บทที่ 101 สิ่งที่ฉันต้องการก็คือเงิน!
บทที่ 101 สิ่งที่ฉันต้องการก็คือเงิน!
ฟางชิวเดินดูสินค้าไปรอบ ๆ ขณะที่กำลังจะนำสมุนไพรกับขุมทรัพย์สมุนไพรออกขาย ชายหนุ่มก็พบว่าทำเลดี ๆ ทั้งหมดถูกผู้อื่นครอบครองไปหมดแล้ว เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องไปนั่งขายที่มุมหนึ่งเท่านั้น
ฟางชิวหยิบเสื้อผ้าสีดำตัวหนึ่งออกจากกระเป๋าเป้ และปูลงไปที่พื้น จากนั้นจึงค่อยเอาโสมป่ากับเห็ดหลินจือป่าออกจากกระเป๋าของเขา
หลังจากจัดวางของเรียบร้อยแล้ว ชายหนุ่มก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็จำใจหยิบพุทราวิญญาณแดงออกวางร่วมกับโสมป่ากับเห็ดหลินจือป่า
จากนั้นฟางชิวก็นั่งลงที่จุดนั้นเงียบ ๆ โดยไม่ได้ตะโกนเรียกลูกค้า แค่รอให้ลูกค้าเดินเข้ามาที่แผงเอง เพราะที่แห่งนี้คืองานแสดงสินค้า ไม่ว่าแผงลอยจะอยู่ที่ไหน ผู้คนก็จะไปดูเสมอ
สักพักก็มีชายวัยกลางคนเดินเข้ามา ผู้ชายคนนี้ดูใจดีและมีเมตตา เขาอายุประมาณสี่สิบปี ร่างกายยังดูแข็งแรง
“หืม?” ห่างจากแผงขายของฟางชิวเพียงไม่กี่ก้าว ชายวัยกลางคนก็ร้องอุทานออกมาเบา ๆ แล้วเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อมองดูของบนแผงขายของฟางชิวแล้ว ดวงตาของเขาก็เป็นประกายระยิบระยับ
ตามที่ฟางชิวคาดไว้ แค่เอาขุมทรัพย์สมุนไพรออกมาวาง ก็มีคนเข้ามาดูที่แผงลอยแล้ว ดูเหมือนว่างานแสดงสินค้าเล็ก ๆ แห่งนี้จะมีคนที่รู้จักของดีอยู่มากมาย
ฟางชิวคิดในใจ
เมื่อชายวัยกลางคนมาถึงแผงขายของ เขาก็นั่งยอง ๆ แล้วยื่นมือออกมาสัมผัสสมุนไพร
“เดี๋ยวก่อนครับ” ฟางชิวเอื้อมมือออกไปหยุดเขาทันทีแล้วพูดว่า “คุณสามารถดูของได้โดยไม่จำเป็นต้องยื่นมือออกมานะครับ”
เพราะสถานที่นี้เต็มไปด้วยผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ ฟางชิวเลยกลัวว่าผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้นิสัยไม่ดีบางคนจะแย่งชิงของแล้ววิ่งหนีไป
แม้ว่าความแข็งแกร่งของคนเหล่านี้จะไม่ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อฟางชิวก็เถอะ แต่ถ้ามีเกิดอะไรขึ้นจริง ๆ มันจะไม่เป็นการเสียเวลาหรอกหรือ?
“แค่เห็ดหลินจือป่าสองต้นกับโสมป่าหนึ่งต้นไม่ใช่เหรอ?” ชายวัยกลางคนขบริมฝีปากของเขาเล็กน้อย ราวกับว่าเขาไม่พอใจความเข้มงวดของฟางชิว
“ผมแค่ทำข้อตกลงเท่านั้น” ฟางชิวตอบกลับอย่างเย็นชา ในใจชักเริ่มหดหู่
ในที่สุดก็มีลูกค้าเข้ามาดูของแล้ว แต่ลูกค้ากลับไม่รู้จักขุมทรัพย์สมุนไพรเสียอย่างนั้น
ฟางชิวนึกว่าชายวัยกลางคนคนนี้กำลังสนใจพุทราวิญญาณแดง แต่เขาคิดไม่ถึงว่าสิ่งที่ชายคนนั้นสนใจกลับเป็นโสมป่ากับเห็ดหลินจือป่า
“ก็ได้ งั้นฉันเอาเห็ดหลินจือป่าสองต้นนี้กับโสมป่าด้วย”
ชายวัยกลางคนสังเกตสมุนไพรทั้งสามต้นอย่างระมัดระวังแล้วถามว่า “ต้องการแลกเปลี่ยนด้วยอะไร?”
“ผมต้องการแค่เงิน” ฟางชิวตอบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ชายวัยกลางคนก็รู้สึกอึ้งทันที
งานแสดงสินค้าของผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ส่วนใหญ่แล้วจะทำการแลกเปลี่ยนกัน มีคนอยากได้เงินที่ไหนกันล่ะ?
ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้จะพูดเรื่องเงินได้อย่างไร
เรื่องเงินมันจะทำให้พวกเราเสื่อมเสียและเสียหน้า!
แน่นอนว่าในชีวิตจริงพวกเขาก็สามารถพูดเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ได้ แต่ในกลุ่มผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ไม่ค่อยพูดถึงเรื่องเงินกันเท่าไร พวกเขาจะคุยกันในเรื่องระดับของศิลปะการต่อสู้เสียมากกว่า
ทว่าเมื่อคิดให้ดี ๆ แล้ว เงินก็เป็นสินค้าชนิดหนึ่ง
ในเมื่อคนขายต้องการเงิน ชายวัยกลางคนก็จะแลกเปลี่ยนของด้วยเงิน เพราะอย่างน้อยก็ได้ของดีเอาไว้ไปแลกกับอย่างอื่นได้
“งั้นก็ได้ แล้วสมุนไพรสามต้นราคาเท่าไหร่ล่ะ?” ชายวัยกลางคนเอ่ยถาม
“คุณเสนอราคามาสิ” ฟางชิวตอบ
“ห้าหมื่น” ชายวัยกลางคนเสนอราคาทันที ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็เอ่ยต่อว่า “เป็นไง”
ฟางชิวส่ายหน้าปฏิเสธทันที เพราะราคานี้มันต่ำเกินไป ร้านขายยายังให้ราคาสูงกว่าอีก
“ฮ่า ๆ…”
ดูท่าหลอกคนขายจะไม่ง่าย ชายวัยกลางคนจึงหัวเราะแล้วเปลี่ยนมาต่อรองแทน “แสนนึงเป็นราคาที่ฉันสามารถให้ได้มากที่สุดแล้ว”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ฟางชิวก็พึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าตกลง
ที่ร้านขายยาจีน ฟางชิวขายทั้งเห็ดหลินจือป่าสามต้นและโสมป่าหนึ่งต้นแต่ก็ได้เพียงแสนเดียว แต่ตอนนี้เขาขายเห็ดหลินจือป่าแค่สองต้นกับโสมป่าหนึ่งต้น อีกฝ่ายเสนอราคาสูงถึงแสนหยวน ไม่แปลกที่ฟางชิวจะตกลงทันที
และฟางชิวก็รู้ว่า การซื้อและขายสมุนไพรของร้านขายยาจีนนั้นมุ่งเป้าไปที่คนทั่วไป แต่ในงานแสดงสินค้านี้ สมุนไพรพวกนี้จะมุ่งเป้าไปที่ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ ดังนั้น การที่ราคาต่างกันมันก็สมเหตุสมผลแล้ว
แต่สำหรับสิ่งที่ผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้แล้ว ราคาของสมุนไพรไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย
“ตกลง ฉันจะโอนเงินให้เดี๋ยวนี้” ชายวัยกลางคนหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาเพื่อโอนเงินให้ฟางชิว
“ผมรับแต่เงินสดเท่านั้น” ฟางชิวรีบตอบในทันที
มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับฟางชิวที่จะให้ข้อมูลบัญชีธนาคารของเขาแก่เจ้าของร้านขายยาจีน แต่มันจะเป็นปัญหาใหญ่ถ้าคนในกลุ่มผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้รู้ข้อมูลบัญชีธนาคารของเขา
ชายหนุ่มไม่อยากเปิดเผยตัวเองในกลุ่มผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ เขาอยากรักษาสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบนี้เอาไว้ จะได้เรียนอย่างสบายใจ
“รับเฉพาะเงินสด?” ชายวัยกลางคนรู้สึกประหลาดใจ “แล้วมันไม่เหมือนกับการโอนเงินตรงไหน?”
“ผมไม่มีบัตรธนาคารเลยรับแต่เงินสด” ฟางชิวตอบ
“แย่แล้วสิ” ชายวัยกลางคนเกาหัว แล้วพูดอย่างหดหู่ว่า “ใครจะพกเงินสดเยอะ ๆ มางานแสดงสินค้ากัน”
ฟางชิวเพิกเฉยกับคำพูดของชายวัยกลางคน
ชายวัยกลางคนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพูดว่า “โอเค เงินสดก็ได้ แต่คุณต้องสัญญาว่าจะเก็บสมุนไพรไว้ให้ฉัน แถวนี้มีตู้เอทีเอ็มอยู่หลายตู้ ฉันจะไปถอนเงินมาให้เดี๋ยวนี้ ตกลงไหม”
“แน่นอน” ฟางชิวพยักหน้าเห็นด้วย
หลังจากนั้น ชายวัยกลางคนก็รีบไปถอนเงินทันที
ฟางชิวนั่งนิ่ง ๆ เพื่อรอให้ลูกค้าคนอื่นเข้ามาดูของอีกครั้ง ทว่าสุดท้ายพุทราวิญญาณแดงที่ล้ำค่าที่สุดในแผงลอยก็ขายไม่ออก
“แม้ว่าคนพวกนี้จะเป็นผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ แต่ความแข็งแกร่งก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ พวกเขาเลยไม่มีใครรู้จักพุทราวิญญาณแดงเหรอ” ฟางชิวพึมพำกับตัวเองเบา ๆ เขารู้สึกหดหู่ขึ้นมานิด ๆ
“ถ้าพวกเขาไม่รู้จักพุทราวิญญาณแดงจริง ๆ งั้นฉันก็มาเสียเวลาแล้วน่ะสิ?”
ทันใดนั้นเอง
“หืม? นี่คือเห็ดหลินจือป่ากับโสมป่าใช่ไหม”
จู่ ๆ ก็มีเสียงแปลกใจดังขึ้นมา ฟางชิวจึงเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็พบว่าเป็นชายหนุ่มที่มีดวงตาเป็นประกายสดใสเดินเข้ามาพร้อมกับชายอีกสองคน
“เห็ดหลินจือป่ากับโสมป่าของคุณราคาเท่าไหร่” ชายหนุ่มถามขณะนั่งลง
“พวกมันถูกขายไปแล้ว” ฟางชิวตอบ
“โอ้?” ชายหนุ่มตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ส่ายหัว พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าหมองว่า “ฉันมาช้าไปซะแล้ว” ขณะที่เขาพูด เขาก็เหลือบมองไปที่พุทราวิญญาณแดงแค่แวบเดียว จากนั้นก็ลุกขึ้นจากไป
สิบนาทีถัดมา
มีผู้คนจำนวนมากไปที่แผงลอยของฟางชิว เพื่อถามเกี่ยวกับเห็ดหลินจือป่ากับโสมป่า แต่ไม่มีใครให้ความสนใจพุทราวิญญาณแดงเลย และยิ่งนำพุทราวิญญาณแดงกับโสมป่ามาวางคู่กันแล้ว พุทราวิญญาณแดงก็ถูกมองข้ามไปในทันที
ยี่สิบนาทีต่อมา ฟางชิวก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบ
เจ้าของฝีเท้าเป็นชายวัยกลางคนที่วิ่งไปถอนเงินให้ฟางชิว เขากลับมาพร้อมกับกองธนบัตรสีแดงที่อยู่ในอ้อมแขน
เมื่อเห็นว่าเห็ดหลินจือป่ากับโสมป่ายังอยู่ ชายวัยกลางคนจึงยิ้มออกมาด้วยความพอใจ จากนั้นเขาก็ยื่นเงินให้ฟางชิวแล้วพูดว่า “ลองนับดู ถ้าไม่มีปัญหา ฉันจะได้เอาสมุนไพรไปเลย”
ฟางชิวรับเงินมานับ หลังเขานับเงินอย่างระมัดระวังแล้ว เขาก็ยัดเงินเข้าไปในกระเป๋าของเขาพร้อมกับพูดว่า “ไม่มีปัญหา”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หยิบสมุนไพรจากแผงลอยของฟางชิวขึ้นมาเก็บ
“พวกเรามาแลกเปลี่ยนข้อมูลการติดต่อกันดีไหม นายจะได้โทรหาฉันเวลามีสมุนไพรดี ๆ อยู่ในมือ”
ฟางชิวส่ายหัวปฏิเสธพลางชี้ก็ไปที่หน้ากากบนใบหน้า
ชายวัยกลางคนจึงเข้าใจทันที
เนื่องจากคนขายสวมหน้ากาก จึงเป็นไปได้ว่าเขาจะไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง และแน่นอนว่าจะไม่มีการทิ้งข้อมูลการติดต่อเอาไว้ด้วย
ชายวัยกลางคนถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้าใจ
ทันทีที่สมุนไพรถูกขายออกไปแล้ว บนแผงลอยของฟางชิวจึงเหลือเพียงพุทราวิญญาณแดงที่ดูเปล่งปลั่งเหมือนอัญมณี
“แล้วนี่คืออะไร?” ขณะที่ชายวัยกลางคนกำลังจะจากไป เขาก็หยุดกะทันหัน แล้วหยิบพุทราวิญญาณแดงขึ้นมาถามด้วยความสงสัย
“ผมไม่รู้” คราวนี้ฟางชิวไม่ได้ห้ามการกระทำของชายวัยกลางคน
เพราะในความคิดของฟางชิวนั้น ถ้าเขาไม่ยอมให้คนเหล่านี้ได้สัมผัสกับพุทราวิญญาณแดงจริง ๆ คนเหล่านี้อาจจะไม่รับรู้ถึงการมีอยู่มัน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เหลือแค่ขายพุทราวิญญาณแดงเท่านั้น
ถ้าพวกเขาต้องการดู ฟางชิวก็จะปล่อยพวกเขาดู
ถ้ามีคนพยายามจะปล้น ฟางชิวก็จะใช้โอกาสนั้นเปิดเผยว่าพุทราวิญญาณแดงนี้คืออะไร เพื่อที่จะได้ขายพุทราวิญญาณแดงนี้ออก ก่อนที่งานแสดงสินค้าจะสิ้นสุดลง
แน่นอนว่าฟางชิวจะไม่เปิดเผยล่วงหน้า เพราะเขากำลังรอคนที่รู้จักขุมทรัพย์สมุนไพรนี้ปรากฏตัวออกมา เขารู้ว่าคนที่รู้จักขุมทรัพย์สมุนไพรนี้ได้คือผู้ที่มีความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง และคนคนนั้นก็จะสามารถเสนอราคาสูงกว่าคนอื่นเพื่อซื้อมันไป
ฟางชิวจะไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลของพุทราวิญญาณแดงอย่างง่ายดาย เว้นแต่ว่าเขาไม่มีทางเลือกแล้วจริง ๆ
“มันดูไม่เหมือนสมุนไพรเลย” ชายวัยกลางคนมองอย่างระมัดระวังและรีบวางพุทราวิญญาณแดงกลับที่เดิมทันที จากนั้นเขาก็เดินจากไปพร้อมกับสมุนไพรที่เขาเพิ่งซื้อไป
หลังจากที่ชายวัยกลางคนจากไปแล้ว ในไม่ช้า คนอื่น ๆ ก็เดินเข้าดูที่แผงลอยของฟางชิว แต่เพราะมีพุทราวิญญาณแดงแค่อย่างเดียวในแผงลอย หลายคนจึงเหลือบมอง แล้วจากไป
ขณะที่ฟางชิวคิดอย่างเศร้าใจว่าเขาควรจะเปิดเผยข้อมูลพุทราวิญญาณแดงดีไหม ชายหนุ่มอีกคนที่มีใบหน้าผอมตอบก็เข้ามาที่แผงลอย
ชายหนุ่มคนนี้ไม่เหมือนคนอื่น ๆ เพราะชายหนุ่มเหลือบมองดูแผงลอยก่อน แต่พอเขากำลังจะจากไป จู่ ๆ เขาก็หยุดและนั่งยอง ๆ ลงอย่างสงสัย จากนั้นก็หยิบพุทราวิญญาณแดงขึ้นมาและเริ่มดูอย่างระมัดระวัง
ในขณะที่ชายหนุ่มคนนี้ดูพุทราวิญญาณแดง ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที!
“นี่คืออะไร?” ชายหนุ่มมองไปที่ฟางชิว ส่งเสียงถามอย่างตั้งใจ
ฟางชิวส่ายหัว ไม่ตอบอะไรออกไป
“ในเมื่อนายไม่รู้ งั้นนายต้องการแลกเปลี่ยนอะไร?” ชายหนุ่มเอ่ยถาม ในขณะที่เขาทำสีหน้าเบื่อหน่ายออกมา
“เงิน” ฟางชิวตอบ
“เท่าไหร่?” ชายหนุ่มถามอีกครั้ง
“เสนอราคามาสิ” ฟางชิวกล่าว
เมื่อได้ยินดังนั้น ชายหนุ่มที่มีใบหน้าผอมตอบก็ทำปากจิ๊จ๊ะและส่ายหัวไปมา เขาทำราวกับว่าตนไม่ได้สนใจพุทราวิญญาณแดงนี้มากนัก แล้วพูดออกมาช้า ๆ ว่า “ต้นเล็กมาก ดูไม่เหมือนสมุนไพรมีคุณภาพเลย แล้วนายก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร แต่เป็นสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในแผงลอย ฉันให้ห้าพันหยวนเป็นไง? พอฉันซื้อมันแล้ว นายก็สามารถเก็บแผงลอยของนายได้เลย”
ได้ยินราคาที่เสนอมาแล้ว ฟางชิวก็หัวเราะในใจและส่ายหน้าปฏิเสธทันที
ฟางชิวสังเกตว่า คนคนนี้ต้องรู้ว่าพุทราวิญญาณแดงนี้ไม่ธรรมดา แม้ว่าชายหนุ่มคนนี้จะไม่รู้ว่าพุทราวิญญาณแดงเป็นหนึ่งในขุมทรัพย์สมุนไพร แต่ชายหนุ่มคนนี้ก็รู้ว่ามันเป็นของดี ไม่อย่างนั้นชายหนุ่มคนนี้คงไม่ยอมต่อรองราคากับเขาแบบนี้หรอก
ทว่าราคาที่เขาเสนอมานั้นมันต่ำเกินไปจริง ๆ
ดูเหมือนว่าชายหนุ่มคนนี้จะคิดว่าฟางชิวไม่รู้จักพุทราวิญญาณแดง เขาถึงเล่นตลกกับฟางชิวอย่างนี้
“ห้าพันหยวนนายก็ไม่ขายเหรอ?” ชายหนุ่มมองฟางชิวแล้วพูดว่า “ถ้านายไม่ขายตอนนี้ ต่อให้งานแสดงสินค้าจบลงไปแล้วนายก็อาจจะขายมันไม่ออกนะ” พูดจบ ชายหนุ่มก็โบกฝ่ามือใหญ่ของเขาไปมาแล้วพูดด้วยท่าทางใจกว้างว่า “ฉันจะเพิ่มให้อีกห้าพันหยวน โอเคไหม?”
ฟางชิวส่ายหน้าปฏิเสธเหมือนเดิม
เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้ว ชายหนุ่มก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่พอใจ “ให้ราคาดีขนาดนี้แล้วนายก็ยังไม่พอใจอีกเหรอ นี่ฉันกำลังพยายามช่วยนายอยู่นะ แต่ทำไมนายถึงได้เอาแต่คิดว่าสมุนไพรต้นนี้เป็นสมบัติล้ำค่าอยู่อีกล่ะ?”
ฟางชิวเลิกสนใจเขา
“ดี… ดี…” ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วพูดขึ้นมาว่า “งั้นฉันจะยอมเป็นคนดีให้ถึงที่สุดก็แล้วกัน ฉันจะให้เพิ่มอีกสองหมื่นหยวน รวมแล้วก็เป็นสามหมื่นหยวน พอใจแล้วนะ?”
ฟางชิวส่ายหน้าอีกครั้ง
“หา?” ชายหนุ่มขึ้นเสียง “ทำไมถึงไม่รู้จักพออีก?” ร่องรอยของความโกรธปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ผอมตอบของเขา และเขาก็ถลึงตาใส่ฟางชิวด้วย
“นายไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร ฉันก็เสนอราคาให้สูงแล้ว แต่นายก็ยังไม่ยอมรับอีก นายจงใจทำให้ฉันเสียเวลาใช่ไหม” ชายหนุ่มถามอย่างโกรธเคือง
“ไสหัวไปให้พ้น!” ฟางชิวกล่าวอย่างเย็นชา
ชายหนุ่มก้มหน้าลง ตอนแรกเขาใช้นิ้วตรวจดูพุทราวิญญาณแดง แต่ตอนนี้เขากลับกำไว้ในฝ่ามือ ไม่ยอมคลายมือออกแต่อย่างใด
