งนี้คงเป็นตระกูลฉิน จากข่าวที่สืบหามาเมื่อครู่ เงินที่เขามีอยู่คงไม่เพียงพอ
“หากไม่มีหนทางอื่นก็คงได้แต่ต้องทำเช่นนั้นแล้ว” อวิ๋นโม่พึมพำกับตนเอง
ด้านนอกโรงประมูล ฉินเหอหลินและยอดฝีมือระดับก่อจิตตระกูลฉินผู้นั้นมีสีหน้าปั้นยาก
“ตรวจสอบมาตั้งนานแล้ว ถึงจะมีคนจำนวนมากสวมหน้ากากเข้าไป แต่กลับไม่พบคนผู้นั้น” ยอดฝีมือระดับก่อจิตตระกูลฉินมองด้านในสถานที่จัดงานพลางเอ่ยเสียงต่ำ ถึงตอนนี้คนที่มีตั๋วต่างก็เข้าไปจนเกือบหมดแล้ว หน้าประตูไม่มีใครอีก
“หรือเจ้าเด็กนั่นจะกลัว ไม่กล้ามาแล้ว”
“ไม่น่าเป็นไปได้ ข้าเดาว่าเจ้าตัวร้ายนั่นอาจเห็นพวกเรา จึงไม่กล้าเข้าไปตอนนี้ แต่คิดจะแอบปะปนเข้าไปในงานประมูล” ฉินเหอหลินตอบเสียงเย็น
บ่าวรับใช้ข้างกายถามอย่างสงสัย “งานประมูลไม่อนุญาตให้คนเข้าไประหว่างการประมูลมิใช่หรือขอรับ”
ยอดฝีมือระดับก่อจิตผู้นั้นยิ้มหยัน “นั่นเป็นสำหรับคนทั่วไปเท่านั้น ผู้ที่มีตั๋วห้องส่วนตัวสามารถเข้าออกได้ทุกเวลา”
“เหอะ คิดจะลอบเข้าไประหว่างการประมูลเพื่อหลบเลี่ยงพวกเรา หมากตานี้ถือว่าเดินผิดแล้ว!” แววตาฉินเหอหลินเย็นเยียบเป็นน้ำแข็ง เขาหันไปกำชับผู้คุ้มกันตระกูลฉิน “พวกเจ้าเฝ้าอยู่ในที่ลับ ทันทีที่พบคนผู้นั้นให้รีบรายงานพวกเราพร้อมจับตาดูเขาให้ข้า!”
“ขอรับ!”
“ไปกันเถอะ ขอเพียงเจ้าเด็กนั่นกล้ามา จะต้องหนีไม่พ้นแน่!” ผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อจิตผู้นั้นตบกระบี่ข้างเอวขณะเอ่ยด้วยความมั่นใจในตนเอง
พวกเขาเดินเข้างานประมูล ขณะตรงขึ้นไปทางห้องส่วนตัว ฉินเหอหลินพลันหยุดเท้าแล้วเปลี่ยนเป็นเดินไปทางบริเวณที่นั่งธรรมดา หยุดอยู่ตรงทางเข้า จากนั้นยื่นมือตบบ่าคนผู้หนึ่ง
“ใคร” ชายผู้นั้นหันกลับมากำลังจะเอ่ยปากด่า พอเห็นว่าเป็นฉินเหอหลินก็รีบเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มต้อนรับ ผงกศีรษะค้อมเอว “ที่แท้ก็เป็นนายน้อยฉินนี่เอง ครั้งก่อนต้องขออภัยด้วยจริงๆ ขอรับ หากข้านำตั๋วไปให้นายน้อยฉินโดยตรงก็คงไม่เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น”
คนผู้นี้ก็คือเด็กขายตั๋วเมื่อวันก่อน เขาได้แต่ขออภัยต่อฉินเหอหลิน ผู้ดูแลหลู่ไม่กลัวฉินเหอหลินก็จริง แต่เขากลัว
“ไม่เป็นไร ข้าสามารถใช้ห้องส่วนตัวของผู้อาวุโสในตระกูลได้” ฉินเหอหลินเผยรอยยิ้มอบอุ่นราวกับเป็นนายน้อยผู้มีมารยาท ไม่ใช่คนที่บีบคั้นผู้อื่นคนนั้น “ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่”
“ตอบนายน้อยฉิน ผู้น้อยไม่มีหน้าที่ใด ทั้งอยากชมการประมูลจึงมายืนดูตรงทางเข้า” เด็กขายตั๋วตอบอย่างนอบน้อม คนที่ไม่มีตั๋วย่อมไม่สามารถเข้ามาในงานประมูล แต่คนของฝ่ายจัดงานประมูลย่อมสามารถเฝ้าดูความครึกครื้นอยู่ตามมุมต่างๆ ได้
“อันที่จริงเจ้าเป็นคนไม่เลวเลย” ฉินเหอหลินยิ้ม
“นายน้อยฉินชมเกินไปแล้วขอรับ” เด็กขายตั๋วค้อมเอว ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม ได้รับคำชมจากนายน้อยฉินสักคำเป็นเรื่องที่ไม่เลวเลยทีเดียว
