บทที่ 106 หาเรื่องตบหน้า
บทที่ 106 หาเรื่องตบหน้า
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อพักผ่อนในหอพักของมหาวิทยาลัยหนึ่งคืน ฟางชิวก็ลุกขึ้นไปกินอาหารเช้าหลังจากที่ออกกำลังกาย จากนั้นเขาก็แอบแบกกระเป๋าไปที่ธนาคาร
“ผมจะฝากเงินครับ” ในช่วงเช้า ๆ อย่างนี้ ที่ธนาคารจะไม่ค่อยมีคน ฟางชิวจึงเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ของธนาคารได้ในทันที
“ฝากเท่าไหร่คะ?” พนักงานที่อยู่หลังเคาน์เตอร์เอ่ยถามพร้อมกับเอื้อมมือออกมาข้างหนึ่งเพื่อรับเงิน
“แปดแสนห้าหมื่นหยวน” ฟางชิวตอบ
เงินหนึ่งล้านห้าแสนหยวนได้มาจากการขายขุมทรัพย์สมุนไพร หนึ่งแสนหยวนที่ได้จากการขายสมุนไพร ฟางชิวจึงมีเงินทั้งหมดหนึ่งล้านหกแสนห้าหมื่นหยวน หลังหักจำนวนเงินที่บริจาคให้สถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้าไปห้าแสนห้าหมื่นหยวน ในตอนนี้ฟางชิวเหลือเงินอยู่หนึ่งล้านห้าหมื่นหยวน
ถ้าเขาฝากเงินไปเจ็ดแสนห้าหมื่นหยวน เขาก็จะเหลือเงินในมืออยู่สามแสนหยวน
“เท่าไหร่นะคะ?” พนักงานธนาคารถามอีกครั้งพลางเงยหน้าขึ้นราวกับว่าเธอไม่ได้ยินที่ฟางชิวพูด
“เจ็ดแสนห้าหมื่นหยวน” ฟางชิวพูดซ้ำ
พนักงานธนาคารถึงกับอึ้งเมื่อได้ยินฟางชิวยืนยันจำนวนเงินที่ฝาก
ปกติการทำงานที่ธนาคารอย่างนี้ พนักงานอย่างเธอย่อมเคยเห็นคนนำเงินมาฝากเงินมากมาย ส่วนจำนวนเงินแค่นี้มันไม่พอที่จะทำให้เธอตกใจได้ แต่สิ่งที่ทำให้เธอตกใจก็คือ ลูกค้าที่อยู่ตรงหน้าเธอเป็นนักเรียน!
นักเรียนจะมีเงินแค่ไหนกันเชียว? ส่วนมากพวกนักเรียนจะเก็บเงินได้แค่บางส่วนเท่านั้น และจะฝากเงินครั้งละไม่เกินสองสามพันหยวน น้อยมากที่จะมีคนมาฝากเงินเป็นล้านอย่างนี้
พนักงานธนาคารคาดไม่ถึงว่าชายหนุ่มคนนี้จะมาฝากเงินก้อนโต นอกจากความรู้สึกตกใจแล้ว เธอก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาในทันที เพราะตนได้เห็นโอกาสในการเลื่อนตำแหน่งแล้ว
เธอจึงขอให้เพื่อนร่วมงานเข้ามาทำหน้าที่นี้ต่อ ส่วนเธอก็ออกไปดูแลฟางชิวด้วยตนเอง
เงินฝากจำนวนเจ็ดแสนห้าหมื่นหยวนจะช่วยให้เห็นว่าการทำงานของเธอมีประสิทธิภาพมากแค่ไหน!
แล้วแบบนี้เธอจะไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร?
ไม่นาน ด้วยการดำเนินการของพนักงานธนาคารคนนี้ ฟางชิวก็ได้ฝากเงินเจ็ดแสนห้าหมื่นหยวนเข้าบัญชีธนาคารของเขา ทำให้ยอดคงเหลือในบัญชีของเขามีเงินฝากถึงแปดแสนเจ็ดหมื่นหยวน
เมื่อออกจากธนาคารแล้ว ฟางชิวก็กลับไปที่มหาวิทยาลัยพร้อมกับกระเป๋าเดินทางที่มีการป้องกันด้วยรหัสผ่าน ในกระเป๋าใบนี้ก็ยังมีเงินสดสามแสนหยวนอยู่
ที่ประตูมหาวิทยาลัย ฟางชิวก็เห็นคนรู้จักที่คุ้นเคยอย่างหลี่ชิงสือยืนอยู่ เมื่อหลี่ชิงสือเห็นฟางชิวเดินมาแต่ไกล เขาก็วิ่งเข้าไปหาฟางชิวทันที
“ฟางชิว!” หลี่ชิงสือมองไปรอบ ๆ ขณะที่เขาเดินเข้าไปหาฟางชิว จากนั้นเขาก็ถามด้วยน้ำเสียงเจือความผิดหวังว่า “เพื่อนสมัยม.ปลายของนายล่ะ”
ฟางชิวเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัยโดยไม่ตอบคำถามของหลี่ชิงสือ
“ไอ้นี่! ฉันกำลังคุยกับนายอยู่นะ!”
เมื่อหลี่ชิงสือเห็นว่าฟางชิวไม่สนใจตนเอง เขาจึงเอ่ยเสียงเย็นชาออกมา “ฉันเป็นรุ่นพี่ของนายนะ และรุ่นพี่คนนี้ก็กำลังถามคำถามนายอยู่!”
เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้ว ฟางชิวจึงเหลือบมองหลี่ชิงสือด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม จากนั้นก็เดินหลบไปด้านข้างเพื่อเดินเข้าไปในมหาวิทยาลัยต่อ
หลี่ชิงสือโกรธมาก แต่เขาก็ไม่สามารถแสดงความโกรธของเขาได้ในตอนนี้ เขาพยายามขวางฟางชิวอีกครั้งแล้วพูดว่า
“ฉันเจอผู้หญิงคนหนึ่งที่ประตูมหาลัยเมื่อวันจันทร์ เธออ้างว่าเป็นเพื่อนสมัยม.ปลายของนาย ฉันก็เลยพาเธอไปหานาย แต่วันนั้นนายไม่ได้อยู่ที่มหาวิทยาลัย เธอก็เลยจากไป”
“เมื่อสองสามวันก่อนเธอยังมาที่ประตูมหาวิทยาลัยอยู่เลย แล้วทำไมถึงเธอไม่มาแล้วล่ะ?”
“ฉันเป็นประธานสมาคมนักศึกษา มีนักศึกษาหญิงมาเยือนจากมหาวิทยาลัยอื่นแบบนี้ มันก็เป็นหน้าที่ของฉันที่จะต้องพาเธอเดินชมรอบ ๆ เพื่อแนะนำมหาวิทยาลัยของพวกเราให้เธอ…” หลี่ชิงสือก็ยังคงพล่ามเรื่องไร้สาระของเขาต่อไป
ฟางชิวจ้องคนพูดแล้วถามว่า “สรุปแล้วนายอยากได้อะไรกันแน่?”
“ฉันอยากได้เบอร์โทรศัพท์ของเธอ!” หลี่ชิงสือตอบออกไปตรง ๆ
วันนั้นหลี่ชิงสือพาเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเข้าไปในมหาวิทยาลัย แต่พอไม่เจอตัวฟางชิว เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็จากไปโดยไม่ได้ทิ้งช่องการติดต่อไว้
สองสามวันก่อนหน้านี้ เขาเห็นว่าเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยยังมาเดินอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัย เขาจึงไปคุยกับเธอทุกวัน ถึงเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยจะทักทายเขาอย่างสุภาพ แต่เธอก็ไม่สนใจเขาอีกเลย
เรื่องนี้มันทำให้เขารู้สึกแย่มาก เขาไม่เข้าใจว่าทำไมฟางชิวถึงได้รับความนิยมจากสาว ๆ นัก โดยเฉพาะสาวสวย!
เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเป็นคนที่สวยมากในสายตาของเขา ชายหนุ่มฝันถึงเธอในตอนกลางคืนด้วย พอเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยหายตัวไป เขาก็หาเธอไม่เจออีกเลย
หลังจากที่ไม่มีหนทางอื่นแล้ว หลี่ชิงสือก็เลยต้องมาขอเบอร์โทรศัพท์ของเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยจากฟางชิว
“ไม่มี!” เมื่อรู้เจตนาของหลี่ชิงสือแล้ว ฟางชิวก็ตอบปัดออกไป
เป็นเหตุให้สีหน้าของหลี่ชิงสือคล้ำลงทันที
“ฟางชิว นายอย่าทำมาเป็นกินอยู่ในจานแต่มองในหม้อเลย*[1]”
หลี่ชิงสือกล่าวออกมาด้วยความโกรธขณะที่จ้องไปที่ฟางชิว “เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ถ้านายติดต่อผู้หญิงคนนั้นให้ฉัน ฉันจะเลิกยุ่งกับเจียงเหมี่ยวอวี๋ ฉันสัญญาว่าจะไม่ไปตอแยกับเธออีก เราจะไม่มีเรื่องกันอีก ฉันกล้าพูดได้เลยว่าทางสมาคมนักศึกษาจะไปไม่ยุ่งกับนายอีก เป็นไง?”
ฟังจบ ฟางชิวก็อดเย้ยหยันไม่ได้
หลี่ชิงสือเป็นคนปัญญาอ่อนหรืออย่างไร?
ปกติแล้ว คนธรรมดาทั่วไปจะไม่พูดอย่างนี้ออกมาหรอก
ฟางชิวเดินหนี ก็เลยทำให้สีหน้าของหลี่ชิงสือเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ
ฟางชิวกำลังทำให้เขาอับอาย!
ประธานสมาคมนักศึกษาอุตส่าห์บากหน้าขอเบอร์โทรศัพท์สาวสวยจากฟางชิวด้วยวิธีที่สันติแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับทำตัวมึนตึงและไม่สนใจเขา จะให้เขาทนได้อย่างไร?
เขาอุตส่าห์ยอมลดตัวลงมาเพื่อขอเบอร์โทรศัพท์ของเจี่ยงเมิ่งเจี๋ย แต่ฟางชิวทำให้เขาต้องรู้สึกขายหน้าแทน
ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าฟางชิวกำลังหัวเราะเยาะเขาอยู่
ผู้ชายที่หยิ่งผยองอย่างเขาจะทนต่อการกระทำแบบนี้ของฟางชิวได้อย่างไรกัน
เมื่อเห็นว่าฟางชิวเดินจากไปแล้ว หลี่ชิงสือก็โกรธจนหน้าดำคล้ำมากกว่าเดิม เขากำหมัดตัวเองแน่น จากนั้นเขาก็เอื้อมมือออกไปหยิบโทรศัพท์ของเขาที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง กดหมายเลขโทรศัพท์ของเกาเฟยแล้วโทรออก
ตอนนี้เกาเฟยกำลังฝึกฝนร่างกายกับสมาชิกคนอื่น ๆ ในทีมกรีฑาอยู่
ดีดี้ดี…
เสียงเรียกเข้าดังขึ้นในกองเสื้อผ้าที่อยู่บนพื้นหญ้า
สมาชิกทีมกรีฑาคนหนึ่งที่กำลังนั่งอยู่บนพื้นหญ้า ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อเริ่มค้นหาต้นตอของเสียงทันที
“เกาเฟย โทรศัพท์นายดัง” เมื่อหยิบโทรศัพท์ที่ดังออกมา สมาชิกคนดังกล่าวก็ตะโกนออกมาอย่างเสียงดัง เพื่อบอกเกาเฟยที่กำลังวิ่งอยู่ให้เข้ามารับสาย
ได้ยินดังนั้น เกาเฟยก็ชะลอความเร็วในการวิ่งทันทีแล้ววิ่งเหยาะ ๆ มารับโทรศัพท์
“ฮัลโหล” เกาเฟยหอบพลางรับสาย
“[ฟางชิวกลับมาแล้ว]” น้ำเสียงที่เย็นชาของหลี่ชิงสือดังออกมาจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง
“มันกลับมาก็ดีแล้ว!” เกาเฟยหัวเราะออกมา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า “ฉันกำลังรออยู่เลย! ฉันรู้แล้วว่าจะต้องจัดการมันยังไง นายไม่ต้องทำอะไร แค่รอดูผลงานของฉันก็พอ”
“[งั้นฉันจะรอดูผลงานของนาย!]” ฟังจบ หลี่ชิงสือก็วางสายด้วยความขุ่นเคือง
เมื่อหลี่ชิงสือวางสายไปแล้ว เกาเฟยก็หันหน้ากลับไปเข้าร่วมการฝึกอีกครั้ง แต่ทว่า เขาก็สังเกตเห็นร่างที่คุ้นเคยร่างหนึ่งบนถนนข้างสนามกีฬาเสียก่อน
แล้วร่างนั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ถ้าไม่ใช่ฟางชิว
“พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา*[2 ]เลยว่ะ!” เกาเฟยวิ่งไปหาฟางชิว ริมฝีปากยกโค้งขึ้น
แล้วเขาก็ใช้ร่างกายอันสมบูรณ์แบบที่เต็มไปด้วยเหงื่อเข้าไปขวางทางฟางชิว ทว่าชายหนุ่มทำเพียงเหลือบมองเกาเฟยแวบหนึ่ง ก่อนจะก้าวเดินต่อไปโดยไม่สนใจใด ๆ
“ฮะ?” เกาเฟยมึนงงไปครู่หนึ่ง พอเขาได้สติกลับมา เขาถึงได้ก็รู้ว่าเขาถูกเมิน!
ความแค้นใหม่ปะทุขึ้นมาทันที!
ตอนนี้นักศึกษาที่เชี่ยวชาญด้านกีฬาคนนี้ไม่มีความรู้สึกอะไรเลยนอกจากรู้สึกโกรธเพียงอย่างเดียว
เกาเฟยจ้องมองไปที่ฟางชิว เขาหรี่ตาลง จากนั้นยกขาขึ้นหมายจะเตะไปที่แผ่นหลังแล้ววิ่งหนีไป เพราะอย่างไรซะเขาก็เป็นคนที่วิ่งไวอยู่แล้ว
ทว่าฟางชิวก็เบี่ยงตัวไปทางขวา ทำให้เกาเฟยพลาดเป้า โชคดีที่เขาไม่ได้ออกแรงมาก ไม่อย่างนั้นเขาคงจะหกล้มอย่างแรงแน่นอน
จากนั้นฟางชิวก็หันหลังกลับไปทันที หลังจากหลบการโจมตีของเกาเฟยพ้น ฟางชิวจ้องมองไปที่เกาเฟยอย่างเย็นชา ใบหน้าดูน่ากลัวกว่าปกติ
เกาเฟยรู้สึกอับอาย แต่ก็อายอยู่ได้แวบเดียว
“อะไร? นายจะเล่นงานฉันเหรอ?” เกาเฟยดูถูกเหยียดหยามแล้วลดระดับเสียงลง “นายโชคดีที่ครั้งที่แล้วฉันไม่ได้เตะตูดนาย ฉันจะดูซิว่าตอนนี้นายจะทำยังไง ถึงจะยังเป็นช่วงวันหยุด แต่กฎที่ห้ามตีกันในมหาวิทยาลัยก็ยังมีผลอยู่!” พูดจบเกาเฟยก็หัวเราะออกมา
ฟางชิวคลี่ยิ้มเยาะเย้ย ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้ ฟางชิวไม่ได้สนใจที่จะต่อสู้กับเกาเฟยเลย เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ต่างจากเด็กกำลังหัดเดินเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม หากอีกฝ่ายกล้าที่จะฝ่าฝืนกฎของมหาวิทยาลัยจริง ๆ ฟางชิวก็ไม่รังเกียจที่จะสอนบทเรียนให้เขา
เพราะความแค้นครั้งที่แล้วยังไม่ได้ชำระด้วยซ้ำ!
ทันใดนั้นเอง
“พวกนายสองคนกำลังทำอะไรอยู่?” เสียงตะโกนหนึ่งดังขึ้นมา
ก่อนที่เกาเฟยจะโจมตีฟางชิวอีกครั้ง อาจารย์หม่าที่กำลังดูแลการฝึกฝนของทีมกรีฑาก็สังเกตเห็นความผิดปกติ เขาจึงรีบวิ่งไปหาพวกเขาสองคน
ได้ยินเสียงของอาจารย์หม่า สีหน้าของเกาเฟยก็เปลี่ยนไปทันที เมื่อมีอาจารย์อยู่ด้วยแล้วอย่างนี้ เขาจะกล้าต่อยตีใครได้อีก?
แล้วเขาจะแก้แค้นฟางชิวโดยที่ไม่ต้องใช้กำลังได้อย่างไรกัน?
เกาเฟยได้แต่กลอกตาไปมา แต่พอนึกถึงตอนที่วิ่งในเช้าวันนั้น ความแค้นที่ถูกระงับไว้ในใจของเขาก็ปะทุขึ้นมาทันที
เมื่ออาจารย์หม่าวิ่งมาถึงพวกเขา
เกาเฟยจึงหันไปยิ้มให้อาจารย์หม่าแล้วพูดว่า “อาจารย์หม่า นักศึกษาฟางชิวคนนี้ ต้องการจะวิ่งแข่งกับผม ผมเหนื่อยกับการซ้อมพอดีเลย ให้พวกเราแข่งกันเถอะครับ!”
“ฮะ?” อาจารย์หม่าเหลือบมองฟางชิวด้วยความประหลาดใจ
เกาเฟยเป็นสมาชิกของทีมกรีฑา อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในนักวิ่งที่ดีที่สุดอีกด้วย แล้วทำไมนักศึกษาคนนี้ถึงอยากจะแข่งกับเกาเฟยล่ะ?
เมื่อมองไปที่ฟางชิว อาจารย์หม่าก็เลิกคิ้วขึ้น
นักศึกษาคนนี้ดูคุ้น ๆ แฮะ
ทันใดนั้น อาจารย์หม่าก็นึกถึงนักวิ่งที่วิ่งเร็วมากในเช้าวันนั้นขึ้นมา
เมื่อพิจารณาจากรูปร่างของนักศึกษาคนนี้แล้วก็คล้ายกับนักวิ่งคนนั้นมาก หรือว่าฟางชิวจะเป็นนักวิ่งคนนั้น? ไม่อย่างนั้น เจ้าเด็กเกาเฟยคนนี้คงจะไม่อยากแข่งกับนักศึกษาคนนี้หรอก
แต่การที่นักศึกษาคนนี้ต้องการวิ่งแข่งกับเกาเฟยก็ไร้สาระเหมือนกัน!
อาจารย์หม่ามองฟางชิวอย่างพิจารณา และเอ่ยถามว่า “นายต้องการแข่งวิ่งกับเกาเฟยเหรอ”
ฟางชิวส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่อยากครับ”
“อะไร? นายกลัวเหรอ?” เกาเฟยพูดถากถางพร้อมกับคลี่ยิ้มเย้ยหยันออกมา รอยยิ้มของเขาดูยั่วยุอารมณ์คนได้เป็นอย่างดี
เกาเฟยจะปล่อยโอกาสดี ๆ แบบนี้ไปง่าย ๆ ได้อย่างไร? เช้าวันนั้นเขาถูกอีกฝ่ายเล่นงานอย่างโหดเหี้ยม วันนี้เขาเลยตั้งใจแน่วแน่ที่จะกู้หน้ากลับคืนมาให้ได้ เขาไม่ยอมรับหรอกว่าฟางชิวจะวิ่งเร็วกว่าเขา คราวที่แล้วหมอนี่ต้องโกงแน่ ๆ
ฟางชิวจึงเหลือบมองเกาเฟยที่กำลังยั่วยุเขา ราวกับกำลังมองดูคนงี่เง่า
จากนั้นเขาก็หันไปหาอาจารย์หม่าแล้วพูดว่า “อาจารย์หม่า ผมมีเรื่องที่ต้องไปจัดการ ขอตัวก่อนครับ”
“ในเมื่อเธอก็อยู่ที่นี่แล้ว ทำไมไม่ลองแข่งหน่อยล่ะ” เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้ว อาจารย์หม่าก็โพล่งออกมา
เขาก็อยากรู้ว่าฟางชิวจะเป็นนักวิ่งที่วิ่งเร็วมากคนนั้นหรือเปล่า แล้วฟางชิวจะสามารถวิ่งได้เร็วแค่ไหน นอกจากนี้ เขาอยากเห็นศักยภาพของคนที่เกาเฟยท้าแข่งด้วย
ในความเห็นของเขา ความคิดของเกาเฟยไม่เลวเลย
คนที่ดึงดูดความสนใจจากเกาเฟยได้จะต้องเป็นคนที่วิ่งเร็วมากแน่ ๆ เพราะถ้ามีทักษะวิ่งไม่ดี เกาเฟยก็จะไม่สนใจ
ฟางชิวมองไปที่อาจารย์หม่าแล้วหันไปมองเกาเฟย
ในเมื่อเกาเฟยหาเรื่องให้ตบหน้าอย่างนี้แล้ว มันก็คงจะหยาบคายถ้าชายหนุ่มปฏิเสธที่จะตบหน้าของเกาเฟยกลับ
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็มาแข่งกันเถอะ” ฟางชิวตอบ
[1] กินอยู่ในจานแต่มองในหม้อ หมายถึงคนหลายใจ
[2] พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา หมายถึงเมื่อเรากำลังพูดถึงใครสักคนหนึ่ง คนคนนั้นก็มาถึงพอดี
