บทที่ 147 ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว!
บทที่ 147 ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว!
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ฟางชิวก็หัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วพูดทันทีว่า “ก็เป็นโอกาสที่ดีนี่!”
ทั้งสามคนต่างพูดไม่ออกจึงได้แต่กลอกตาใส่ฟางชิว
“เจ้าห้า หยุดล้อได้แล้ว พวกเราเป็นเพื่อนกันนะโว้ย นายจะใจร้ายกับเพื่อนขนาดนี้เลยเหรอ?” โจวเสี่ยวเทียนกล่าวด้วยสีหน้าเหยเก
“ใช่แล้ว” ซุนฮ่าวหันหน้ากลับมามองฟางชิวแล้วกล่าวอย่างเสียใจว่า “ไม่ใช่นายหรอกเหรอที่บอกพวกเราว่า นี่เป็นโอกาสสร้างความประทับให้กับผู้ดูแล? พวกเราก็ทำตามที่นายบอกแล้ว นายคิดว่าพวกเรายังดีไม่พอ ต้องหาโอกาสอีกครั้งใช่ไหม”
“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูก” ฟางชิวยิ้มก่อนจะส่ายหัว จากนั้นก็ดึงเก้าอี้มานั่ง “พวกนายรู้ไหมว่าการที่เรื่องเลวร้ายได้มาถึงจุดที่สูงที่สุดแล้ว มันก็จะมีเรื่องดี ๆ เกิดขึ้น แล้วรู้ไหมว่าการรักษาหยางต้องให้หยินช่วย*[1] คืออะไร”
พวกเขาสามคนเม้มริมฝีปากตัวเอง ไม่ยอมตอบอะไรออกไป
“ถึงความประทับใจของผู้ดูแลภูเขาเหยาหวังที่มีต่อพวกนายจะติดลบ แต่พวกนายก็สร้างความประทับใจให้เขาได้สำเร็จไม่ใช่เหรอ? เพราะว่าตอนนี้เขาจำพวกนายได้แล้ว” ฟางชิวมองไปที่ทั้งสามคนแล้วพูดต่อ “ถึงจะทิ้งความรู้สึกไม่ดีไว้ให้ผู้ดูแลภูเขาเหยาหวัง แต่พวกนายก็ใช้โอกาสนี้ขอโทษเขาแล้วตั้งใจเรียนแทนก็ได้นี่นา”
“ถ้าตราบใดที่พวกนายยอมรับความผิดพลาดของตัวเองอย่างจริงใจ แล้วตั้งใจดูแลสมุนไพรจีนละก็ เดี๋ยวผู้ดูแลภูเขาเหยาหวังจะต้องคิดว่าตัวเองเข้าใจพวกนายผิดแน่นอน”
“แล้วเมื่อถึงเวลานั้น มันก็จะไม่ใช่ความประทับใจธรรมดา ๆ อีกต่อไป เพราะมันจะเป็นความประทับใจที่เกิดจากความเข้าใจผิด!”
ในตอนแรกทั้งสามคนแอบดูแคลนความคิดของฟางชิว แต่พวกเขาก็คล้อยตามชายหนุ่มโดยไม่รู้ตัว แม้จะงง ๆ อยู่นิดหน่อย แต่ก็ตั้งใจฟังฟางชิวอยู่ดี
“จำไว้ว่าการแก้ไขความผิดพลาดเท่านั้นที่จะสามารถแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในการเรียนรู้และการทำงานหนักของพวกนาย”
“พอผู้ดูแลภูเขาเหยาหวังประทับใจในตัวพวกนาย พวกนายก็จะสามารถขอฝึกงานได้อีกครั้ง แล้วจากนั้นพวกนายก็จะฝึกงานได้อย่างราบรื่น”
เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ ฟางชิวก็หยุดพูดแล้วหันกลับไปมองรูมเมตทั้งสามคน ปรากฏว่าทั้งสามคนนั้นกำลังทำหน้างง
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เข้าใจความหมายที่ฟางชิวต้องการจะสื่อเลย
“นายหมายความว่า…” จูเปิ่นเจิ้งลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “เขาอาจไม่รับพวกฉันเป็นศิษย์เพราะพวกฉันเก่งเกินไป แต่ถ้าพวกฉันยอมปรับปรุงตัวแล้วแก้ไขความเข้าใจผิด เขาก็จะรับใช่ไหม?”
โจวเสี่ยวเทียนกับซุนฮ่าวก็มองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ
“จะเข้าใจอย่างนั้นก็ได้” ฟางชิวพยักหน้า
ได้ยินอย่างนั้นแล้ว ซุนฮ่าวกับโจวเสี่ยวเทียนก็ยังคงสับสนไม่เลิก
เมื่อกี้ไอ้ฟางชิวมันพูดอะไรฟะ?
พวกเขาถูกไล่ออกมานี่ แล้วจะเหลืออะไรให้กลับไปอีกล่ะ?
แถมโดนด่าขนาดนั้นแล้ว แต่ถ้ากลับไปตอนนี้อีกรอบจะไม่โดนด่าอีกหรืออย่างไรเล่า?
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องฝึกงานหรอก
“นี่เราพูดเรื่องลี้ลับอยู่ปะ ฉันงง” ซุนฮ่าวกล่าว
“ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าหมายความว่าไง” โจวเสี่ยวเทียนเอามือเกาหัวตัวเอง แล้วมองไปที่ฟางชิวกับจูเปิ่นเจิ้ง เพื่อรอให้ทั้งสองคนตอบออกมา
“ลืมมันไปเถอะ ถ้านายจะหัวทึบขนาดนี้” จูเปิ่นเจิ้งกระโดดลงจากเตียงแล้วพูดว่า “เรารีบไปขอโทษผู้ดูแลภูเขาเหยาหวังเถอะ จะได้ฝึกงานสักที!” ระหว่างที่กำลังพูด เขาก็รีบวิ่งไปข้างหน้าแล้วลากโจวเสี่ยวเทียนกับซุนฮ่าววิ่งออกจากหอพักไป
เป็นเหตุให้ทั้งคู่ถูกจูเปิ่นเจิ้งลากตัวไปด้วยความมึนงง
เมื่อคล้อยหลังของรูมเมตทั้งสามคนแล้ว ฟางชิวก็ส่ายหัวแล้วคลี่ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
เพราะฟางชิวตั้งใจหาอาจารย์ฝึกงานให้รูมเมตทั้งสามคน เขาจึงสงสัยว่าทั้งสามคนดูแลภูเขาเหยาหวังกันอย่างไร ทำไมถึงถูกไล่ออกมาได้ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าทั้งสามจะทำวีรกรรมอะไรไว้
ในสายตาคนทั่วไป กลับไปหลังถูกไล่ย่อมน่าอายเป็นธรรมดา แต่ฟางชิวกลับมีมุมมองที่แตกต่างออกไป
เพราะอย่างไรก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าทั้งสามคนสร้างความประทับใจที่ไม่ดีให้กับผู้ดูแลภูเขาเหยาหวัง แม้ว่าทั้งสามคนจะทำลายสมุนไพรจีน แต่อย่างน้อยพวกเขาก็พยายามช่วยเหลือกันอย่างความจริงใจ
ผู้ดูแลภูเขาเหยาหวังต้องเข้าใจจุดนี้อย่างแน่นอน
เขาคงไม่ปฏิบัติกับเจ้าพวกนั้นอย่างรุนแรงเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น ตราบใดที่พวกเขายอมรับความผิดพลาดอย่างจริงใจและเต็มใจที่จะทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาตนเอง ในไม่ช้าก็เร็ว ผู้ดูแลภูเขาเหยาหวังก็จะเปลี่ยนมุมมองของตัวเองเกี่ยวกับพวกเขาอย่างแน่นอน
คิดได้ดังนั้น ฟางชิวก็หัวเราะเบา ๆ แล้วกลิ้งไปมาบนเตียง ก่อนจะลุกขึ้นมานั่ง แล้วเริ่มดูเหรียญทองแดง
ในวันนี้เหรียญทองแดงถูกเพิ่มขึ้นเป็นสามเหรียญ
คราวที่แล้วมีแค่สองเหรียญ แต่ตอนนั้นฟางชิวเกือบจะใช้พลังจิตพลิกได้แล้ว เขาจึงเพิ่มเหรียญทองแดงอีกเหรียญเข้าไป
ด้วยเหตุนี้เอง ความยากจึงทวีคูณขึ้นหลายเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม พลังจิตของฟางชิวก็แข็งแกร่งขึ้นมากจากการฝึกครั้งก่อน แม้ว่าความยากลำบากจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว แต่เขาก็ไม่มีความรู้สึกว่าทำไม่ได้
“ไปทางซ้าย” ฟางชิวพยายามตั้งสมาธิและสงบสติอารมณ์ตัวเอง ก่อนที่จะจ้องมองไปที่เหรียญทองแดงสามเหรียญที่ถูกห้อยเอาไว้กลางอากาศ จากนั้นเขาก็เพ่งสมาธิเพื่อพยายามให้เหรียญทองแดงเคลื่อนไหว
เหรียญทองแดงที่ประกบกันสามเหรียญเกิดการเคลื่อนไหว
ภาพนี้ทำให้ฟางชิวประหลาดใจ เขายังจำได้ดีว่า พลังจิตของเขาไม่สามารถเคลื่อนย้ายเหรียญทองแดงสองเหรียญได้มากขนาดนี้ แต่ว่าตอนนี้พลังจิตของเขาสามารถเคลื่อนย้ายเหรียญทองแดงทั้งสามเหรียญได้แล้ว
สิ่งนี้มันหมายความว่าอะไรน่ะหรือ?
มันก็หมายความว่าพลังจิตของฟางชิวนั้น มันได้เกินกว่าที่เขาจะสามารถจินตนาการได้ ถ้าเขาฝึกฝนด้วยเหรียญทองแดงสองเหรียญแบบนี้ไปเรื่อย ๆ พลังจิตของเขาก็จะไปถึงจุดที่สามารถเคลื่อนย้ายเหรียญทองแดงสามเหรียญได้
“จากความคืบหน้าครั้งนี้ ฉันน่าจะทำได้สำเร็จในวันนี้ ถ้าฉันพยายามมากขึ้นอีก”
ฟางชิวกลายเป็นคนทะเยอทะยาน เพราะเขาตั้งใจที่จะใช้พลังจิตไปเรื่อย ๆ จนถึงจุดที่เขาสามารถพลิกเหรียญทองแดงสามเหรียญให้ได้ภายในคืนนี้
ฟางชิวคิดแล้วก็ทำทันที…
ชายหนุ่มเพ่งสมาธิและใช้พลังจิตต่อไป
‘ไปทางขวา ไปทางซ้าย…’ เขาตะโกนในใจ
ฟางชิวเผลอกัดฟันโดยไม่รู้ตัว ไม่นานเขาก็เพ่งสมาธิทั้งหมดไปกับการใช้พลังจิตเพื่อเคลื่อนย้ายเหรียญทองแดง
‘ไปทางซ้าย แล้วพลิกตัวขึ้นมาตั้งซะ’
‘พลิก!’
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ฟางชิวก็เบิกตากว้าง ร่างกายของเขาเกร็งแน่นิ่ง จะยกตัวก็ยากลำบาก ดวงตาทั้งสองแดงก่ำจนน่ากลัว
ภาพตรงหน้าของฟางชิวก็คือ ภาพเหรียญทองแดงสามเหรียญเคลื่อนไปทางซ้ายแล้วพยายามจะพลิกตัวขึ้นมาตั้งฉาก แต่ก็ดูกระท่อนกระแท่นอยู่ดี
ยกเหรียญได้เพียงนิด ฟางชิวก็รู้สึกเหนื่อยมาก เขาพยายามหลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จ
“เฮ้อ…” ในที่สุดฟางชิวก็ผ่อนแรง เขาถอนหายใจออกมาเสียงดัง จากนั้น เหรียญทองแดงก็ร่วงลงมาแล้วกระเด็นกระจัดกระจาย
“ยังทำไม่ได้” ฟางชิวถอนหายใจออกมาอีกครั้ง รอยยิ้มขมขื่นผุดขึ้นที่มุมปาก
ครู่ต่อมา ร่างกายของเขาก็ผ่อนคลายถึงขีดสุด และหลังจากที่อยู่ในความเงียบเป็นเวลาสิบวินาที ฟางชิวก็มุ่งความสนใจไปที่เหรียญทองแดงทั้งสามเหรียญอีกครั้ง
“ลองอีกครั้ง!”
‘ไปทางซ้าย พลิกตัวขึ้น…’ หลังจากร่างกายของเขาผ่อนคลายลงแล้ว ฟางชิวก็ตะโกนในใจ เหรียญทองแดงจึงค่อย ๆ พลิกตัวขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเหรียญเกือบจะตั้งตรง ฟางชิวก็กัดฟันแน่น
‘พลิกตัวขึ้นมาตั้งเดี๋ยวนี้!’ ฟางชิวตะโกนในใจอย่างบ้าคลั่ง
เหรียญทองแดงสามเหรียญสั่นอย่างรุนแรง ราวกับว่าพวกมันสัมผัสได้ถึงความโกรธของฟางชิว พวกมันจึงค่อย ๆ พลิกตัวขึ้นตั้งตรงในอากาศ
วินาทีต่อมา ในขณะที่ฟางชิวกำลังรู้สึกตื่นเต้น เหรียญทองแดงก็พลิกตัวขึ้นมาอีกครั้ง
“ทำได้แล้ว!” ฟางชิวมีความสุขมาก เมื่อผลลัพธ์ออกมาเป็นที่น่าพอใจ
การที่เหรียญตั้งได้ ก็หมายความว่ามันได้เอาชนะแรงโน้มถ่วงของโลกได้แล้ว
ฟางชิวปลาบปลื้มใจ เขาผ่อนแรงและยืดเส้นยืดสายร่างกาย จากนั้นก็เบนสายตาไปที่กลอนประตูหอพักทันทีพร้อมหัวใจที่เต้นแรงขึ้น
ชายหนุ่มเปลี่ยนมาเพ่งไปยังกลอนประตู
แกร๊ก…
เสียงของกลอนประตูขยับเบา ๆ
สลักของกลอนถูกเสียบเข้าอย่างช้า ๆ ภายใต้การควบคุมของฟางชิว แต่ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็หน้ามืดล้มไปบนเตียง
ห้านาทีต่อมา
“ฮ่า ๆ…” ฟางชิวค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาแล้วนอนหัวเราะอยู่บนเตียงคนเดียว
เขามีความสุขมาก แม้ว่าตอนนี้เขาจะหมดแรงแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงมากมายนัก
“ตอนนี้กี่โมงแล้ว?” ฟางชิวหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วก็พบว่าเป็นเวลาสามทุ่มแล้ว
หลังจากที่ฟางชิวทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว เขาก็กลับมาที่หอพักตอนหนึ่งทุ่มกว่า ๆ นั่นก็หมายความว่าเขาใช้เวลาในการฝึกฝนเพียงแค่สองชั่วโมงเท่านั้น
ในตอนแรกเขาต้องการจะใช้เวลาในการฝึกฝนหนึ่งคืน แต่เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาใช้เวลาแค่สองชั่วโมงเท่านั้น
ช่างเป็นความก้าวหน้าที่รวดเร็วในชั่วข้ามคืนจริง ๆ!
ฟางชิวล้มตัวนอนอีกครั้ง จากนั้นก็เริ่มบ่มเพาะ พลังปราณในร่างกายของเขาก่อตัวขึ้น แล้วไหลเวียนไปทั่วร่างกายอย่างรวดเร็ว
ครึ่งชั่วโมงต่อมา
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ฟางชิวถูกเสียงเคาะปลุกให้ตื่นจากการบ่มเพาะ
“เจ้าห้า เปิดประตูหน่อย”
“นายจะล็อกประตูทำไมเนี่ย”
ฟางชิวได้ยินเสียงของโจวเสี่ยวเทียนกับซุนฮ่าวตะโกนอยู่หน้าประตู
ทันใดนั้นฟางชิวก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองเป็นคนลงกลอนประตูเอาไว้ ชายหนุ่มจึงรีบลุกจากเตียงเพื่อเปิดประตูทันทีที่นึกขึ้นได้
แล้วทันทีที่ฟางชิวเปิดประตูให้เหล่ารูมเมต ฟางชิวก็พบว่าร่างกายของพวกเขาสามคนเต็มไปด้วยโคลน แต่สีหน้าไม่ได้เศร้าหมองเหมือนอย่างตอนแรก
“เป็นยังไงบ้าง?” ฟางชิวมองไปที่ทั้งสามคนแล้วก็ยิ้มออก “ดูว่าเหมือนพวกนายจะโดนทำโทษแทนการไถ่โทษนะ?”
“ไม่ใช่” โจวเสี่ยวเทียนรีบตอบอย่างรวดเร็ว
“พวกเราไปเรียนรู้ ใช่แล้ว พวกเราไปเรียนรู้มา!” ซุนฮ่าวพูดอย่างใจเย็น
“ก็ถือว่าไปไถ่โทษนั่นแหละ” จูเปิ่นเจิ้งเดินเข้าไปในหอพักแล้วพูดว่า “ถึงพวกเราจะถูกดุด่าอย่างหนัก แต่ก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ผู้ดูแลภูเขาเหยาหวังก็เป็นเหมือนกับที่นายบอกจริง ๆ แต่เขาไม่ได้แสดงมันออกมา”
ซุนฮ่าวกับโจวเสี่ยวเทียนก็พยักหน้าเห็นด้วย
“เจ้าห้า นายไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่นายก็ยอมช่วยเหลือพวกเรา” ซุนฮ่าวมองไปที่ฟางชิวแล้วพูดอย่างจริงใจ
“ถ้าไม่ได้นายช่วยไว้ พวกเราก็คงหาอาจารย์ที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้ว” โจวเสี่ยวเทียนพูดราวกับว่าเขาประสบความสำเร็จในการหาอาจารย์ฝึกงานของเขาแล้ว และจากนั้นเขาก็พูดกับฟางชิวว่า “เจ้าห้า ถ้านายต้องการความช่วยเหลือ ฉันจะช่วยนายเอง”
“ต้องขนาดนั้นกันเลยเหรอ” จูเปิ่นเจิ้งมองไปที่ทั้งสองคน ก่อนจะเดินตรงไปหาฟางชิวแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณมากนะ”
ฟางชิวหัวเราะออกมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
อาจจะเป็นเพราะเขาเคยชินกับความขี้เล่นของรูมเมตทั้งสาม พอมาเห็นว่าพวกเขาแสดงความซาบซึ้งออกมาโต้ง ๆ ก็รู้สึกไม่ชินขึ้นมา
“หัวเราะอะไรของนาย” โจวเสี่ยวเทียนทำหน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจ
“นาน ๆ ทีพวกเราจะมีอารมณ์อ่อนไหวแบบนี้นะ เกรงใจกันหน่อย” ซุนฮ่าวส่ายหัว
“หึ ๆ” ฟางชิวกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม “นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ดูเหมือนพวกนายจะหาอาจารย์ฝึกงานได้แล้ว ถ้าพวกนายอยากขอบคุณฉัน พวกนายก็ควรขอบคุณฉันหลังจากฝึกงานเสร็จเถอะ”
เมื่อได้ยินฟางชิวกล่าวอย่างนั้น ทั้งสามคนก็มองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมา
หลังพ้นคืนของการขอโทษและการเรียนรู้แล้ว ผู้ดูแลภูเขาเหยาหวังก็เต็มใจให้พวกเขาช่วยทำงาน หมายความว่าผู้ดูแลได้ยอมรับพวกเขาแล้ว แม้ว่าจะไม่ยอมรับอย่างเต็มที่ก็ตาม แต่อย่างน้อยก็เป็นการเริ่มต้นที่ดี
ด้วยการเริ่มต้นที่ดีอย่างนี้ ขั้นตอนต่อไปก็จะราบรื่นกว่าเดิม
หลังจากนั้น พวกเขาสามคนก็ผลัดกันไปอาบน้ำ
อาจเป็นเพราะว่าพวกเขาทำงานกันอย่างหนัก พวกเขาจึงผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก
แปดโมงเช้าของวันรุ่งขึ้น
หลังทานอาหารเช้ากับเดินไปรอบ ๆ สนามกีฬาแล้ว ฟางชิวก็ขึ้นไปนั่งบนรถของสวีเมี่ยวหลินที่ป้ายรถเมล์หน้ามหาวิทยาลัยตามเวลาที่ตกลงกันไว้
“รถของฉันเป็นไง นั่งแล้วรู้สึกสบายใช่ไหมล่ะ” ระหว่างขับรถ สวีเมี่ยวหลินก็ถามขึ้นมา
“ไม่เลวเลยครับ สบายมาก” ฟางชิวพยักหน้า
“ฉันเพิ่งซื้อมันมา” สวีเมี่ยวหลินพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนแรกฉันไม่มีเงินซื้อรถหรอก แต่พอเธอให้เงินฉันมาสามแสนหยวน ฉันก็เลยได้ซื้อสักที”
[1] การรักษาหยางต้องให้หยินช่วย หมายถึง การเกื้อกูลกันและกัน