ฉินเหอหลินยิ้มพลางตบบ่าเด็กขายตั๋ว “หากเจ้าสามารถบอกข้าสักเรื่องหนึ่งก็จะดีมาก อีกอย่างของพวกนี้ก็จะเป็นของเจ้า” ฉินเหอหลินล้วงเหรียญเงินออกมาโบกตรงหน้าเด็กขายตั๋ว
เงินเพียงเท่านี้บุตรหลานตระกูลใหญ่ย่อมไม่เห็นอยู่ในสายตา แต่ว่าสำหรับเด็กขายตั๋วย่อมเป็นลาภก้อนโต เด็กขายตั๋วย่อมเข้าใจความคิดของฉินเหอหลินว่าต้องการถามอะไร เขากลืนน้ำลาย สายตาจ้องเงินหลายเหรียญเหล่านั้น สุดท้ายกัดฟันเอ่ยเสียงเบา “ข้าจะบอก แต่ขอนายน้อยฉินอย่าได้แพร่งพรายออกไป”
“นั่นย่อมแน่นอน ข้อนี้ข้ารู้ดี” ฉินเหอหลินกล่าวชัดถ้อยชัดคำ
เด็กขายตั๋วหันมองซ้ายขวา สุดท้ายเอ่ยเสียงกระซิบ “อยู่ที่ห้องส่วนตัวอักษรมนุษย์หมายเลขสิบหก”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเหอหลินพลันฉีกกว้างกว่าเดิม เขาวางเงินเหล่านั้นบนมือเด็กขายตั๋ว ตบบ่าอีกหลายครั้งเพื่อแสดงความพอใจของตน จากนั้นมองไปทางห้องส่วนตัวหมายเลขสิบหก หน้าต่างห้องนั้นไม่ได้เปิดออก บนม่านก็ไม่มีเงาคน
“หรือว่าจะไม่มา” ฉินเหอหลินหัวเราะขณะขึ้นไปชั้นบน “ไอ้ลูกสำส่อน ขอเพียงเจ้ากล้ามา ข้าก็จะไม่ให้เจ้าได้กลับออกไป!”
ตระกูลฉินวางแหฟ้าตาข่ายดิน* รอให้อวิ๋นโม่เข้ามา แต่กลับไม่รู้ว่าอวิ๋นโม่เข้ามาในงานประมูลตั้งแต่แรกแล้ว
ไม่นานงานประมูลก็เริ่มขึ้น ชายชราผมขาวผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นด้านหน้า
“ท่านทั้งหลาย ยินดีต้อนรับสู่งานประมูล ข้าคือตัวแทนของโรงประมูล หากทุกท่านให้เกียรติกันก็เรียกข้าว่า ผู้เฒ่ากัว สักคำ ข้าเชื่อว่าการประมูลครั้งนี้จะต้องทำให้ทุกท่านพอใจอย่างแน่นอน!”
ผู้เฒ่ากัวคารมไม่เลว เอ่ยเพียงสองสามคำก็ทำให้บรรยากาศในห้องโถงครึกครื้นขึ้นมา ไม่นานสินค้าประมูลชิ้นแรกก็ปรากฏบนเวที
เป็นไปตามที่อวิ๋นเสวียนเซิงบอก ระดับของสินค้าในการประมูลครั้งนี้ค่อนข้างสูง สิ่งที่สามารถใช้เงินเหรียญประเมินมูลค่าได้ไม่อาจขึ้นมาบนเวที สินค้าประมูลชิ้นแรกก็ขายไปในราคาสูงถึงหนึ่งร้อยเหรียญทองแล้ว หากเป็นการประมูลครั้งก่อนๆ เงินประมูลเท่านี้อาจเป็นสินค้าที่แพงที่สุดแล้ว
สินค้าคุณภาพสูงทยอยออกมาทีละชิ้น ทำให้บรรยากาศในห้องโถงยิ่งผ่านไปยิ่งคึกคัก อวิ๋นต้ามั่วหันมายิ้มให้พวกอวิ๋นโม่พร้อมให้คำแนะนำ
หลังจากสินค้าชิ้นก่อนหน้าผ่านไปแล้ว สีหน้าของอวิ๋นต้ามั่วก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง
อวิ๋นโม่รู้ว่าขวานวิญญาณเป้าหมายของอวิ๋นต้ามั่วกำลังจะออกมาแล้ว
เด็กรับใช้หลายคนช่วยกันแบกขวานวิญญาณเล่มหนึ่งขึ้นมาบนเวทีอย่างยากลำบาก คนมากมายพอได้เห็นขวานเล่มนั้นสายตาก็เป็นประกายขึ้นมา อวิ๋นต้ามั่วขยับตัวไปด้านหน้า แทบจะพุ่งออกไปคว้ามาไว้ในมือ
………………………………………
*天罗地网Tiānluódìwǎng หมายถึง ล้อมศัตรูหรือผู้หลบหนีไว้อย่างหนาแน่นรอบด้าน
