บทที่ 87 เด็กคนนั้นเป็นเทพแห่งขุนเขา?
บทที่ 87 เด็กคนนั้นเป็นเทพแห่งขุนเขา?
ชายหนุ่มบนเปลหามหน้าซีดมาก และที่หน้าผากของเขาก็เต็มไปด้วยเหงื่อ ดูแล้วน่าจะทรมานมาก
“รู้สึกยังไงบ้างครับ?” ฟางชิวถามด้วยความเป็นห่วง
“มึนหัว หงุดหงิด อยากจะอ้วก” ชายคนนั้นพยายามเอ่ยออกเสียง
“เจ็บไหมครับ?” ฟางชิวถามอีกครั้ง
“เจ็บ แต่ตอนนี้ฉันมึนหัว มึนหัวจนอยากจะอ้วก” เมื่อได้ยินอย่างนั้น ฟางชิวก็หันไปถามกลุ่มนักเดินป่าทันที “มีน้ำตาลไหมครับ เอาน้ำร้อนใส่น้ำตาลให้เขาดื่ม น่าจะทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากกว่านี้”
“มี!” มีคนตอบขึ้นมาทันที
ฟางชิวพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปในป่าใกล้ ๆ เพื่อหาท่อนไม้
สมาชิกของกลุ่มนักเดินป่าคนหนึ่งนำน้ำร้อนและน้ำตาลออกมาทันที เขาเอาน้ำร้อนใส่น้ำตาลหนึ่งแก้วให้กับผู้บาดเจ็บ แล้วคนเจ็บก็จิบน้ำแก้วนั้นไปสองสามจิบ
“เป็นไงบ้าง?” ฟางชิวกลับมาพร้อมกับหวายและท่อนไม้สั้นในมือ
“สบายขึ้นเยอะเลยครับ” คนเจ็บตอบฟางชิวอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นก็ถือน้ำแก้วนั้นเอาไว้ แล้วค่อย ๆ จิบไปเรื่อย ๆ
ฟางชิวยิ้มออกมาเล็กน้อย เขาวางมือบนบาดแผลของคนเจ็บเพื่อใช้สัมผัสสัมบูรณ์
ภาพปรากฏขึ้นในหัวของเขาทันที
“เจ็บไหมครับตอนนี้?” ฟางชิวถาม
“ก็ไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่หรอก แต่ถ้าเธอแตะโดนแผลละก็ มันก็จะรู้สึกเจ็บกับรำคาญนิดหน่อย” คนเจ็บพูดไม่ทันจบ
ฟางชิวก็ขยับมือทันที!
คลิก!
เสียงคมชัดดังก้องไปทั่วป่าอันเงียบสงบทันที
ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ ต่างตกตะลึง ทันทีได้สติกลับมา ทุกคนก็เข้าไปรุมล้อมคนเจ็บด้วยความกระวนกระวายใจ
“เกิดอะไรขึ้น?”
“เธอกำลังทำอะไรน่ะ?”
“ขาเขาเจ็บยังจะกดขาเขาอีก มีมนุษยธรรมบ้างไหม” สมาชิกของกลุ่มนักเดินป่าจ้องไปที่ฟางชิวแล้วถามด้วยความไม่พอใจ
เพราะความกังวล พวกเขาเลยลืมไปว่าชายที่อยู่ตรงหน้าสามารถไล่หมาป่าไปได้!
ขนาดหมาป่ายังกลัวชายหนุ่มคนนี้!
“ไม่เป็นไรแล้วครับ!” ฟางชิวเพิกเฉยต่อเสียงก่นด่ารอบตัวแล้วหันไปพูดกับคนเจ็บด้วยน้ำเสียงที่จริงใจว่า “ขาของคุณหัก ผมเพิ่งจัดกระดูกให้คุณ และตอนนี้ผมก็จะช่วยผ้าพันแผลให้ด้วย ภายในหนึ่งเดือนนี้คุณห้ามล้มเด็ดขาด และอย่าออกแรงภายในสามเดือนนะครับ”
ระหว่างที่พูด ฟางชิวก็หยิบไม้ท่อนสั้นและหวายที่เพิ่งเจอมามัดขาของคนเจ็บจนแน่น
ฉากนี้ทำให้สมาชิกของกลุ่มนักเดินป่าที่เพิ่งก่นด่าฟางชิวไปเมื่อครู่ตกตะลึง
“ไม่เป็นไรแล้วเหรอ?”
“เธอจัดกระดูกของเขาได้เหรอ?”
“คงไม่จัดกระดูกให้เขาผิดตำแหน่งหรอกนะ?”
“เป็นยังไงบ้าง อาการดีขึ้นไหม”
“ยังทรมานอยู่ไหม”
ขณะที่เอ่ยถามฟางชิว สมาชิกของกลุ่มนักเดินป่าก็มองคนเจ็บด้วยความกังวล
“ดูเหมือนจะไม่เจ็บแล้วนะ ฉันไม่รู้สึกรำคาญ แล้วก็ไม่มึนหัวเท่าตอนที่เขากดเมื่อกี้” คนเจ็บพูดด้วยความประหลาดใจ
ทุกคนต่างรู้สึกอึ้ง
เด็กคนนี้รักษาให้หายเป็นปกติได้จริงหรือ?
“ดีแล้ว” หลังจากผูกมัดหวายอย่างระมัดระวัง ฟางชิวก็เตือนอีกครั้ง “ถ้าคุณอยากหายเร็ว ๆ ก็จำสิ่งที่ผมพูดเมื่อกี้นี้ไว้ บนภูเขานี้มีสัตว์ร้ายมากมาย พวกคุณรีบลงจากภูเขาซะ เดี๋ยวผมจะไปไล่หมาป่าตัวนั้นให้เอง” ฟางชิวพูดยิ้ม ๆ
ท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงของทุกคน ฟางชิวก็รีบเดินออกจากตรงนั้นเพื่อไล่ตามหมาป่าที่หนีไปแล้วหายตัวไปต่อหน้าต่อตาทุกคนอย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณนะ!” คนเจ็บบนเปลหามก็ตะโกนไล่หลังฟางชิวไป
จากนั้นสมาชิกคนอื่น ๆ ของนักเดินป่าก็ได้สติกลับมาในบัดดล
“นี่… นี่สรุปแล้วเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่?” หัวหน้ากลุ่มถามด้วยความสับสน
“เขาเป็นหมอเหรอ? ว่าแต่มีหมอที่ยังหนุ่มขนาดนี้ด้วยเหรอ?” ชายคนหนึ่งที่หามเปลอยู่เอ่ยถามขึ้น
“เขาจากไปยังไง พวกเธอเห็นชัดกันไหม” ผู้หญิงนัยน์ตาแดงก่ำจากการร้องไห้คนหนึ่ง หันซ้ายหันขวาเพื่อมองไปรอบ ๆ แล้วเอ่ยถามระหว่างที่มองหาร่างของฟางชิวไปด้วย
“เหมือนว่าจะไม่เห็นนะ” ผู้หญิงอีกคนตอบ
“เด็กคนนั้นเป็นใครกัน” สมาชิกของกลุ่มนักเดินป่าถามด้วยความสงสัย
“เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรนะ?” หัวหน้ากลุ่มเอ่ยถามทุกคน
“เขาบอกว่ามีสัตว์ร้ายมากมายบนภูเขานี้ แต่เขาจะช่วยพวกเราไล่พวกมันไป ส่วนพวกเราก็ควรรีบลงจากเขาซะ” ชายที่ถูกหามเปลอยู่ตอบออกมา
“ไล่หมาป่าคนเดียวเนี่ยนะ?” หัวหน้ากลุ่มเอ่ยถามอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา
ไล่หมาป่าให้ไปไกลกว่าเดิม?
ไล่หมาป่าได้แล้ว ยังจะไล่ให้มันไปไกล ๆ อีก…
คิดได้ดังนั้น ใบหน้าของแต่ละคนก็แสดงความสงสัยออกมา
เมื่อนึกถึงปฏิกิริยาของหมาป่าตอนที่ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นก่อนหน้านี้แล้ว ทุกคนก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก
“แต่เขาไม่มีอุปกรณ์นี่?” ผู้หญิงคนหนึ่งกล่าว
“ตอนนี้ฉันสงสัยว่าเขาเป็นมนุษย์หรือเปล่า” ชายอีกคนที่หามเปลอยู่เอ่ยถาม
คำถามนี้ทำให้ทุกคนเงียบสงบลง เพราะไม่มีใครสามารถตอบคำถามนี้ได้
“ไม่ใช่ว่าพวกเราเจอกับเทพแห่งขุนเขาเหรอ?” หัวหน้ากลุ่มตอบตามความรู้สึกของตัวเอง “ไม่งั้นเขาจะมาที่นี่โดยบังเอิญได้ยังไง แถมยังช่วยจัดกระดูกให้คนเจ็บอีก?”
“เขาทำให้หมาป่ากลัวได้”
“เพราะงั้นเขาจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจากเทพแห่งขุนเขา!”
เมื่อทุกคนในกลุ่มคิดตามหัวหน้ากลุ่ม สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปทันที
เฮ้ย!
เป็นเทพแห่งขุนเขาจริง ๆ น่ะหรือ?
“ในป่าลึกอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาจะเข้ามาที่นี่ได้อย่างปลอดภัย สมาชิกทุกคนของพวกเราต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อมาที่นี่ พวกเราขนอุปกรณ์มาเพียบ แต่พอพวกเราเจอหมาป่าก็ไม่รู้จะจัดการมันยังไงแล้ว ภูเขาลูกนี้มีสัตว์ป่ามากมาย เขาจะมาที่นี่คนเดียวได้ไง”
หัวหน้ากลุ่มยังคงวิเคราะห์ต่อไป หลังจากการวิเคราะห์ของเขา คนในกลุ่มก็ยิ่งรู้สึกว่าตนได้พบกับเทพแห่งขุนเขาจริง ๆ
“รีบลงจากเขากันเถอะ อย่าอยู่บนภูเขาลูกนี้อีกเลย ถ้าพวกเราเจอหมาป่าตัวอื่นอีก มันจะอันตรายมากนะ” ผู้หญิงคนหนึ่งกล่าว
ทุกคนจึงพยักหน้าเห็นด้วยแล้วเตรียมตัวลงจากภูเขาทันที
ทางด้านของฟางชิวนั้น
เมื่อชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอของหมาป่า เขาก็ไล่ตามมันไปอย่างรวดเร็ว
ความจริงเขาก็ไม่อยากไล่มันไปหรอก แต่ถ้าหมาป่าตัวนี้ไล่ตามกลุ่มของนักเดินป่าอีก มันจะทำให้เกิดผลร้ายตามมา ในเมื่อช่วยเหลือคนพวกนั้นไปแล้วครั้งหนึ่งก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุดสิ
แล้วทำไมหมาป่าถึงกลัวเขาน่ะเหรอ เหตุผลมันง่ายมาก
ก่อนหน้านี้ในระยะไกล ฟางชิวมองเห็นการเผชิญหน้าระหว่างหมาป่ากับกลุ่มนักเดินป่า
เขารวบรวมปราณภายใน จากนั้นจึงปล่อยพลังปราณของตัวเองออกมา ด้วยพลังปราณทั่วร่างกาย ทำให้พลังปราณที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายของเขาอย่างล้นหลาม และหมาป่าก็เป็นสัตว์ป่า มันมีสัญชาตญาณป้องกันอันตรายอยู่ เพราะว่ามันอาศัยอยู่ในภูเขาและป่าแห่งนี้ตลอดทั้งปี
ดังนั้น เมื่อมันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของฟางชิว หมาป่าก็รู้ทันทีว่ามันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา และมันก็สัมผัสได้ถึงไอสังหารจากร่างของฟางชิว มันเลยกลัวมากจนวิ่งหนีไป!
การล่าสัตว์เป็นสัญชาตญาณของหมาป่า และการหลบหนีก็เป็นสัญชาตญาณของมันเช่นกัน
ด้วยความแข็งแกร่งของฟางชิว การฆ่าหมาป่าถือเป็นเรื่องง่ายมาก แต่เขาก็ไม่ได้ทำ เขาใช้แค่ใช้กลิ่นอายเพื่อทำให้หมาป่ากลัว
ฟางชิวรู้ว่าหมาป่าเป็นสัตว์คุ้มครองของประเทศ
เขาไม่สามารถฆ่าสัตว์ชนิดนี้ได้ และเขาก็ไม่กล้าที่จะฆ่ามันเหมือนกัน
ฟางชิวตามกลิ่นอายของหมาป่าได้ทันอย่างรวดเร็ว
“บรู้วว~” เมื่อเห็นฟางชิวไล่ตามมา หมาป่าก็คำรามราวกับกำลังบ่นว่า ทำไมเป็นแกอีกแล้ว!
จากนั้นหมาป่าก็กระโจนตรงไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
ฟางชิวยิ้มเมื่อเห็นอย่างนั้น และเขาก็ตามมันต่อไปทันที
หลังจากไล่ล่าไปประมาณสิบหกกิโลเมตร หมาป่าก็ยังวิ่งไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิต
จริง ๆ แล้ว ฟางชิวไม่ได้ตั้งใจที่จะไล่หมาป่าออกไปไกลขนาดนั้น แค่สิบหกกิโลเมตรก็ห่างไกลจากกลุ่มนักเดินป่าแล้ว
และต่อให้หมาป่าตัวนี้อยากจะกลับไปไล่ตามกลุ่มนักเดินป่าละก็ มันก็คงจะไล่ตามไม่ทันแน่นอน ฉะนั้น กลุ่มนักเดินป่าก็น่าจะปลอดภัยจากมันแล้ว
ความคิดที่จะไล่ตามหมาป่าต่อของฟางชิวได้หายไปนานแล้ว แต่หมาป่ากลับดื้อรั้นและไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนทิศทางในการวิ่งอย่างไร มันจึงวิ่งไปทางตะวันออกอย่างเอาเป็นเอาตาย ฟางชิวเห็นแล้วได้แต่หัวเราะ
อย่างไรซะ หมาป่าไม่เข้าใจคำพูดของมนุษย์และฟางชิวก็ไม่สนใจที่จะไล่ให้มันไปอีกทางหนึ่ง เขาจึงปล่อยให้มันวิ่งต่อไป
ห่างออกไปอีกสิบหกกิโลเมตร ฟางชิวก็ยังคงไล่ตามหมาป่าอยู่
“บรู้วว…”
ฉับพลัน หมาป่าที่วิ่งมาตลอดทางก็หยุดกะทันหันและคำรามออกมา
“หืม?” ฟางชิวจึงหยุดวิ่งและมองไปข้างหน้าอย่างสงสัย
จากนั้น เจ้าหมาป่าก็หันกลับมามองฟางชิวอย่างระแวง ก่อนที่หันกลับไปมองป่าลึกที่อยู่ตรงหน้าอีกรอบ มันดูรีบร้อน แต่มันก็ไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้าอีก ประหนึ่งว่าในป่าลึกข้างหน้ามีบางสิ่งบางอย่างที่น่ากลัวอยู่
“อะไร?”
เมื่อเห็นว่าหมาป่าไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า แต่มันก็ไม่กล้าถอยกลับ และหันกลับมามองเขาด้วยความตื่นตระหนก ฟางชิวขมวดคิ้วแล้วถามด้วยความสงสัยทันที
ป่าลึกที่อยู่ข้างหน้านั้นใกล้เคียงกับตำแหน่งที่ตาเฒ่าเคยบอกมาก แต่ฟางชิวรู้สึกได้ชัดเจนว่าไม่มีกลิ่นเลือดหรือซากศพจากป่าลึกข้างหน้า ที่นั่นไม่น่าจะใช่ที่ที่มักพบกระดูกของสัตว์ป่า
แต่ทำไมหมาป่าถึงไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าต่อล่ะ?
ด้วยความสงสัย ฟางชิวจึงก้าวเดินต่อไป ในขณะที่มองดูรอบ ๆ ไปด้วย
พอเขาก้าวไปข้างหน้าหมาป่าก็ยิ่งร้อนรนมากกว่าเดิม
“กรร…!” หมาป่าตัวนั้นหมุนตัวไปมาไม่หยุดและคำรามใส่ฟางชิวทุกครั้งที่มันหันหลังกลับมามอง มันดูตื่นตระหนกและตื่นตัวอย่างยิ่ง
ฟางชิวเพิกเฉยต่อหมาป่าที่กำลังตื่นกลัว เขาหรี่ตาลงแล้วมองเข้าไปในส่วนลึกของป่าข้างหน้าอย่างจริงจัง
ในส่วนลึกของป่ากลับมีควันหนาทึบ
“ไฟไหม้เหรอ?” เมื่อมองไปที่บริเวณที่มีควันหนาทึบ ฟางชิวก็ตกใจ
แค่พริบตาเขาก็ปรากฏตัวขึ้นด้านข้างหมาป่า จากนั้นก็ใช้มือฟาดที่หัวของหมาป่าเพื่อให้มันสลบก่อนจะเอาไปวางในพุ่มไม้ที่ค่อนข้างปลอดภัย
ตอนนี้เขาไม่มีเวลาจัดการกับหมาป่า ดังนั้นเขาจึงกำจัดตัวอันตรายนี้ชั่วคราว แล้วค่อยไปจัดการควันไฟข้างหน้าด้วยตัวเขาเอง!
ระหว่างที่เดินเขาก็รวบรวมพลังปราณไปด้วย ทำให้ตอนนี้ร่างกายของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังปราณ
เขาจึงรีบตรงไปที่ต้นตอของควันทันที!
เมื่อเขามาถึงตำแหน่งที่ควันหนาทึบลอยขึ้นฟ้า เขาก็ไม่เห็นกองไฟ แต่สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าเขาคือกระท่อมที่สร้างขึ้นตรงเชิงเขา และกระท่อมที่มุงจากใบจาก
ด้านหน้าของกระท่อมที่มุงจากใบจากหลังนี้มีแปลงผักเล็ก ๆ อยู่
“มีคนอยู่ที่นี่?” ฟางชิวรู้สึกประหลาดใจ
จะมีคนที่สามารถอาศัยอยู่ในภูเขาลึกและป่าไม้นี้ได้อย่างไร
และทำไมหมาป่าถึงกลัวที่นี่?
มีปรมาจารย์อยู่ที่นี่หรือ?
ยามที่มองดูดี ๆ แล้วก็พบว่าควันหนาทึบนี้ลอยขึ้นมาจากปล่องไฟบนกระท่อม
เห็นได้ชัดว่ามีคนจุดไฟเผาบ้านตัวเอง
ฟางชิวสัมผัสกระเป๋าเป้ที่หลังของเขา แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าเขาดื่มน้ำไปเกือบหมดแล้ว เนื่องจากมีคนอยู่ที่นี่ เขาจึงมีข้ออ้างที่จะขอน้ำหนึ่งแก้วได้
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฟางชิวก็ก้าวเดินตรงออกจากป่าไป จากนั้นไปที่ด้านหน้าของกระท่อม
“มีใครอยู่ไหมครับ” ฟางชิวถามเสียงดังขณะยืนอยู่ในลานบ้าน
เขาไม่สามารถบุกรุกบ้านคนอื่นโดยพลการได้
ทันใดนั้น ชายชราที่มีประมาณอายุเจ็ดสิบปีก็เดินออกจากกระท่อม เขามองฟางชิวด้วยความประหลาดใจ
ฟางชิวมุ่งความสนใจไปที่ชายชราทันที แต่แล้วดวงตาของเขาทั้งสองข้างก็เกิดความสั่นไหว
เพราะเขาสัมผัสไม่ได้ถึงพลังปราณภายในของชายชราตรงหน้า!
