จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ – บทที่ 697 สีหน้าท่าทางที่น่ารังเกียจของหลินโร่หลัน

บทที่ 697 สีหน้าท่าทางที่น่ารังเกียจของหลินโร่หลัน

ผู้คนตระกูลหลินทั้งหลายต่างก็งงเป็นไก่ตาแตก โดยเฉพาะพวกที่เคยดูถูกหลินหยุนตั้งแต่แรกอย่างหลินตงเย่วและหานเจียวเจียวพวกนั้น

ต่างก็ช็อกจนอ้าปากค้างสักพักใหญ่ก็ยังหุบไม่ลง

ผ่านไปสักครู่ คนตระกูลหลินบางคนจึงตั้งสติกลับคืนมาได้

หานเจียวเจียวสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ สายตาที่มองดูหลินหยุนราวกับถูกผีหลอก “นี่มันเป็นไปได้ยังไงกัน? เขาถึงกับถือหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของน้ำแห่งชีวิตไว้ได้!”

“นี่มันเป็นไปได้ยังไง! เขาทำได้ยังไงกัน?”

ข้อสงสัยของหานเจียวเจียว ก็เป็นข้อสงสัยของผู้คนตระกูลหลินทั้งหมด แต่ว่าข้อสงสัยนี้ผู้คนตระกูลหลินทั้งหลายก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ เพราะว่าไม่มีใครกล้าที่จะไปสงสัยผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองอีกแล้ว

อีกทั้ง เมื่อครู่เจ้าบ้านก็ออกหน้าด้วยตัวเองแล้ว ให้ผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองตรวจพิสูจน์แล้ว ถ้าพวกเขายังกล้าสงสัยอยู่อีกละก็ ไม่เพียงแต่เป็นการสงสัยกรรมการผู้ตรวจสอบแล้ว ก็ยังเป็นการสงสัยนายท่านหลินซื่อเฉิงอีกด้วย

หลินตงเย่วสีหน้าบูดบึ้งมองไปยังหลินหยุน ในใจก็ว้าวุ่นราวกับคลื่นทะเลซัดสาด

“นี่มันเป็นไปได้ยังไง! เขาอายุน้อยเพียงแค่นี้ ทำไมถึงมีหุ้นส่วนในน้ำแห่งชีวิตได้ด้วยล่ะ? ต้องรู้ว่าน้ำแห่งชีวิตนั้นแม้แต่ตระกูลหวางซูเฟินทั้งสี่แห่งเมืองหลวงก็ยังไม่สามารถแตะต้องของล้ำค่านี้ได้เลย!”

“ลำพังแค่ถือหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของน้ำแห่งชีวิต ก็สามารถเทียบเท่ากับตระกูลหลินถึงสิบตระกูลด้วยซ้ำไป!”

“น่าขำเสียจริง เมื่อกี้ฉันถึงกับสงสัยว่าเขาอาศัยความช่วยเหลือจากบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปจึงจะสามารถทำกำไรได้ถึงพันล้าน!”

“ฮ่าๆ พันล้านจิ๊บจ้อยแค่นี้ สำหรับคนใหญ่คนโตที่ถือหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของน้ำแห่งชีวิต คนหนึ่งแล้ว มันจะสักเท่าไรกันเชียว?”

หลินตงถิงมองดูหลินตงหัวด้วยสีหน้าตื้นตัน “ตงหัว นายได้ลูกชายที่ประเสริฐจังเลยนะ!”

หลินตงหัวมองไปยังหลินหยุนด้วยสีหน้ามึนงง จนถึงตอนนี้ เขายังไม่ได้สติกลับคืนมาจากอาการช็อกเลย

ครั้งแรกมีทรัพย์สินพันล้าน จากนั้นก็ตามมาด้วยมีหุ้นส่วนในโรงหมอเทพเซียน สุดท้ายแล้วก็ถือหุ้นสิบเปอร์เซ็นต์ของน้ำแห่งชีวิตซึ่งมีอนาคตที่ก้าวไกลอย่างไร้ขอบเขต นี่ราวกับเป็นลูกระเบิดที่ทยอยระเบิดลงมาทีละลูกเลยทีเดียว

จนหลินตงหัวแทบจะแบกรับไม่ไหว

จนกระทั่งได้ยินคำพูดของพี่ใหญ่หลินตงถิง จึงทำให้หลินตงหัวตื่นจากอาการช็อก

“นี่ เด็กคนนี้อาจจะอาศัยความโชคดีเท่านั้นเอง! ไม่เหมือนโล่เฉินบ้านพี่นั่นหรอก จึงจะนับได้ว่ามีความสามารถอย่างแท้จริง!”

เดิมทีหลินตงหัวเพียงแต่พูดอย่างถ่อมตัวเท่านั้น แต่ว่าหลินโล่เฉินได้ยินแล้ว กลับรู้สึกเป็นการเสียดสีอย่างรุนแรง

ความสามารถที่แสดงออกมาของหลินหยุนคนเดียว ก็สามารถอยู่เหนือตระกูลหลินถึงสิบเท่าแล้ว หลินตงหัวถึงกับพูดว่าเป็นเพราะความโชคดี พูดว่าสู้ตัวเองไม่ได้

นี่ไม่ใช่การพูดเสียดสีแล้วจะเป็นอะไรได้ล่ะ?

หลินตงถิงก็รู้สึกหน้าแดงขึ้นมาเช่นกัน นึกว่าหลินตงหัวเจตนาพูดประชดประชันเขา ก็ใครกันที่ไปดูถูกหลินหยุนก่อนล่ะ

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ถ้าหลินตงหัวกล้าพูดเช่นนี้ละก็ หลินตงถิงจะต้องโต้เถียงกลับไปอย่างแน่นอน

แต่ว่าตอนนี้หลินหยุนมีอำนาจอิทธิพลแข็งแกร่งขนาดนี้ หลังจากนี้ไปอาจไม่แน่ต้องอาศัยหลินหยุนช่วยค้ำจุนอีกแรงด้วยซ้ำไป

หลินตงหัวในฐานะเป็นพ่อของหลินหยุน ตำแหน่งฐานะก็ย่อมต้องสูงส่งขึ้นตามไปด้วย อาจไม่แน่นายท่านอาจจะยกตำแหน่งเจ้าบ้านให้กับหลินตงหัวก็ได้

ต่อให้หลินตงถิงที่เป็นพี่ใหญ่คนนี้ ก็ยังต้องเคารพให้หลินตงหัวเลย

ดังนั้นหลินตงถิงจึงได้แต่อดทนไว้ ไม่กล้าพูดอะไรออกมา

สวี่เหม่ยเย้นตอนนี้ก็เสียใจอย่างสุดซึ้ง เธอคิดไม่ถึงจริงๆเลยว่า หลินหยุนถึงกับร้ายกาจขนาดนี้!

ถ้าก่อนหน้านี้พวกเธอสองคนสามีภรรยา ไม่ไปขัดแย้งกับหวางซูเฟินละก็ ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างหลินโร่สุ่ยกับหลินหยุนตอนนี้ ครอบครัวพวกเขาจะต้องเป็นคนสนิทมากที่สุดของครอบครัวหลินตงหัวอย่างแน่นอน

บริษัท ตงหวาง กรุ๊ปของหวางซูเฟินนั้น ถึงแม้พวกเขาชื่นชอบก็จริง แต่จะไม่แยแสก็ได้

แต่ว่าหุ้นส่วนของโรงหมอเทพเซียน หุ้นส่วนในน้ำแห่งชีวิต พวกเขากลับอยากจะเข้าไปประจบประแจงแทบไม่ทัน

“ฉัน ก่อนหน้านั้นฉันทำไมถึงปากพล่อยแบบนั้นนะ! อยู่ดีๆฉันไปหาเรื่องโจมตีหวางซูเฟินทำไมกัน!”

นายท่านหลินซื่อเฉิงนั่งอยู่ตรงแถวแรก ก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมาทันที “ฮ่าๆๆ…..สุดยอดไปเลย! คิดไม่ถึงจริงเลย ปั้นปลายชีวิตของฉันยังได้รับความปรานีจากสวรรค์ ทำให้ตระกูลหลินมีผู้สืบทอดต่อไปแล้ว!”

“ตงหัว ซูเฟิน พวกนายได้ให้กำเนิดลูกชายที่แสนประเสริฐจริงๆเลย!”

คราวนี้ ท่านผู้ใหญ่ตระกูลหลินทั้งสี่ที่เหลือ ถึงแม้ในใจก็แอบชื่นชมอิจฉา แต่ก็ตื่นเต้นดีใจมาก

ถึงแม้ว่าหลินหยุนไม่ใช่ลูกหลานตระกูลทางสายของพวกเขาโดยตรงก็จริง แต่ยังไงเขาก็เป็นลูกหลานตระกูลหลิน ถ้ายังมีเขาอยู่ อนาคตของตระกูลหลินจะต้องรุ่งเรืองอย่างแน่นอน!

ท่านหลินห้าลุกขึ้นยืนกะทันหัน มองไปยังหลินหยุนแล้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “หลินหยุน ฉันขอถอนคำพูดเมื่อครู่นี้ แล้วต้องขอโทษนายด้วย หวังว่านายคงให้อภัย!”

หลินตงหัวรีบลุกขึ้นยืนโค้งคำนับ “คุณอาห้าอย่าทำแบบนี้เลย เดี๋ยวขี้กลากจะขึ้นหัวลูกหลาน หลินหยุน รีบมาคารวะปู่ห้าเร็ว!”

หลินหยุนในใจไม่ได้ขัดแย้งอะไรกับปู่ห้ามากนัก นิสัยของผู้อาวุโสคนนี้แยกแยะผิดถูกชั่วดี รังเกียจสิ่งชั่วร้าย

ถึงแม้ว่าชาติที่แล้วเขาก็รังเกียจหลินหยุนก็ตาม แต่นั่นเป็นเพราะว่าหลินหยุนเองไม่เอาไหนจริงๆ

แต่ว่ารังเกียจก็ส่วนรังเกียจ ปู่ห้าคนนี้ก็ยังมีความยุติธรรมอยู่บ้าง

“ปู่ห้าพูดเกินไปแล้วครับ” หลินหยุนโค้งตัวลงเล็กน้อยทำความเคารพ น้ำเสียงเรียบเฉยไม่รีบไม่ร้อน

ถ้าเป็นเมื่อครู่นี้ละก็ ด้วยท่าทางหลินหยุนเช่นนี้ จะต้องถูกผู้คนทั้งหลายมองว่ายโสโอหังอีกอย่างแน่นอน

แต่ว่าตอนนี้ ท่าทีของหลินหยุนเป็นเช่นนี้ กลับทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเหมาะสมกับฐานะของเขาแล้ว

ท่านหลินสี่ยิ้มแล้วพยักหน้า “ดี ไม่เย่อหยิ่งไม่วู่วาม ไม่รีบไม่ร้อน มีบุคลิกของคนมีสกุลรุนชาติ!”

ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างก็ชมเชยยกยอ จนหลินหยุนตัวแทบจะลอยขึ้นฟ้าไปเลย

หลินโร่สุ่ยตื่นเต้นจนใบหน้าแดงก่ำ ราวกับว่าดีใจมากยิ่งกว่าตัวเองได้รับเกียรติเสียอีก

“พี่หลินหยุน ยินดีด้วยนะ!”

หลินหยุนส่งยิ้มให้กับหลินโร่สุ่ยเล็กน้อย

หลินโร่หลันที่อยู่อีกด้านหนึ่ง สีหน้าบึ้งตึง จิตใจสับสนวุ่นวาย มีทั้งความรู้สึกอิจฉาและทั้งชื่นชม อีกทั้งยังรู้สึกเสียใจมากอีกด้วย

เธอคิดอยากจะคบหากับคนใหญ่คนโตมาโดยตลอด เพื่อหวังจะอาศัยคนใหญ่คนโตในการช่วยเหลือธุรกิจของตัวเองให้เจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น

แต่ว่า คนใหญ่คนโตอย่างหลินหยุนเช่นนี้ ตัวเองถึงกับเป็นศัตรูกับเขาไปแล้ว

หลินโร่หลันจะไม่เสียใจได้อย่างไรกัน?

เมื่อนึกถึงหุ้นส่วนสิบเปอร์เซ็นต์ของน้ำแห่งชีวิตแล้ว ลมหายใจของหลินโร่หลันก็รู้สึกถี่แรงขึ้นทุกที

มองดูสีหน้าที่ดีใจของหลินโร่สุ่ยแล้ว ในใจของหลินโร่หลันก็ยิ่งทำใจไม่ได้

มองไปยังเงาร่างที่เรียบง่ายของหลินหยุนท่ามกลางฝูงชนนั้น หลินโร่หลันก็กัดฟันไว้แน่น แล้วค่อยๆเดินเข้าไปหา

“หลินหยุน ยินดีด้วยนะ! ก่อนหน้านั้นฉันเข้าใจคุณผิดไป หวังว่าคุณอย่าเก็บเอามาใส่ใจเลยนะ!” น้ำเสียงของหลินโร่หลันอ่อนโยน ใบหน้าเอียงอาย แสร้งทำสีหน้าท่าทางที่น่าทะนุถนอม

หลินโร่หลันเชื่อว่า ไม่ว่าผู้ชายคนไหนเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของเธอตอนนี้แล้ว ย่อมจะต้องใจอ่อนอย่างแน่นอน

หลินหยุนก็เป็นผู้ชาย ย่อมไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น

แต่เสียดายที่ว่า หลินหยุนได้รู้ว่าเธอเป็นคนอย่างไรตั้งแต่แรกแล้ว ย่อมไม่หลงใหลไปกับสีหน้าท่าทางที่เธอแกล้งแสดงออกมาอย่างแน่นอน

หลินหยุนมองดูเธอแล้วพูดอย่างเรียบๆว่า “วางใจเถอะ ฉันไม่เคยเก็บใส่ใจอยู่แล้วเพราะว่าฉันไม่เคยเห็นคุณอยู่ในสายตาแต่ไหนแต่ไรเลย”

ใบหน้าที่สวยสดใสของหลินโร่หลันเปลี่ยนเป็นขาวซีดขึ้นมาทันที

คำพูดที่ว่าไม่เคยเห็นคุณอยู่ในสายตาเลย มันคมยิ่งกว่ามีดทุกชนิด ที่ทิ่มแทงเข้าไปในจิตใจส่วนที่อ่อนแอที่สุดของผู้หญิงที่เย่อหยิ่งอย่างหลินโร่หลัน

หลินโร่หลันคิดอยากจะตะโกนด่าออกมา แต่ว่าเมื่อนึกถึงอำนาจบารมีอันแข็งแกร่งที่อยู่เบื้องหลังของหลินหยุนแล้ว เธอก็ได้แต่อดกลั้นเอาไว้

ถ้าหากสามารถทำให้หลินหยุนอภัยให้แล้วล่ะก็ ต่อให้ต้องอัดอั้นตันใจบ้างก็ยังถือว่าคุ้มค่าแล้ว

หลินโร่หลันยิ่งแกล้งทำเป็นไม่ได้รับความเป็นธรรม พูดด้วยน้ำเสียงแฝงเสียงสะอื้นว่า “ฉันรู้ว่าเมื่อก่อนฉันไม่ดีเอง คุณอยากจะด่าก็เชิญด่าได้เต็มที่เลยค่ะ หวังว่าคุณคงให้อภัยฉัน! อย่างน้อยพวกเราก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน!”

ถ้าหากหลินหยุนไม่รู้จักนิสัยธาตุแท้เดิมของหลินโร่หลันมาก่อนละก็ อาจไม่แน่จะใจอ่อนกับท่าทางที่น่าสงสารของเธอเช่นนั้นจนยอมให้อภัยเธอก็ได้

แต่ว่า เมื่อรู้จักธาตุแท้ของหลินโร่หลันแล้ว มองเห็นสีหน้าท่าทางที่น่าสงสารของหลินโร่หลันตอนนี้แล้ว แทบอยากจะอาเจียนออกมา

“คุณรู้หรือเปล่าว่า หน้าตาของคุณตอนนี้น่าเกลียดมากเลย”

“คุณไปซะเถอะ ฉันไม่อยากจะข้องเกี่ยวอะไรกับคุณอีก”

หลินหยุนเอ่ยปากไล่แขกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

สายตาของหลินโร่หลันส่องประกายแววชั่วร้าย แต่ว่ากลับไม่แสดงออกมาให้เห็น พูดด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกินว่า “ฉันรู้ว่าตอนนี้คุณยังโกรธอยู่ รอให้คุณหายโกรธก่อนฉันค่อยมาขอโทษคุณก็แล้วกัน”

พูดจบ ก็หันหลังแล้วเดินจากไปด้วยความอัดอั้นตันใจ

หลินหยุนไม่ได้ไปสนใจเธออีก ถ้าอยากให้ผู้หญิงที่ร้อยเล่ห์มารยาแบบนี้ตายใจละก็ มีแต่จะต้องทำให้เธอสิ้นหวังเท่านั้น

หลินซื่อเฉิงปิดตาลงอย่างจำใจ พี่น้องห้าคน มีตั้งสี่คนที่คัดค้าน

แม้ว่าหลินซื่อเฉิงต้องการที่จะตอบรับ แต่น้ำน้อยก็ย่อมแพ้ไฟ

“ซูเฟิน หรือว่าเรื่องนี้ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง? ”

หวางซูเฟินเข้าใจถึงความลำบากใจของหลินซื่อเฉิง อีกทั้งหลินหยุนเองก็ไปล่วงเกินตระกูลนิ่ง ไม่ว่าอย่างไรคนของตระกูลหลินก็ไม่มีทางที่จะให้เขาเข้ามาอยู่ในตระกูลหลินได้

“ท่านพ่อ ทำให้ท่านต้องเหนื่อยใจแล้ว ในเมื่อทุกคนต่างก็คัดค้าน ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็เอาไว้ทีหลังแล้วกัน! ”

หวางซูเฟินยอมที่จะสละสิทธิ

“ข้าเองต่างหากที่ต้องขอโทษเธอด้วย! ” นายท่านหลินซื่อเฉิงถอนหายใจอย่างจำใจ

หวางซูเฟินถอยกลับไปอยู่ด้านข้างของหลินตงหัว แล้วแอบจ้องมองไปที่หลินหยุน: “ไอ้เด็กคนนี้ ต่อไปจะทำอะไร ก็คิดให้มันมากหน่อย ไม่ใช่ว่าใครก็คิดที่จะไปล่วงเกินได้! ”

หลินหยุนยักไหล่ ทำได้เพียงรับฟังคำตักเตือนอย่างเชื่อฟัง: “ทราบแล้วแม่บุญธรรม”

หลินเห้ามีสีหน้าท่าทางในแบบผู้ชนะ แล้วก็กลับไปยังที่นั่งของตนเอง ขณะที่เดินผ่านด้านข้างของหลินหยุนนั้น ก็ได้พูดอย่างเย็นชาขึ้นว่า: “ฉันเคยพูดเอาไว้แล้วว่า คนที่ไม่ได้เรื่องอย่างนายนี้ยังคิดที่จะเข้ามาอยู่ในตระกูลหลิน ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้”

หลินหยุนมองไปที่เขา และพูดว่า: “หากว่าฉันจะเข้ามาอยู่ในตระกูลหลิน พวกนายไม่มีใครที่จะสามารถมาขัดขวางได้”

หลินเห้ายิ้มเยาะเสียงดัง: “คุณป้าหวาง คุณได้ยินแล้วล่ะสิ! ไอ้หนุ่มนี้ช่างหลงระเริงขนาดไหนคิดไม่ถึงว่าคุณจะรับคนแบบนี้มาเป็นบุตรบุญธรรมได้! ”

“ฉันจะบอกว่า รีบขับไล่เขาออกไปเถอะ เพื่อจะได้ไม่ต้องนำปัญหามาให้กับคุณอีก! ”

หวางซูเฟินเองก็รู้สึกว่าหลินหยุนหลงระเริงเกินไปหน่อย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเห้า เธอเองก็ยังคงปกป้องหลินหยุน

“ฮึ เรื่องของฉัน ไม่จำเป็นต้องให้เด็กอย่างนายเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยหรอก”

แต่ว่า หวางซูเฟินกลับแอบจ้องมองไปที่หลินหยุน เพื่อเตือนเขาว่าอย่าได้พูดสุ่มสี่สุ่มห้าอีก

ผู้อาวุโสตระกูลหลินทั้งห้าท่านต่างก็แอบส่ายศีรษะ แม้แต่หลินซื่อเฉิงก็ยังรู้สึกว่าคำพูดของ หลินหยุนนั้นโอ้อวดเกินไปหน่อย

ส่วนคนอื่นของตระกูลหลิน ก็ได้เยาะเย้ยถากถางกันยกใหญ่ และพากันต่อว่าหลินหยุนว่าเป็นคนหลงระเริงที่ทั้งโอ้อวดและโง่เขลา

หลินโล่เฉินมองไปยังหลินหยุนอย่างเหยียดหยาม และพูดขึ้นด้วยความดูถูกว่า: “คนหลงระเริงและโง่เขลาอย่างนายนี้ คู่ควรเข้ามาอยู่ในตระกูลหลินของพวกเราด้วยเหรอ? ฝันกลางวันแสก ๆ! ”

หลินหยุนไม่ได้สนใจในคำเยาะเย้ยของทุกคน โดยได้แอบคำนวณเวลาเวลาอยู่

ซูเหลียงจื่อคงน่าจะพาคนที่สำคัญคนนั้น มาใกล้ถึงแล้ว

เวลานั้น ใครก็ไม่สามารถขัดขวางหลินหยุนให้เข้ามาอยู่ในตระกูลหลินได้

โดยที่หลังจากหวางซูเฟินแล้ว ก็ไม่มีใครออกมาพูดอีก

งานเลี้ยงปีใหม่ตระกูลหลินเข้าสู่ช่วงต่อไป คือการประเมินผลของตระกูล

นี่คือการทดสอบคนรุ่นใหม่ของตระกูลหลินโดยเฉพาะ โดยลูกหลานตระกูลหลินทุกคน หลังจากที่อายุครบสิบแปดปีแล้ว ล้วนจะต้องได้รับการประเมินผลจากตระกูล

เนื้อหาการประเมินผลก็คือ จากการที่ได้นำเงินทุนส่วนกลางของตระกูล ไปใช้ในการเริ่มต้นธุรกิจแล้ว ซึ่งจะมาดูกันว่าผู้ใดสามารถสร้างกำไรผลประโยชน์ได้มากที่สุด

หลินโล่เฉินคือผู้ที่อายุครบสิบแปดปีที่อยู่ในการประเมินผลของตระกูล โดยอาศัยอัตราผลกำไรสิบห้าเท่า ได้รับคะแนนสูงสุดเป็นอันดับที่หนึ่ง และยังได้ทำลายสถิติลงด้วย กลายเป็นคนแรกที่ได้รับคะแนนผลการประเมินของตระกูลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของตระกูลหลิน

นี่ก็คือเหตุผลที่หลินโล่เฉินได้ถูกยกย่องให้เป็นอัจฉริยะที่หนึ่ง ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ของตระกูลหลิน

ครั้งนี้ ผู้ที่เข้าร่วมรับการประเมินผลของตระกูลมีทั้งสิ้นสิบสองคน โดยหลินโร่สุ่ยก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้นด้วย

นายท่านหลินซื่อเฉิงพูดขึ้นอย่างช้า ๆ ว่า: “ตามธรรมเนียมของพวกเราตระกูลหลินแล้ว ต่อไป ก็คือช่วงเวลาการตรวจสอบผลการประเมินของตระกูลแล้ว”

“ธรรมเนียมนี้ มีขึ้นเพื่อให้ลูกหลานพวกเราตระกูลหลิน ได้สัมผัสถึงความยากลำบากในการเริ่มต้นธุรกิจ รับรู้เข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีครองครองอยู่ในปัจจุบันนี้ ต่างก็หามาด้วยความยากลำบาก ซึ่งทั้งหมดเป็นผลมาจากการมุ่งมั่นทำงานหนักของพวกผู้อาวุโส เพื่อให้ลูกหลานรุ่นหลังรู้จักที่จะหวงแหน”

“ปีนี้คนที่เข้าร่วมการประเมินผลนั้น มีใครบ้างล่ะ? ยืนออกมาได้เลย! ”

ลูกหลานตระกูลหลินที่มีอายุครบสิบแปดปีจำนวนสิบสองคน ค่อย ๆ เดินออกมาสู่ใจกลางของ ห้องโถง ด้วยสีหน้าท่าทางที่แตกต่างกันออกไป

หลินเห้ากับหลินโร่สุ่ยก็อยู่ในจำนวนนี้ด้วย

ใบหน้าที่งดงามของหลินโร่สุ่ยมีความกังวลอยู่บ้าง เหมือนกับว่าไม่ค่อยมีความมั่นใจ

หลินเห้ากลับเป็นตรงกันข้าม เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ท่าทางหยิ่งผยอง เหมือนมั่นใจว่าจะเป็นผู้ชนะ

ทุกคนโดยรอบต่างก็พากันวิพากษณ์วิจารณ์

“ผู้ชนะในการประเมินผลของตระกูลในครั้งนี้ คงน่าจะเป็นหลินเห้าล่ะสิ! ย่านฉิน เสี่ยวเห้าลูกของเธอมีอนาคตที่สดใสทีเดียว! ”

“ยังไม่แน่นอน เหม่ยเย้น ได้ยินว่าโร่สุ่ยนั้นได้ไปรู้จักกับบุคคลยิ่งใหญ่ผู้ลึกลับคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะทำกำไรได้มากกว่าก็เป็นได้” แม่ของหลินเห้าพูดอย่างถ่อมตัว แต่สายตากลับแสดงออกถึงท่าทางที่กังวลอยู่ไม่น้อย เกรงว่าหลินโร่สุ่ยจะช่วงชิงรางวัลผู้ชนะของหลินเห้าไปอย่างไรอย่างนั้น

หญิงวัยกลางคนที่อ้วนเล็กน้อยคนหนึ่งได้ถอนหายใจและพูดขึ้นว่า: “คาดว่าในครั้งนี้หลินหรงของพวกเรา ก็คงจะเป็นอันดับสุดท้ายอีก! ไอ้หนุ่มนี้ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้แล้ว ยังจะเอาแต่เล่นเกมส์ทั้งวันอยู่อีก โธ่ ถ้าหากมีอนาคตสักครึ่งหนึ่งของหลินเห้า ฉันก็ขอบคุณอย่างที่สุดแล้ว”

แม่ของหลินเห้าพูดอย่างถ่อมตัวว่า: “พี่ฉีอย่าพูดแบบนี้สิ หลินหรงของเธอก็แค่ห่วงเล่นเท่านั้นเอง แต่ก็ยังถือว่าเป็นเด็กที่ฉลาด เพียงแค่กลับมาตั้งใจ ต่อไปจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”

หานเจียวเจียวยิ้มและพูดว่า: “พูดได้ถูกต้องเลย ถึงแม้จะยังไม่ได้เรื่อง แต่เธอเองก็ยังมีลูก ซึ่งยังดีกว่าใครบางคนหลายเท่านัก”

แม่ของหลินหรงมองไปที่หวางซูเฟินที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก และพูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจว่า: “ใช่สิ คนรุ่นพวกเรานี้ แม้ว่าจะไม่มีความสามารถอะไร แต่พวกเราก็มีทายาทสืบสกุล! ”

“ไม่เหมือนกับใครบางคน ต่อให้ตนเองจะประกอบธุรกิจได้ยิ่งใหญ่มากแค่ไหน ในอนาคตก็ต้องมอบให้กับคนอื่นอยู่ดีไม่ใช่เหรอ? มิน่าล่ะถึงได้ไปหาเด็กคนหนึ่งมาแล้วก็รับเป็นบุตรบุญธรรม! ”

หานเจียวเจียวก็พลันกระซิบขึ้นว่า: “โอ้โอ้ ฉันได้ยินมาว่า มีบางคนที่ตอนก็นี้ยังไม่มีลูกเลย พวกเธอรู้ไหมว่าเป็นเพราะอะไร? ”

“เพราะอะไรเหรอ? กี่คนนั้นถามขึ้นด้วยความแปลกใจ”

หานเจียวเจียวพูดขึ้นด้วยสีหน้าท่าทางที่เหยียดหยาม: “ก็เพราะว่าเป็นผู้หญิงที่ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้น่ะสิ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า……”

คำพูดของผู้หญิงเหล่านี้ช่างเลวร้ายน่าโมโหเสียจริง

หวางซูเฟินโกรธจนหน้าเขียว ตัวสั่นไปหมดแล้ว

ฉินหลันรีบกุมมือของหวางซูเฟินเอาไว้: “ประธานกรรมการ อย่าได้โมโหไปเลย คนพวกนี้ตั้งใจที่จะทำให้คุณโกรธ อย่าได้ติดกับเป็นอันขาด! ”

หลินตงหัวก็มีสีหน้าท่าทางที่โมโห และมองไปที่หวางซูเฟินด้วยความรู้สึกผิด: “ซูเฟิน ขอโทษด้วย คือฉันเองที่ไม่ได้เรื่อง จึงทำให้คุณต้องได้รับความอับอายไปด้วย! ”

หวางซูเฟินพยายามที่จะควบคุมให้ตนเองใจเย็นลง: “นี่มันไม่เกี่ยวกับคุณ”

ไม่ใช่ว่าหวางซูเฟินไม่ต้องการลูก แต่เพราะว่ามีบทเรียนจากอดีตแล้ว เธอกังวลว่าหากมีลูกอีก ตระกูลหวางก็คงจะต้องลงมืออีกเป็นแน่

ในปีนั้นความปวดร้าวทรมานที่ลูกได้สูญหายไป หวางซูเฟินจึงไม่ต้องการที่จะเจ็บปวดแบบนั้นอีก

นอกเสียจากว่าวันหนึ่งเธอสามารถที่จะต่อต้านตระกูลหวางได้แล้ว เธอจึงกล้าที่จะมีลูกอีกครั้ง

หลินหยุนสีหน้าท่าทางไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก ร่างกายแสดงออกถึงเจตนาสังหารอย่างรุนแรง ถ้าหากคนเหล่านี้ไม่ใช่คนตระกูลหลิน เมื่อครู่หลินหยุนคงจะลงมือจัดการไปแล้ว

“แม้ว่าคุณแม่จะมีท่าทางที่ไม่ดีกับพวกเขา แต่ก็ไม่เคยที่จะปฏิบัติให้ร้ายต่อคนตระกูลหลิน”

“คิดไม่ถึงว่า คำพูดของพวกญาติพี่น้องเหล่านี้จะโหดร้ายยิ่งนัก”

หลินตงหัวถอนหายใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโศกเศร้า: “ในฐานะที่เป็นผู้ชาย กลับไม่มีความสามารถแม้แต่จะปกป้องผู้หญิงของตนเอง เหอะเหอะ ฉันช่างล้มเหลวเสียจริง! ”

หวางซูเฟินพูดขึ้นอย่างเศร้าใจ: “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคุณ ถ้าหากลูกของพวกเรายังอยู่ ตอนนี้พวกเขาคงจะได้เพียงแค่อิจฉา ฉันจะอบรมบ่มเพราะเขาให้เป็นอัจฉริยะในวงการธุรกิจ แม้แต่หลินโล่เฉินก็คงทำได้เพียงแต่แหงนหน้ามองลูกของพวกเราเท่านั้น! ”

หลินหยุนก้มหน้าลง ร่างกายเย็นยะเยือกมากขึ้นกว่าเดิมอีก

ทันใดนั้น หลินหยุนก็เงยหน้ามองไปที่ประตู ซูเหลียงจื่อไม่รู้ว่าปรากฏตัวอยู่ที่นั่นตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วก็พยักหน้าให้กับหลินหยุน

จิตใจที่สงบนิ่งของหลินหยุน ขณะนี้กลับตื่นเต้นขึ้นมาบ้างแล้ว

“เวลานี้ ในที่สุดก็มาถึงแล้ว! ”

หลินหยุนเดินไปยังด้านหน้าของหวางซูเฟินในทันที และคุกเข่าลงไปที่พื้น: “คุณแม่ผู้ยิ่งใหญ่ที่เคารพ ลูกชายไม่กตัญญู ได้โปรดรับการคารวะจากฉันด้วย! ”

หวางซูเฟินไม่เข้าใจถึงความหมายของหลินหยุน และรีบพูดขึ้นว่า: “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาย รีบลุกขึ้น! ”

หลินหยุนไม่ลุกขึ้น แต่กลับมองไปยังหวางซูเฟินด้วยความรู้สึกผิด: “ที่จริงแล้ว ฉันก็คือลูกคนนั้นของท่านที่ได้สูญหายไป! ”

หวางซูเฟินตกใจ ตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก แต่ว่า ครู่เดียวจากนั้น เธอก็ตั้งสติกลับคืนก็ได้

“นายพูดอะไร? ” เหมือนกับว่าไม่กล้าที่จะเชื่อคำพูดที่ได้ยินเมื่อครู่นี้ หวางซูเฟินจึงถามขึ้นอีกครั้ง

หลินหยุนจึงได้พูดซ้ำขึ้นอย่างจริงจังอีกครั้งว่า: “ฉันก็คือลูกคนนั้นของท่านที่ได้สูญหายไปในปีนั้น”

ทุกคนเงียบกริบกันไปทั้งหมด!

คฤหาสน์ตระกูลหลิน สร้างขึ้นเมื่อร้อยกว่าปีก่อน คือสถานที่กำเนิดตระกูลหลิน

เดิมที เป็นเพียงแค่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ตอนนี้ได้ผ่านการบูรณะซ่อมบำรุงมาหลายครั้ง จนกลายเป็นคฤหาสน์ที่โดดเด่นหลังหนึ่ง

เจ้าบ้านหลินซื่อเฉิง ได้พาผู้บริหารระดับสูงของตระกูลหลินบางส่วน ล่วงหน้ากลับไปที่คฤหาสน์ก่อนเพื่อเตรียมงาน

ตอนนี้ คฤหาสน์ตระกูลหลินประดับด้วยโคมไฟและตกแต่งด้วยผ้าไหมหลากสีสัน บรรยากาศเต็มไปด้วยความชื่นมื่นเบิกบานใจ

หลินตงถิงกับคนตระกูลหลินทั้งหมด เมื่อคืนวานได้ออกเดินทางจากตระกูลหลินที่อูซูมาถึงคฤหาสน์เรียบร้อยแล้ว

วันนี้ตอนเช้า ทุกคนต่างก็สลับหมุนเวียนกันมาเข้าเยี่ยมคารวะนายท่านหลินซื่อเฉิง

หลินหยุนได้ติดตามพ่อแม่มา แล้วพบกับคุณปู่ของตนที่ห้องรับแขก

เวลาล่วงเลยไปกว่าแปดร้อยปี จนได้มาพบกับคุณปู่ที่รักและเอ็นดูเขาอีกครั้ง หลินหยุนรู้สึกเหมือนว่าเป็นภาพลวงตาที่อยู่ในอีกโลกหนึ่ง

หลินซื่อเฉิงมีลักษณะท่าทางที่ใจดีมีเมตตาเหมือนกับความทรงจำของหลินหยุน แต่ว่าหลินซื่อเฉิงในตอนนี้จะดูหนุ่มกว่าในความทรงจำของหลินหยุนบ้างเล็กน้อย

วันนี้ ทุกคนเพียงแค่มาเข้าเยี่ยมคารวะผู้อาวุโสตระกูลหลินก่อนล่วงหน้า เพื่อพบปะพูดคุย สนทนาจิปาถะ

หลินหยุนก็ได้พบเห็นใบหน้าของคนที่คุ้นเคยจำนวนมาก และยังมีพี่น้องที่มีมิตรภาพที่ดีกับเขาอีกหลายคน

แต่ว่า ตอนนี้หลินหยุนยังไม่สามารถที่จะไปทักทายกับพวกเขาได้ เพราะว่าตอนนี้สถานะของเขายังเป็นแค่คนนอก

หลินโล่เฉินกับหลินเห้าและคนอื่น ๆ ยังคงไม่ได้หาเรื่องกับหลินหยุน ซึ่งไม่รู้ว่าจะอดทนไปถึงเมื่อไหร่กัน

ปัจจุบันตระกูลหลินมีผู้อาวุโสที่มีความอาวุโสที่สุดอยู่ห้าท่าน ล้วนเป็นพี่น้องของหลินซื่อเฉิง

ทุกคนของตระกูลหลินในตอนนี้ โดยส่วนใหญ่ต่างก็เป็นลูกหลานของผู้อาวุโสทั้งห้าท่านนี้

วันนี้พูดคุยกันในเรื่องจิปาถะ ไม่พูดคุยเรื่องที่เป็นทางการ

ขณะอยู่ต่อหน้าของผู้อาวุโสทั้งห้าท่าน ทุกคนต่างก็รักใคร่ปรองดองกันเป็นอย่างดี

แต่ว่า ครอบครัวของหลินตงหัวก็ยังคงถูกปล่อยให้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเช่นเคย

หวางซูเฟินได้หาโอกาส พาหลินหยุนมายังด้านหน้าของหลินซื่อเฉิง

“ท่านพ่อ เขาก็คือหลินหยุน”

“หลินหยุน เรียกคุณปู่สิ! ”

“คุณปู่! ” น้ำเสียงของหลินหยุนแฝงไปด้วยความสั่นไหวที่ไม่สามารถสังเกตเห็นได้

หลินซื่อเฉิงเองก็สังเกตไม่เห็น โดยมองไปที่หลินหยุน แล้วพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม: “ไม่เลวทีเดียว! ”

หลินหยุนสามารถรับรู้ได้ว่า คำพูดของหลินซื่อเฉิงไม่ได้เป็นแบบขอไปที แต่เห็นว่าหลินหยุนไม่เลวจริง ๆ

ดูเหมือนว่า ในใจของหลินซื่อเฉิง น่าจะยอมรับในตัวของหลินหยุนแล้ว

หวางซูเฟินได้แสดงท่าทางดีอกดีใจขึ้น: “ขอบคุณท่านพ่อ! ”

หลินตงถิงที่อยู่ด้านข้าง กลับขมวดคิ้วขึ้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะว่าวันนี้ไม่พูดคุยเรื่องทางการ

ช่วงกี่วันนี้ กล่าวได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวของหลินตงหัวอยู่กันอย่างสุขสบายที่สุด

แม้ว่า ครอบครัวของพวกเขาจะยังคงถูกคนของตระกูลส่วนใหญ่ปล่อยให้อยู่อย่างโดดเดียว แต่ว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกผู้อาวุโสเหล่านี้ พวกคนเหล่านั้นก็ไม่กล้าจะทำอะไรที่เกินเลย

ดังนั้น ช่วงกี่วันนี้ก่อนที่จะถึงงานเลี้ยงปีใหม่ ต่างก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวของหลินตงหัวมีความสุขสบายใจอย่างที่สุด

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มาถึงวันตรุษจีนแล้ว

งานเลี้ยงปีใหม่ตระกูลหลิน ก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

ท่ามกลางเสียงกลองและเสียงฆ้อง ผู้อาวุโสตระกูลหลินทั้งห้าท่าน ต่างก็อยู่ในชุดคลุมยาวสีแดงที่เป็นมงคล และนั่งรวมกันอยู่ที่ห้องโถง

ด้านนอกประตู ทุกคนของตระกูลหลินกำลังยืนเข้าแถวเพื่อรอเข้าอวยพรวันปีใหม่ต่อผู้อาวุโสทั้ง ห้าท่าน

ทุกคนเข้าสู่ภายในห้องโถงตามลำดับ เพื่ออวยพรปีใหม่ให้กับผู้อาวุโสทั้งห้าท่าน

จากนั้น ก็นั่งลงที่ในห้องโถง

แน่นอนว่า ห้องรับแขกของคฤหาสน์ตระกูลหลิน ได้ผ่านการออกแบบมาเป็นพิเศษ เพียงพอที่จะให้คนตระกูลหลินที่มีจำนวนมากขนาดนี้ มีที่นั่งกันครบทุกคน

การจัดลำดับที่นั่ง ก็ค่อนข้างพิถีพิถัน ไม่ใช่จัดตามระดับความสามารถ แต่จัดลำดับตามความใกล้ชิดและห่างไกลกันทางสายเลือด

หลินตงหัวเป็นลูกชายคนรองของนายท่านหลินซื่อเฉิง นั่งอยู่ติดกับหลินตงถิง

จนกว่าทุกคนจะนั่งลงกันเรียบร้อย ก็ใช้เวลาไปกว่าสองชั่วโมง

จากนั้น ก็ถึงเวลาที่ผู้อาวุโสทั้งห้าท่านจัดการแก้ไขข้อเรียกร้องและความต้องการของทุกคน

บางคนขอร้องที่จะนำลูกของตนไปทำงานในวิสาหกิจของตระกูลหลิน

บางคนหวังว่าจะสามารถปรับเปลี่ยนหน้าที่การงานของตนเอง

บางคนหวังที่จะกลับมายังตระกูลหลินที่อูซู

……

ข้อเรียกร้องของคนส่วนใหญ่ ผู้อาวุโสทั้งห้าท่านต่างก็ได้อนุมัติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ก็เพราะว่าเป็นช่วงปีใหม่ เพียงแค่ข้อเรียกร้องไม่เกินไปนัก โดยทั่วไปแล้วผู้อาวุโสทั้งห้าท่านก็จะไม่ปฏิเสธ

ในที่สุด ก็ไม่มีใครที่ลุกยืนขึ้นมาพูดแล้ว

“ยังมีใครอีกไหม? ” นายท่านหลินซื่อเฉิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

ไม่มีใครพูดอะไร

ในที่สุดหวางซูเฟินก็ได้เดินออกมา

“เจ้าบ้าน ไม่นานมานี้ฉันได้รับบุตรบุญธรรมมาหนึ่งคน หวังว่าเจ้าบ้านจะยอมรับ ให้เขาเข้าไปอยู่ในหนังสือบันทึกลำดับศักดิ์ของวงศ์ตระกูลหลินด้วย! ”

ถ้าหากหลินหยุนไม่ได้เข้ามาอยู่ในตระกูลหลิน สำหรับหลินหยุนแล้ว เขาก็ยังเป็นเพียงแค่คนนอกเท่านั้น

แต่เมื่อเข้าสู่ตระกูลหลินแล้ว ถ้าอย่างนั้น เขาก็สามารถที่จะมีสิทธิเหมือนกับลูกหลานตระกูลหลินคนอื่น

แบบนี้ถือว่าหวางซูเฟินกำลังช่วยหลินหยุนปูทาง กล่าวได้ว่ามีเจตนาตั้งใจอย่างที่สุด

เพราะว่า แม้บริษัท ตงหวาง กรุ๊ปจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่กลับมีรากฐานที่ตื้นเขิน ส่วนตระกูลหลินมีประวัติมายาวนานนับร้อยปี มีรากฐานที่มั่นคงแน่นหนา

หากว่าตระกูลหลินสามารถรับหลินหยุนได้ ถ้าอย่างนั้นสำหรับหลินหยุนแล้ว จะถือเป็นผลดีมีประโยชน์อีกมากมาย

หลินซื่อเฉิงสีหน้าท่าทางเฉยเมย ไม่ได้ตอบกลับอะไร เหมือนกับว่ากำลังรออะไรอยู่

ส่วนผู้อาวุโสตระกูลหลินสี่ท่านที่เหลือ ได้มองไปที่หวางซูเฟิน ด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ไร้ความรู้สึก มองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ

“เหลวไหลสิ้นดี! เป็นเพียงคนนอก จะสามารถมีชื่อเข้าอยู่ในหนังสือบันทึกลำดับศักดิ์ของวงศ์ตระกูลหลินได้อย่างไร! ” หลินตงเย่วตะโกนพูดขึ้นเป็นคนแรก

สวี่เหม่ยเย้นรีบช่วยพูดขึ้น: “ถูกต้อง ไม่ใช่สายเลือดของตระกูลหลินเราสักหน่อย ทำไมถึงจะต้องเข้ามาอยู่ในตระกูลหลินด้วยล่ะ! ”

“พี่สะใภ้ ฉันว่าคุณคงคิดถึงลูกชายจนเป็นบ้าไปแล้วแน่เลย! โดยได้ไปหาใครมาสักคนหนึ่ง แล้วก็รับเขามาเป็นลูกชายของตัวเอง”

“คุณรับเขาเป็นลูกซึ่งพวกเราไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ แต่ว่า คุณอย่าได้คิดที่จะให้เขาเข้ามาอยู่ในตระกูลหลินของพวกเรา! ”

หลินเจียเหวินลูกชายคนโตทางสายเลือดของคุณปู่สี่ พูดขึ้นว่า: “ฉันก็คัดค้าน ผู้ที่ไม่ใช่ตระกูลเดียวกัน จิตใจของเขาก็คงต้องแตกต่างกันด้วย! ผู้ที่ไม่ใช่สายเลือดตระกูลหลินของเรา ไม่มีทางเข้าอยู่ในหนังสือบันทึกลำดับศักดิ์ของวงศ์ตระกูลหลินได้อย่างแน่นอน! ”

“ถูกต้อง พี่สะใภ้ทำไมถึงไม่นำบุตรบุญธรรมคนนี้ไปที่ตระกูลหวางล่ะ! อิทธิพลอำนาจของตระกูลหวางของคุณนั้นยังแข็งแกร่งเหนือกว่าตระกูลหลินของพวกเราเสียอีก ให้เขาเข้าไปอยู่ในตระกูลหวางยังจะดูดีมีอนาคตกว่าอยู่ในตระกูลหลิน” หลินตงเย่วเยาะเย้ยถากถาง

หานเจียวเจียวยิ้มเยาะและพูดขึ้นว่า: “ฉันว่าประธานกรรมการหวาง คุณคงไม่ได้เป็นเพราะว่าไม่มีลูกชายลูกสาวสืบทอด เกรงว่าในอนาคตจะได้รับส่วนแบ่งมรดกทรัพย์สินน้อย ดังนั้นจึงได้รับบุตรบุญธรรมเพื่อมารับส่วนแบ่งมรดกทรัพย์สินล่ะสิ? ”

ส่วนคนอื่นไม่มีใครพูดคัดค้านขึ้นอีก แต่ว่า สายตาที่มองไปยังหวางซูเฟิน กลับเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

ชัดเจนเลยว่า คนส่วนใหญ่ต่างก็คิดว่าที่หวางซูเฟินให้บุตรบุญธรรมของเธอเข้ามาอยู่ในตระกูลหลิน ก็เพราะต้องการที่จะช่วงชิงส่วนแบ่งมรดกทรัพย์สิน

หวางซูเฟินโมโหมากจนถึงกับหน้าขาวซีด และจ้องมองไปที่หลินตงเย่วอย่างโกรธแค้น: “นายหมายความว่าอย่างไร ปัจจุบันความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับตระกูลหวางเป็นอย่างไรนายไม่รับรู้บ้างเลยเหรอ? ”

“ฉันให้หลินหยุนเข้าอยู่ในตระกูลหลิน เพียงแค่ต้องการให้สถานะของเขาเป็นที่ยอมรับ นอกจากนี้แล้ว ไม่มีความคิดความต้องการอะไรอย่างอื่นเลย”

“ถ้าหากพวกนายไม่เชื่อ ตอนนี้ฉันสามารถที่จะลงรายละเอียดเป็นลายลักษณ์อักษรเอาไว้ว่า มรดกทรัพย์สินของตระกูลหลินทั้งหมด ฉันไม่ต้องการอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว”

สวี่เหม่ยเย้นเอามือกอดอก ยิ้มเยาะและพูดว่า: “พูดได้น่าฟังทีเดียวเชียว เมื่อเห็นด้วยให้เขาเข้ามาอยู่ในตระกูลหลินแล้ว เมื่อถึงตอนนั้นจะแบ่งหรือไม่แบ่งมรดกทรัพย์สินของตระกูลหลิน ก็ไม่ใช่ว่าฉันกับเธอจะเป็นคนตัดสินสักหน่อย! ”

“ถูกต้อง ไม่ว่าเธอจะพูดได้น่าฟังมากเท่าไหร่ พวกเราตระกูลหลินไม่มีทางที่จะให้คนนอกเข้ามาอยู่ในตระกูลโดยเด็ดขาด! ” หลินตงเย่วพูดขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว

หลินตงถิงพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า: “น้องสะใภ้ ในเมื่อทุกคนต่างก็คัดค้านกับเรื่องนี้ ฉันคิดว่าหยุดพักไว้ชั่วคราวก่อนเถอะ! ช่วงวันปีใหม่ อย่าได้เป็นทุกข์ไม่สบายใจเพราะคนนอกเลย! ”

หวางซูเฟินมองไปที่หลินตงถิงอย่างเย็นชา: “คนนอก? หลินหยุนเป็นบุตรบุญธรรมของฉันพวกนายเอาแต่พูดว่าเป็นคนนอก หรือกำลังพูดว่าฉันก็เป็นคนนอกเช่นกันใช่ไหม? ”

หลินตงถิงไม่กล้าที่จะพูดต่อ ต่อให้ในใจคิดว่าหวางซูเฟินเป็นคนนอก แต่ว่า ไม่มีใครที่จะกล้าพูดคำนี้ออกมาต่อหน้านายท่านหลินซื่อเฉิง

“น้องสะใภ้ เธอพูดแบบนี้มันค่อนข้างจะไม่มีเหตุผลแล้ว! ทุกคนเคยมีใครพูดกันเหรอว่าเธอเป็น คนนอก? ”

หวางซูเฟินพูดขึ้นอย่างเย็นชา: “ฉันกับตงหัวไม่มีลูก แม้ว่าหลินหยุนเป็นเพียงบุตรบุญธรรมของฉัน แต่ว่า พวกเราเตรียมที่จะให้เขาเป็นลูกแท้ ๆ! ”

“พวกนายขัดขวางไม่ให้เขาเข้าอยู่ในตระกูลหลิน ซึ่งก็คิดว่าฉันกับตงหัวก็ไม่ใช่คนตระกูลหลินเหมือนกันใช่ไหม? ”

ไม่มีใครพูดต่อ เมื่อครู่คนที่โวยวายหนักหนาอย่างสวี่เหม่ยเย้นกับหานเจียวเจียว เพียงแค่แสดงท่าทางยิ้มเยาะ แต่กลับไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อ

แม้ว่าในใจของพวกเขาจะรังเกียจหลินตงหัวกับหวางซูเฟิน แต่ว่า ไม่มีใครสักคนที่จะกล้าพูดว่าหลินตงหัวไม่ใช่คนตระกูลหลิน

จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์

จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์

Status: Ongoing

มหากษัตริย์ชางฉองหลินหยุนที่ปราบปรามสามโลกไถ่บาปไม่สำเร็จ เกิดใหม่กลับสู่โลกมนุษย์เป็นเขยแต่งเข้าบ้าน ชาติปางก่อน ได้เมียที่สวยเซ็กซี่ดูเป็นผู้ใหญ่กลับครอบครองไม่ได้ ชาตินี้ หลินหยุนจะทำยังไง……ชาติก่อน เขาเป็นคนไร้ความสามารถที่ใครๆต่างดูถูก ชาตินี้ เขาเป็นหมอเทพหลินในวงการแพทย์ ตาทิพย์หลินในวงการของโบราณ อาจารย์หลินในวงการฮวงจุ้ย และหลินชางฉองในวงการบู๊ เมื่อเขากลับมาสู่เทวโลกอีกครั้ง พบว่าเทวโลกมีการเปลี่ยนแปลง หลายคนที่กำลังไถ่บาปรวมตัวกัน พวกเขาจะทำได้ดั่งใจหวังหรือไม่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท