บทที่ 62 สู้เพื่อฝึกงาน!
บทที่ 62 สู้เพื่อฝึกงาน!
จะไม่เข้าร่วมการแข่งขัน!
คำพูดนั้นทำให้พวกเขาตกใจมากกว่าตอนที่รู้ว่าฟางชิวได้แปดสิบหกจุดห้าคะแนน ในการทำแบบทดสอบซะอีก
ในความคิดของพวกเขา นี่เป็นโอกาสที่นักศึกษาหลายคนต่างร่ำร้องหา แต่กลับมีเด็กหนึ่งบอกว่าจะไม่เข้าร่วมการแข่งขัน
คำพูดของฟางชิวทำให้ความเงียบเข้ามาปกคลุมทั้งห้องทันที
“ฟางชิว เธอพูดผิดหรือเปล่า?”
เฉียวมู่พยายามหัวเราะแห้ง ๆ เพื่อทำลายความเงียบนี้ แต่ก็ไม่วายขยิบตาให้ฟางชิว
“ผมไม่ได้พูดผิดครับ” ฟางชิวตอบพลางส่ายหน้าไปด้วย แล้วเขาก็ยังกล่าวเสริมอย่างใจเย็นอีกว่า “ผมไม่ต้องการเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้”
“ทำไมล่ะ?!” เฉียวมู่ถามอย่างไม่อยากยอมรับคำปฏิเสธของฟางชิว
ดวงตาของฉีไคเหวินกับจางซินหมิงก็ต่างจับจ้องไปที่ฟางชิวเพื่อคอยฟังคำตอบจากฟางชิว
“ผมมีคำถามสองสามข้ออยากจะถามอาจารย์ทั้งสามท่าน” ฟางชิวเอ่ย
“คำถามอะไร?” ฉีไคเหวินอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“ถ้าผมสอบได้อันดับหนึ่ง ในอนาคต ผมจะรักษาคนไข้หายเพิ่มได้อีกหนึ่งคนหรือเปล่า?”
“ถ้าผมแข่งได้อันดับที่ดี มันจะสามารถแสดงถึงศักยภาพในการสอนของมหาวิทยาลัยไหม?”
“ถ้าชัยชนะของผมอยู่เหนือมหาวิทยาลัยอื่น นั่นหมายความว่าศักยภาพในการสอนของมหาวิทยาลัยอื่นไม่ดีใช่ไหม?”
“การจัดอันดับของมหาวิทยาลัยสามารถพิสูจน์ได้ไหมว่า ในอนาคต นักศึกษาของมหาวิทยาลัยนั้นจะสามารถรักษาผู้ป่วยได้มากขึ้น”
ฟางชิวถามรวดเดียวจบ อีกทั้งยังเอ่ยถามแบบเสียงดังฟังชัดอีกด้วย
จากนั้นชายหนุ่มก็มองหน้าอาจารย์ทั้งสามคนด้วยสายตาราบเรียบ เขารู้สึกว่าในการแข่งขันมันเปลืองทรัพยากรมนุษย์และทรัพยากรอื่น ๆ
คนอื่นอาจต้องการเกียรติลวงตาแบบนี้ แต่เขาไม่ต้องการมัน!
ในสายตาของฟางชิว เกียรติยศไร้สาระพวกนี้ไม่มีค่าเท่าผู้ป่วยด้วยซ้ำ!
คนที่ถูกถามคำถามสี่ข้อติดต่อกันนั้นต่างพูดไม่ออก เพราะคิดไม่ถึงว่าฟางชิวจะถามคำถามแบบนี้ออกมา!
พวกเขาไม่สามารถตอบคำถามพวกนี้ได้ แล้วพวกเขาก็ไม่กล้าตอบด้วย!
จะตอบอย่างไรดี หรือว่าจะไม่ควรตอบดี?
นี่มันไม่เป็นการตบหน้าตัวเองเหรอ!
ควรตอบดีไหมนะ?
คำถามพวกนี้ทำให้พวกเขาละอายใจจริง ๆ!
ทันทีที่ฟางชิวเอ่ยถามคำถามขึ้นมา จางซินหมิงก็รู้สึกโล่งใจอยู่ครู่หนึ่ง เด็กคนนี้อาจเป็นหนามที่อาจทิ่งแทงฉีไคเหวินได้!
คราวนี้แกจะทำอย่างไรต่อ ฉีไคเหวิน?
ไม่ง่ายที่จะจัดการเรื่องนี้แล้วใช่ไหมล่ะ?
ความสุขบนใบหน้าของฉีไคเหวินค่อย ๆ จางหายไปก่อนที่จะกลับมานิ่งสงบเหมือนเดิม
เฉียวมู่รู้สึกละอายใจยิ่งนัก
ในฐานะอาจารย์ จิตสำนึกของเขาไม่สูงเท่านักศึกษา ยังจะกล้ามีความสุขอีก
“ถ้าผมเข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้แล้วจะได้ประโยชน์อะไร”
ฟางชิวเอ่ยถามเสียงถากถาง “เพื่อเกียรติ? เกียรติของใคร? ของผมเหรอ? แล้วผมจะเอาเกียรติไปทำอะไร”
“ขอโทษนะครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อน” พูดเสร็จ ฟางชิวก็เตรียมตัวจะลุกออกไป
ถึงนักศึกษาคนอื่นกลัวที่จะทำให้อาจารย์กับคณบดีไม่พอใจ แต่เขาไม่กลัว! เขามีศักยภาพมากพอที่จะไม่ต้องพึ่งพาใคร
“เดี๋ยวก่อน!” จู่ ๆ ฉีไคเหวินก็พูดขึ้นมา
ฟางชิวหยุดเดินแล้วหันหน้าไปมองฉีไคเหวิน
“นักศึกษาฟางชิว เธอเข้าใจผิดแล้ว”
แล้วฉีไคเหวินก็พูดต่อว่า “ยิ่งมหาวิทยาลัยของพวกเราประสบความสำเร็จมากเท่าไหร่ เงินทุนและทรัพยากรทางการศึกษาก็จะพุ่งตรงมาที่มหาวิทยาลัยของพวกเรามากขึ้น เมื่อมีทรัพยากรมากขึ้น นักศึกษาแต่ละคนจะได้รับทรัพยากรทางการศึกษามากขึ้นและการศึกษาของพวกเขาก็จะดีขึ้นตามลำดับ ในอนาคตพวกเขายังสามารถรักษาผู้ป่วยได้มากขึ้นอีกด้วย”
“แล้วรายละเอียดล่ะครับ ทรัพยากรการศึกษามีอะไรบ้าง มีการจัดสรรให้นักศึกษาแต่ละคนยังไง แล้วทรัพยากรทางการศึกษามีผลต่อการเรียนยังไง?”
ฟางชิวมองหน้าฉีไคเหวินและถามไปที่ประเด็นการจัดการทรัพยากรแทน
“เอ่อ…” ฉีไคเหวินตกตะลึงกับคำถามของฟางชิว ส่วนจางซินหมิงที่อยู่ข้าง ๆ เกือบจะหลุดขำออกมา
นี่มันโคตรตลกเลย!
คณบดีผู้สง่างามโดนนักศึกษาที่เจ้าตัวเป็นคนพาเองถามจนตอบไม่ถูก
จางซินหมิงเคยชินกับการพูดคำที่ใหญ่โตของฉีไคเหวิน เมื่อเห็นฉีไคเหวินโดนเด็กตอกหน้ากลับแบบนี้แล้ว เขาจะดูซิว่าฉีไคเหวินจะตอบอย่างไร!
ฉีไคเหวินไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
ตอนแรกฟางชิวไม่ได้ถามลึกขนาดนี้สักหน่อย
“ตอนบ่ายผมยังมีเรียน ขอตัวก่อนนะครับ” ฟางชิวยิ้มลุกขึ้นยืนอีกครั้งเพื่อจะกลับไปที่ห้องเรียน
เพราะลังเลของคณบดี ทำให้ฟางชิวดูออกว่าเขากำลังโกหก
พูดหลอกลวงเพราะกลัวความจริง แล้วยิ่งถามลงลึกมากเท่าไรความจริงของคำโกหกก็จะยิ่งเผยออกมา
“อย่าเพิ่งไป!” ฉีไคเหวินหยุดฟางชิวเอาไว้แล้วถามว่า
“นักศึกษาฟางชิว เธอคิดยังไงกับเรื่องตัวแทน หรือต้องการอะไร เธอควรรู้ว่าการแข่งขันครั้งนี้สำคัญมาก ไม่ควรเอามาล้อเล่นแบบนี้เลย” เมื่อคณบดีพูดอย่างนั้นกะทันหัน ทำให้ทั้งจางซินหมิงและเฉียวมู่รู้สึกประหลาดใจ
คณบดีมหาวิทยาลัยผู้สง่างามกำลังเจรจาเงื่อนไขกับนักศึกษา
นี่มันไม่ใช่การเจรจาแล้ว นี่มันเป็นการขอร้องฟางชิวมากกว่า
จางซินหมิงถอนหายใจออกมาเมื่อเห็นฉีไคเหวินกำลังเผชิญหน้ากับความยากลำบากเพราะนักศึกษาแค่คนเดียว
เดิมทีเฉียวมู่กับจางซินหมิงคิดว่า ฟางชิวไม่ได้มีความคิดหรือความต้องการเจรจาต่อรองอะไร ดูจากบุคลิกของเขา จะไม่อยากเข้าร่วมการแข่งขันก็ไม่แปลก
ฟางชิวหยุดฝีเท้าอย่างฉับพลันแล้วหันไปมองหน้าฉีไคเหวินอย่างจริงจัง
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มเล็กน้อย “ผมมีข้อต่อรอง ถ้าทางมหาวิทยาลัยเห็นด้วย ผมก็จะเข้าร่วมการแข่ง”
เขามีข้อต่อรองจริง ๆ และความคิดนี้วนเวียนอยู่ในหัวของเขามาหลายวันแล้ว จนถึงตอนนี้ยังแก้ไขมันไม่ได้เลย
เมื่อได้ยินแบบนั้นเฉียวมู่ก็เบิกตากว้าง
เด็กนี่มันกล้าต่อรองกับคณบดี! เป็นแค่นักศึกษา แต่ก็กล้าต่อรองกับคณบดีแล้ว กล้าหาญจริง ๆ
“บอกมาได้เลย!” ฉีไคเหวินยิ้ม
ใครก็ตามที่มีความทะเยอทะยานสูง พวกเขาเหล่าก็มักจะมีความคิดเป็นของตัวเองอยู่เสมอ
แน่นอนว่าฉีไคเหวินเดาออก
เขาไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับความคิดของฟางชิว เขาแค่อยากจะรู้สิ่งที่เด็กคนนี้คิดก็เท่านั้นเอง
จางซินหมิงมองไปที่ฟางชิว สายตาฉายแววดูถูกเหยียดหยามออกมา
เด็กคนนี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ดูซิว่าจะหยิ่งผยองได้อีกแค่ไหน
“ผมคิดว่าวิธีการเรียนของนักศึกษามหาวิทยาลัยเรามีปัญหา จะเรียกได้ว่าไม่สมบูรณ์ก็ได้!” ฟางชิวกล่าว
ในสายตาของทั้งสามคนนั้น ประโยคนี้ไม่ได้ทำให้โลกแตกเลยแม้แต่น้อย
แต่การที่เด็กปีหนึ่งกล้าพูดถึงวิธีการเรียน
ล้อเล่นหรือเปล่าเนี่ย
“นักศึกษาแค่นั่งในห้องเรียนและได้เรียนรู้การแพทย์แผนจีนทุกประเภทโดยไม่ได้ฝึกปฏิบัติ ผมรู้ว่าช่วงต้นปีของปีที่สาม นักศึกษาจะถูกจัดให้เข้าโรงพยาบาลเพื่อฝึกงาน แล้วผมรู้เกี่ยวกับการฝึกงานนั้นด้วย ส่วนมากจะให้แยกประวัติคนไข้ เปลี่ยนเคส มีโอกาสได้ลงมือรักษาจริง ๆ น้อยมาก” เมื่อฟางชิวพูดอย่างนี้ เขาก็นึกถึงเฉาเจ๋อทันที
การฝึกงานของนักศึกษาระดับปริญญาโทในโรงพยาบาลนั้นมีงานให้ทำมากกว่าปริญญาตรีเยอะเลย
บางทีมันอาจจะดีขึ้นก็ได้หลังจากที่เรียนจบออกมาแล้ว แต่มันจะดีกว่าไหมถ้าได้ฝึกปฏิบัติจริงกับคนไข้เลย
มันจะเป็นการขาดความรับผิดชอบต่อคนไข้หรือเปล่า?
“สิ่งสำคัญที่สุดของแพทย์แผนจีนจะเป็นเรื่องประสบการณ์มากกว่า แม้ว่าสมัยนี้หลายคนอาจจะวิจารณ์แพทย์แผนจีนในด้านลบก็เถอะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าประสบการณ์มาจากการปฏิบัติ และบางครั้งมันก็ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์เป๊ะ ๆ!”
ทันทีที่ฟางชิวคำพูดเหล่านี้ออกมา อาจารย์ทั้งสามที่อยู่ในห้องก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมและเห็นด้วย
สมกับเป็นนักศึกษาแพทย์แผนจีนจริง ๆ
“ประสบการณ์ไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้ช่วงเวลาสั้น ๆ แพทย์แผนจีนจึงต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะได้รับประสบการณ์อันล้ำค่า และนี่ก็เป็นผลพวงมาจากการลองผิดลองถูกกับคนไข้จำนวนมาก และยังต้องใช้ทั้งเงินและเวลา”
“ผมก็เลยคิดว่านักศึกษาแพทย์แผนจีนควรเริ่มฝึกงานตั้งแต่ปีหนึ่งเลย!” ในที่สุดฟางชิวก็แสดงเป้าหมายของเขาออกมา
นี่คือภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกในตอนที่เขาเรียนด้วยตัวเอง
ปัญหาบางอย่างแก้ไม่ได้ด้วยหนังสือเพียงเล่มเดียว ต้องลงมือปฏิบัติจริงถึงจะรู้วิธีแก้ปัญหา
ดังนั้นเขาจึงนึกถึงการฝึกงาน และเขาก็นึกถึงนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยด้วย
ฝึกงาน?
ฉีไคเหวิน จางซินหมิงและเฉียวมู่ต่างมองฟางชิวด้วยความประหลาดใจ
คุยมาถึงประเด็นนี้ได้อย่างไรกัน
นักศึกษาอยากฝึกงาน?
ฟางชิวได้คำนวณเกี่ยวกับปัญหานี้มาแล้ว
“มีอาจารย์เกษียณในมหาวิทยาลัยของเราหลายท่าน คนเหล่านี้อาจจะไม่มีแรงบันดาลในการทำอย่างอื่นอีกเพราะเป็นอาจารย์มาตลอดชีวิต พวกเขามีประสบการณ์และความรู้ ที่สำคัญที่สุดคือการให้พวกเขามาอบรมต่างหาก ผมเชื่อว่าพวกเขาจะมีความสุขมากที่จะได้มาสั่งสอนนักศึกษาและเล่าประสบการณ์ทางการแพทย์ให้คนรุ่นหลังฟัง”
แล้วฟางชิวก็พูดถึงอาจารย์ที่เกษียณไปแล้วทีละคน
ชายหนุ่มรู้จักอาจารย์เหล่านี้ ทุกคนสอนนักศึกษาไปด้วยและรักษาคนไข้ในโรงพยาบาลไปด้วยเลยทำให้ของพวกเขามีประสบการณ์มากมาย
ไม่ได้เป็นแค่อาจารย์แก่ ๆ คนหนึ่ง
นอกจากนี้ ก็ยังมีอาจารย์ที่ยังไม่เกษียณอยู่หลายท่าน พวกเขาสามารถพานักศึกษาไปฝึกงานที่โรงพยาบาลได้
แม้ว่าจะมีเวลาไม่พอ แต่พอนักศึกษาได้ฝึกงานแล้ว พวกเขาก็จะมีแรงจูงใจขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ
ยิ่งกว่านั้นในการฝึกงาน ถ้าอาจารย์ไม่สนใจสอนละก็ ยามที่เห็นอาจารย์ท่านอื่นตั้งใจสั่งสอนนักศึกษาตัวเองแล้ว อาจารย์เหล่านั้นคงจะรู้สึกขายหน้าไม่น้อย
การพานักศึกษาไปฝึกงานนี้สามารถรวมไว้ในการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการสอนของอาจารย์ได้
แน่นอนว่าสิ่งนี้ฟางชิวไม่ได้พูดออกมา
แต่เขาเชื่อว่าคณบดีสามารถเข้าใจได้
หลังจากฟังเงื่อนไขของฟางชิวแล้ว ดวงตาของฉีไคเหวินกับจางซินหมิงก็วาบประกายขึ้นทันที!
ไม่จำเป็นต้องให้ฟางชิวอธิบายมากกว่านี้ พวกเขาก็ได้เข้าใจทั้งหมดแล้ว
ไม่เพียงแต่นักศึกษาสามารถฝึกงานกับอาจารย์เท่านั้น แต่อาจารย์ยังสามารถฝึกงานกับอาจารย์ได้อีกด้วย
แล้วไม่ใช่แค่นักศึกษาสามารถฝึกงานกับอาจารย์ที่เกษียณแล้ว แต่ยังเป็นการรวบรวมผู้เชี่ยวชาญนอกมหาวิทยาลัยเอาไว้ด้วย!
ตราบใดที่มหาวิทยาลัยได้รับการส่งเสริมนโยบายนี้ รูปแบบของมหาวิทยาลัยจะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
มันจะกลายเป็นยุคของความสำเร็จและเฟื่องฟู แล้วทุกคนจะตั้งใจเรียนจนสุดกำลัง!
สุดท้ายจะเป็นความสำเร็จที่แท้จริง!
เฉียวมู่ยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ฉีไคเหวินกับจางซินหมิงเข้าใจทั้งหมดแล้ว
พวกเขาต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะเป็นผู้นำ สิ่งที่ต้องทำก็คือการแสดงความสามารถ!
ตราบใดที่ผลงานของคุณประสบความสำเร็จ คุณก็จะได้เลื่อนตำแหน่งได้เป็นระดับคณบดี พวกเขาหวังจะได้ตำแหน่งที่สูงกว่านั้นอีก
กระนั้นความสำเร็จก็มักจะมาพร้อมกับความเสี่ยง
เรื่องนี้เสี่ยงไหม? แน่นอนว่าไม่เลย!
อาจารย์มีหน้าที่สั่งสอนลูกศิษย์เพื่อให้พัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ให้พัฒนาในทางที่แย่ลง
ความยากอยู่ที่อาจารย์เฒ่าที่เกษียณไปแล้ว พวกเขายังต้องการสอนอยู่อีกไหม?
แต่ถ้าอาจารย์เฒ่าเหล่านี้ยังมีไฟในการสอนอยู่จริง ๆ ปัญหาทั้งหมดจะไม่ยากเลย!
ฉีไคเหวินกับจางซินหมิงมองไปที่ฟางชิว
นี่เป็นความคิดดี ๆ ที่พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลย แล้วเจ้าของความคิดนี้ก็เป็นแค่นักศึกษาคนหนึ่ง
เด็กผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา!
“คณบดี ผมคิดว่าข้อเสนอของฟางชิวดีมาก ปล่อยให้ผมจัดการเรื่องนี้เองเถอะ!” จางซินหมิงกล่าวอย่างรวดเร็ว
“รองคณบดีจาง ผมรู้ว่าคุณยุ่งมาก ผมทำเองดีกว่า” ฉีไค่เหวินรีบปฏิเสธทันที
“ไม่ยุ่ง ผมไม่ได้ยุ่งเหมือนคุณ คุณมีเวลาอีกมากในการจัดการเรื่องอื่น ไหนจะการแข่งขันที่คุณต้องรับผิดชอบอีก ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง” จางซินหมิงโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้
“การรับผิดชอบงานแข่งขันไม่ใช่หน้าที่คุณเหรอ รายชื่อตัวแทนทั้งหมดคุณก็ยังต้องเป็นคนจัดการเองเลย” ฉีไคเหวินเอ่ยถาม
“พูดถึงรายชื่อแล้ว ผมก็นึกถึงนักศึกษาฟางชิว ดูเหมือนว่าผมจะเพิกเฉยในเรื่องนี้ไปหน่อย ผมเป็นคนดูแลการแข่งขันน่ะดีแล้ว ส่วนผมจะดูแลการฝึกงานของนักศึกษาเอง” จางซินหมิงกล่าว
“ได้ที่ไหนกัน ในฐานะคณบดี มันเป็นหน้าที่ของผมสิ”
“ในฐานะรองคณบดี ผมก็ควรช่วยคณบดีดูแลเรื่องต่าง ๆ ฉะนั้นให้ผมจะทำเถอะ”
…
เฉียวมู่ตกตะลึงเมื่อเห็นคณบดีกับรองคณบดีเถียงกันจนคอเป็นเอ็น
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ทำไมจู่ ๆ ถึงทะเลาะกันล่ะ?
ที่ผ่านมาก็เลี่ยง ๆ กันอยู่เพราะกลัวจะมีปัญหา แล้วทำไมคราวนี้พวกคุณถึงไม่กลัวแล้วล่ะ?
