คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 452 ใครกอบโกยเงินเก่งที่สุด

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 452 ใครกอบโกยเงินเก่งที่สุด

แม้ว่าไถชิงจะตายไปแล้ว แต่ดวงวิญญาณของนางยังอยู่ ความรู้สึกอัปยศอดสูยังไม่หายไปไหน

แม้เหยียนฉงเฮ่อรับปากจะแต่งงานกับนาง แต่เขาก็ตายไปแล้ว เกรงว่าคำสัญญาที่ออกจากปากไม่มีทางหาข้อพิสูจน์ได้ ไม่มีฐานะอะไรในบ้านเขา นางไม่มีหน้ารับหลานชายอายุมากขนาดนี้

ตอนนี้นางยังคงอยากหาเหยียนฉงเฮ่อให้พบ

“…สงสัยเขาจะกลับชาติมาเกิดเป็นคน ข้าอยากตามหาเขา หากเขากลับมาเกิดแล้วตามที่ท่านว่า ตอนนี้ก็อายุมากแล้ว หากเขายังมีชีวิตอยู่ ข้าก็อยากรอจนกว่าเขาจะหมดอายุขัยและไปเกิดใหม่พร้อมกัน!” ดวงตาของไถชิงเป็นประกาย

ทุกคน “…”

ช่างเป็นผู้หญิงที่ยึดมั่นในความรักจริงๆ!

“หากยังไม่ไปเกิด อย่างนั้นก็ไม่แน่ว่าเขายังรอข้าอยู่?”

เหยียนฉีซานเอ่ย “นั่นมันเกือบร้อยปีมาแล้ว หากท่านปู่น้อยไม่ไปเกิดใหม่วิญญาณคงจะหายไปแล้วกระมัง?”

ไถชิงส่งสายตาเขม็งกลับไป

เหยียนฉีซานตัวสั่น แล้วรีบยอมรับผิด “หลานผิดไปแล้ว!”

ไถชิงเงียบไปครู่หนึ่ง นางหันไปมองฉินหลิวซี “ท่านปรมาจารย์…”

“ท่านทำให้ข้าลำบากใจ” ฉินหลิวซีถอนหายใจ

“ข้าไม่ให้ท่านลำบากเปล่าๆ ท่านต้องการทองสักเท่าไหร่ เชิญเรียกมาได้” ไถชิงขมวดคิ้วพลางเอ่ย

ฉินหลิวซีพยักหน้าทีหนึ่ง “นี่…ที่จริงแล้วก็ไม่นับว่าลำบากเท่าไหร่”

เหยียนฉีซานและและคนอื่นอีกสองสามคนในที่นั้นมองไปยังฉินหลิวซี เมื่อสักครู่เจ้าเอ่ยอย่างนี้ออกไปจริงหรือ

เจ้าสำนักศึกษาถังแอบขยิบตาให้ ลูบใบหูที่แดงก่ำ ฉินหลิวซีจึงอธิบายให้เข้าใจว่า “คนในเสวียนเหมินก็สอนเรื่องบุญกรรม ใช้ยันต์แปดเหลี่ยมทำนายดวงชะตาราศี ที่จริงแล้วไม่ได้ทำเพื่อผลตอบแทน อารามชิงผิงก็เพิ่งเริ่มกลับมาเปิดได้สิบปีเท่านั้น ยังมีส่วนที่ต้องซ่อมแซมอีกมาก ทำอะไรก็ต้องใช้เงิน”

ฉินหลิวซีคิดในใจว่า ผู้คนรู้จักข้าในนามเจ้าอาวาส! ดังนั้นหากจ่ายทองมากพอ ที่ว่าเป็นเรื่องลำบากใจ ก็ไม่ลำบากอีกต่อไป

ไถชิงดีใจ “อย่างนั้นรีบใช้ยันต์แปดเหลี่ยมเถอะ”

ฉินหลิวซีไม่ขยับ นางถูมือไปมา

ไถชิงแสดงสีหน้าสื่อความหมายชัดเจน นางมองไปยังเหยียนฉีซาน “หลานชาย เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไร?”

“ท่านย่า?”

“อืม เซ่นไหว้ย่าเจ้าสักหน่อย เอาเงินทองจริงๆ ไม่เอากระดาษเงินกระดาษทองพวกที่เผามานั่น” ไถชิงแกล้งทำใจเย็นสงบนิ่ง แต่ในใจกลับรู้สึกผิด ที่หน้าด้านทำไปทั้งหมดก็เพื่อตามหาฉงเฮ่อ ของนอกกายพวกนี้นางไม่ได้สนใจ แต่ถึงเวลาจำเป็นต้องใช้หลานชายขึ้นมา นางก็ไม่เกรงใจ

เหยียนฉีซาน “!”

ใบหน้าเจียงเหวินหลิวหลุดหัวเราะ เพื่อที่จะขอยืมเงิน ภาพวิญญาณหญิงสาวที่ลุ่มหลงในความรัก ซึ่งไม่มีทางเปลี่ยนเป็นวิญญาณแค้นได้สลายหายไปแล้ว

เหยียนฉีซานหยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งออกจากหีบสัมภาระยื่นให้ฉินหลิวซี

ฉินหลิวซีรับมาพลางเอ่ย “ข้านั้นทนเห็นวิญญาณอาฆาตที่ติดอยู่กับความคิดถึงไม่ได้ ดังนั้นจะช่วยดูดวงชะตาให้” นางหัวเราะหึๆ

“ท่านรู้เวลาตกฟากของท่านปู่น้อยหรือไม่” ฉินหลิวซีหันไปถามเหยียนฉีซาน

เหยียนฉีซานหน้าแดง ตอบว่า “ข้าเคยเห็นสาแหรกวงศ์ตระกูล แต่ไม่ได้สนใจรายละเอียด ข้าอายุมากแล้ว ความจำไม่ค่อยดี”

“ข้าเข้าใจ” ไถชิงถลึงตามองเหยียนฉีซานทีหนึ่ง สายตาของนางบอกว่ามีเจ้าเป็นหลานชายมีประโยชน์อะไรกัน

เหยียนฉีซานเอามือถูจมูก อายุมากไม่ใช่ความผิดเขาสักหน่อย

ฉินหลิวซีใช้เวลาตกฟากที่ไถชิงส่งให้มาทำนายดวงชะตา นางนับนิ้วคำนวณพลางบอกผลทำนาย “ดวงจันทร์ในฤดูใบไม้ผลิ ห้าธาตุให้ระวังเรื่องน้ำ เสียชีวิตในยามเหม่า[1] ฝังศพลงดินยามเฉิน[2] เวลาตกฟากท่านปู่น้อยของท่านบ่งบอกดวงชะตาอ่อน”

เจียงเหวินหลิวมองหน้าอาจารย์ที่ทั้งโศกเศร้าและตื่นตกใจ อดไม่ได้หันไปมองฉินหลิวซีเต็มสองตา ทำนายได้แม่นยำแล้ว

ไถชิงคิดเรื่องในอดีตออกเรื่องหนึ่ง นางอุทานออกมา “ฉงเฮ่อเคยเล่าว่าเขาเคยพบนักพรตเต๋าผู้บำเพ็ญตบะ ท่านทักเขาว่าจะประสบอุบัติเหตุทางน้ำ ให้หลีกเลี่ยงการเข้าใกล้ริมฝั่งแม่น้ำ ไม่อย่างนั้นอย่างเบาจะเจ็บป่วย อย่างหนักถึงแก่ชีวิต นี่เป็นเรื่องจริง”

ฉินหลิวซีมองไปยังเหล่าบัณฑิตที่อยู่ ณ ที่นั้น นางเอ่ยอย่างลึกซึ้ง “ขงจื่อไม่สอนเรื่องอำนาจลี้ลับ หรือภูติผีวิญญาณ ข้าเอ่ยอะไรไปแล้วก็แล้วกัน แต่บางครั้งเชื่อบ้างสักหน่อยไม่เสียหาย”

คนเหล่านั้นคิดในใจ อดทนให้ผ่านเรื่องราวประวัติศาสตร์สยองขวัญที่ยิ่งกว่าหนังสือในห้องเสียก่อน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้ว

ฉินหลิวซีดูคำทำนายต่อ ที่สำคัญคือหาดูว่าหลังจากตายแล้วไปเกิดในภพชาติใหม่ คิดคำนวณอยู่ครู่ใหญ่ นางอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ

“เป็นอย่างไร หาเจอแล้วหรือ” ไถชิงรีบถาม

ฉินหลิวซีส่ายหน้า “คำทำนายนี้แปลก ดูเหมือนว่ายังไม่ได้ไปเกิดใหม่”

“ร้อยปีแล้วยังไม่ไปเกิดใหม่ หรือว่าคำนวณผิดพลาดไป?” เจียงเหวินหลิวรู้สึกแปลกๆ

ฉินหลิวซีจึงเอ่ย “คนบางคนตายแล้ว หากยังมีห่วงก็ยังไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้เอง ยังมีอีกเรื่อง เขาจมไปในน้ำ พวกเรากล่าวกันบ่อยๆ ว่าผีจมน้ำต้องหาคนมาแทนที่ เรื่องนี้มีมูล ไม่แน่ว่าเขาอาจยังหาคนมาแทนที่ตัวเองไม่ได้ จึงไม่สามารถไปเกิดใหม่ได้”

ไถชิงเจ็บปวดใจ

เหยียนฉีซานรู้สึกร้อนรน “หากหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ หรือว่าปีแล้วปีเล่าเขายังอยู่ที่ก้นทะเลสาปนั่น?”

ช่างเป็นการตายที่หนาวเย็นนัก

ฉินหลิวซีเห็นเหยียนฉีซานกับไถชิงร้อนรนจนน้ำตาแทบร่วง นางปลอบโยนทั้งสอง “วางใจเถิด ตระกูลเหยียนแตกกิ่งก้านมีลูกหลานออกไปมาก ในทุกคืนข้ามปีเขาต้องได้รับการเซ่นไหว้จากชนรุ่นหลัง แม้ว่ายังไม่ได้ไปเกิดใหม่ แต่จะไม่หิวโหยเหมือนพวกวิญญาณเร่ร่อนภูติผีปีศาจ ไม่แน่ว่าอาศัยบุญกุศลและของเซ่นไหว้ที่ลูกหลานทำไปให้ ตอนนี้กลายเป็นผีใหญ่แห่งทะเลสาบลวี่หู ประสบความสำเร็จขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งบรรดาผีทั้งหลาย”

เหยียนฉีซานและไถชิงคิดในใจ ขอบคุณ แต่ข้าไม่รู้สึกได้รับการปลอบโยนแม้แต่น้อย!

เจ้าสำนักศึกษาถังถาม “อย่างนั้นเจ้ามีวิธีที่สามารถรู้ให้แน่ว่าที่แท้เขาไปเกิดใหม่แล้วหรือไม่”

“ก็ไม่เชิงว่าไม่มี แต่…”

เหยียนฉีซานหยิบตั๋วเงินออกมาอีกปึกส่งให้

“ดูท่านสิ ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” ฉินหลิวซีรับมาพลิกดู “เพียงแต่โบราณว่ามีเงินก็ทำให้ผีโม่แป้งได้ หากต้องการรู้ให้แน่ อย่างนั้นก็ไปถามคนที่ดูแลเรื่องนี้ ไม่สิ… ผีที่ดูแลเรื่องนี้น่าจะเหมาะกว่า”

ในหัวของทุกคนคิดถึงชื่อเดียวกัน ยมทูต

“ยมทูตชุยเป็นผู้ดูแลบัญชีอายุขัยการเวียนว่ายตายเกิด หากอยากจะรู้ว่าคุณชายเหยียนที่แท้ไปเกิดใหม่แล้วหรือยัง เชิญท่านมาถามก็รู้แล้ว” ในที่สุดฉินหลิวซีก็เอ่ยชื่อยมทูตออกมา

ดังนั้นตอนนี้พวกเขาไม่เพียงได้เห็นวิญญาณอายุร้อยปี ยังมีโอกาสได้พบยมทูตที่เล่าลือต่อกันมาอีกด้วย? บัณฑิตทั้งสามคนอยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่ ไม่เพียงไม่กลัว แต่ยังรู้สึกตั้งตาคอยอย่างใจจดใจจ่อ

หากได้พบใต้เท้ายมทูตท่านนั้นจริง เรื่องนี้พวกเขาโอ้อวดได้ไปจนตายเลยไม่ใช่หรือ

แต่ไถชิงรู้สึกไม่ค่อยเชื่อ นางมองไปที่ฉินหลิวซีพลางถาม “ท่านยังสามารถอัญเชิญผีสางเทวดามาได้ด้วยหรือ” ปรมาจารย์ที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้ อายุยังน้อยแต่มีความสามารถร้ายกาจอย่างนี้เลยหรือ

คนของอารามชิงผิดรวมกัน ไม่สิ มีเพียงข้าเจ้าอาวาสน้อยที่ทำได้ต่างหาก!

“พวกเรายังค่อนข้างสนิทสนมกัน ที่ว่าเชิญมานั้น สามารถทำได้ เพียงแต่…”

“รีบ ท่านรีบเชิญ ท่านต้องการเงินเท่าใด” เหยียนฉีซานยัดตั๋วเงินทั้งหมดใส่มือนาง “หากยังไม่พอ ข้ายังไปถอนออกจากร้านรับฝากเงินมาให้ได้อีก”

ในขณะที่เอ่ย เขายังนำเอาตราประทับส่วนตัวออกมา

เจ้าสำนักศึกษาถังมองไปยังจำนวนเงินที่เขียนอยู่บนตั๋วเงิน สองร้อยตำลึง แล้วหันไปมองฉินหลิวซี จะหาใครกอบโกยเงินเก่งที่สุด ต้องเป็นนางเท่านั้น!

“พอแล้ว” ฉินหลิวซีดึงตั๋วเงินออกมาหนึ่งใบอย่างขี้เหนียวส่งให้เจียงเหวินหลิว “ให้เด็กๆ ไปหอจุ้ยเซียนสั่งโต๊ะอาหารชุดเล็ก อาหารต้องมีเต้าหู้ขน เนื้อตุ๋น ตอนเย็นแบ่งอาหารส่งไปร้านเฟยฉางเต๋าในตรอกโซ่วสี่”

เจียงเหวินหลิวใช้มือหนีบตั๋วเงินบางๆ ใบนั้นมา และยังมองปึกตั๋วเงินเล็กๆในมือฝ่ายตรงข้าม สายตานางไม่มีความปวดใจโผล่มาให้เห็น เขาอดหลุบตาลงต่ำไม่ได้

นางเป็นนักพรตเต๋าที่มีความสามารถมากทีเดียว ทว่าช่างรักเงินและตระหนี่เสียจริง

[1] ยามเหม่า 05.00-07.00 น.

[2] ยามเฉิน 07.00-09.00 น.

ตอนที่ 445 ลูกศิษย์คนนี้ซับซ้อน ยากจะอธิบายสั้นๆ ได้

ได้ยินว่าเจ้าสำนักศึกษาถังอาการปวดหัวกำเริบ ฉินหลิวซีก็รีบลุกขึ้นทันที แต่กลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้เป็นโรคปวดหัว ฉินหลิวซียกนิ้วมือนับนิ้วคำนวณโดยไม่รู้ตัว พอคิดคำนวณเสร็จ นางก็เลิกคิ้ว มองไปยังคนสนิทของเจ้าสำนักศึกษา ปรากฏสายตาที่แฝงไปด้วยความหมาย

เด็กรับใช้หลบสายตา รู้สึกใจฝ่อ ฝืนยิ้มให้สองครั้ง กลัวจนมือทั้งสองข้างที่จับขากางเกงเหงื่อออกชุ่ม

เจ้าสำนักศึกษาไม่คิดว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้ามีความสามารถทำอะไรได้บ้าง ยังจะให้เหตุผลเช่นนั้น

ฉินหลิวซีไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจ ที่จริงเจ้าสำนักศึกษาถังเป็นคนขี้หงุดหงิดและขาดความมั่นใจ แน่นอนว่าเขารู้ถึงความสามารถของฉินหลิวซี เขาย่อมหลอกนางไม่ได้อยู่แล้ว ไม่รู้ว่านางจะยอมมาหรือไม่ ที่สำคัญกว่านั้นคือนางไปไหนมาไหนลึกลับซับซ้อน ไม่รู้เลยว่าจะอยู่ที่ร้านหรือไม่

โชคดีที่เขากังวลเกินเหตุไปสักหน่อย

เมื่อรู้ว่าฉินหลิวซีมาแล้ว เจ้าสำนักศึกษาถังก็ดีใจจนหน้าแดง สายตาปิติยินดี

เหยียนฉีซานเห็นสถานการณ์ยิ่งอยากรู้ ความรู้สึกนี้ของสหายสนิทยากจะควบคุมไว้ได้ ดูออกว่ามีสาเหตุจากการมาของลูกศิษย์คนที่ว่า

เขารู้จักนิสัยสหายคนนี้ดี แต่วันนี้เห็นเขาเป็นแบบนี้ เหยียนฉีซานยิ่งรู้ว่าเพื่อนคนนี้ชอบศิษย์ผู้นั้นของเขาจริงๆ

เจียงเหวินหลิวที่ปรนนิบัติอาจารย์อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกสนใจมาก ผู้มีความสามารถแบบไหนกันถึงทำให้เจ้าสำนักศึกษาถังเอ็นดูได้เพียงนี้

“มาแล้ว”

เจ้าสำนักศึกษาถังมองออกไป ดวงตาเป็นประกาย

ข้างนอกหิมะตกอีกแล้ว มีคนคนหนึ่งถือร่มไม้ไผ่เดินเข้ามาในสวนของบ้าน หิมะตกลงบนร่มไม่ขาดสาย นางถือร่มค่อนข้างต่ำ ทำให้ปิดบังใบหน้าของนางจนเพียงเห็นเสี้ยวหน้าที่น่ามอง

นางสวมเสื้อคลุมบางๆ สีเขียวยาวถึงขา บนเสื้อคลุมปักอักษรที่อ่านไม่ออก ที่เอวใช้ผ้าคาดเอวสีน้ำเงินเข้มรัดไว้ ทำให้เอวยิ่งดูเล็กบาง บนผ้าคาดเอวแขวนเครื่องประดับชิ้นใหญ่สองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นน้ำเต้าหยก อีกชิ้นเป็นเครื่องรางหยก

ด้านหลังนางมีเด็กสองคนติดตามมา เป็นเด็กชายหนึ่งเด็กหญิงหนึ่ง คนที่โตกว่านั้นมือข้างหนึ่งถือร่ม อีกข้างจูงมือคนที่เล็กกว่าเอาไว้

ทันใดนั้น คนที่เดินอยู่ข้างหน้าก็ค่อยๆ หงายร่มที่ถือไว้ออก ปรากฏให้เห็นใบหน้าของนาง ผิวขาว เส้นผมที่อ่อนนุ่มสีดำสนิทถูกรวมไว้แล้วปักด้วยปิ่นไม้ ดวงตาคู่นั้นมองผ่านหน้าต่างเข้ามายังพวกเขา ริมฝีปากสีแดงสดยกขึ้นเล็กน้อย ทำให้ใบหน้าที่เย็นชาแข็งกระด้างดูนุ่มนวลขึ้นหลายเท่า

“นี่ นี่เป็นบุรุษหรือสตรีกันแน่” ชั่วขณะนั้นเหยียนฉีซานมองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง

เจียงเหวินหลิวแปลกใจเล็กน้อย “เป็นนาง?”

ใบหน้านี้ เขาเคยพบเห็นเมื่อวานที่ด้านนอกของจวนติง ในตอนนั้นเขานั่งอยู่ในรถม้าฟังเสียงการเคลื่อนไหวด้านนอกอยู่ แม้ไม่ได้ลงจากรถแต่ได้ยินเสียงของฉินหลิวซี เขาจึงอดใจไม่ได้แอบมองผ่านหน้าต่างรถม้า มองพวกนางสองคนแม่ลูกเล่นละคร

“ฉยงจัง เจ้ารู้จักหรือ” เหยียนฉีซานมองลูกศิษย์ตัวเองอย่างประหลาดใจ

เจียงเหวินหลิวส่ายหน้า “ไม่กี่วันก่อนสหายบัณฑิตทำความรู้จักกันที่สถานศึกษาลี่ว์เฟิง อย่างที่ท่านอาจารย์ทราบ เมื่อวานข้าได้รับเชิญจากเจ้าเมืองติงให้ไปชมหิมะที่จวนของเขา”

เหยียนฉีซานพยักหน้า เขารู้เรื่องนี้จึงเอ่ยต่อ “เจ้าไปถึงแล้วรีบกลับมาไม่ใช่หรือ

“ท่านอาจารย์ยังไม่รู้เหตุผลที่ข้ารีบกลับ ตอนที่ไปถึงจวนติง ยังไม่ทันได้เข้าจวนก็เห็นนางกับมารดาแสดงละครอยู่ที่หน้าประตูจวน” เจียงเหวินหลิวเอ่ย

“ท่านอาจารย์ ท่านถัง ศิษย์ท่านผู้นี้ นางเป็นผู้หญิง นางคงจะเป็นหลานสาวของนักโทษฉินหยวนซาน” เจียงเหวินหลิวอธิบาย

เหยียนฉีซานท่าทางประหลาดใจ เขามองไปยังเจ้าสำนักศึกษาถัง “?”

ถึงแม้เขาจะพาลูกศิษย์ท่องเที่ยวเสาะแสวงหาความรู้ แต่ไม่พลาดข่าวคราวของราชสำนัก เขารู้ได้ทันทีว่าเป็นเรื่องที่บันทึกอยู่ในสำนักกวงลู่ เมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมาขุนนางฉินหยวนซานกระทำความผิด ในตอนนั้นเขายังเคยถกกันกับเจียงเหวินหลิวครั้งหนึ่ง

ใช่แล้ว บ้านเดิมของฉินหยวนซานอยู่ที่เมืองหลี มณฑลหนิงโจว ครอบครัวของเขาถูกส่งกลับบ้านเกิด ดังนั้นไม่แปลกที่แม่นางผู้นี้จะเป็นหลานสาวของเขา เพียงแต่สหายสนิทรับหลานสาวของนักโทษเป็นลูกศิษย์งั้นหรือ

เจ้าสำนักศึกษาถังเอ่ย “ต้องโทษหรือไม่ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าถูกชะตากับแม่หนูผู้นี้ นางไม่เหมือนหญิงสาวทั่วไป นางจากบ้านตั้งแต่ยังเล็กไปเป็นนักพรตหญิงอยู่ที่อารามเต๋า”

เหยียนฉีซาน “…”

ไม่ถูก เจ้าว่านางเป็นศิษย์ของเจ้า แต่กลับบอกว่านางเข้าลัทธิเต๋า หรือว่าเจ้าก็ออกบวชเป็นนักพรตอารามเต๋า?

เจ้าสำนักศึกษาถังกระแอมหนหนึ่ง เอ่ยว่า “เรื่องมันยาว ไว้ค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง” เขาไม่สามารถเอ่ยในตอนนี้ได้ ที่จริงพวกเขาทั้งสองคนไม่ถือว่าเป็นศิษย์อาจารย์กันอย่างแท้จริง นี่เป็นสิ่งที่เขากล่าวออกมาเองไม่ใช่หรือ

เจ้าสำนักศึกษาถังแม้จะอยากรู้ว่านางกับมารดาไปเล่นละครอะไรกันที่จวนตระกูลติง แต่กลับไม่มีโอกาสถามเพราะนางเดินเข้ามาแล้ว

ฉินหลิวซีเดินผ่านเข้าประตูมา มองไปทางคนแปลกหน้าทั้งสองก่อน นางเห็นเจียงเหวินหลิว ตัวเขาถูกห่อหุ้มไปด้วยพลังมงคล ช่างบังเอิญนัก

นางก้าวมาด้านหน้าคารวะเจ้าสำนักศึกษาถัง

เจ้าสำนักศึกษาถังรับการคารวะด้วยเสียงหัวเราะ แล้วแนะนำเหยียนฉีซานและเจียงเหวินหลิวให้นางรู้จัก

ต่างคนต่างแสดงความเคารพซึ่งกันและกัน เจ้าสำนักศึกษาถังมองไปยังเถิงเจาและเด็กหญิงด้วยความสนใจ “ได้ยินจากหมิงฉุนว่าเจ้ารับศิษย์สองคน เป็นพวกเขางั้นหรือ”

ฉินหลิวซีพยักหน้าตอบ แล้วให้พวกเขาก้าวมาข้างหน้าคารวะผู้ใหญ่สองสามคนในห้อง

เจ้าสำนักศึกษาถังไม่ได้เตรียมของขวัญแรกพบเอาไว้ แต่ที่นี่เป็นที่พักอาศัยของเขา จึงให้หยกแขวนประดับกับแท่นหมึกคนละชิ้นแก่เด็กทั้งสอง

เหยียนฉีซานยิ่งแล้วใหญ่ เขาไม่ได้เตรียมของขวัญอะไรมาเลย ได้แต่ปลดหยกแขวนที่ติดตัวกับแหวนหยกวงใหญ่สำหรับสวมนิ้วหัวแม่มือ เขามีของประดับติดตัวไม่มาก รู้สึกเก้อเขิน

“ให้ถุงผ้าเล็กๆ ก็ได้เจ้าค่ะ” ฉินหลิวซียิ้ม

เหยียนฉีซาน “…”

เขายังเอาถุงผ้าใส่เศษเงินที่พกติดตัวส่งให้ ฉินหลิวซีรับมาอย่างไม่เกรงใจนางเป็นคนติดดินนี่

เจียงเหวินหลิวขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่านางไม่ใช่คนเห็นแก่เงินทอง หรือว่าตัวเองจะมองผิดไป?

เหยียนฉีซานมองไปทางเถิงเจา พอสังเกตดูให้ดีเขาตกตะลึงไปชั่วขณะ “เด็กคนนี้ ดูคุ้นหน้าคุ้นตา เหล่าถัง เจ้าดูสิ”

เจ้าสำนักศึกษาถังได้ฟังก็เข้าไปมองใกล้ๆ “เถิงเทียนฮั่นน้อย?”

“เป็นเขา ดูคล้ายเถิงอวิ๋นหยามากใช่หรือไม่” เหยียนฉีซานตบเข่าดังฉาด ร้องว่าลูกชายเถิงเทียนฮั่น

เจียงเหวินหลิวมองแล้วมองอีก เป็นคนตระกูลเถิงงั้นหรือ

“สาวน้อย เด็กคนนี้หรือว่าจะเป็น?” เจ้าสำนักศึกษาถังมองไปยังฉินหลิวซี

ฉินหลิวซีพยักหน้า “ใช่ ข้าลักพาเขาจากใต้เท้าเถิงมาเป็นศิษย์เอก”

ทุกคนในที่นั้น “…”

ลักพามาหรือ เหยียนฉีซานมองไปทางสหายสนิท ลูกศิษย์ที่เจ้าว่าช่างซับซ้อนจริงๆ

เขาคิดถึงเถิงเทียนฮั่นขึ้นมา จึงถาม “ข้าจำได้ว่า เถิงอวิ๋นหยามีลูกชายคนนี้คนเดียว นางหักใจยอมให้ลูกชายเป็นนักพรตได้อย่างไร”

เถิงเทียนฮั่น พูดไม่ได้ พอพูดแล้วน้ำตาจะไหลออกมาจากตาทั้งสองข้าง

ฉินหลิวซีเอ่ยตอบอย่างภูมิใจ “แน่นอนว่าอาศัยวาจาเฉียบคมดังเครื่องดนตรีของข้าล่อลวงเขามา ไม่ถูกสิ เพราะความสามารถที่เหนือชั้นของข้าเจ้าค่ะ”

เจียงเหวินหลิวมองนางอย่างลึกซึ้ง วาจาเฉียบคมดังเครื่องดนตรี นางเอ่ยอย่างกับว่าเป็นคำพูดที่เหมาะสม แต่นางพูดจาเฉียบคมดังว่า เมื่อวานเขาได้เห็นมากับตาแล้ว

“ยิ่งกว่านั้น ใต้เท้าเถิงไม่ได้มีบุตรชายเพียงคนเดียว ในช่วงปีใหม่เขาแต่งงานใหม่หลังจากภรรยาตายไป อีกไม่นานจะมีสมาชิกครอบครัวเพิ่ม” ฉินหลิวซีเอ่ย “หากพวกท่านกลับถึงเมืองหลวงเร็วสักหน่อย บางทีอาจจะทันได้ดื่มเหล้าฉลอง”

เรื่องนี้ นางไม่ได้เอ่ยส่งเดช แต่มองหน้าเจาเจาก็ดูออก ดวงชะตาเขา ตำแหน่งบิดามารดากลับมามีความอุดมสมบูรณ์เปล่งปลั่ง เป็นหลักฐานว่าตำแหน่งมารดาที่ว่างอยู่นั้นมีคนมาแทนที่แล้ว แม่เลี้ยงอย่างไรก็เป็นมารดา

เอ่ยต่อหน้าลูกศิษย์ว่าบิดาของเขาจะแต่งงานใหม่เช่นนั้นจะดีหรือ

แต่ว่าเถิงเจานั้นมีสายตานิ่งสงบ จิตใจไม่วอกแวก ค่อยๆ ท่องบทสวดมนต์ขับไล่สิ่งชั่วร้ายที่เรียนมาใหม่ ดูเหมือนว่าใครก็ไม่สามารถหยุดยั้งเขาไม่ให้เข้าสู่เส้นทางเต๋าได้

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า นางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น! รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่ง ฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไป เบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว ผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงิน ปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิด เมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้ เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัว เฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้า เขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า! “เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ” “ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ” “ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง” “ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย “ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…” ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ “เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน” “….”

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท