คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง – ตอนที่ 297 องครักษ์นับพันเป็นสินสอด

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 297 องครักษ์นับพันเป็นสินสอด

“ตำแหน่งนี้มาได้อย่างไร พี่สองรู้ใช่หรือไม่!”

เยียนอวิ๋นเกอถาม

ยังต้องพูดอีกหรือ!

เยียนอวิ๋นฉีเตือนนาง “พูดตรงประเด็น!”

เยียนอวิ๋นเกอเข้าประเด็นทันที “ฮ่องเต้ทรงพระราชทานตำแหน่งนี้ให้ด้วยเจตนาอันดีหรือ”

“ไม่ต้องสนใจว่าเจตนาดีหรือไม่ อย่างน้อยตำแหน่งก็เป็นของจริง พระราชโองการออกมาแล้ว เพียงแค่ใส่ชื่อของเจ้าลงไป นับจากนี้เจ้าก็จะเป็นคนที่มีตำแหน่ง เดินออกไปย่อมสูงส่งกว่าผู้อื่น”

เยียนอวิ๋นเกอ “…”

เฮอะๆ !

“เพียงแค่ตำแหน่งขุนนางก็จะให้ข้ารับผิดแทนท่านพ่อ ข้าคงซื้อใจได้ง่ายเกินไป”

“แบกรับความผิดใด เหตุใดข้าจึงฟังไม่เข้าใจ”

เยียนอวิ๋นฉีสับสนอย่างมาก

เยียนอวิ๋นเกอเรียบเรียงคำพูด “ฮ่องเต้พระราชทานตำแหน่ง หนึ่งเพื่อปลอบใจท่านพ่อ ให้ท่านพ่อไม่หงุดหงิดเพียงนั้น สองเพื่อสร้างความบาดหมางให้ภายในตระกูลเยียน ท่านพ่อมอบตำแหน่งให้ข้า แก้ไขวิกฤตที่ฮ่องเต้ทรงสร้างขึ้นมา ท่านคิดว่าฮ่องเต้จะทรงคิดอย่างไร พระองค์จะทรงไม่โปรดข้าอย่างมากหรือไม่ พระองค์จะทรงกำจัดข้าอย่างลับๆ หรือไม่”

เยียนอวิ๋นฉีผงะไป “นี่…อย่างน้อยท่านแม่ก็เป็นถึงองค์หญิง ถึงแม้ฮ่องเต้จะไม่ทรงโปรดปรานเจ้า แต่ก็ไม่ถึงกับจะประหารแล้วไม่ใช่หรือ”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้าระรัว “ไม่มีทางประหารข้าทิ้งก็จริง แต่ฮ่องเต้ทรงออกพระราชโองการพระราชทานงานอภิเษกควบคุมชีวิตของข้าได้ พี่สองอย่าลืมว่าข้ายังไม่ได้หมั้นหมาย อีกทั้งยังถึงอายุที่ต้องหาคู่ครองแล้ว

ทันทีที่ข้ายอมรับตำแหน่ง ย่อมต้องถูกคนบงการเรื่องหมั้นหมายเหมือนท่านแม่ในตอนนั้น! เพียงแค่ข้าไม่ยอมรับตำแหน่ง ข้าย่อมไม่ดึงดูดความสนใจของฮ่องเต้ การถูกฮ่องเต้ทรงจับตามองไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก”

เยียนอวิ๋นฉีตัวสั่น พลันส่งเสียงจิ๊ปาก “ร้ายแรงเหมือนที่เจ้าพูดจริงหรือ”

“อาจร้ายแรงกว่าที่ข้าพูดเสียอีก”

“อย่างไร”

“ท่านพ่อไม่พอใจต่อสิ่งที่ฮ่องเต้พระราชทานให้อย่างเห็นได้ชัด เขาต้องการก่อปัญหา หากข้ายอมรับตำแหน่ง ย่อมกลายเป็นเป้าที่วางตรงหน้าของตระกูลเยียนอย่างแน่นอน ตราบใดที่ท่านพ่ออาละวาดหนักเกินไป ข้าที่เป็นเป้าย่อมถูกจัดการเป็นคนแรก เวลานี้แม้แต่ตำแหน่งองค์หญิงของท่านแม่ก็ไร้ประโยชน์ ข้าไม่ยอมรับตำแหน่งย่อมจะไม่ก้าวเข้าไปสู่สายตาของฮ่องเต้ ความอันตรายย่อมลดลง”

เยียนอวิ๋นฉีขมวดคิ้วมุ่น “ตามที่เจ้าพูด เจ้าจะไม่รับตำแหน่งจริงๆ แต่หากจะละทิ้งตำแหน่งไป สุดท้ายตกเป็นของเยียนอวิ๋นฉวนจะไม่น่าเสียดายหรือ”

เยียนอวิ๋นเกอไม่สนใจ “ตำแหน่งขุนนางเพียงตำแหน่งเดียว พี่สองอย่าได้ให้ค่ามันมากนัก ตำแหน่งขุนนางระดับสี่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ใดได้ นอกจากนี้ยังตัดสินอนาคตไม่ได้ เพียงแค่พี่อวิ๋นถงต้องลำบากมากขึ้นเล็กน้อย แต่จากความสามารถของท่านพี่ย่อมสามารถจัดการได้ พี่สองอย่าลืม ในตระกูลเยียน ทุกคนต่างให้ความสำคัญกับความสามารถ ตำแหน่งเป็นเพียงลม!”

เยียนอวิ๋นฉีถอนหายใจยาว ทั้งตัวผ่อนตลาย

“เจ้าเตือนข้าขึ้นมา ตระกูลเยียนมักจะใช้ความสามารถเป็นหลักเสมอมา ถึงแม้อวิ๋นฉวนจะได้ตำแหน่ง แต่หากความสามารถของเขาไม่เพียงพอ เขาก็ไม่อาจสำเร็จได้ อย่างมากก็แค่ยกฐานะของเขาให้สูงขึ้น ง่ายต่อการหาคู่ครองก็เท่านั้น”

เยียนอวิ๋นเกอยิ้มตาหยี “ฐานะของพี่อวิ๋นฉวนจะสูงเพียงใดก็เทียบพี่อวิ๋นถงไม่ได้ พี่อวิ๋นถงเป็นบุตรชายจากภรรยาเอก มารดาเป็นองค์หญิง ผู้ใดในตระกูลเยียนจะเทียบฐานะของพี่อวิ๋นถงได้”

เยียนอวิ๋นฉีพยักหน้าระรัว “เจ้าพูดถูก ถึงแม้อวิ๋นฉวนจะได้ตำแหน่ง ฐานะของเขาก็ไม่อาจเทียบอวิ๋นถงได้”

จุดด้อยที่ใหญ่ที่สุดของเยียนอวิ๋นฉวนก็คือชาติกำเนิดของมารดาเขาต่ำต้อยเกินไป แม้ในนามจะเป็นฮูหยินรอง แต่ความจริงแล้วก็เป็นอนุภรรยา

ดังนั้นถึงแม้เยียนอวิ๋นฉวนจะได้รับความรักจากเยียนโส่วจ้าน เขาก็ไม่มีทางดีไปกว่าเยียนอวิ๋นถง

ตรงกันข้าม ถึงแม้เยียนอวิ๋นถงจะไม่ได้รับความรักและการสนับสนุนจากเยียนโส่วจ้านผู้เป็นบิดา แต่เขาสามารถอาศัยการสนับสนุนจากเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดายืนอย่างมั่นคงในค่ายทหาร กดหัวเยียนอวิ๋นฉวนเอาไว้อย่างสนิท

แม้แต่เฉินมั่วหรัน ผู้เป็นลุงของเยียนอวิ๋นฉวนที่อยู่ในกองทัพมาหลายสิบปี อีกทั้งยังได้รับความเชื่อใจจากเยียนโส่วจ้านก็ไม่อาจทำอันใดเยียนอวิ๋นถงได้

ทำได้เพียงร้องบอกหมดหนทาง!

เพียงแค่องครักษ์ตำหนักบูรพาหนึ่งพันห้าร้อยนายข้างกายเยียนอวิ๋นถงก็ทำให้ทุกคนหวาดกลัวแล้ว

นอกจากนี้องครักษ์ตำหนักบูรพาหนึ่งพันห้าร้อยนายนี้ยังขยับขยายเพิ่มขึ้นเสมอมา

เยียนอวิ๋นถงไม่ได้ใช้เงินของเยียนโส่วจ้าน หากแต่ใช้เงินของตนเองเลี้ยงองครักษ์กลุ่มนี้ ดูแลอย่างไม่ห่างแม้แต่น้อย

องครักษ์ที่สืบทอดมาจากตำหนักบูรพาเหล่านี้เป็นที่ยึดเหนี่ยวสูงสุดของเยียนอวิ๋นถง เป็นคนสนิทที่ยิ่งกว่าสนิท มีกำลังการต่อสู้แข็งแกร่ง

ผู้ใดกล้าวางแผนลอบทำร้ายเยียนอวิ๋นถง คงต้องลองถามองครักษ์ตำหนักบูรพาเหล่านี้เสียก่อน

มันคือความแตกต่างจากชาติกำเนิด!

ล้วนเป็นบุตรของตระกูลเยียน แม้เยียนอวิ๋นฉวนจะประจบก็ยังเทียบไม่ติด

ทุกสิ่งของเยียนอวิ๋นฉวนล้วนอาศัยการให้จากเยียนโส่วจ้านผู้เป็นบิดา ดังนั้นเขาจึงเชื่อฟังเยียนโส่วจ้านอย่างสิ้นเชิง

เยียนโส่วจ้านให้เขาทำสิ่งใด เขาย่อมจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

ทุกสิ่งของเยียนอวิ๋นถง ครึ่งหนึ่งอาศัยเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดา อีกครึ่งอาศัยการดิ้นรนของตัวเขาเอง ดังนั้นเขาจึงมีความกล้าที่จะขัดคำสั่งของเยียนโส่วจ้าน แอบทำบางอย่างลับหลังเป็นประจำ

นี่จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่เยียนโส่วจ้านไม่ชอบเยียนอวิ๋นถง

บุตรที่ไม่เชื่อฟังตัวเอง ทำตามอำเภอใจ ขาดการสั่งสอน!

เยียนอวิ๋นเกอจับมือของพี่สองเยียนอวิ๋นฉี “เวลานี้พี่สองยังคิดว่าการที่ข้าละทิ้งตำแหน่งเป็นการตัดสินใจที่เหลวไหลหรือไม่”

เยียนอวิ๋นฉีจงใจทำหน้าบึ้ง พลันใช้นิ้วลูบสันจมูกของนาง “ดูท่าทางได้ใจของเจ้า อย่าคิดว่าละทิ้งตำแหน่งแล้วจะปลอดภัย ไม่แน่ว่าวันใดฮ่องเต้ทรงฮึกเหิม สนใจเจ้าขึ้นมา อยากจะพระราชทานงานอภิเษกให้เจ้า เจ้าจะทำอย่างไร”

เยียนอวิ๋นเกอทำหน้าฉงน

ยากเหลือเกิน!

เยียนอวิ๋นฉีพูดอย่างห่วงใย “วิธีที่ดีที่สุดในการปฏิเสธพระราชโองการพระราชทานงานอภิเษกของฮ่องเต้คือการหมั้นหมาย องค์หญิงเฉิงหยางอยากจะสู่ขอเจ้าเป็นลูกสะใภ้ เรื่องนี้เจ้ารู้ใช่หรือไม่”

เยียนอวิ๋นเกอพยักหน้า “คราวก่อนข้ายังแปลกใจ เหตุใดจ้งซูหาวจึงมีเวลาว่างเดินทางไปพร้อมกับข้า นอกจากนี้เขายังบอกว่าอยากไปผ่อนคลายในเรือนพัก ต่อมาถึงได้รู้ว่าจุดประสงค์ของเขาเป็นเช่นนั้น”

เยียนอวิ๋นฉีพูดอย่างจริงจัง “ข้าไม่มีอคติต่อจ้งซูหาว เขาถือเป็นคนดี แต่องค์หญิงเฉิงหยางไม่ไหว! หากเจ้าแต่งเข้าไป ชีวิตย่อมลำบาก ท่านแม่ปฏิเสธแทนเจ้าไปแล้ว แต่เจ้าก็ไม่อาจชะล่าใจได้ หากองค์หญิงเฉิงหยางเข้าวังขอพระราชโองการ ฮ่องเต้ทรงออกพระราชโองการพระราชทานงานอภิเษก เจ้าจะทำอย่างไร”

เยียนอวิ๋นเกอขมวดคิ้วเล็กน้อย “องค์หญิงเฉิงหยางไม่ได้เจาะจงข้าเท่านั้นใช่หรือไม่! นางเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นนี้ ท่านแม่ปฏิเสธนางไปแล้ว หากนางยังวิ่งไปขอพระราชโองการถึงวังหลวง ไม่กลัวถูกคนหัวเราะเยาะหรือ”

“เจ้าผิดแล้ว! องค์หญิงเฉิงหยางไม่ได้หยิ่งในศักดิ์ศรีเหมือนที่เจ้าคิด ตอนนั้นถูกเจ้าพังจวนองค์หญิง มีคนมากมายเป็นพยาน แต่นางได้ถือสาเจ้าหรือไม่ หากนางหยิ่งในศักดิ์ศรีจริง นางจะปล่อยเจ้าไปอย่างง่ายดายได้อย่างไร จะยอมสู่ขอเจ้าเป็นลูกสะใภ้ได้อย่างไร อย่างไรก็ตาม เจ้าหมั้นหมายให้เร็วที่สุด หลีกเลี่ยงมีคนจ้องจะจับคู่เจ้า”

เยียนอวิ๋นเกอปวดหัว

ต่อมา นางแอบถามเซียวฮูหยินผู้เป็นมารดา “องค์หญิงเฉิงหยางจะเข้าวังไปขอพระราชโองการพระราชทานงานอภิเษกจริงหรือ”

“พูดยาก!” เซียวฮูหยินก็คาดเดาความคิดขององค์หญิงเฉิงหยางไม่ได้ “หากนางต้องการกองกำลังในมือของเจ้าจริง อย่างนั้นนางย่อมจะไม่ล้มเลิก”

เยียนอวิ๋นเกอขมวดคิ้ว “ท่านแม่ พวกเราควรทำอย่างไร ข้าไม่อยากเป็นลูกสะใภ้ขององค์หญิงเฉิงหยาง”

เซียวฮูหยินถอนหายใจ “หากเจ้าสามารถแต่งงานกับเซิ่นซูเหวินได้จะมีปัญหาในวันนี้ได้อย่างไร เวลานี้จะไปหาคนที่คู่ควรกับเจ้าจากที่ใดกัน”

กลุ้มนัก!

บุตรสาวเป็นที่หมายตาเกินไป นางกลุ้ม

เรื่องคู่หมั้นของบุตรสาวก็ยังไม่ลุล่วง นางก็กลุ้ม

เยียนอวิ๋นเกอพูดเสียงอ่อน “ไม่แต่งงานได้หรือไม่”

“เจ้าไม่แต่งงานได้ แต่ฮ่องเต้ย่อมทรงให้เจ้าแต่ง เมื่อพระราชโองการออกมา นอกจากเจ้าตาย มิฉะนั้นอย่าคิดจะหนีงานแต่ง”

เยียนอวิ๋นเกอกัดฟันด้วยความไม่พอใจอย่างมาก!

ต้องแต่งจริงหรือ

แต่งกับผู้ใด

นางคัดเลือกจากชายหนุ่มที่รู้จัก ไม่มีผู้ใดเหมาะสม

เซียวฮูหยินพูดอย่างลังเล “ให้ข้าเขียนจดหมายไปให้ตระกูลเซิ่นอีกครั้งดีหรือไม่”

“ไม่ได้ท่านแม่! การซื้อขายที่ต้องบังคับไม่ใช่การซื้อขาย แต่เป็นการแถม ข้าจะแย่เพียงใดก็ยังไม่ถึงกับต้องเป็นของแถม”

“เซิ่นซูเหวินเขาชอบเจ้า!”

“แต่เขาไม่มุ่งมั่น!”

เซียวฮูหยินถอนหายใจ

ปัญหาอยู่ตรงนี้ เซิ่นซูเหวินไม่มุ่งมั่น

บางทีการมุ่งมั่นอาจไม่เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์

แต่หากไม่มุ่งมั่นย่อมไม่มีความหวัง

“เซิ่นซูเหวินไม่อยากขัดความเห็นของผู้ใหญ่ เขาจึงทำได้เพียงกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม เลือกที่จะยอมจำนน! แต่ข้าก็ปฏิเสธเขาไป เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายต่างปฏิเสธเรื่องนี้ เวลานั้นเขาอาจคิดว่าหากยืนกรานต่อไปจะทำให้คนรังเกียจ อีกอย่างเขาก็ไม่ได้รับการสนับสนุนจากเจ้า”

เยียนอวิ๋นเกอพูด “ข้ากับพี่เซิ่นเป็นญาติกันดีแล้ว ไม่เหมาะสมที่จะเป็นสามีภรรยานัก ท่านแม่อย่าได้เอ่ยถึงพี่เซิ่นอีก เขาออกจากเมืองหลวงไปรับราชการแล้ว”

เซียวฮูหยินยิ้มขมขื่น “เหตุใดเรื่องหมั้นหมายของเจ้าจึงยากเช่นนี้”

“ข้าหน้าตาอัปลักษณ์ ทำให้คนรังเกียจ” เยียนอวิ๋นเกอพูด

เซียวฮูหยินไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “หากเจ้าอัปลักษณ์ บนโลกนี้จะมีผู้ใดงดงาม เจ้าแค่ไม่ใส่ใจ”

เยียนอวิ๋นเกอแบมือ นางก็หมดหนทางอย่างมาก

แม้จะยังไม่พบกับคนที่ทำให้ตนเองหวั่นไหว แต่นางก็คงไปดึงผู้ใดก็ได้มาเป็นคู่ชีวิตไม่ได้ไม่ใช่หรือ

จวนองค์หญิง

องค์หญิงเฉิงหยางนอนอยู่บนเตียงหลัวฮั่นด้วยความเกียจคร้าน นางกำลังกินผลไม้ที่สาวรับใช้ยื่นมา

นางกวาดตามองบุตรชาย จ้งซูหาวที่นั่งอยู่ด้านล่าง

“เจ้าจะแต่งงานกับเยียนอวิ๋นเกอให้ได้?”

“ท่านแม่ก็บอกว่านางดีไม่ใช่หรือ”

องค์หญิงเฉิงหยางหัวเราะเสียงเย็น “จู้หยางปฏิเสธการสู่ขอของข้า ข้าต้องชื่นชอบเยียนอวิ๋นเกอมากเพียงใดจึงจะบากหน้าไปสู่ขออีกครั้ง ข้าไม่รักศักดิ์ศรีหรือ”

นางเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธ!

จ้งซูหาวพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ระงับความโกรธ! องค์หญิงจู้หยางปฏิเสธการสู่ขอไม่สำคัญ พวกเราทูลขอฮ่องเต้ในวังหลวงออกพระราชโองการพระราชทานงานอภิเษกให้ องค์หญิงจู้หยางคงไม่อาจขัดขืนพระราชโองการได้”

องค์หญิงเฉิงหยางส่งเสียงไม่พอใจ นางโบกมือให้บ่าวรับใช้ทั้งหมดถอยออกไป

นางจ้องมองบุตรชาย “เยียนอวิ๋นเกอไม่เลว มีความสามารถเพียงพอ! นางใช้ความสามารถของตนเองสร้างทรัพย์สินที่มากมายเพียงเวลาไม่กี่ปีได้ ได้ยินว่าเรือนพักร่ำรวยมีองครักษ์อยู่หลายพันนาย?”

“อาจไม่ถึงห้าพันนาย แต่สามพันนายย่อมมี”

“มีเงินใช้เลี้ยงองครักษ์มากมายเพียงนั้น ค่าใช้จ่ายในแต่ละปีคงไม่น้อย ดูท่าทางเยียนอวิ๋นเกอรู้หนทางการทำงานเสียจริง”

“ไม่รู้ท่านแม่คิดเห็นอย่างไร”

องค์หญิงเฉิงหยางมองค้อนเขา “คุณหนูตระกูลชุยดีมาก เหตุใดเจ้าจึงไม่ชอบ”

จ้งซูหาวพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูตระกูลชุยไม่มีความสามารถเท่าเยียนอวิ๋นเกอ อีกทั้งยังหาเงินได้ไม่เท่าเยียนอวิ๋นเกอ”

องค์หญิงเฉิงหยาง พูดอย่างเชื่องช้า “ตระกูลจ้งไม่ขาดแคลนเงิน นอกจากนี้ยังไม่ขาดคนทำเงิน ภรรยาของเจ้า รู้หนทางการหาเงินหรือไม่นั้นไม่สำคัญ เรื่องอื่นย่อมมีคนเบื้องล่างจัดการ”

“แต่หากตระกูลหนึ่งต้องการเจริญรุ่งโรจน์ตลอดไป ย่อมขาดนายหญิงที่มีความสามารถและวิสัยทัศน์ไม่ได้ ข้าคิดว่าเยียนอวิ๋นเกอสามารถแบกรับหน้าที่นายหญิงของตระกูลจ้งได้”

“คุณหนูตระกูลชุยก็แบกรับได้เช่นเดียวกัน”

“คุณหนูตระกูลชุยไม่มีสินสอดเป็นองครักษ์หลายพันนาย”

——————————————–

ตอนที่ 295 ยั่วโมโห

เฉินฮูหยินยังไม่ทันได้เป่าลมข้างหูเยียนโส่วจ้าน เยียนโส่วจ้านก็ได้รับจดหมายจากเยียนอวิ๋นฉวนเสียก่อน

เยียนอวิ๋นฉวนอยากออกจากเมืองหลวง กลับแคว้นซ่างกู่ เขาเขียนจดหมายขอความเห็นจากเยียนโส่วจ้านด้วยถ้อยคำที่จริงใจ

เยียนโส่วจ้านส่งจดหมายให้ตู้ซินแส พลันถาม “ข้าควรรับปากเขาหรือไม่”

ตู้ซินแสพูดพลันครุ่นคิด “ท่านโหวอยากให้นายน้อยใหญ่กลับมาหรือไม่”

เยียนโส่วจ้านยิ้ม “ทันทีที่เขากลับมา ย่อมจะเกิดความวุ่นวาย”

ตู้ซินแสคิ้วกระตุก

ดูท่าทางบิดาและบุตรจากกันนับปี ความรักที่ท่านโหวมีต่อนายน้อยใหญ่เจือจางลงไปแล้วเสียจริง

ดังนั้นเขาจึงพูด “ข้าคิดว่า อย่างไรนายน้อยใหญ่ก็ต้องกลับมา สู้ใช้โอกาสนี้ให้เขากลับมาเถิด!”

เยียนโส่วจ้านไม่คัดค้าน

หลังจากเงียบไปเป็นเวลานาน เขาจึงพูดขึ้น “เขาจะกลับมาย่อมได้ ข้าไม่กีดขวางเขา แต่ว่าทุกสิ่งต้องเริ่มต้นใหม่ หากคิดจะฉวยประโยชน์คงเป็นไปไม่ได้”

“ข้าจะเขียนจดหมายตอบกลับนายน้อยทั้งหมด”

เยียนโส่วจ้านพยักหน้าอนุญาต

นอกจากนี้ เขายังยอมรับข้อเสนอของตู้ซินแส ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับตระกูลหลิวแห่งเหลียงโจว

หลิวเป่าจูเป็นสะพานสานสัมพันธ์ให้ตระกูลทั้งสอง

อวี้สื่อเหลียงโจวแสดงออกอย่างชัดเจน เห็นแก่บุตรสาวหลิวเป่าจู เขาไม่ถือสาเยียนโส่วจ้าน

เยียนโส่วจ้านหัวเราะร่า ส่งคนส่งสารของตระกูลหลิวจากไปอย่างอารมณ์ดี

แต่เมื่อหันกลับมา สีหน้าของเขาก็ดำทะมึน

“ตระกูลหลิวหมายความว่าอย่างไร คิดว่าข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาหรือ เขาคิดว่าข้าต้องขอร้องเขาจริงหรือ”

“เพียงแค่ข้าขยายกองกำลังได้อีกหนึ่งหมื่น ต้องการเพียงกองกำลังอีกหนึ่งหมื่น นับจากนี้ต่อไป ผู้ใดก็อย่าคิดจะได้ชี้นิ้วต่อหน้าข้า”

การขยายกองกำลังเพิ่มขึ้นหนึ่งหมื่นนายอย่างน้อยต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นหลายแสนก้วนต่อปี

มันเป็นภาระที่หนักมาก

ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่มีแหล่งทรัพย์สินที่มั่นคงนั้น เยียนโส่วจ้านไม่กล้าขยายกองกำลังเพิ่มหนึ่งหมื่นนาย

หากราชสำนักไม่เรียกคืนเมืองป๋อไฮ่ ให้เวลาเขาอีกหนึ่งถึงสองปี เขาย่อมมีคุณสมบัติเพียงพอในการขยายกองกำลังหนึ่งหมื่นนาย

แต่จะทำอย่างไรได้!

“เขียนจดหมายไปให้ฮูหยิน! ราชสำนักเรียกคืนเมืองป๋อไฮ่ นอกจากนี้นางยังได้ตำแหน่งองค์หญิง มีเพียงข้าที่ไม่ได้ ให้นางทูลขอมาให้ข้าให้ได้ ตำแหน่งขุนนางระดับสี่ก็คิดจะชดเชยให้ข้า ข้าไม่ใช่ขอทาน นอกจากนี้ ส่งฎีกาให้ราชสำนัก ขอเงินและเสบียงจากราชสำนัก คิดจะจับเสือมือเปล่า อาศัยเพียงตำแหน่งขุนนางแลกเมืองป๋อไฮ่คืน ฝันไปเถิด!”

เยียนโส่วจ้านโกรธมาก

คราวนี้เขาเสียหายอย่างแสนสาหัส

เดินทัพถ่วงเวลากองทัพซีหยง สุดท้ายไม่ได้รับผลประโยชน์แม้แต่น้อย เมืองป๋อไฮ่ก็หลุดมือไปอีก

ตำแหน่งขุนนางระดับสี่ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย

ตำแหน่งองค์หญิงก็สืบทอดไม่ได้ สำหรับเยียนโส่วจ้านแล้วมันจึงไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน

ไฟโกรธเต็มท้องหาที่ระบายไม่ได้ เยียนโส่วจ้านจึงต้องหาทางระบายในเรือนหลัง

เฉินฮูหยินคว้าโอกาสนี้เอาไว้ เป่าลมข้างหูเขา

“…เพียงชั่วพริบตา อวิ๋นฉวนก็ไปเมืองหลวงมานานหลายปีแล้ว ไม่รู้เวลานี้เขาจะอ้วนหรือผอม ร้อนหรือหนาวอย่างไร ท่านก็เห็นว่าเขาไม่เด็กแล้ว แม้แต่สะใภ้ยังไม่มี ข้านึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็กลุ้มใจยิ่งนัก คนที่เด็กกว่าเขาทั้งหลายล้วนแต่งงานแล้ว เขาเป็นพี่ใหญ่ เรื่องคู่ครองยังไม่คืบหน้า เรื่องนี้ท่านโหวต้องใส่ใจบ้างนะเจ้าคะ!”

เยียนโส่วจ้านนอนอยู่บนเตียงด้วยร่างกายที่ผ่อนคลาย

เขากวาดตามองเฉินฮูหยิน “พี่ใหญ่เจ้าพูดเรื่องใดกับเจ้าอีก”

เฉินฮูหยินยิ้มเก้อ “ท่านโหวเข้าใจผิดแล้ว พี่ใหญ่ก็แค่เห็นใจข้า รู้ว่าข้ากับเจ้าใหญ่ห่างไกลกันหลายปี ข้าคิดถึงเขาอย่างมาก ท่านโหวโปรดเมตตาให้เจ้าใหญ่กลับมาเถิด!”

เยียนโส่วจ้านส่งเสียงไม่พอใจ “ข้าบอกกับเจ้ากี่ครั้งแล้ว อย่าให้พี่ใหญ่ของเจ้ายุ่งเรื่องภายในจวนโหว บอกกี่ครั้งแล้วไม่ฟัง เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะไล่เขาไปกินทราย”

“ท่านโหวระงับความโกรธ! แต่พี่ใหญ่ก็พูดมีเหตุผล คงไม่อาจให้อวิ๋นฉวนอยู่ในเมืองหลวงตลอดไปไม่ใช่หรือ”

เยียนโส่วจ้านกลอกตา “วางใจเถิด อวิ๋นฉวนเขียนจดหมายกลับมาบอกว่าจะกลับค่ายทหาร ข้ารับปากเขาแล้ว แต่…ทุกอย่างต้องเริ่มต้นใหม่”

“ฮะ? เริ่มต้นใหม่ นี่ๆๆ…มันจะเทียบกับพี่น้องของเขาไม่ได้ไม่ใช่หรือ”

เฉินฮูหยินตระหนก

“เจ้าใหญ่อยู่ในเมืองหลวงหลายปี ไม่มีความชอบด้านการทำงานแต่ก็มีความชอบด้านความเหนื่อย ท่านโหวจะเข้มงวดกับเขาเช่นนี้ได้อย่างไร”

“เจ้าหุบปาก! ข้ายิ่งรักเขามากยิ่งต้องเข้มงวดกับเขามาก เขาห่างจากกองทัพนานเพียงนี้ กลับคืนสู่ตำแหน่งอย่างกะทันหัน เจ้าจะให้คนเบื้องล่างยอมได้อย่างไร สำนักราชการมีกฎอย่างไรข้าไม่สนใจ แต่ในค่ายทหารทุกอย่างต้องอาศัยความสามารถ เมื่อไม่มีความสามารถแต่อยู่บนตำแหน่งสูง ไม่มีผู้ใดจะยอมเคารพเขา เขานำทหารที่ไม่เคารพเขาออกไปทำสงคราม เจ้ารู้ว่าจะมีผลอย่างไรหรือไม่ เขาจะต้องทิ้งชีวิตของตนเอง! เจ้าใหญ่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อย่าได้ใช้วิสัยทัศน์สตรีของเจ้ามาคาดเดาการเตรียมการของข้า”

เฉินฮูหยินทำหน้าน้อยใจ นางอ้าปากพูดเสียงเบา “ข้าเพียงแค่สงสารเจ้าใหญ่! ห่างเรือนไปหลายปี กลับมาแล้วยังต้องเริ่มใหม่ ลำบากเพียงใดกัน พี่น้องของเขาอาจหัวเราะเยาะเขา กลั่นแกล้งเขา…”

“พอแล้ว! พูดไปพูดมา เจ้าก็แค่กลัวเจ้าใหญ่เสียเปรียบ เขาฉลาดเพียงนั้น หากปัญหาแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ เขาก็ไม่คู่ควรที่จะอยู่ในค่ายทหารต่อไป”

เฉินฮูหยินอ้าปากค้าง

พูดถึงขนาดนี้แล้ว นางยังจะทำอย่างไรได้

นางเช็ดหางตา ทำหน้ารู้สึกผิด “เพราะข้าไร้ความสามารถ ช่วยเหลือเจ้าใหญ่ไม่ได้ นอกจากนี้ยังคอยเป็นตัวถ่วงของเขา หากข้ามีชาติกำเนิดที่ดีกว่านี้เสียหน่อย เจ้าใหญ่ก็ไม่ลำบากเพียงนั้น”

เยียนโส่วจ้านถอนหายใจ “เหตุใดจึงพูดเรื่องเหล่านี้ มีความรักของข้า ชาติกำเนิดก็ไม่สำคัญ”

“แต่ว่าเจ้าใหญ่ก็ถูกชาติกำเนิดถ่วงเอาไว้! ในสายตาคนนอก เขาเป็นเพียงบุตรชายจากอนุภรรยา ไม่อาจเทียบเจ้าสอง อวิ๋นถงได้”

“อย่าเทียบกับอวิ๋นถง! เจ้าใหญ่และเจ้าสองไม่เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบ”

เฉินฮูหยินแอบเบะปาก

แม้จะพูดง่าย แต่จะให้ไม่เปรียบเทียบได้อย่างไร!

ทั้งสองคนเป็นพี่น้อง คนหนึ่งเป็นบุตรชายคนโต ส่วนอีกคนเป็นบุตรชายจากภรรยาเอก นับแต่พวกเขากำเนิดก็ย่อมจะถูกคนเปรียบเทียบ

จากมุมมองของเฉินฮูหยิน เรื่องที่เยียนโส่วจ้านบอกว่าไม่มีความจำเป็นต้องเปรียบเทียบนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

เพราะว่าเยียนโส่วจ้านไม่เคยสัมผัสถึงความรู้สึกของการมีพี่น้องที่ข่มอยู่ด้านบน นอกจากนี้เขาก็ไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกที่มีพี่น้องจากภรรยาเอกที่มีชาติกำเนิดสูงส่งกว่าอยู่ด้านล่าง

รุ่นของเยียนโส่วจ้านมีเพียงเขาที่มีชาติกำเนิดที่สูงสุด ดีสุด

กำเนิดจากภรรยาเอก ด้านบนไร้พี่น้องจากอนุภรรยาข่มเอาไว้ ด้านล่างก็ไม่มีพี่น้องที่มีฐานะสูงกว่าเขา

ชีวิตของเขา นอกจากเสียมารดาไปตอนเด็กแล้ว เรียกได้ว่าราบรื่นปลอดภัย

การเสียมารดาแต่เด็ก นอกจากทำให้เขาขาดแคลนความรักจากมารดาแล้ว เขาก็ไม่เคยได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมแต่อย่างใด

มารดาผู้ให้กำเนิดของเขาเหลือกำลังพลและทรัพย์สินที่เพียงพอจะทำให้เขาเติบโตอย่างปลอดภัย

การปกป้องและสนับสนุนของตระกูลท่านลุง ทำให้ทั้งตระกูลเยียนอยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีผู้ใดสั่นคลอนได้

หลังจากเติบโตขึ้นมา เขาสืบทอดตำแหน่งและมรดกของตระกูลเยียนอย่างราบรื่น

เขาไม่เคยมีประสบการณ์ถูกเปรียบเทียบแต่กำเนิดเหมือนกับบุตรชายทั้งสองของตนเอง ไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกที่ต้องแย่งชิง

ดังนั้น เขาจึงไม่เข้าใจความคิดของเยียนอวิ๋นฉวนและเยียนอวิ๋นถง

บุตรชายทั้งสองจะแย่งชิงกันอย่างไร แต่ในสายตาของเยียนโส่วจ้านนั้น พวกเขาล้วนหาเรื่อง ขาดการสั่งสอน

เมื่อบุตรขาดการสั่งสอนต้องทำอย่างไร

สั่งสอนสักครั้งก็พอ!

เขาลำเอียงเยียนอวิ๋นฉวน แต่ก็ลำเอียงอย่างเปิดเผย

เยียนอวิ๋นฉวนเป็นบุตรชายคนแรกของเขา เป็นบุตรชายคนโต อีกทั้งยังฉลาด ขยัน เป็นที่โปรดปราน

เขาไม่ลำเอียงบุตรชายคนโตที่น่าโปรดปราน จะให้เขาลำเอียงบุตรชายคนที่สองที่มักจะเป็นปรปักษ์กับเขาหรือ

เยียนอวิ๋นถงดื้อรั้นแต่กำเนิด ไม่รู้จักการประจบ มีแต่จะเถียงเขา

บุตรชายที่ดื้อรั้นเช่นนี้ เขาจะโปรดปรานได้อย่างไร

อย่างไรแล้ว ในสายตาของเยียนโส่วจ้าน เวลาส่วนใหญ่บุตรชายคนรองเยียนอวิ๋นถงนั้นล้วนขาดการสั่งสอน

แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธว่าเยียนอวิ๋นถงมีความสามารถมาก มีพรสวรรค์ด้านกองทัพ

มันทำให้เขาทั้งรักทั้งชังบุตรชายคนรองเยียนอวิ๋นถง อารมณ์ของเขาซับซ้อนอย่างมาก

เขาเคยคิดอยู่นับครั้งไม่ถ้วน หากเยียนอวิ๋นถงไม่ใช่บุตรของเซียวฮูหยินจะดีเพียงใด

เขาย่อมจะมอบความรักและการสนับสนุนที่มากขึ้นแก่บุตรชายคนรอง เยียนอวิ๋นถง!

แต่ไม่มีแต่!

เยียนโส่วจ้านหลับตาพักผ่อน

เฉินฮูหยินลังเลอย่างมาก นางบิดผ้าเช็ดหน้าจนจะเละกลายเป็นผักดองอยู่แล้ว

นางถามอย่างระมัดระวัง “ท่านโหวคิดจะให้เจ้าใหญ่เริ่มต้นใหม่จริงหรือ มันจะเสียเวลาเพียงใดกัน! นอกจากนี้เรื่องหมั้นหมายของเจ้าใหญ่ยังไม่ถึงไหน รอเขากลับมา ท่านโหวคิดจะหาสะใภ้ในโยวโจวที่เหมาะสมให้เขาใช่หรือไม่”

เยียนโส่วจ้านตอบรับอย่างไร้ความหมาย “กุลสตรีในท้องถิ่น มีตระกูลใดเข้าตาเจ้าหรือ”

เดิมทีเฉินฮูหยินอยากบอกว่ามี แต่ทันทีที่จะพูดออกมานางก็กลับใจ “เวลานี้ยังไม่เห็นผู้ใดเหมาะสม ท่านโหวมีตัวเลือกในใจหรือไม่”

เยียนโส่วจ้านยื่นมือออกไปกุมมือของนางเอาไว้

มือของเฉินฮูหยินมีขนาดเล็ก มีน้ำมีนวล เล็กแต่มีเนื้อ เมื่อลูบคลำจึงสบายมืออย่างมาก

เขาพูดกับนาง “เรื่องหมั้นหมายของเจ้าใหญ่ เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าจะหาทาง”

เฉินฮูหยินก้มหน้า เบ้ปาก

คำพูดที่คล้ายคลึงกัน นางฟังมาไม่รู้กี่ร้อยรอบแล้ว

แต่เรื่องหมั้นหมายของบุตรชายคนโตเยียนอวิ๋นฉวนก็ยังไม่ตกลงเสียที

หลิวเป่าจูใกล้จะคลอดบุตร แต่ลูกสะใภ้ของตนเองไม่รู้อยู่ที่ใด

นางกลุ้มใจอย่างมาก!

เยียนโส่วจ้านลืมตาขึ้น “เจ้าไม่เชื่อข้า”

เฉินฮูหยินส่ายหน้าเล็กน้อย พูดด้วยความน้อยใจ “ข้าแค่ร้อนใจอยากอุ้มหลาน”

เยียนโส่วจ้านหัวเราะ “ข้าก็อยากอุ้มหลาน!”

“ความปรารถนาของท่านโหวใกล้จะสำเร็จแล้ว ลูกสะใภ้รองอีกไม่กี่เดือนก็จะคลอดแล้ว คนส่วนใหญ่บอกว่าครรภ์นี้ของนางจะเป็นบุตรชาย”

น้ำเสียงของเฉินฮูหยินแสดงถึงความอิจฉาและไม่พอใจของตนเองอย่างไม่ปิดบัง

นางอิจฉาเซียวฮูหยิน นางไม่พอใจที่เยียนอวิ๋นถงแต่งงานก่อนบุตรชายคนโตเยียนอวิ๋นฉวน

เยียนโส่วจ้านหัวเราะออกมา เขาชอบความจริงใจของเฉินฮูหยินนี้

เขาบีบแก้มของนาง “อิจฉาเรื่องใดกัน เซียวฮูหยินอยู่เมืองหลวง ไม่ได้ขวางตาเจ้า”

“ท่านโหวพูดกลับกันแล้ว ในที่สุดข้าไม่ต้องไปขวางตาของฮูหยินต่างหาก”

“เจ้าใจแคบ”

“ข้าใจแคบอยู่แล้ว ท่านโหวไม่ได้เพิ่งรู้เป็นวันแรก”

เยียนโส่วจ้านหัวเราะออกมา “อีกไม่กี่วัน รอขันทีถ่ายทอดพระราชโองการมาถึง เจ้าจะไม่ยิ่งอึดอัดหรือ”

“ขันทีถ่ายทอดพระราชโองการ? ท่านโหวรีบบอกข้า เหตุใดจึงมีขันทีถ่ายทอดพระราชโองการมา”

เยียนโส่วจ้านยิ้มอย่างมีเลศนัย “เจ้าอย่ารู้จะดีกว่า! เอาเถิด ไม่พูดแล้ว! ให้ข้าพักผ่อน ระยะนี้เหนื่อยยิ่งนัก!”

เฉินฮูหยินรู้สึกไม่ดี จึงพูดอย่างไม่พอใจ “ท่านโหวไม่ยอมเปิดเผยแม้แต่น้อย ยั่วโมโหกันเสียจริง”

“ข้ายั่วโมโหเจ้าก็เพื่อตัวเจ้า”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินฮูหยินยิ่งกังวลใจ!

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

Status: Ongoing
ณหนูจวนอื่นชื่นชอบแพรพรรณงดงาม กวี ภาพเขียน บุรุษหล่อเหลา แต่คุณหนูสี่จวนโหวกลับคลั่งไคล้ในเงินทอง! การค้ารูปแบบใดที่แผ่นดินนี้ไม่เคยมีล้วนออกมาจากสมองของนางและทั้งหมดล้วนทำให้เงินทองไหลมาเทมา! นิยายโรแมนติกจีนโบราณ ที่นางเอกมากความสามารถและคลั่งไคล้เงินสุดๆ! คุณหนูสี่แห่งจวนโหว เยียนอวิ๋นเกอ เป็นใบ้เพราะอุบัติเหตุตอนยังเด็กทำให้อุปนิสัยดุร้าย อารมณ์ร้อน มุทะลุยิ่งนัก ใครๆ ล้วนมองว่านางเป็นหญิงเอาแต่ใจไม่เคยคำนึงถึงสิ่งใด แต่จิตวิญญาณด้านในของนางนั้นคือหญิงสาวผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งเดียวในวันสิ้นโลก อาจเพราะความยากลำบากในชาติก่อนสิ่งเดียวที่นางกลัวที่สุดก็คือกลัวอดตาย! ดังนั้นหากไม่อยากอดตายต้องทำอย่างไรก็ต้องมีเสบียง! และการจะมีเสบียงได้นั้นก็ต้องมีเงิน! เพื่อการนั้นนางจะทุ่มเทสมองในการบุกเบิกการค้า ปูรากฐานทุกอย่างเพื่อพี่น้องและมารดา ด้วยมันสมองของคนยุคใหม่นางไม่เชื่อว่าจะทำไม่ได้ ทหารต่อให้เก่งกาจเพียงใดหากไม่มีเสบียงแล้วไซร้ก็ยากจะรบต่อไปได้ ถึงตอนนั้นในแผ่นดินที่ฮ่องเต้จ้องจะกวาดล้างอำนาจขุนนาง ครอบครัวนางย่อมหยัดยืนได้อย่างมั่นคง!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท