บทที่ 96 อดีตที่สวยงาม!
บทที่ 96 อดีตที่สวยงาม!
“เนื้อเพลงดูเหมือนไม่ค่อยจะเข้ากับชื่อเลยนะ” ฟางชิวพูดขึ้นมาหลังร้องเพลงจบ พร้อมกับเอามือไปถูจมูกของตัวเองอย่างทำตัวไม่ถูก
“ใครบอกว่าไม่เข้ากัน?” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยหันหลัง กระโดดขึ้นไปบนทางเท้าอย่างรวดเร็ว เธอหันมาพูดกับฟางชิวว่า “ฉันว่ามันเข้ากันจะตาย!”
ฟางชิวได้แต่หัวเราะ เขารู้สึกเหมือนถูกหลอก เพราะเพลงนี้ฟังดูแล้วไม่ใช่ความทรงจำในสมัยเรียน แต่เป็นความทรงจำของความรักในสมัยเรียนต่างหาก พูดได้เลยว่าเป็นเพลงสารภาพรักด้วยซ้ำ
“พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาสามปีแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ฉันเพิ่งจะรู้ว่านายร้องเพลงได้เพราะแค่ไหน สมัยม.ปลายนายก็เรียนเก่งมากอยู่แล้ว นายน่ะซ่อนความสามารถเอาไว้ตลอดนั่นแหละ!”
เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยหยุดกระโดดหลังจากกระโดดไปหลายครั้ง เธอหันไปมองฟางชิวจากระยะสามเมตร “ถ้าฉันรู้มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ว่านายร้องเพลงได้เพราะขนาดนี้ ฉันจะให้นายร้องเพลงให้ฉันฟังทุกวันเลย”
“ทำไมตัวฉันเองยังไม่เห็นรู้เรื่องเลย” ฟางชิวพูดติดตลก
“พอคิดดูแล้วก็คิดถึงตอนม.ปลายจริง ๆ นะ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยนั่งลงบนพื้นหญ้าข้างสนามกีฬาแล้วนึกถึงอดีตไปด้วย จากนั้นเธอก็กล่าวต่อว่า “ในตอนนั้นพวกเราอยู่ห้องเดียวกัน เรียนด้วยกันทุกวัน ตอนหลังเลิกเรียน พวกนายก็จะเอาแต่เล่นกันในห้องเรียน เห็นแล้วรู้สึกดีมากเลยล่ะ เทียบกับชีวิตในมหาวิทยาลัยที่น่าเบื่อตอนนี้แล้ว มันก็ดีกว่าตั้งหลายเท่า”
“มันก็ใช่” ฟางชิวพยักหน้าขณะที่เขานั่งลงข้าง ๆ เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยแล้วเอ่ยต่อ “แต่พวกเราไม่สามารถคิดถึงสมัยม.ปลายได้ตลอดไป”
“นายจำรุ่นพี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่กลับไปเป็นน้องใหม่อีกครั้งในโรงเรียนของพวกเราได้ไหม? เธอต้องเรียนตั้งหกปี กว่าจะไปเข้ามหาวิทยาลัยได้” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเอ่ยถามขึ้นมา
“จำได้สิ” ฟางชิวพยักหน้าและรู้สึกเห็นใจรุ่นพี่ผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า “รุ่นพี่เป็นคนที่ขยันที่สุดในโรงเรียนของพวกเรา เธอก็เป็นคนแรกที่มาถึงห้องเรียนและเป็นคนสุดท้ายที่ออกจากห้องเสมอ น่าเสียดายที่รุ่นพี่หัวไม่ค่อยดี จึงทำให้เวลาสอบออกมาได้เกรดน้อย แต่ไม่ใช่ว่าเธอช่วยรุ่นพี่ติวหนังสือหรอกเหรอ?”
“ใช่ ๆ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยตอบพร้อมกับพยักหน้า “ทุกวันหลังเลิกเรียน ตอนที่ฉันทำการบ้านในห้องเรียนกับนายเสร็จแล้ว ฉันก็จะไปติวหนังสือให้รุ่นพี่ โชคดีที่ความฝันในการเข้ามหาวิทยาลัยของรุ่นพี่เป็นจริงในที่สุด”
“ถือว่าเธอได้ทำภารกิจอันใหญ่หลวงแล้ว” ฟางชิวพูดชมด้วยรอยยิ้ม แต่เขาก็ไม่ได้บอกใครว่าความจริงแล้วเขาได้แอบช่วยปรับจูนเส้นประสาทให้รุ่นพี่ผู้หญิงคนนั้นอยู่เสมอ
“ฉันอดหัวเราะไม่ได้ทุกทีเวลาพวกเราพูดถึงเรื่องนี้” แล้วฟางชิวก็พูดต่อ “พวกเราจะทำการบ้านอยู่ในห้องเรียนทุกวัน พอไปกินอาหารที่โรงอาหาร คนงานที่นั่นก็ทำความสะอาดกันแล้ว เหลือแค่พวกเราสองคนในโรงอาหารเท่านั้น ฉันจำได้ว่าอายสุด ๆ”
“ตอนนั้นนายรู้สึกอายเหรอ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยถาม
“ตอนนั้นเหรอ?” ฟางชิวชะงักไปครู่หนึ่ง เพราะตอนนั้นเขาไม่รู้สึกอายเลย
แต่ใครจะไม่รู้สึกเขินอายกับสิ่งที่ตัวเองเคยทำในอดีตบ้างล่ะ?
“ฉันไม่ได้รู้สึกอายเลยนะ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ตอนนั้นฉันก็ไม่อายเหมือนกัน” ฟางชิวพยักหน้ารับและเสริมว่า “ไม่งั้นพวกเราจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ง่ายขนาดนี้ได้ยังไง? ต้องขอขอบคุณความพยายามอันยิ่งใหญ่ของพวกเราในตอนนั้น ถ้าไม่มีวันนั้น เธอก็อาจจะไม่ได้เป็นอันดับหนึ่งในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในเมือง”
“เพราะนายไม่ได้เอาจริงต่างหาก” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยจ้องมองฟางชิวที่กำลังงงงวย “ฉันยังไม่เข้าใจเลยว่า ในเมื่อนายสามารถเรียนรู้ได้เร็วมากแล้วยังเรียนเก่งขนาดนี้ แล้วฉันสอบได้อันดับหนึ่งได้ไง”
“ฉันก็แค่โชคไม่ดีนิดหน่อยน่ะ” ฟางชิวยิ้ม
“ฉันไม่เชื่อ!” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยส่ายหัวแล้วเถียงออกมาว่า “เพราะนายไม่ได้เอาจริง ฉันก็เลยไม่ได้ออมมือให้นาย”
ฟางชิวหัวเราะทันทีที่ได้ยิน
ในเวลานั้นฟางชิวไม่ต้องการดึงดูดความสนใจมากเกินไป เขาจึงควบคุมระดับผลสอบของเขาเอาไว้ เพราะเขาไม่เคยคิดที่จะเป็นอันดับหนึ่งในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลย
“ฉันขอถามอะไรนายหน่อยสิ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเอ่ยขึ้นมา
“จะถามอะไร?” ฟางชิวถามกลับ
“สิ่งที่แย่ที่สุดที่นายเคยทำตอนม.ปลายคืออะไร?” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยหัวเราะคิกคัก ประกายความมั่นใจฉายในแววตาของเธอเป็นระยะ ๆ ราวกับว่าเธอรู้คำตอบนั้น
“นี่…” ฟางชิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ก็คงเป็นการเอาไม้ไปแทงรังแตนที่นอกหน้าต่างห้องเรียนของพวกเราล่ะมั้ง แล้วเธอล่ะ?”
“ของฉันน่าจะเป็นการโต้แย้งกับอาจารย์ใหญ่” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยตอบ
“เธอเคยด้วยเหรอ” ฟางชิวตกใจมากที่ได้ยินอย่างนั้น
“เคยสิ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยพยักหน้าและอธิบายต่อไปว่า “มันเป็นในวันเดียวกับที่นายไปแหย่รังแตนนั่นแหละ”
“อะไรนะ?” ฟางชิวเอ่ยอย่างงง ๆ แต่แล้วเขาก็เริ่มเข้าใจ
ที่โรงเรียนมัธยมปลายตอนนั้น ห้องเรียนของพวกเขาจะอยู่ที่มุมบนชั้นสองของอาคารเรียน แล้วมันก็จะมีรังแตนอยู่ที่นอกหน้าต่าง
รังของแตนนั้นไม่ใหญ่ก็จริง แต่มันก็เป็นที่อยู่ของแตนจำนวนมาก
แตนเหล่านั้นล้วนมีพิษ พวกมันจะบินเข้าไปในห้องเรียนเกือบทุกวันถ้าหน้าต่างเปิดอยู่
เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยนั่งข้างหน้าต่างเสมอ เพื่อให้มีสมาธิกับการเรียนมากขึ้น เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเลยต้องปิดหน้าต่างเอาไว้ทุกวันแม้ว่าเธอจะเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
ด้วยเหตุนี้ ฟางชิวจึงหาโอกาสที่จะไปแหย่รังของแตนหลังเลิกเรียนด้วยไม้ไผ่ที่เขาเจอในคูระบายน้ำร้างของหลังอาคารเรียน
ทำให้เขาโดนอาจารย์ประจำชั้นดุและขู่ว่าจะรายงานเรื่องนี้กับอาจารย์ใหญ่ ส่วนเรื่องราวต่อจากนั้นเขาก็ไม่รู้แล้ว
ในตอนแรก ฟางชิวคิดว่าอาจารย์ประจำชั้นแค่กำลังพยายามทำให้เขารู้สึกกลัว แต่ตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่า เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเป็นคนไปอธิบายเหตุผลเรื่องนี้กับอาจารย์ใหญ่
ในตอนนั้นพวกเขาไม่ได้เปิดเผยความจริงออกมา
“เปลี่ยนเรื่องกันดีกว่า” ขณะที่มองไปที่ใบหน้าของฟางชิว เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็ส่ายหัวพลางยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมา
นั่นเป็นครั้งแรกที่เธอยืนหยัดต่อสู้กับอาจารย์ใหญ่ และมันก็ผ่านมานานแล้ว มันไม่สมควรที่จะเอามาพูดในตอนนี้
“ถ้างั้นเธอ…” ฟางชิวพยายามพูดต่อ
“อ้อ นายรู้ไหมทำไมฉันถึงอยากจะสมัครเข้ามหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีน” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยรีบพูดขัดจังหวะด้วยคำถามอย่างสงสัยแทน
ฟางชิวก็สงสัยกับคำถามนี้เหมือนกัน เพราะผลสอบของเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นดีเกินไป อันดับหนึ่งในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน ด้วยคะแนนของเธอ เธอสามารถไปเรียนที่มหาวิทยาลัยชั้นนำของจีนและแม้แต่ของโลกก็ยังได้ แต่เธอกลับเลือกมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงมากนัก
เธอเข้ามหาวิทยาลัยฮ่องกงได้อย่างง่ายดาย แต่เธอก็เลือกที่จะไม่ไป
“ฉันยังนึกว่าเธอเลือกมหาวิทยาลัยชิงหวา มหาวิทยาลัยปักกิ่งหรือมหาวิทยาลัยฮ่องกงซะอีก” ฟางชิวตอบ
“แต่ฉันก็เลือกมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยหันไปมองฟางชิวด้วยรอยยิ้มจาง ๆ ในดวงตาของเธอแล้วถามว่า “นายรู้ไหมว่าทำไม?”
“ทำไม?” ฟางชิวเอ่ยถามกลับทันที
“ลองเดาดูสิ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยลุกขึ้นและก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวก่อนที่จะหันหลังกลับมาส่งยิ้มหวานให้ฟางชิว
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ฟางชิวก็ตอบว่า “ฉันเดาไม่ออก”
“งั้นก็เดาต่อไป แล้วค่อยมาบอกฉันตอนที่นายได้รู้คำตอบแล้วก็แล้วกัน” มีความผิดหวังฉายผ่านดวงตาของเจี่ยงเมิ่งเจี๋ย แต่เธอก็ยังคงรักษารอยยิ้มเอาไว้บนหน้าได้เหมือนเดิม
“ตกลง” ฟางชิวพยักหน้าตอบ
ทั้งคู่เดินเคียงข้างกันบนสนามกีฬาอีกครั้ง พวกเขาคุยกันอย่างมีความสุข และไม่มีความลับต่อกัน
ส่วนใหญ่พวกเขาจะระลึกถึงอดีตของพวกเขาในสมัยม.ปลายเสียมากกว่า เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยจำเรื่องตอนนั้นได้อย่างชัดเจนและละเอียดมากจนฟางชิวรู้สึกทึ่ง
ฟางชิวรู้ว่าตนเพิกเฉยเรื่องราวพวกนี้มาตลอด รอยยิ้มสดใสบนใบหน้าของพวกเขาจึงค่อย ๆ เปลี่ยนไป
ความทรงจำที่สวยงาม ไม่สามารถย้อนกลับไปได้อีกแล้ว
ทั้งคู่เดินไปตามสนามกีฬาในขณะที่คุยกัน
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว
“พวกเราเคยเจอกันที่ไหนสักแห่ง…”
ทันใดนั้น โทรศัพท์ของฟางชิวก็ดังขึ้น
เขาหยิบออกมาดู แล้วก็พบว่าเป็นสายของเจียงเหมี่ยวอวี๋
“ฮัลโหล?” ฟางชิวเอ่ย
“[ฟางชิว นายยังอยู่ที่สนามกีฬาไหมตอนนี้?]” น้ำเสียงของเจียงเหมี่ยวอวี๋จากปลายสายอีกด้านแฝงไปด้วยความอยากรู้อย่างชัดเจน
“อืม ยังอยู่” ฟางชิวพยักหน้าไปด้วย
เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยที่อยู่ด้านข้างของฟางชิวขยิบตาด้วยรอยยิ้มและถามเบา ๆ ว่า “คนเมื่อกี้เหรอ?”
ฟางชิวพยักหน้า
“[งั้นเอาแบบนี้ไหม]” เมื่อได้ยินคำตอบของฟางชิวแล้ว เจียงเหมี่ยวอวี๋ก็พูดต่อว่า “[นี่ก็ถึงเวลาของมื้อค่ำแล้ว ฉันอยากจะเลี้ยงมื้อค่ำนายกับเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยเพื่อขอบคุณที่ดูแลฉันและถือว่าเป็นการต้อนรับเธอในฐานะเจ้าบ้าน]”
“แต่ขาของเธอยังขยับไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น…” ฟางชิวพยายามปฏิเสธ แต่ก็ไม่ทันได้ปฏิเสธ เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็เอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ของเขามาเสียก่อน
“ฉันกำลังหิวพอดีเลย เดี๋ยวฉันกับฟางชิวจะไปที่โรงอาหารนะ ขอบคุณ เหมี่ยวอวี๋” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยพูดกับปลายสายด้วยรอยยิ้ม
“[โอเค ถ้างั้นฉันจะลงไป]” เจียงเหมี่ยวอวี๋ตอบอย่างมีความสุข
หลังจากวางสาย เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็ส่งโทรศัพท์คืนให้ชายหนุ่ม
ฟางชิวได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น
“ฉันเลี้ยงมื้อค่ำเธอคนเดียวดีกว่าหรือเปล่า” ฟางชิวเอ่ยถามแล้วมองไปที่เจี่ยงเมิ่งเจี๋ย
“นายเป็นห่วงความรู้สึกเธอหรือว่ากลัวกันแน่” พอโดนเจี่ยงเมิ่งเจี๋ยล้อเลียน ฟางชิวก็พูดไม่ออก
“ไปกันเถอะ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยหันหลังกลับไปมองฟางชิวหลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว “แค่กินข้าวด้วยกันเอง นายจะกลัวอะไร! เหล่าฟางผู้กล้าหาญของฉันไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ”
ฟางชิวหัวเราะและเดินผ่านสนามกีฬาไป
ไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงที่ทางเข้าโรงอาหาร
“เท้าของเธอเจ็บมากทีเดียว ทำไมนายไปรับเธอขึ้นมา?” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกล่าว
“เธอมาแล้ว” ฟางชิวกล่าวหลังจากเหลือบมองไปยังทิศทางของหอพักหญิง
เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยจึงหันไปมองตาม เธอเลยเห็นเจียงเหมี่ยวอวี๋เข้ามาอย่างช้า ๆ ด้วยไม้เท้า
“ฉันจะไปรับเธอ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก้าวไปหาเจียงเหมี่ยวอวี๋ เมื่อกลอกตาใส่ฟางชิวแล้ว จากนั้นเธอก็ตระหนักได้ว่าเธอช่วยอะไรไม่ได้เลย เพราะเจียงเหมี่ยวอวี๋กำลังใช้ไม้เท้าอยู่ ทำให้เธอไม่สามารถช่วยพยุงได้
ที่ทางเข้าโรงอาหาร เจียงเหมี่ยวอวี๋ก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไปชั้นบนกันเถอะ”
“ขาเธอเป็นแบบนี้ พวกเรากินที่ชั้นล่างดีกว่าไหม” ฟางชิวกล่าว
เขารู้ดีว่าอาหารที่ชั้นสองดีกว่าชั้นหนึ่งเพราะพวกเขาสามารถสั่งอาหารได้ เมื่อเทียบกันแล้ว ชั้นสองจะดูผ่อนคลายกว่ามาก
และมันก็เป็นเรื่องยากที่เจียงเหมี่ยวอวี๋จะขึ้นไปที่ชั้นสองด้วยสภาพขาอย่างนี้
“ไม่เป็นไรหรอก” เจียงเหมี่ยวอวี๋ตอบกลับ “แค่ขึ้นไปชั้นเดียว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
ทั้งสามคนจึงมุ่งหน้าไปที่บันไดที่จะขึ้นไปยังชั้นสอง
เวลานี้โรงอาหารค่อนข้างเงียบเพราะเป็นวันหยุด แต่ก็ยังมีนักศึกษาบางคนอยู่ในมหาวิทยาลัย ดังนั้นพ่อครัวกับคนงานจึงยังคงทำงานในร้านกาแฟ แต่ปริมาณงานจะน้อยกว่าวันทำการปกติ
“ให้ฟางชิวอุ้มเธอขึ้นไปเถอะ” เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยกล่าวขึ้น หลังจากเห็นว่าเจียงเหมี่ยวอวี๋ดูกังวลมากขณะที่กำลังจะขึ้นบันได
“ไม่ต้องหรอก” เจียงเหมี่ยวอวี๋ตอบด้วยรอยยิ้ม ทว่ากลับมีหยาดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอใช้ไม้เท้าเลยรู้สึกขัด ๆ เขิน ๆ แถมยังต้องใช้แรงในการเคลื่อนไหวอีก
“จะยืนดูเฉย ๆ ยังงี้เหรอ” แม้ว่าเจียงเหมี่ยวอวี๋จะปฏิเสธไปแล้ว แต่เจี่ยงเมิ่งเจี๋ยก็ไม่เห็นด้วย หญิงสาวจึงหันไปบอกฟางชิวว่า “เธอเป็นคนเจ็บ รีบอุ้มเธอขึ้นไปเดี๋ยวนี้”
