จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ – บทที่ 701 ตระกูลนิ่งมาถึง

บทที่ 701 ตระกูลนิ่งมาถึง

ใบหน้าหลินตงหัวซีดเซียว อดไม่ได้จนต้องตะโกนด้วยความโกรธ “หุบปากซะ เด็กอย่างพวกเธอ ทำไมพูดจาได้โหดเหี้ยมเช่นนี้!”

ตระกูลหลินสามชั่วอายุคน ส่วนมากได้รับผลมาจากพ่อแม่ ความรู้สึกที่มีต่อผู้อาวุโสอย่างหลินตงหัว ไม่มีความเคารพเลย

เมื่อได้ยินหลินตงหัวดุด่าพวกเขา ชั่วขณะก็โต้กลับทันทีด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“อาหลิน พวกเราแค่คาดเดาเอาเอง ทำไมปฏิกิริยาของคุณถึงรุนแรงเช่นนี้? หรือการคาดเดาของพวกเราถูกต้อง ที่แท้หลินหยุนไม่ใช่ผู้ชายจริงๆ?”

“ฮ่าๆ……”

หลินเหลยหัวเราะเสียงดัง สายตาที่มองหลินหยุน เต็มไปด้วยความหยอกล้อ

สายตาที่นิ่งเฉยของหลินหยุนมองคนที่กำลังพูด น้ำเสียงเย็นชา “แกลองพูดอีกครั้งหนึ่งซิ”

“ถ้าฉันพูดแล้วจะ……”เดิมทีชายหนุ่มคนนั้นกำลังจะพูดว่า ฉันพูดแล้วจะทำไม แต่ว่า เมื่อเห็นสายตาของหลินหยุน ก็ตกใจจนต้องหุบปาก และไม่กล้าพูดให้จบประโยค

เขารู้สึกว่า สายตาของหลินหยุนนั้น ไม่ใช่สายตาของมนุษย์ เห็นได้ชัดว่าเป็นสัตว์ร้ายที่ต้องการกินคน

ถ้าเขากล้าพูดอีกประโยคหนึ่ง ไม่ต้องคิดก็รู้เลยว่า หลินหยุนจะต้องทำให้ร่างกายเขาแหลกสลายทันที!

คนอื่นๆที่เหลือต่างก็ตกใจกับสายตาของหลินหยุน แต่ละคนต่างไม่กล้าขัดขืน หุบปากไว้

เพียงแต่ว่า แม้ว่าคนเหล่านี้ไม่กล้าที่จะดูหมิ่นหลินหยุนอย่างเปิดเผย แต่ลับหลังพวกเขาก็ยังซุบซิบกัน

“หึ สายตาของไอ้หนุ่มคนนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ! แต่ว่า เก่งแต่กับพวกเราจะมีประโยชน์อะไร? ถ้ามีความสามารถจริงก็ไปหาผู้หญิงที่สวยกว่านางในฝันอย่างเย่จื่อเชี่ยนมาสิ!”

“ใช่ เสียดายที่รวย แฟนก็ไม่มีปัญญาหา ถ้ากูมีเงินหนึ่งในสิบของเขา รับรองว่าต้องมีนางในฝันติดตามฉันอย่างน้อยสิบคน!”

“เช้อ หลินล่าง แค่ร่างเล็กๆของนาย เอานางในฝันสิบคนให้นาย นายรับไหวไหม?”

ลินล่างหัวเราะคิกคักและพูดว่า “เพื่อผู้หญิง แม้แต่ตายก็ยอม! ดีกว่าใครบางคน ที่ไม่ใช่ผู้ชาย!”

หลินตงหัวถอนหายใจอย่างจนปัญญา มองหลินหยุนแล้วปลอบใจ “เสี่ยวหยุน อย่าไปสนใจพวกเขา คนเหล่านี้อิจฉาเธอเรื่องการประเมินของตระกูลเมื่อวานนี้ ที่เธอได้อันดับหนึ่ง!”

“ผมไม่เป็นไร คุณพ่อไม่ต้องกังวล” หลินหยุนพูดเบาๆ

ในขณะนั้น จู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นจากข้างนอก “เจ้าบ้านตระกูลเฉิน เฉินชิงหลินมาถึง!”

ทุกคนตะลึง!

ไฮไลท์ของงานประจำปีของตระกูลหลิน กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

ห้องรับแขกทั้งห้องเงียบสงบขึ้นมาทันที และบรรดาผู้ที่เยาะเย้ยหลินหยุนก็หุบปากเงียบ

หลินซื่อเฉิงซึ่งนั่งอยู่ที่นั่งหัวหน้าอมยิ้ม และพูดกับลูกน้องที่อยู่ข้างๆ “ตระกูลเฉินปีนี้มาเร็วมาก!”

ท่านหลินห้าหัวเราะและพูดว่า “เมื่อเดือนที่แล้วนายท่านตระกูลเฉินได้เกษียณ ตระกูลเฉินสองชั่วอายุคน พรสวรรค์ก็น้อยลง โดยรวมแล้วเริ่มถดถอย ดังนั้นคงไม่สามารถเบ่งอำนาจเหมือนเมื่อก่อนได้อย่างแน่นอน”

ท่านหลินสี่พูดว่า “แม้ว่านายท่านตระกูลเฉินจะเกษียณแล้ว แต่ความสัมพันธ์นั้นยังคงอยู่ ขอเพียงนายท่านเฉินยังอยู่ ตระกูลเฉินก็สามารถรักษาสถานะปัจจุบันนี้ได้”

“ใช่แล้ว หากนายท่านเฉินยังอยู่ สามารถรับประกันว่าตระกูลเฉินจะไร้ความกังวล แต่ว่า ถ้านายท่านเฉินจากไป ตระกูลเฉินจะตกอยู่ในอันตราย!” หัวหน้าตระกูลหลินพูด

หลินซื่อเฉินพูดเบาๆ “ไม่ว่าตระกูลเฉินจะเป็นอย่างไร พวกเขาทั้งหมดเป็นพันธมิตรของตระกูลหลิน ตงถิง ไปต้อนรับเลย!”

หลินตงถิงโค้งคำนับและพูดว่า “ครับ!”

เพียงแต่ว่า ครั้งนี้หลินตงถิงไม่ได้ไปที่นั่นด้วยตนเอง แต่พูดกับหลินโล่เฉินว่า “โล่เฉิน ไปต้อนรับเจ้าบ้านเฉินแล้วพาข้ามา!”

“ครับ ท่านพ่อ!” หลินโล่เฉินตอบรับ

ตระกลูเฉินอยู่ในอูซุ เป็นเพียงตระกูลชนชั้นระดับสอง ตามสถานะของหลินตงถิง ไม่ไปต้อนรับเองแน่นอน

ให้หลินโล่เฉินไป เป็นการเหมาะสมที่สุด

เจ้าบ้านเฉินเดินเข้ามา เดินตรงไปหาหลินตงถิง ใช้มือประสานกันคำนับและพูดว่า “พี่ตงถิง สวัสดีปีใหม่!”

“พี่เฉิน สวัสดีปีใหม่!” หลินตงถิงยิ้มตอบ

จากนั้น เจ้าบ้านเฉินเดินไปหานายท่านหลินซื่อเฉิน และทำความเคารพ “นายท่านหลิน ฉันมาอวยพรปีใหม่ให้ท่านแล้ว!”

หลินซื่อเฉินหัวเราะคิกคักและพูดว่า “ดี ดี ร่างกายของพ่อ คุณเป็นยังไงบ้าง? นานแล้วที่ไม่ได้เจอเขา”

เจ้าบ้านเฉินพูดว่า “พ่อของผมสบายดี ขอบคุณความห่วงใยจากนายท่านหลิน!”

จากนั้น เจ้าบ้านเฉินก็กล่าวคำอวยพรปีใหม่กับบรรดาผู้อาวุโสทั้งห้าของตระกูลหลิน จากนั้นนั่งข้างๆหลินตงถิง

คนอื่นๆมองไปที่หลินตงถิง สายตาเต็มไปด้วยความอิจฉา

จนถึงตอนนี้ แขกสองคนที่มา เพราะมนุษยสัมพันธ์ที่ดีของหลินตงถิง

อย่างไรก็ตาม หลินตงถิงได้รับการปลูกฝังให้เป็นเจ้าบ้านตระกูลคนต่อไป และในบรรดาสองชั่วอายุคนของตระกูลหลิน ฐานะตำแหน่งของหลินตงถิงสูงสุด และมนุษย์สัมพันธ์ของเขาจะกว้างขวางที่สุด

ทันใดนั้น มีเสียงขานชื่อดังมาจากหน้าประตู “เจ้าบ้านตระกูลนิ่งในเมืองหลวงมาแล้ว!”

ตระกูลนิ่งแห่งเมืองหลวง!

ทุกคนในตระกูลหลินต่างตกตะลึงในเวลาเดียวกัน!

“ตระกูลนิ่งแห่งเมืองหลวง? ตระกูลนิ่งไหน?” มีคนถามอย่างสงสัย

“อยู่เมืองหลวง จะมีตระกูลนิ่งไหนล่ะ แน่นอนต้องเป็นตระกูลนิ่งซึ่งขึ้นชื่อว่ามีหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง!”

“แต่ว่า ตระกูลนิ่งและตระกูลหลินของพวกเรา ที่ผ่านมาไม่เคยติดต่อกัน ทำไมจู่ๆเจ้าบ้านตระกูลนิ่งถึงมาที่นี่?”

นอกจากนี้ อำนาจของตระกูลนิ่งยังเหนือกว่าตระกูลหลินมาก แม้ว่าจะอวยพรปีใหม่ ก็ควรเป็นตระกูลหลินของเราที่ไปกล่าวคำอวยพรต่อตระกูลนิ่งถึงจะถูก!”

จู่ๆหลินเห้าก็พูดเยาะเย้ย “อวยพรปีใหม่? ใครบอกว่าตระกูลนิ่งมาอวยพรปีใหม่ให้ตระกูลหลิน? ตระกูลหลินของเรามีคุณสมบัตินั้นหรือ?”

หลินเหลยถามด้วยความสงสัย “พี่เห้า ถ้าตระกูลนิ่งไม่ใช่มาอวยพรปีใหม่ให้ตระกูลหลิน ถ้างั้นพี่ว่าพวกเขามาทำอะไรเหรอ?”

หลินเห้ายิ้มและพูดอย่างเย็นชา “นี่ยังต้องถามอีกหรือ? ไอ้หนุ่มหลินหยุนทำให้คุณชายนิ่งขุ่นเคือง เจ้าบ้านตระกูลนิ่งต้องมาสอบถามหาความผิดอย่างแน่นอน!”

หลินเหลยตบหน้าผาก ทันใดนั้นก็นึกได้ “ใช่แล้ว ฉันทำไมลืมเรื่องแบบนี้ไปได้อย่างไร! ในงานเลี้ยงค็อกเทลชนชั้นสูงครั้งนั้นไอ้หนุ่มหลินหยุนทำให้คุณชายนิ่งขุ่นเคือง เจ้าบ้านตระกูลนิ่งต้องมาเพื่อสอบถามหาความผิดอย่างแน่นอน!”

“ฮ่าๆ หลินหยุน ครั้งนี้นายตายแน่! เจ้าบ้านตระกูลนิ่งมาสอบถามหาความผิดด้วยตัวเอง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโกรธแค่ไหน!”

ทันใดนั้นหานเจียวเจียวพูดตำหนิด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หวางซูเฟิน ดูให้ดีๆกับเรื่องที่ลูกชายของเธอทำ มาถึงตระกูลหลินไม่ได้มีส่วนช่วยเหลือใดๆ แต่กลับไปล่วงเกินตระกูลนิ่งก่อน”

“ตอนนี้เจ้าบ้านตระกูลนิ่งมาที่ตระกูลหลินเพื่อสอบถามหาความผิด ถ้าเรื่องนี้มันแพร่กระจายออกไป ตระกูลนิ่งจะต้องเกิดความสูญเสียอย่างหนักหน่วง!”

ครั้งที่แล้ว เนื่องจากคำพูดประโยคหนึ่งจากตระกูลหวาง ทำให้คนที่ทำธุรกิจกับตระกูลหลิน ตัดขาดการติดต่อกับตระกูลหลินทีละคน

แม้ว่าผลกระทบของตระกูลนิ่งจะเทียบไม่ได้กับหัวหน้าตระกูลหวางแห่งสี่ตระกูลใหญ่ แต่หากเจ้าบ้านตระกูลนิ่งมาสอบถามหาความผิดด้วยตัวเอง ผลกระทบที่ตามมา จะหนักกว่าครั้งที่แล้วแน่นอน

ในเวลานั้น ความสูญเสียที่เกิดกับตระกูลหลินนั้น จะร้ายแรงมาก

หวางซูเฟินขมวดคิ้วเล็กน้อย และเธอไม่คาดคิดว่า เจ้าบ้านตระกูลนิ่งจะมาสอบถามหาความผิดกับหลินหยุนด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตาม จากความเข้าใจของหวางซูเฟินที่มีต่อนิ่งเฟิ่งเซียน เขาไม่ใช่คนหุนหันพลันแล่น

“ก่อนที่เรื่องจะชัดเจน ฉันแนะนำให้คุณอย่าเพิ่งด่วนสรุป คุณรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าบ้านตระกูลนิ่งมาที่นี่เพื่อสอบถามหาความผิด?” หวางซูเฟินโต้กลับ

หลินตงเย่วพูดเสียงเย็นชา “ถ้าตระกูลนิ่งไม่ใช่มาเพื่อสอบถามหาความผิด เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขามาเพื่ออวยพรปีใหม่ให้กับเธอ? เธอคิดว่าในบรรดาคนจำนวนมากที่อยู่ที่นี่ ใครมีคุณสมบัติพอที่จะให้เจ้าบ้านตระกูลนิ่งมาอวยพรปีใหม่ด้วยตัวเอง!”

หวางซูเฟินไม่สามารถโต้กลับได้ ด้วยพลังอำนาจของตระกูลนิ่ง คนในที่นี้ทุกคน ไม่มีใครมีคุณสมบัติพอที่จะให้เจ้าบ้านตระกูลนิ่งมาอวยพรปีใหม่ให้!”

แต่หวางซูเฟินยังไม่เชื่อว่านิ่งเฟิ่งเซียนมาที่นี่เพื่อสอบถามหาความผิด และอดไม่ได้ที่จะพูดเสียงเย็นชา “ถ้าเจ้าบ้านตระกูลนิ่งมาที่นี่เพื่อสอบถามหาความผิดจริงๆ ฉันจะยอมรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว!”

“ถ้าเจ้าบ้านนิ่งไม่ได้มาที่นี่เพื่อสอบถามหาความผิด พวกคุณทุกคนจะต้องขอโทษลูกชายของฉัน!”

หลินตงเย่วยิ้มและพูดเยาะเย้ย “ตกลง นั่นคือสิ่งที่เธอพูด ถึงตอนนั้นอย่าทำให้ตระกูลหลินของเราต้องเดือดร้อนล่ะ!”

ใบหน้าของหลินซื่อเฉินเคร่งขรึม จ้องไปที่หลินตงเย่วและตะโกนว่า “อย่าพูดเรื่องไร้สาระ!”

“ฉันพูดไปกี่ครั้งแล้วว่า คนในตระกูลหลินของเรามีสุขร่วมสุข มีทุกข์ร่วมทุกข์เอพูดแบบนั้น เพื่อต้องการทำให้ตระกูลหลินแตกแยกหรือ!”

หลินตงเย่วหน้าแดง และรีบก้มหัวยอมรับผิด “ลูกไม่กล้า! แต่เมื่อกี้พี่สะใภ้รองเป็นคนพูดเอง ไม่ใช่ผมไปบังคับให้เธอพูด คุณพ่อมาโทษผมไม่ได้!”

คนเราก็มักจะเป็นเช่นนี้ หวางซูเฟินยอมเอาเงินที่ขาดทุนมาหลายปีของบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปเพื่อช่วยเหลือบริษัทของหานเจียวเจียว

แต่ว่าตอนนี้เพียงแค่พูดเรื่องนี้ออกมาให้ทุกคนรู้เท่านั้นเอง หานเจียวเจียวก็คิดว่าหวางซูเฟินเจตนาที่จะหยามเกียรติเธอแล้ว

บุญคุณคนมักถูกลืมง่าย แต่ว่าความแค้นนี้สิกลับยั่งยืนยาวนานหลายสิบปีแม้กระทั่งอาจถึงร้อยปีก็ได้

ก็เหมือนคำพูดหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องไซอิ๋วที่กล่าวไว้ว่า: เวลารักใครสักคนมันช่างสั้นเหลือเกิน แต่เวลาโกรธแค้นใครสักคนกลับยาวนานถึง 500 ปี

ภายในห้องโถงนั้น ผู้คนตระกูลหลินทั้งหลายก็ยังนั่งตามตำแหน่งเดิมเช่นเมื่อวานนี้

ที่นั่งประธานนั้น หลินซื่อเฉิงก็กวาดสายตาไปยังผู้คน แล้วถามว่า “ตงถิง เตรียมห้องรับแขกไว้เป็นยังไงบ้างแล้ว?”

หลินตงถิงลุกขึ้นยืน ตอบด้วยความนอบน้อมว่า “เตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ”

หลินซื่อเฉิงก็ลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “งั้นไปเถอะ ไปรวมตัวที่ห้องรับแขกกัน”

ตระกูลหลินในฐานะที่เป็นตระกูลสูงศักดิ์อันดับหนึ่งของอูซู เวลาที่จัดงานเลี้ยงปีใหม่ของทุกปีนั้น ก็มักจะมีผู้คนมากมายมาอวยพรปีใหม่ ในห้องโถงใหญ่มีที่ว่างจำกัด ดังนั้นตระกูลหลินจึงได้สร้างห้องรับแขกขนาดใหญ่หลังหนึ่งขึ้นมาโดยเฉพาะ

ผู้คนตระกูลหลินทั้งหลายก็เดินตามนายท่านหลินซื่อเฉิง เคลื่อนย้ายไปยังห้องรับแขกที่กว้างขวางโอ่โถงนั้น

หลินตงถิงลุกขึ้นยืน แล้วพูดว่า “เจ้าบ้านครับ เย่เทียนเหลียง เจ้าบ้านตระกูลเย่แห่งเจียงหนานได้มารอพบอยู่ด้านนอกนานแล้วครับ”

ตระกูลเย่แห่งเจียงหนาน เป็นพาร์ทเนอร์สำคัญที่ร่วมมือของตระกูลหลินแห่งอูซูมาโดยตลอด แน่นอนที่ว่า ในระหว่างที่ตระกูลหลินร่วมมือกับตระกูลเย่นั้น ตระกูลเย่เป็นฝ่ายที่อ่อนแอกว่า ดังนั้น ช่วงเวลาที่ผ่านมาตระกูลเย่ก็ได้ประจบประแจงตระกูลหลินมาโดยตลอด

งานเลี้ยงปีใหม่ตระกูลหลินที่จัดขึ้นแทบทุกปีนั้น ตระกูลเย่จะต้องเป็นรายแรกที่มาอวยพรปีใหม่ตระกูลหลิน

มิหนำซ้ำ นายบ้านตระกูลเย่คนปัจจุบัน ยังยกลูกสาวของตัวเองให้กับหลินเห้าอัจฉริยะของตระกูลหลินอีกด้วย

แต่ว่า ตระกูลเย่อยู่ที่เจียงหนานนั้น ก็สามารถอยู่ในลำดับหนึ่งในสิบได้ นับว่าอำนาจบารมีก็ไม่น้อยเช่นกัน

ต่อให้ตระกูลหลินเอง ก็ไม่กล้าที่จะล่วงเกิน

หลินซื่อเฉิงก็รีบพูดว่า “เร็วๆ รีบเชิญเร็ว!”

“ครับ ผมจะไปต้อนรับด้วยตัวเองครับ!” หลินตงถิงพูดจบ ก็รีบเดินออกไปข้างนอก

เมื่อได้ยินว่าตระกูลเย่มาถึงแล้ว สีหน้าของหลินเห้าก็แสดงความภูมิใจออกมา

หลินเหลยที่นั่งอยู่ข้างกายเขา หัวเราะแหะๆแล้วพูดว่า “พี่ห้าว พี่สะใภ้จื่อเชี่ยนมาถึงแล้ว!”

“ฮึ่ม การประเมินผลงานตระกูลเมื่อวานถูกหลินหยุนเจ้าเด็กนั่นแย่งซีนไปหมดเลย วันนี้รอให้พี่สะใภ้จื่อเชี่ยนมาถึงก่อนเถอะ พี่ห้าวจะต้องแย่งซีนกลับมาให้ได้!”

“ต่อให้เจ้าเด็กนั่นร่ำรวยแล้วทำอะไรได้? เขาสามารถหาเทพธิดาที่มีทั้งชาติตระกูลที่ดีและสวยงามอย่างพี่สะใภ้จื่อเชี่ยนแบบนั้นได้ไหมล่ะ?”

หลินเหลยยกหางหลินเห้าจนเขารู้สึกสบายอกสบายใจ

“หลินหยุนเจ้าเด็กนั่น นับว่าเขาโชคดี ทำให้เขาแย่งซีนฉันไปได้ในการประเมินผลงานของตระกูล วันนี้ฉันจะต้องเหยียบเขาให้จมดินไปเลย!”

ในไม่ช้า หลินตงถิงก็พาผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินเข้ามา

ข้างกายของชายวัยกลางคนนั้น ยังมีหญิงสาวคนหนึ่งหน้าตาสวยงาม รูปร่างสูงเพรียวแต่งตัวในชุดกระโปรงสีขาวเดินมาด้วย

เย่เทียนเหลียงพาลูกสาวเย่จื่อเชี่ยน เดินมาถึงตรงหน้าหลินซื่อเฉิง โค้งตัวคำนับ “สวัสดีปีใหม่ครับนายท่านหลิน เย่เทียนเหลียงมาอวยพรปีใหม่ให้กับนายท่านหลินแล้วครับ!”

“คุณปู่หลิน สวัสดีปีใหม่ค่ะ!” เย่จื่อเชี่ยนพูดด้วยเสียงเบาๆ น้ำเสียงสดใสกังวานไพเราะน่าฟัง

หลินซื่อเฉิงก็รีบตอบรับด้วยรอยยิ้มว่า “เทียนเหลียง ช่างมีน้ำใจเหลือเกิน คุณพ่อสบายดีไหม?”

“ขอบคุณที่นายท่านยังระลึกถึง คุณพ่อร่างกายแข็งแรงดีครับ” เย่เทียนเหลียงพูด

หลินซื่อเฉิงก็มองไปยังเย่จื่อเชี่ยน พูดด้วยรอยยิ้มว่า “นานแล้วที่ไม่ได้พบเจอ จื่อเชี่ยนดูสวยขึ้นมากเลย”

“ขอบคุณคำชมของคุณปู่หลินค่ะ!” เย่จื่อเชี่ยนพูดด้วยความดีใจ

หลังจากอวยพรปีใหม่แล้ว เย่เทียนเหลียงก็มานั่งอยู่ข้างๆหลินตงถิง

ตามมารยาทแล้ว แขกผู้มีเกียรติที่มาอวยพรปีใหม่นั้น นั่งอยู่ข้างกายของใครก็ถือว่าเป็นเครือข่ายสัมพันธ์ของคนนั้น

ระหว่างเย่เทียนเหลียงกับหลินตงถิงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน จึงถือว่าเป็นเครือข่ายสัมพันธ์ของหลินตงถิง

ส่วนเย่จื่อเชี่ยนนั้น ดวงตาที่งดงามก็กวาดมองไปรอบๆผู้คน สุดท้ายก็มาหยุดอยู่ตรงที่ตัวหลินเห้า

“พี่หลินเห้า เห็นฉันมาถึงแล้ว ก็ไม่มาต้อนรับหน่อยเหรอ?” เย่จื่อเชี่ยนพูดพลางเดินตรงไปยังหลินเห้า

ภายในห้องรับแขกนั้น ลูกหลานรุ่นใหม่ของตระกูลหลินพวกนั้น สายตาลุกวาวส่องประกายไฟร้อนแรง

“พี่หลินเห้าโชคดีจริงๆเลย ถึงกับได้รับความรักจากเทพธิดาตระกูลเย่ได้!”

“นั่นน่ะสิ เย่จื่อเชี่ยนไม่เพียงแต่หน้าตาสะสวยแล้ว อีกทั้งตระกูลสูงส่งไม่เบาเลย ได้ข่าวว่าเย่จื่อเชี่ยนยังติดอันดับหนึ่งในสิบในบรรดาสาวงามของเจียงหนานเลยนะ”

“เมื่อวานงานประเมินผลของตระกูล หลินเห้าถูกหลินหยุนเจ้าหมอนั่นแย่งซีนไปหมดเลย วันนี้เย่จื่อเชี่ยนมาถึงเท่านั้นแหละ หลินเห้าจะต้องแย่งซีนกลับมาได้อย่างแน่นอนเลย!”

“ฮื่อ การประเมินผลงานของตระกูลเมื่อวานนี้ หลินหยุนเจ้าเด็กนั่นก็แค่โชคดีเท่านั้นเอง”

“หลินเห้าได้หมั้นหมายกับเทพธิดาตระกูลเย่ก่อนแล้ว ตัวเองก็ได้เป็นถึงอัจฉริยะตระกูลหลิน ก็มีแต่พี่โล่เฉินที่สามารถอยู่เหนือเขาเท่านั้นเอง”

“ในการประเมินผลงานตระกูลนั้นหลินหยุนเจ้าเด็กนั่นถึงแม้จะแย่งซีนเขาไปได้ก็จริง แต่ว่าถ้าเทียบกับพี่หลินเห้าแล้ว เขายังห่างไกลอีกมากเลย”

หลินเห้ามองดูเย่จื่อเชี่ยนที่เดินอ้อนแอ้นอย่างช้าๆมายังเขา สีหน้าก็แสดงความภาคภูมิใจออกมา

โดยเฉพาะเมื่อได้รับรู้ถึงสายตาที่ชื่นชมอิจฉาของเหล่าลูกหลานตระกูลหลินที่อยู่รอบๆแล้ว หลินเห้าก็ยิ่งมีความรู้สึกที่ประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น

หลินเห้าก็จัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อยแล้ว เดินไปยังเย่จื่อเชี่ยน พูดด้วยรอยยิ้มที่สุภาพว่า “เมื่อคืนนี้ผมนอนไม่ค่อยจะหลับเลย ก็เป็นเพราะว่าคิดถึงวันนี้คุณอาจจะมาก็ได้”

เย่จื่อเชี่ยนยิ้มอย่างเขินอาย แล้วควงแขนของหลินเห้า พูดอย่างออดอ้อนว่า “กะล่อนปลิ้นปล้อน!”

หลินเห้าก็ควงสาวงามเดินกลับเข้าไปที่นั่งตัวเอง เย่จื่อเชี่ยนก็ถามขึ้นมากะทันหันว่า “ใช่แล้ว เมื่อวานประเมินผลงานตระกูล คุณคงได้ที่หนึ่งสินะ!”

หลินเห้าสายตาส่องประกายหมองหม่น

หลินเหลยที่อยู่ข้างๆ ทำเสียงฮื่อใส่ “พี่สะใภ้เย่จื่อเชี่ยน คนที่ได้ที่หนึ่งไม่ใช่พี่เห้าหรอก ถูกคนอื่นแย่งไปแล้ว”

เย่จื่อเชี่ยนรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยแล้วถามว่า “เป็นไปได้ยังไงกัน? ตระกูลหลินยังมีใครที่เหนือกว่าพี่เห้าอีกล่ะ!”

หลินเหลยพูดอย่างไม่พอใจว่า “ฮื่อ เจ้าเด็กนั่นก็อาศัยแต่โชคดีบ้าบออะไรเท่านั้นเอง แย่งซีนของพี่เห้าไปหมดเลย”

เย่จื่อเชี่ยนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย พูดว่า “คนนั้นเป็นใครเหรอ? ฉันอยากจะเห็นจังเลย คนที่แย่งตำแหน่งแชมป์ของพี่หลินเห้าไป เป็นใครกันแน่?”

หลินเหลยมองไปยังหลินหยุนด้วยสีหน้าไม่พอใจ ทำปากเบ้แล้วพูดว่า “นู่น ก็เจ้าเด็กคนที่ชื่อหลินหยุนนั่นไง!”

“หลินหยุนเหรอ? เมื่อก่อนฉันไม่เคยได้ยินชื่อคนนี้เลยนะ!” รู้สึกว่าเย่จื่อเชี่ยนจะรู้เรื่องราวของพวกลูกหลานรุ่นใหม่ตระกูลหลินได้ดีทีเดียว

ตอนแรกที่เธอตัดสินใจเลือกที่จะหมั้นกับหลินเห้า ก็เพราะว่าเห็นความสามารถที่แฝงอยู่ในตัวของหลินเห้านั่นเอง

หลินเหลยพูดเยาะเย้ยว่า “เจ้าเด็กนั่นก็คือลูกชายที่พลัดพรากของหวางซูเฟินเจ้าของบริษัท ตงหวาง กรุ๊ป เพิ่งจะได้พบหน้ากับพ่อแม่ตัวเอง ใครจะคิดว่าดวงเขาจะโชคดีขนาดนั้น ถึงกับสร้างธุรกิจใหญ่โตอยู่ข้างนอกไว้มากมาย เลยแย่งซีนพี่เห้าไปได้ไม่อย่างนั้นละก็ คนที่ได้ที่หนึ่งการประเมินผลงานตระกูล จะต้องเป็นพี่เห้าอย่างแน่นอนเลย”

“ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง!” ใบหน้าที่สะสวยของเย่จื่อเชี่ยน ก็แสดงความเข้าใจออกมา

หลินเห้าพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “ฮื่อ หลินหยุนเจ้าเด็กนั่นกล้าแย่งซีนของฉันไป ฉันจะทำให้เขาได้เห็นดีเสียบ้างแล้ว!”

เย่จื่อเชี่ยนยิ้มหวานใส่แล้วพูดปลอบใจว่า “อย่าโมโหไปเลย คุณก็ยังมีฉันเหลืออยู่นี่นาไม่ใช่เหรอ?”

หลินเห้ามองดูเย่จื่อเชี่ยน แล้วพูดกระซิบว่า “ใช่แล้ว ผมยังมีคุณอยู่ข้างกายอีก มูลค่าเทียบได้กับทรัพย์สินถึงหมื่นล้านเลยนะ!”

หลินเหลยที่อยู่อยู่ข้างๆก็พูดอย่างชื่นชมว่า “พี่เห้า พี่สะใภ้จื่อเชี่ยนช่างเข้าใจจิตใจคนจังเลย พี่นี่โชคดีชะมัดเลย!”

หานเจียวเจียวก็เดินมาถึงข้างตัวหวางซูเฟิน จงใจพูดเสียงดังขึ้นว่า “โอ้โห หลินเห้านี่ช่างโชคดีจังเลย ถึงกับหาคู่หมั้นที่แสงอ่อนโยนน่ารักและสวยงามขนาดนี้มาได้!”

“คนบางคนจนถึงตอนนี้ยังเป็นโสดทั้งแท่งอยู่เลย หรือว่าจะอิจฉาตาร้อนหรือเปล่านะ!”

หานเจียวเจียวถึงแม้จะไม่ได้พูดชื่อใคร แต่ทุกคนก็รู้ว่าเธอกำลังหมายถึงหลินหยุนอยู่

หลินเหลยก็พูดเยาะเย้ยตามว่า “คิดอยากจะแข่งกับพี่เห้า เขายังห่างไกลอีกมากเลย อย่าคิดว่าโชคดีในการประเมินผลงานของตระกูล แล้วแย่งซีนพี่เห้าไปได้ ก็คิดว่าตัวเองเจ๋งมากแล้วสิ อยู่ตรงหน้าพี่เห้า แกก็ยังคงไม่ได้เป็นตัวอะไรเหมือนเดิม!”

พวกลูกหลานตระกูลหลินรุ่นที่สามทั้งหลาย ต่างก็รู้สึกสะใจบนความทุกข์ของคนอื่น

“พี่หลินเห้ามีคู่หมั้นสาวสวยที่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของสาวงามแห่งเจียงหนานอย่างเย่จื่อเชี่ยน ช่างน่าอิจฉาเสียจริงเลย คนบางคนมีแต่ทรัพย์สินเงินทองมากมาย แม้แต่เพื่อนสาวข้างกายสักคนก็ยังไม่มีเลย หาเงินมามากมายขนาดนั้น จะมีประโยชน์อะไร?”

“ยังมีอีกนะ คนบางคนหรือว่าไม่มีสมรรถภาพทางนั้นแล้ว? ไม่ใช่ผู้ชายแล้วมั้ง?”

“ฮ่าๆๆๆ……….”

“ฮ่าๆ ในที่สุดก็ถึงเจ้าเด็กยโสโอหังคนนี้สักที!”

“ได้เห็นเจ้าเด็กนี่อับอายขายหน้า มันน่าสนุกจริงๆเลย!”

“อ่าย ฉันแปลกใจจริงๆ แม้แต่เงินทุนตั้งต้นของตระกูลเขายังไม่ได้รับเลย แล้วทำไมกล้ามาเข้าร่วมประเมินด้วยล่ะ?”

“แกว่าเจ้าเด็กนี่สมองคงได้รับกระทบกระเทือนจนเสียสติไปแล้วมั้ง!”

ผู้คนตระกูลหลินทั้งหลายต่างก็ส่งเสียงเยาะเย้ยดังลั่นไปทั่ว

พวกหลินเห้าก็แสดงสีหน้าเยาะเย้ยด้วยความสะใจบนความทุกข์ของคนอื่น

หลินเหลยมองไปยังหลินหยุนอย่างเหยียดหยาม แล้วถามว่า “พี่เห้า เจ้าหมอนี่ทำไมยังใจเย็นสงบนิ่งได้ขนาดนี้ ไม่รู้ว่าโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่?”

หลินเห้าพูดเยาะเย้ยว่า “ฮื่อ แกล้งแสดงเล่นละครตบตาไปอย่างนั้นแหละ รอให้หลังจากตรวจสอบแล้ว เขาก็จะเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาเอง”

หลินโร่สุ่ยพูดด้วยเสียงโมโหว่า “พวกคุณก็อย่าดูถูกพี่หลินหยุนสิ อาจไม่แน่ผลงานของเขาดีกว่าพวกคุณทุกคนก็ได้!”

หลินเหลยหัวเราะลั่นแล้วพูดว่า “อ๋อเหรอ? น่ากลัวจังเลยอะ! พี่เห้า พี่เชื่อหรือเปล่า? แต่ยังไงฉันก็ไม่เชื่อ”

“ฉันก็ไม่เชื่อเหมือนกัน!” หลินเห้าพูดเยาะเย้ย

หลินโร่สุ่ยโกรธมากจนไม่ไปสนใจพวกเขาอีก “พี่หลินหยุน คุณจะต้องเอาผลงานที่ดีกว่าหลินเห้าออกมาให้ได้นะ ดูสิว่าพวกเขายังจะกล้าดูถูกคุณอีกหรือเปล่า!”

หลินหยุนเดินมาถึงตรงหน้าผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสอง เมื่อผู้อาวุโสทั้งสองเห็นหลินหยุนเดิมมามือเปล่า เดิมทีก็มีความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีกับหลินหยุนอยู่แล้ว ก็ขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เอกสารใบแสดงรายการทรัพย์สินของคุณล่ะ?”

หลินหยุนพูดอย่างเรียบๆว่า “ไม่ได้เอาติดตัวมาด้วย”

ผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองพูดด้วยความโมโหทันทีว่า “คุณไม่ได้เอามาด้วยแล้วคุณมาทำอะไร!”

พวกคนหนุ่มสาวตระกูลหลินบางคนก็หัวเราะขึ้นมาทันที “ฮาๆ เจ้าเด็กนี้ยังมาพูดล้อเล่นอยู่อีก แม้แต่เอกสารใบแสดงรายการทรัพย์สินก็ยังไม่มี แล้วยังกล้ามาเข้าร่วมประเมินผลงานอีก!”

“แม้แต่ทรัพย์สินลงทุนเขายังไม่มีเลย แล้วจะเอาใบแสดงรายการทรัพย์สินมาจากที่ไหนกันล่ะ?”

“ฮ่าๆ นั่นะสิ คนที่ไม่มีแม้แต่ทรัพย์สินลงทุน แล้วจะเอาใบแสดงรายการอะไรมาจากไหนกันล่ะ!”

สายตาทุกคนที่มองไปยังหลินหยุนนั้น เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม

สีหน้าท่าทางของหลินเหลยก็ยิ่งดูเวอร์วังเกินเหตุ หัวเราะจนหน้าหงายหน้าคว่ำ “เจ้าหมอนี่ เวลาพูดโกหกก็ยังไม่ใช้สมองคิดให้ดีก่อนเลย! ไม่มีก็ไม่มีสิ ยังบอกว่าไม่ได้เอาติดตัวมา! เขาคิดว่าจะหลอกใครก็ได้งั้นเหรอ?”

หลินเห้าก็พูดเยาะเย้ยด้วยสีหน้าดูถูก “ปล่อยให้เขาแกล้งแสดงไปเถอะ ดูสิว่าเขาจะแสดงได้อีกนานอีกเท่าไหร่!”

หลินโล่เฉินและหลินโร่หลันต่างก็ส่ายหัวด้วยสีหน้าขยะแขยง

“หลินหยุนเอ้ย ตระกูลหลินเราทำไมถึงต้องมีคนขยะๆอย่างแกด้วยนะ!”

หานเจียวเจียวย่อมไม่ปล่อยให้โอกาสที่ใช้โจมตีหวางซูเฟินคราวนี้หลุดมือไปอย่างแน่นอน รีบพูดเยาะเย้ยว่า “ไอ้หยา พูดได้สวยหรูจัง ไม่ได้เอาติดตัวมาด้วย! เวลาที่แกไปสนามรบ ก็คงไม่ได้พกปืนไปด้วยสินะ!”

“ไปรนหาที่ตายเหรอไง?”

“ฮ่าๆ!”

ในบรรดาคนตระกูลหลินรุ่นที่สองนั้น ส่วนใหญ่แล้วก็หัวเราะเยาะอย่างเต็มที่ทั้งนั้น แต่ว่า เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มสาวรุ่นที่สามของตระกูลหลินพวกนั้นแล้ว ก็ยังรู้สึกดูสำรวมกว่ามาก

หลินตงหัวรู้สึกหน้าแดงขึ้นเล็กน้อย ก้มหน้าลงไม่พูดไม่จา ในใจก็แอบเสียใจที่ตัดสินใจวู่วามให้หลินหยุนเข้าร่วมประเมินผลงานด้วย

สีหน้าหวางซูเฟินก็ยังคงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน กวาดสายตาไปยังผู้คนด้วยความเหยียดหยาม ทำเสียงฮื่อเบาๆ “หัวเราะไปเถอะ อีกประเดี๋ยวพวกแกก็หัวเราะไม่ออกแล้ว”

หลินหยุนไม่ได้อธิบายให้กับกรรมการตรวจสอบให้เข้าใจ แต่กลับมองไปยังซูจื่อเหลียง

ข้างกายของซูจื่อเหลียง ไม่รู้ว่ามีหญิงสาวชุดสูทสีดำมาปรากฏตัวอยู่ข้างๆตั้งแต่เมื่อไร

หญิงสาวรูปร่างสูงเพรียว แลดูสวยงามมาก

ซูจื่อเหลียงพยักหน้าให้กับหญิงสาวคนนั้น หญิงสาวก็เดินเข้าไปหาหลินหยุน

สายตาของทุกคน ต่างก็ถูกหญิงสาวที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันนั้นสะกดเอาไว้ ทุกสายตาต่างมองตามฝีเท้าก้าวย่างของหญิงสาวคนนั้นไป จนมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลินหยุน

หญิงสาวก็โค้งตัวลงคำนับหลินหยุน ด้วยท่าทีที่นอบน้อมมาก “เฉินต๋าจี่ขอคารวะเจ้านาย!”

หลินหยุนมองดูหญิงสาวแล้วพูดอย่างเรียบๆว่า “เจี่ยงสงเป็นคนส่งคุณมาเหรอ?”

“ใช่ค่ะเจ้านาย!” หญิงสาวยืนอยู่ข้างตัวหลินหยุนอย่างนอบน้อม แล้วพยักหน้าตอบรับ

หลินหยุนพูดอย่างนี้เรียบๆว่า “งั้นก็เริ่มได้เลย!”

“ค่ะ!”

เฉินต๋าจี่ก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม เดินผ่านข้างตัวหลินหยุนไป

หลังจากนั้น ก็มายืนอยู่ตรงหน้าผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสอง

เสี้ยววินาทีที่เฉินต๋าจี่เงยหน้าขึ้นมานั้น ก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยทีเดียว

เฉินต๋าจี่เปลี่ยนเป็นเย่อหยิ่งมาก มิหนำซ้ำยังแลดูค่อนข้างเลือดเย็นอีกด้วย

ทุกคนต่างก็รู้สึกมึนงงไปหมด

“อะไรกันเนี่ยะ? หญิงสาวที่สวยขนาดนี้ ถึงกับเรียกเจ้าเด็กนั่นว่าเจ้านาย!”

“พวกเขากำลังเล่นเกมอะไรอยู่?”

“ของปลอมสิ สมัยนี้จะเป็นไปได้ยังไงที่ยังมีคนเรียกเจ้านายกันอยู่อีกล่ะ! ไอ้เด็กนี่ไปหานักแสดงมาจากไหนกัน? แต่ว่านักแสดงสาวคนนี้สวยจริงๆเลย ถ้ามีสาวใช้อย่างนี้จริงละก็ รสชาติมันคง…….แฮๆ…….”

หลินโร่หลันมองไปยังเฉินต๋าจี่อย่างไม่เข้าใจ ในใจก็นึกสงสัย “นี่มันเป็นเรื่องอะไรกันแน่? สาวสวยคนนี้คือใคร? ดูจากท่าทีเธอแล้ว ก็ไม่เหมือนนักแสดงเลย!”

สายตาของหลินโล่เฉิน ย่อมร้ายกาจกว่าคนอื่นเป็นธรรมดา เขาดูออกว่า เฉินต๋าจี่ต้องไม่ใช่นักแสดงอย่างแน่นอน

เพราะว่าในตัวเฉินต๋าจี่นั้น มีบุคลิกลักษณะที่เย่อหยิ่งสูงส่งเฉพาะตัวอย่างหนึ่งแฝงอยู่ด้วย ถ้าเป็นนักแสดงที่โชกโชนเวทีในสังคมพวกนั้นแล้ว จะไม่มีบุคลิกลักษณะแบบนั้นอย่างแน่นอน

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่? เจ้าเด็กนี่กำลังเล่นปาหี่อะไรอยู่เหรอ?”

ผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองมองไปยังเฉินต๋าจี่อย่างเย็นชา หนึ่งในนั้นก็ถามขึ้นด้วยเสียงเข้มงวดว่า “คุณเป็นใคร?”

เฉินต๋าจี่พูดอย่างไม่รีบไม่ร้อนว่า “หลินหยุนเป็นเจ้านายของฉัน ฉันรับผิดชอบเอา เอกสารใบแสดงรายการทรัพย์สินและใบรับรองของเขามาให้ค่ะ”

“เขาเองก็มีมือมีเท้า ทำไมจะต้องให้คุณเอามาให้ด้วย?” ผู้ตรวจสอบอาวุโสรู้สึกมีอคติกับหลินหยุนเล็กน้อย น้ำเสียงแฝงไปด้วยการประชดแดกดัน

เฉินต๋าจี่ก็ไม่โกรธ พูดด้วยรอยยิ้มที่แปลกประหลาด “เพราะว่ามันมีมากเกินไป เกรงว่าพวกคุณอาจจะไม่สามารถตรวจสอบได้หมดภายในเวลาอันจำกัด ดังนั้นเจ้านายจึงให้ฉันไปคัดมาแต่บางส่วนแล้วเอามาส่งให้ค่ะ!”

ผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสอง “……”

ผู้คนตระกูลหลินทั้งหลายที่อยู่ในห้องโถงใหญ่นั้น ต่างก็ส่งเสียงอื้ออึงขึ้นมาทันที

“นักแสดงคนนี้ไม่ค่อยมืออาชีพสักเท่าไหร่เลย! ขี้โม้คุยโวเก่งกว่าหลินหยุนเจ้าเด็กนั่นเสียอีก!”

“เจ้าเด็กน้อยคนหนึ่งที่แม้แต่เงินทุนตั้งต้นก็ยังไม่ได้รับเลย สามารถหาทรัพย์สินมาได้นิดหน่อยก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ถึงกับพูดจาโอ้อวดคุยโม้ขนาดนี้!”

“แต่ว่านักแสดงคนนี้มีส่วนเหมือนกับเจ้าเด็กนั่นมากเลย ต่างก็ยโสโอหังทั้งนั้นเลย!”

คราวนี้ แม้แต่หลินตงถิงก็ยังทนไม่ไหว มองไปยังหลินตงหัว พูดด้วยเสียงหนักแน่นว่า “น้องรอง ลูกของนายคนนี้พเนจรอยู่แต่นอกบ้านมาตลอดทั้งปี อาจจะขาดการอบรมสั่งสอนไปบ้าง ในเมื่อเข้ามาอยู่ในตระกูลหลินแล้ว ต่อจากนี้ไปอย่าให้เขาก่อความวุ่นวายขึ้นมาอีกนะ!”

หลินตงหัวพูดด้วยสีหน้าละอายใจว่า “พี่ใหญ่สั่งสอนถูกแล้ว ต่อไปฉันจะอบรมสั่งสอน ให้เข้มงวดแน่นอนครับ!”

ในบรรดาท่านผู้ใหญ่ตระกูลหลินทั้งห้านั้น นอกจากหลินซื่อเฉิงแล้ว ที่เหลืออีกสี่คน ต่างก็มีสีหน้าที่เย็นชา รู้สึกไม่พอใจกับพฤติกรรมที่เหิมเกริมของหลินหยุนเป็นอย่างมาก

แม้แต่หลินซื่อเฉิงเองก็ยังแอบขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าแม้แต่เขาก็ยังคิดว่า หลินหยุนกำลัง ปั้นเรื่องคุยโวเพื่อหลอกลวงผู้อื่นให้หลงเชื่ออยู่

ไม่มีใครเชื่อคำพูดของหลินหยุนแม้แต่คนเดียว

เฉินต๋าจี่กวาดสายตาไปยังผู้คนอย่างเย่อหยิ่ง ยิ้มอย่างเย็นชา แล้วยื่นแฟ้มเอกสารให้กับผู้ตรวจสอบอาวุโส

“ในเมื่อพวกคุณไม่เชื่อ งั้นก็ดูเอาเองก็แล้วกัน!”

ภายในห้องโถงใหญ่นั้น ทุกคนต่างก็หยุดชะงัก สงบเงียบลงในทันทีทันใด

สายตาของทุกคน ต่างก็จ้องมองไปยังแฟ้มเอกสารที่เฉินต๋าจี่ยื่นให้กับผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองนั้น

“ยังไงฉันก็ไม่เชื่อเด็ดขาดเลย!”

ผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองเปิดอ่านแฟ้มข้อมูลเอกาสาร แล้วเริ่มทำการตรวจสอบ

ในขณะที่ได้อ่านดูใบแสดงรายการทรัพย์สินชุดแรกนั้น ทั้งสองคนถึงกับอ้าปากค้างทันที

สีหน้าเช่นนี้ ยังดูแตกตื่นเวอร์วังกว่าที่ได้เห็นใบแสดงรายการทรัพย์สินของหลินเห้าเมื่อครู่ถึงสิบเท่าเลยทีเดียว

“ของปลอม จะเป็นไปได้ยังไง!”

ใบแสดงรายการทรัพย์สินชุดแรกที่เฉินต๋าจี่มอบให้กับกรรมการตรวจสอบนั้น เป็น รายได้ส่วนหนึ่งที่ได้มาจากเจี่ยงสงในจงโจวเท่านั้น

มูลค่าก็ไม่มากนัก ก็เพียงแค่หนึ่งพันล้านเท่านั้นเอง แน่นอนนี่ก็เป็นเพียงทรัพย์สินส่วนน้อยที่เฉินต๋าจี่ได้เลือกสรรมาไว้ให้ก่อนหน้านั้นแล้ว

แต่ว่า เพียงแค่ใบแสดงรายการทรัพย์สินชุดแรกนี้เท่านั้น ก็ทำให้ช็อกได้ขนาดนี้แล้ว!

ถ้าหากคิดคำนวณจากเงินทุนตั้งต้นสิบล้านละก็ ผลกำไรก็ต้องเพิ่มขึ้นถึงร้อยเท่าเลยทีเดียว!

ผลกำไรของหลินเห้าเพิ่มขึ้น35เท่า ก็ทำให้ทุกคนตื่นตะลึงแล้ว ต่อให้เป็นของหลินโล่เฉินตอนนั้นก็เพิ่มขึ้นเพียง 60 เท่าแค่นั้นเอง

ผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสอง ก็เริ่มตรวจสอบพิสูจน์อย่างจริงจัง ด้วยการโทรศัพท์เพื่อยืนยันความถูกต้อง

หลังจากที่ได้ตรวจเช็กซ้ำอีกหลายครั้งแล้ว ในที่สุดผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองก็ยอมเชื่อแล้วว่า ใบแสดงรายการทรัพย์สินที่เฉินต๋าจี่ส่งให้พวกเขานั้น ถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย

“ใบแสดงรายการทรัพย์สินชุดแรกก็มีมูลค่าถึงพันล้านแล้ว ต่อไปจะเป็นเท่าไหร่อีกล่ะ?”

ผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองต่างก็หันมามองหน้าซึ่งกันและกัน

เมื่อพูดถึงหลินเห้า ท่านหลินห้าก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังหลินเห้าที่สีหน้าเย่อหยิ่งในห้องโถงใหญ่นั้น สายตาแสดงออกถึงความปลาบปลื้มยินดี

“หลินเห้าเจ้าเด็กนั่น วันๆก็ได้แต่เดินตามหลังโล่เฉิน หวังว่าจะได้เรียนรู้ความสามารถจากโล่เฉินเพียงแค่ส่วนเดียวก็พอแล้ว!”

หลินซื่อเฉิงพูดอย่างถ่อมตัวว่า “น้องห้าพูดอะไรกัน โล่เฉินถึงแม้ว่าจะโดดเด่นก็จริง แต่หลินเห้าอายุก็ยังน้อย ต่อไปในอนาคตผลงานคงไม่ด้อยไปกว่าโล่เฉินหรอก”

“พี่รองไม่ต้องปลอบใจฉันหรอก น้ำหน้าอย่างหลานแท้ๆในไส้ของฉันเองเป็นยังไง ทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะ? ” ท่านหลินห้าพูดเยาะเย้ยตัวเอง

หลินโร่สุ่ยหยิบข้อมูลเอกสารคืนมา แล้วเดินกลับไปด้วยความดีใจ

หลินหยุนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เลวเลยนะ”

“ขอบคุณที่ชมค่ะ! แต่ว่า บริษัทของฉันสามารถมีมูลค่ามากอย่างทุกวันนี้ได้ ก็ได้แต่อาศัยความช่วยเหลือจากคุณหลินผู้ลึกลับคนนั้นทั้งนั้นเลย! ถ้ามีโอกาส ฉันจะต้องขอบคุณเขาอย่างดีเลย!” ขณะที่หลินโร่สุ่ยพูดอยู่นั้น ดวงตากลมโตทั้งคู่ก็จ้องมองไปยังหลินหยุนอย่างไม่กะพริบตา ดูเหมือนว่าอยากจะมองทะลุเข้าไปในใจของหลินหยุน

แต่ว่า เธอก็ทำไม่สำเร็จ

ใบหน้าของหลินหยุนไม่แสดงข้อพิรุธออกมาแม้แต่นิดเดียว พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ก็ควรจะขอบคุณเขาจริงๆแหละ”

ผู้ตรวจสอบอาวุโสคนนั้น ก็ตะโกนพูดต่อไปว่า “คนต่อไป หลินเหลย!”

ชายหนุ่มผมสีทองแต่งตัวทันสมัยที่ยืนอยู่ข้างหลินเห้า ขยับแข้งขยับขาส่ายไปมาทั้งตัว เดินเข้าไปด้วยท่าทางเอ้อระเหยลอยชาย

ในมือของเขาไม่ได้ถืออะไรมาด้วยเลย

หนึ่งในผู้ตรวจสอบอาวุโสก็ถามด้วยเสียงเย็นชาว่า “ขอใบแสดงรายการทรัพย์สินและใบรับรองด้วย”

หลินเหลยพูดด้วยสีหน้าโอหังว่า “ไม่มี เงินทุนตั้งต้นสิบล้าน ผมใช้ไปหมดแล้ว ตอนนี้เหลือแค่ไม่กี่แสนเอง”

ผู้ตรวจสอบอาวุโสทำตาถลนใส่เขา “งั้นคุณยังเข้ามาทำไมอีกล่ะ! สละสิทธิ์ไปก็สิ้นเรื่องแล้ว”

หลินเหลยหัวเราะแฮ่ๆ “กลัวอะไร มีบางคนแม้แต่เงินทุนตั้งต้นยังไม่ได้รับเลย ยังกล้ามาเข้าร่วมประเมินผลงาน ยังไงเสียคนที่ได้ที่โหล่สุดท้ายก็ไม่ใช่ฉันอย่างแน่นอน”

พวกคนตระกูลหลินทั้งหลายก็หัวเราะเสียงดังลั่น

ใครๆก็รู้ว่าหลินเหลยกำลังพูดถึงใครอยู่

“เจ้าเด็กเวรหลินเหลยนี่ เป็นพวกล้างผลาญตระกูลหลินแท้ๆเลย!”

“แต่ว่าคราวนี้หลินเหลยก็ยังโชคดีมากเลย มีคนช่วยรั้งท้ายให้เขาแล้ว”

สีหน้าของหลินตงหัวแลดูไม่สู้ดีนัก ขณะเดียวกันในใจก็แอบเป็นห่วง “รู้อย่างนี้แต่แรกก็จะไม่ให้หลินหยุนไปร่วมด้วยแล้ว”

หวางซูเฟินสีหน้าแสดงออกถึงความเย้ยหยัน “ปล่อยให้พวกแกดีใจไปอีกสักพักก่อน อีกประเดี๋ยวหวังว่าพวกแกคงไม่ช็อกตายเสียก่อนล่ะ!”

หลินเห้าพูดเยาะเย้ยว่า “หลินเหลยเจ้าหมอนี่ รู้ล่วงหน้าว่ามีคนรั้งท้ายเลยไม่เกรงกลัวอะไร ถ้ามีคนที่แม้แต่หลินเหลยหนุ่มเจ้าสำราญคนนี้ยังสู้ไม่ได้เลย นั่นก็ต้องเป็นเศษสวะของตระกูลหลินแล้วล่ะ”

ขณะที่หลินเห้าพูดอยู่นั้น ก็เจตนามองไปยังหลินหยุน ขาดแต่ว่ายังไม่ได้ด่าหลินหยุนซึ่งหน้าเท่านั้นเอง

ลูกหลานตระกูลหลินที่เข้าร่วมประเมินผลงานทั้งหลายนั้น สายตาที่มองไปยังหลินหยุนก็เต็มไปด้วยความประสงค์ร้ายทั้งนั้น

“ถูกต้อง แต่ว่าหลินเหลยเป็นหนุ่มเจ้าสำราญที่มีชื่อเสียงของตระกูลหลินพวกเรา ถ้าหาก มีใครที่ยังสู้หลินเหลยไม่ได้อีกละก็ น่าจะไสหัวออกไปจากตระกูลหลินให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ยังจะมีน้ำหน้าอยู่ตระกูลหลินอยู่อีก!”

“ถ้าฉันแม้แต่หลินเหลยก็ยังเอาชนะไม่ได้ละก็ ฉันคงรีบหาทางแทรกแผ่นดินหนีไปแล้ว ยังจะมีหน้าอยู่ตระกูลหลินต่อไปอีก!”

หลินโร่สุ่ยเชิดหน้าใส่ “พวกคุณไม่ต้องมาตีวัวกระทบคราดหรอก ฉันบอกพวกคุณเลยนะ ผลงานของหลินหยุนไม่มีทางที่จะด้อยกว่าหลินเหลยอย่างแน่นอนเลย!”

“งั้นเหรอ? คุณมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอ?” หลินเห้าพูดเยาะเย้ย

หลินโร่สุ่ยสะบัดหน้าใส่ “ไม่เชื่อพวกเราก็รอดูกันเถอะ!”

หลินเหลยทำให้ผู้ตรวจสอบอาวุโสโกรธจนตัวสั่น ประกาศด้วยเสียงเย็นชาว่า “เงินลงทุนสิบล้าน ตอนนี้เหลือแค่ไม่กี่แสน ลูกหลานล้างผลาญตระกูลคนหนึ่ง ยังมีหน้ามายืนอยู่ที่นี่อีก ไสหัวกลับไปเลย!”

ฐานะตำแหน่งของผู้ตรวจสอบอาวุโสในตระกูลหลินก็ไม่ใช่ต่ำต้อยเลย ลูกหลานอย่างหลินเหลยนั้น ผู้เฒ่าทั้งสองคนต่างก็อยากจะถีบให้กระเด็นออกไปเลย ไม่จำเป็นที่จะต้องเกรงใจเขาอีกแล้ว

หลินเหลยก็ไม่รู้สึกอายเลยแม้แต่นิดเดียว เดินส่ายไปส่ายมากลับไปนั่งที่เดิม

ดวงตาทั้งคู่ยังจ้องไปยังหลินหยุนอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง ดูเหมือนมั่นใจแล้วว่าหลินหยุนจะต้องแพ้ให้เขาอย่างแน่นอน

“คนต่อไป หลินเห้า!” ผู้ตรวจสอบอาวุโสก็ไม่ได้หยุดนิ่ง ยังคงขานชื่อต่อไป

“ในที่สุดก็มาถึงหลินเห้าแล้ว!”

“หลินเห้าเป็นตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์ครั้งนี้แน่นอนเลย!”

“ถูกต้อง หลินเห้าเจ้าเด็กนี่วันๆก็ได้แต่เดินตามหลินโล่เฉินมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าไปเรียนรู้วิชาจากหลินโล่เฉินได้ถึงระดับไหนกันแล้ว?”

“สมาชิกที่เข้าร่วมประเมินผลงานชุดนี้ ก็คงมีแต่หลินเห้ากับหลินโร่สุ่ยแล้วล่ะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลินเห้าจะสามารถเอาชนะหลินโร่สุ่ยหรือไม่เท่านั้นเอง!”

ทุกคนต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา และตั้งความหวังไว้กับหลินเห้าเป็นอย่างมาก

ในบรรดาท่านผู้ใหญ่ตระกูลหลินทั้งห้านั้น ท่านหลินสามและท่านหลินสี่ ต่างก็มองไปยังท่านหลินห้า “เจ้าห้า หลินเห้าเป็นลูกหลานสายเลือดตระกูลคุณทางนี้ ทุกคนต่างก็เอาใจเชียร์เขาเลยนะ!”

ท่านหลินห้ายิ้มแล้วพูดอย่างถ่อมตัวว่า “เด็กคนนี้ก็พอมีความฉลาดอยู่บ้างเล็กน้อย เพียงแต่ว่าไม่รู้ว่าจะรู้จักเอาไปใช้ประโยชน์ในทางที่ถูกต้องหรือไม่เท่านั้นเอง!”

หลินซื่อเฉิงพูดว่า “อย่าไปดูถูกเด็กๆพวกนี้เชียวนะ ต่อไปพวกเขาจะต้องล้ำหน้ากว่าตาแก่อย่างพวกเราอย่างแน่นอน”

“อ่าย ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดีสิ ฉันกลัวแต่ว่าหลังจากที่พวกเราตายจากไปกันหมดแล้ว ตระกูลหลินก็ไม่มีใครสืบทอดต่อไปอีกแล้วสิ!” ท่านพี่ใหญ่หลินถอนหายใจเฮือก

ในขณะที่สนทนากันอยู่นั้น หลินเห้าก็มายืนอยู่ตรงหน้าผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสอง แล้วก็ยื่นแฟ้มเอกสารกองโตไปให้

“หลินเห้า เงินทุนตั้งต้นสิบล้าน”

ผู้อาวุโสทั้งสองก็เริ่มตรวจสอบ

เมื่อได้อ่านดูเอกสารครั้งแรก ผู้อาวุโสทั้งสองคนก็เงยหน้าขึ้นมาทันที มองไปยังหลินเห้าด้วยสายตาแตกตื่น เห็นได้ชัดว่าเกิดอาการช็อกไปเลย

หลินเหลยพูดกระซิบว่า “เห็นหรือยังล่ะ พี่เห้าร้ายกาจขนาดไหน! นี่แค่เพิ่งอ่านดูครั้งแรก ตาแก่ทั้งสองถึงกับช็อกไปเลย!”

“ฉันก็สังเกตเห็นแล้ว สงสัยว่าผลกำไรที่เพิ่มขึ้นของพี่เห้าจะต้องเป็นตัวเลขสูงมากอย่างน่าตกใจเลยทีเดียว!”

ในใจหลินโร่สุ่ยก็รู้สึกตกใจ มองไปยังหลินเห้าอย่างไม่กะพริบตา “ใครๆก็บอกว่า หลินเห้าเป็นตัวเต็งที่จะคว้าแชมป์ครั้งนี้อย่างแน่นอน ฉันยังไม่เชื่อมาโดยตลอด ดูไปแล้ว หลินเห้าก็ไม่ธรรมดาจริงๆเลย!”

“อ้าย คุณคิดว่าผลกำไรของหลินเห้าจะเพิ่มขึ้นขนาดไหนเหรอ?” เด็กรุ่นใหม่ของตระกูลหลินคนหนึ่งถาม

“ผลกำไรของหลินโร่สุ่ยเพิ่มขึ้นถึง11เท่าตัว แต่ว่า ผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองคนก็ยังไม่มีสีหน้าตื่นตกใจเลยนะ! ไม่ต้องพูดก็รู้แล้วว่า ผลกำไรของหลินเห้าจะต้องเพิ่มขึ้นเกินกว่า 11 เท่าอย่างมากเลยทีเดียว!”

“ผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองคนแค่มองดูครั้งแรก ก็รู้สึกตื่นตกใจแล้ว ฉันคิดว่าผลกำไรของหลินเห้าอย่างน้อยต้องได้มากกว่ายี่สิบเท่าขึ้นไปแน่เลย!”

“ยี่สิบเท่า!งั้นก็เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดรองลงมาจากหลินโล่เฉินแล้วสิ!”

คราวนี้ ผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองคนใช้เวลาค่อนข้างนานทีเดียว ประมาณแปดนาทีเต็มๆ

คนอื่นใช้เวลาเพียงแค่สองนาทีเท่านั้น นานหน่อยก็สามนาที แม้แต่ของหลินโร่สุ่ยก็ใช้เพียงแค่สี่นาทีเท่านั้น

ส่วนเวลาที่ใช้ตรวจสอบหลินเห้านานถึงแปดนาทีเต็มๆ

จะเห็นได้ว่า เอกสารใบรับรองแสดงรายการทรัพย์สินที่หลินเห้ายื่นเสนอไปนั้น จะต้องไม่น้อยทีเดียว ดังนั้น เวลาที่ใช้ไปก็ต้องค่อนข้างมากเช่นกัน

ในที่สุด ผู้ตรวจสอบอาวุโสทั้งสองคนก็ได้ตรวจสอบเสร็จเรียบร้อยแล้ว เงยหน้าขึ้นแล้วมองดูหลินเห้าอย่างตกตะลึง

“หลินเห้า เงินทุนตั้งต้นสิบล้าน กำไร 350 ล้าน!”

“เพิ่มขึ้น35เท่า!”

“อะไรนะ!”

“โอ้สวรรค์! เพิ่มขึ้น35เท่า หลินเห้าร้ายกาจจริงๆเลย!”

หลินเหลยตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “พี่เห้าองอาจห้าวหาญ!”

“ร้ายกาจจริงๆ ตั้ง35เท่าเชียว!”

“ผลงานนี้ก็ยังน้อยกว่าพี่โล่เฉินเล็กน้อย แต่ก็มากกว่าหลินโร่สุ่ยตั้งไม่รู้กี่เท่าเลยนะ!”

“สงสัยคนที่ได้ที่หนึ่งของการประเมินผลงานตระกูลครั้งนี้ จะต้องเป็นพี่เห้าอย่างแน่นอนเลย”

ลูกหลานรุ่นที่สองของตระกูลหลินพวกนั้น ต่างก็รู้สึกช็อกไปตามๆกัน

หลินตงถิงพูดกับพ่อของหลินเห้า ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่า “ยินดีด้วยนะ หลินเห้าบ้านคุณไม่ธรรมดาเลย สงสัยคนที่ได้ที่หนึ่งของการประเมินครั้งนี้ จะต้องเป็นของเขาอย่างแน่นอนเลย!”

พ่อของหลินเห้า ยิ้มแล้วพูดอย่างถ่อมตัวว่า “ที่ไหนกันล่ะ ข้างหลังยังมีคนอีกตั้งหลายคนยังไม่ได้ประเมินกันเลย? อีกอย่าง เมื่อเทียบกับหลินโล่เฉินบ้านคุณแล้วละก็ หลินเห้ายังห่างอีกไกลเลยล่ะ!”

“อาจไม่แน่ผลงานคราวนี้ คงได้รับความช่วยเหลือจากหลินโล่เฉินไม่น้อยทีเดียว”

“แม่หลินห้าว ยินดีด้วยนะ! หลินเห้าบ้านคุณเก่งกาจจริงเลย เพิ่มขึ้น35เท่า นี่นอกจากหลินโล่เฉินแล้ว ก็นับว่าเป็นผลงานที่ดีที่สุดแล้วนะ!”

“หลินเห้าจะต้องได้ที่หนึ่งของการประเมินผลงานตระกูลครั้งนี้อย่างแน่นอน แม่หลินเห้าเลี้ยงลูกได้ดีจริงๆเลย!” หานเจียวเจียวทั้งชื่นชมและทั้งอิจฉา แกล้งพูดแสดงความยินดีอย่างแสแสร้าง

ท่านผู้ใหญ่ตระกูลหลินทั้งห้าที่เหลืออีกสี่คน ก็ทยอยแสดงความยินดีกับท่านหลินห้าเช่นกัน

“น้องห้า ตระกูลสายทางเจ้าสองนั้นก็มีดาวเด่นอย่างหลินโล่เฉิน ส่วนตระกูลสายนายทางนี้ ก็มีหลินเห้ามาคนหนึ่งแล้ว น่าอิจฉาพวกนายจริงๆเลยนะ!”

“นั่นนะสิพี่ใหญ่ ไม่รู้ว่าสายพวกเราทางนี้ เมื่อไหร่จะได้ผลิตดาวรุ่งดวงใหม่ออกมาได้นะ!”

ท่านหลินห้าหัวเราะฮ่าๆ ถึงแม้ว่าปากพูดอย่างถ่อมตัวก็จริง แต่สีหน้าที่ภาคภูมิใจก็ยังคงปิดปังไว้ไม่ได้

ต่อจากนั้น ลูกหลานตระกูลหลินที่เหลือเหล่านั้น ก็เริ่มประเมินผลงานต่อไป

แต่ว่า ผลงานที่ดีที่สุดก็เพียงแค่กำไรห้าสิบล้าน ยังไม่ทะลุร้อยล้านเลย

ผ่านไปไม่นาน ก็มาถึงคนสุดท้ายแล้ว นั่นก็คือหลินหยุน

ผู้ตรวจสอบอาวุโสเงยหน้ามอง แล้วตะโกนพูดด้วยเสียงเข้มงวดว่า “คนสุดท้าย หลินหยุน!”

ก่อนหน้านั้นตอนที่หลินหยุนคุกเข่าลงให้กับหวางซูเฟิน ก็ได้ดึงดูดสายตาของทุกคนแล้ว

เมื่อหลังจากที่ฟังหลินหยุนพูดแล้ว ทุกคนของตระกูลหลินที่อยู่ในห้องโถง ต่างก็ตกตะลึงกันทั้งหมด แล้วมองไปที่หลินหยุนกันด้วยความเหลือเชื่อ

แต่ว่า ทุกคนก็ตั้งสติกลับคืนมาได้อย่างรวดเร็ว

พวกเขาไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน เพราะถ้าหากหลินหยุนเป็นลูกชายแท้ ๆ ของหวางซูเฟินแล้ว ทำไมจะต้องไปเป็นบุตรบุญธรรมของหวางซูเฟินด้วยล่ะ?

ซึ่งชัดเจนว่านี่มันไม่สมเหตุสมผล

“ฮึ ไอ้หนุ่มนี้ช่างทำทุกวิธีการเสียจริง รับแม่บุญธรรมแล้ว ยังต้องการที่จะรับแม่บังเกิดเกล้าอีกเหรอ? ”

“หน้าด้านจริง ๆ! ฉันมองข้ามระดับความหน้าด้านไร้ยางอายของไอ้หนุ่มนี้ไปแล้วจริง ๆ ด้วย”

หลินเห้าแอบเดินมามายังด้านข้างของหลินโล่เฉิน ถามขึ้นว่า: “พี่โล่เฉิน นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ไอ้หนุ่มนี้มาไม้ไหนกันแน่? ”

หลินโล่เฉินพูดอย่างเย็นชาว่า: “สถานะบุตรบุญธรรมดูท่าแล้วคงจะไม่มีทางเข้ามาอยู่ในตระกูลหลินได้ งั้นถ้าหากเป็นลูกแท้ ๆ ก็เป็นสายเลือดของตระกูลหลินโดยตรง ใครก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาคือคนของตระกูลหลิน”

“ไอ้หนุ่มนี้ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะเข้ามาอยู่ในตระกูลหลิน ตกลงคิดจะทำอะไรกันแน่? ”

หลินเห้าตกใจอย่างมาก: “เขาคงไม่ใช่สายลับที่ศัตรูส่งมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นทำไมถึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะเข้ามาอยู่ในตระกูลหลินด้วย? ”

หลินโร่สุ่ยตกตะลึงเป็นอย่างมาก ทว่า เธอไม่ได้สงสัยในตัวของหลินหยุน แต่ตะลึงที่ว่าที่จริงแล้วหลินหยุนคือลูกชายแท้ ๆ ของคุณป้าหวาง!

ทันใดนั้น สาวน้อยก็ดีอกดีใจขึ้น: “ดีมากเลย ถ้าหลินหยุนคือลูกชายแท้ ๆ ของคุณป้าหวาง ถ้าอย่างนั้นเขาก็คือพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของฉัน! ”

หลินโร่หลันรีบพูดถากถางขึ้นทันที: “อย่าเพิ่งดีใจไปก่อน ฉันคิดว่าเขาคงเป็นนักต้มตุ๋นหลอกลวง จึงทำทุกวิถีทาง เพื่อที่จะเข้ามาอยู่ในตระกูลหลิน ตอนนี้คิดต้องการที่จะปลอมเป็นลูกชายแท้ ๆ ของคุณป้าหวาง มันช่างหน้าด้านไร้ยางอายเสียจริง! ”

หลินตงหัวมองไปที่หลินหยุนด้วยสีหน้าท่าทางที่ตื่นเต้น พูดเสียงสั่นขึ้นว่า: “นายมีหลักฐานไหม? นายพูดขึ้นมาลอย ๆ ว่าเป็นลูกของพวกเราโดยไม่มีหลักฐาน แล้วพวกเราจะเชื่อนายได้อย่างไร? ”

“ต้องทราบด้วยนะว่า ตอนนั้นที่พวกเราพลัดพรากจากลูก ลูกเพิ่งมีอายุเพียงสองขวบ ซึ่งไม่สามารถจำได้หรอกว่าพวกเรามีรูปลักษณ์หน้าตาอย่างไร! ”

หวางซูเฟินพลันพูดขึ้นอย่างเย็นชา: “ไม่ต้องถามหรอก นี่มันคงเป็นไปไม่ได้! ”

จากนั้น หวางซูเฟินก็จ้องมองไปที่หลินหยุน และตวาดใส่อย่างเย็นชา: “ไอ้เด็กคนนี้ นายตกลงคิดจะทำอะไรกันแน่? ”

ฉินหลันที่อยู่ด้านข้าง ก็เกิดความตื่นตระหนกขึ้นในจิตใจ นอกจากหลินโร่สุ่ยแล้ว เกรงว่าเธอคงเป็นเพียงคนเดียวที่เชื่อมั่นในตัวหลินหยุนแล้ว

เพราะว่า ฉินหลันได้เคยสงสัยมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ถูกหวางซูเฟินปฏิเสธไป

หลินหยุนไม่ได้รีบร้อน เขารู้ว่าหวางซูเฟินคงไม่ยอมรับเขาได้โดยง่ายแน่ เป็นเพราะว่าเธอใส่ใจเป็นอย่างมาก เพราะว่าใส่ใจ ดังนั้นจึงกลัวที่จะสูญเสีย

กลัวว่าถ้าหากหลินหยุนเป็นตัวปลอม เธอก็คงจะต้องดีใจไปโดยเปล่าประโยชน์

เธอสูญเสียลูกไปแล้วหนึ่งครั้ง จึงไม่ต้องการที่จะประสบอีกเป็นครั้งที่สอง

หลินหยุนพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า: “หลายปีมานี้ ฉันได้ตามหาพ่อแม่บังเกลิดเกล้ามาโดยตลอด ยังดีที่สวรรค์มีตาคอยช่วยเหลือคนที่พากเพียรพยายาม ในที่สุดฉันก็ตามหาจนพบ”

“ฉันรู้ดีว่าคุณไม่เชื่อ แต่ว่า วันนี้ฉันตั้งใจพาคนผู้หนึ่งมาโดยเฉพาะ”

พูดจบ หลินหยุนหันหน้าไป แล้วพยักหน้าให้กับซูเหลียงจื่อ

หญิงชราที่มีอายุหกสิบกว่าปีคนหนึ่งเดินตามซูเหลียงจื่อเข้ามาด้านในห้องโถง

หลินตงเย่วตกใจ: “เขาไม่ใช่คนของพวกเราตระกูลหลิน เขาเข้ามาด้านในได้อย่างไร? ”

“พวกยามล่ะ? เป็นแค่ของตกแต่งเหรอหายหัวไปไหนหมด? ”

หลินตงเย่วตะโกนขึ้นเสียงดัง แต่ทุกคนก็ละเลยไปชั่วคราว ตอนนี้ ความสนใจของทุกคน ต่างก็ จดจ้องอยู่ที่ตัวของผู้หญิงคนนั้นที่ซูเหลียงจื่อได้พาเข้ามา

เมื่อหวางซูเฟินเห็นผู้หญิงคนนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงลง ร่างกายไหวเอนไปมา แทบจะล้มลงเลยทีเดียว

ยังดีที่ฉินหลันได้ประคองเธอไว้จากด้านหลัง

“ท่านคือคุณหวางล่ะสิ? หญิงชราเอ่ยปากถามขึ้น พร้อมกับสีหน้าท่าทาง ที่ประหม่าตื่นเต้นเล็กน้อย ซึ่งถูกคนจำนวนมากจับจ้อง จึงเหมือนกับว่าจะอึดอัดอยู่บ้าง”

หวางซูเฟินถามขึ้นด้วยเสียงที่สั่นว่า: “คุณคือน้าหลันใช่ไหม? ”

“ใช่ฉันเอง ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าท่านจะยังจำฉันอีก! ” หญิงชราพูดขึ้นอย่างดีใจ

แต่ว่า จากนั้นสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที โดยเปลี่ยนไปเป็นสีหน้าที่รู้สึกผิด

“คุณหวาง ฉันต้องขอโทษคุณด้วย! ในปีนั้น คุณกงได้ให้ฉันพาเด็กหลบหนีเอาตัวเรารอด และช่วยชีวิตของฉันเอาไว้ แต่ว่า ฉันกลับนำเด็กไปฝากไว้ที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า จากนั้นเมื่อฉันได้ไปที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าอีกครั้ง จึงรู้ว่าได้ถูกคนรับเลี้ยงดูไปแล้ว”

“ฉันมีความละอาย! ฉันจึงไม่กล้าที่จะมาพบกับท่าน! ”

“โชคดีที่คุณชายน้อยได้มาหาฉัน วันนี้ฉันจึงกล้าที่จะมาหาท่าน ไม่อย่างนั้นในชาตินี้ต่อให้ต้องตายไป ฉันก็ยังคงไม่กล้าที่จะมาพบกับท่าน! ”

คุณกง ก็คือคนที่หวางซูเฟินฝากหลินหยุนเอาไว้ เขาคือเพื่อนที่ดีที่สุดของหวางซูเฟิน แต่ว่า กลับต้องมาตายด้วยน้ำมือของตระกูลหวาง

หวางซูเฟินพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า: “คุณทำผิดต่อฉัน และทำผิดต่อคนของตระกูลกง พวกเขายอมที่จะสละชีวิตของตนเอง เพื่อแลกกับโอกาสที่ให้คุณนำเด็กหนีเอาตัวรอดไป แต่คุณกลับทำลูกของฉันสูญหายไปในสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า! ”

“ทำให้พวกเราต้องพลัดพรากจากกันมานานหลายปี! ”

น้าหลันร้องไห้น้ำตาไหลกับความผิดและละอายใจของตน: “คุณหวัง ฉันเองก็ไม่มีทางเลือก จึงได้นำคุณชายน้อยไปฝากไว้ที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า”

“ในตอนนั้นที่ฉันอุ้มคุณชายน้อยหนีออกมาจากตระกูลกงนั้น ได้เกิดหกล้มลง บริเวณไหล่ของคุณชายน้อยได้รับบาดเจ็บ ในตอนนั้นฉันไม่มีเงินเพื่อรักษาบาดแผลของคุณชายน้อย และฉันเองก็ไม่กล้าที่จะไปหาคนอื่นเพื่อของความช่วยเหลือ จึงทำได้เพียงมอบเขาให้กับสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า”

สีหน้าของหวางซูเฟินลดความดุดันลงเล็กน้อย ก็เพราะน้าหลันหมดหนทางจริง ๆ จึงได้นำลูกของเธอฝากไว้ที่สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า

โดยไม่ใช่เพราะรู้สึกว่าเป็นภาระจึงได้ทอดทิ้ง แบบนี้ยังถือว่าสมเหตุสมผลน่าจะอภัยให้ได้

หวางซูเฟินจ้องมองไปที่น้าหลัน และถามขึ้นว่า: “ผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว ซึ่งคุณรู้ได้อย่างไรว่าเขาก็คือลูกของฉัน? ”

น้าหลันพูดว่า: “ในตอนนั้นคุณชายน้อยได้รับบาดเจ็บอย่างหนักที่บริเวณไหล่ คงจะต้องมีรอยแผลเป็นอยู่อย่างแน่นอน เขาจะใช่ลูกของคุณหวางหรือไม่นั้น แค่เห็นก็ทราบได้แล้ว”

สายตาของหวางซูเฟิน มองไปที่ไหล่ของหลินหยุน และพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า: “ข้างซ้ายหรือว่าข้างขวา? ”

น้าหลันตอบว่า: “ข้างซ้าย แม้ว่าจะผ่านไปตั้งหลายปีแล้ว แต่ฉันก็ยังจำได้อย่างชัดเจน”

หวางซูเฟิน หลินตงหัว ฉินหลันรวมถึงทุกคนที่อยู่ในห้องโถง สายตาต่างก็จับจ้องมายังบริเวณไหล่ข้างซ้ายของหลินหยุนทั้งหมด

หลินหยุนถลกเสื้อขึ้นอย่างช้า ๆ เปิดบริเวณช่วงไหล่ออกมา ด้านบนมีรอยแผลเป็นที่เด่นชัด แต่ก็จางลงไปค่อนข้างมากแล้ว ซึ่งอย่างน้อยก็น่าจะสิบกว่าปีแล้ว

หวางซูเฟินมองไปยังหลินหยุนด้วยความเหลือเชื่อ: “นายคือลูกของฉันจริง ๆ เหรอ? ”

น้ำเสียงของหลินหยุนก็ตื่นเต้นบ้างเล็กน้อย: “ท่านยังจำได้ไหมว่าในตอนนั้นฉันเคยบอกให้ท่าน ตกลงรับปากกับฉันเอาไว้เรื่องหนึ่ง? ”

“ในอนาคตถ้าหากฉันทำเรื่องอะไรที่ผิดพลาดไป หวังว่าท่านจะสามารถให้อภัยได้”

“ฉันต้องการให้ท่านยกโทษให้อภัยต่อฉัน ที่ไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกับท่านตั้งแต่ตอนแรก”

หวางซูเฟินนึกขึ้นได้อย่างฉับพลัน: “มิน่าล่ะที่นายได้คอยช่วยเหลือบริษัท ตงหวาง กรุ๊ปมาโดยตลอด โดยที่ไม่ต้องการผลตอบแทนใด ๆ ตอนนี้ฉันเข้าใจทั้งหมดแล้ว”

“ในความเป็นจริง ตอนแรกที่ฉันพบกับนายนั้น ฉันก็รู้สึกว่าเหมือนมีพลังบางอย่างแอบแฝงอยู่ที่คอยดึงดูดฉัน ทำให้ฉันรู้สึกว่าสนิทสนมใกล้ชิดกับนาย”

“ที่แท้ นี่ก็คือเหตุผล! ”

หลินตงหัวพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า: “ครั้งแรกที่ฉันได้พบกับนาย ก็มีความรู้สึกพิเศษอะไรบางอย่าง ตอนนี้ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว”

หวางซูเฟินพูดขึ้นอีกว่า: “ที่จริงแล้ว ฉันน่าจะคิดได้ตั้งแต่แรกแล้ว บนโลกใบนี้นอกเสียจากญาติพี่น้องทางสายเลือดแล้ว จะมีใครที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อช่วยเหลือฉันอีกล่ะ? ”

หลินหยุนทราบว่า หวางซูเฟินได้ยอมรับในตัวเขาแล้ว

“คุณพ่อ คุณแม่ ลูกไม่มีความกตัญญู เพราะว่ามีเหตุผลจำเป็นบางอย่าง จึงไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกับทั้งสองท่าน หวังว่าพวกท่านจะให้อภัย! ”

พูดจบ หลินหยุนก็หันไปทางหวางวูเฟินกับหลินตงหัว แล้วก็คำนับทำความเคารพคนละสามครั้ง

หวางซูเฟินรีบเข้าไปประคองหลินหยุนขึ้น แม้ว่าเธอจะไม่ได้ยอมรับในตัวหลินหยุนโดยสมบูรณ์ แต่ ก็เชื่อว่าหลินหยุนคือลูกชายแท้ ๆ ของเธอที่สูญหายไปนานหลายปี

“ลุกขึ้นเถอะ นายมีความลำบากใจของนาย ฉันไม่ตำหนิกล่าวโทษนายหรอก! ”

หลินตงหัวก็เดินเข้ามาจับแขนข้างหนึ่งของหลินหยุน และพูดด้วยเสียงอ่อนโยน: “เจ้าเด็กโง่ รีบ ลุกขึ้นแถอะ แม้ว่านายจะยังไม่ได้เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงกับพวกเรา แต่ว่า จากการกระทำก็แสดงให้เห็นแล้วว่าได้ทำตามหน้าที่ของลูกที่พึงกระทำแล้ว! ”

“พวกเราไม่ตำหนิกล่าวโทษนาย! ”

หลินหยุนลุกยืนขึ้น แล้วก็หันมองไปยังฉินหลันที่กำลังดีอกดีใจ: “พี่ฉินหลัน! ”

ฉินหลันตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่ค่อยกล้าที่จะสบตากับหลินหยุน

ทุกคนของตระกูลหลินที่อยู่โดยรอบ ต่างก็มีสีหน้าท่าทางที่ตกตะลึง

ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็คงจะคิดไม่ถึงว่า หลินหยุนก็คือลูกของหวางซูเฟินที่สูญหายไปนานหลายปี

สวี่เหม่ยเย้นพูดขึ้นอีกว่า: “หลินเห้าเด็กคนนี้ก็ไม่เลวเลย ได้ยินว่าการสอบครั้งที่แล้วก็ได้คะแนนดีอันดับต้น ๆ! ”

พ่อแม่ของหลินเห้ายิ้มและพูดขึ้นอย่างถ่อมตัว: “แค่อันดับที่ห้าเอง ยังต้องปรับปรุงอีกมาก! ”

แต่ว่า สีหน้าท่าทางที่ภาคภูมิใจของทั้งสองคนนั้น ทุกคนต่างก็มองออกกันอย่างชัดเจน

หลินเห้าที่นั่งอยู่ ก็แสดงท่าทางภาคภูมิใจออกมา แล้วมองไปที่หลินหยุนอย่างเย็นชา เหมือนเป็นการโอ้อวด

“หลินจื่อเชียนลูกของพี่ชายเจ็ดก็ไม่เลวเช่นกัน ได้ยินว่าการสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลาย สอบได้คะแนนเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ต่อไปคงจะมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน! ”

ทุกคนต่างก็พูดคุยกันคนละคำสองคำ เธอชื่นชมลูกของฉันสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังได้ ฉันก็ชื่นชมลูกของเธอว่ามีพรสวรรค์มีความสามารถ

โดยแต่ละคนต่างก็โอ้อวดเยินยอลูกของตนเองกันไม่หยุด

สวี่เหม่ยเย้นกวาดสายตามองไปที่หวางซูเฟินอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง เห็นว่าหวางซูเฟินมีสีหน้าที่ย่ำแย่ ในใจก็ยิ่งมีความสะใจมากขึ้นไปอีก

“พูดตามตรงนะว่า ผู้ที่ประสบความสำเร็จที่สุดก็คือโล่เฉินลูกชายของพี่ใหญ่ตงถิง เด็กคนนี้คืออัจฉริยะที่หนึ่งอย่างคู่ควรที่สุดแห่งตระกูลหลินของพวกเรา! ”

“พูดได้ถูกต้อง โล่เฉินเด็กคนนี้ต่อไปก็คงจะเป็นเสาหลักสำคัญของพวกเราตระกูลหลินแล้ว ในอนาคตจะทำให้ตระกูลหลินของพวกเรายิ่งใหญ่และแข็งแกร่งมากขึ้นอย่างแน่นอน”

“ถูกต้อง อนาคตพวกเราตระกูลหลิน ก็ต้องอาศัยโล่เฉินแล้ว! ”

หลินตงถิงกับภรรยาต่างก็ยิ้มแย้มและพูดขึ้นอย่างถ่อมตัวว่า: “ทุกคนชื่นชมกันเกินไปแล้ว โล่เฉินเด็กคนนี้มีพรสวรรค์อยู่บ้าง และก็ขยันมุมานะ แต่ว่าก็ยังมีข้อที่ขาดตกบกพร่องอีกมาก ต่อไปจะต้องศึกษาเรียนรู้ให้มากขึ้นอีก”

แม้ว่าทั้งสองคนจะมีสีหน้าท่าทางที่ถ่อมตัว แต่ว่า ในใจมีความสุขเบิกบานใจอย่างที่สุด

พูดได้ว่า หลินโล่เฉินก็คือความภาคภูมิใจของพวกเขาทั้งสองคน

ถ้าหากไม่ใช่เพราะว่าหลินโล่เฉิน บางทีหลินตงถิงผู้ที่เป็นลูกชายคนโตของตระกูลหลิน อาจจะไม่สามารถได้รับหน้าที่ผู้ดูแลจัดการแทนเจ้าบ้านก็เป็นได้

สวี่เหม่ยเย้นชื่นชมหลินโล่เฉิน หลินตงถิงก็ต้องชื่นชมกลับตามธรรมเนียม โดยพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้ม: “ที่จริงแล้วฉันคิดว่าโร่หลันกับโร่สุ่ยสองพี่น้อง ไม่เลวเลยจริง ๆ ต่อไปตงเย่วกับพวกเธอทั้งสองคน จะต้องดูแลอบรมเอาใจใส่ให้เป็นอย่างดี ความสำเร็จต่อไปในอนาคต คงไม่ต่ำไปกว่าโล่เฉินของฉันแน่นอน! ”

หลินตงเย่วพูดอย่างยิ้มแย้มว่า: “พี่ใหญ่พูดได้ถูกต้องเลย ฉันจะดูแลอบรมพวกเธอสองพี่น้องเป็นอย่างดีแน่นอน”

สวี่เหม่ยเย้นก็พูดอย่างยิ้มแย้มว่า: “พี่ใหญ่วางใจได้ พวกเราสองสามีภรรยาไม่มีความสามารถอะไร แต่ที่สามารถเลี้ยงดูอบรมให้โร่หลันกับโร่สุ่ยสองพี่น้องได้ดีอย่างนี้ ก็ถือว่าเป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่ามากที่สุดแล้ว”

“ต่อให้ประกอบธุรกิจที่ใหญ่โตแค่ไหน แต่เมื่อถึงตอนนั้นไม่มีผู้สืบทอด ไม่ใช่ว่าจะเสียแรงเสียความพยายามไปโดยเปล่าประโยชน์หรอกเหรอ? ”

ขณะที่พูดคำนี้ขึ้น สวี่เหม่ยเย้นก็ทำเป็นชำเลืองมองไปที่หวางซูเฟินโดยไม่ได้ตั้งใจ

หานเจียวเจียวที่อยู่ด้านข้าง ก็ยิ้มเยาะเมื่อเห็นคนอื่นเป็นทุกข์และพูดขึ้นว่า: “พี่เหม่ยเย้นพูดได้ถูกต้องเลย ไม่รู้จริง ๆ ว่าคนที่แม้แต่ผู้สืบทอดก็ยังไม่มี จะยังมีอะไรที่น่าโอ้อวดอยู่อีกล่ะ! ”

“แม้ว่าจะมีเงินทองมากเท่าไหร่ เมื่อตายไปแล้วสามารถนำติดตัวไปได้สักแดงเดียวไหม? ”

คำพูดนี้มันช่างเจาะจงชัดเจนเสียจริง

สายตาของทุกคน ต่างก็มองไปยังหวางซูเฟินกับหลินตงหัว พร้อมกับแสดงท่าทางดีใจเมื่อเห็นผู้อื่นเป็นทุกข์

เปรี๊ยะ!

หวางซูเฟินได้นำตะเกียบตบลงไปบนโต๊ะทันที และลุกยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว: “ฉันทานอิ่มแล้ว พวกคุณค่อย ๆ ทานกันต่อเถอะ”

“ประธานกรรมการ! ” ฉินหลันเรียกขึ้น แล้วก็ติดตามหวางซูเฟินออกไป

หลินหยุนก็มีสีหน้าที่เย็นชา แล้วก็ตามออกไปอีก

หลินตงหัวยืนขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่เคร่งเครียด และพูดกับทุกคนว่า: “ทุกท่านค่อย ๆ ทาน ฉันจะตามไปดูสักหน่อย! ”

ครอบครัวทั้งสี่คน พริบตาเดียวก็เดินจากไปกันหมด

เมื่อหวางซูเฟินไปแล้ว หานเจียวเจียวก็ยิ่งกำเริบเสิบสานมากขึ้นทันที: “ฮึ ยังคิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูแห่งตระกูลหวางอยู่อีกเหรอ! ยังจะมาทำหน้าตาบูดเบี้ยวให้ใครดูกันล่ะ? หากไม่ใช่เพราะเธอ พวกเราตระกูลหลินก็คงจะไม่ไปล่วงเกินตระกูลหวางหรอก! ”

“ตอนนี้พวกเราตระกูลหลินก็คงไม่ถึงกับต้องตกต่ำแบบนี้มาโดยตลอด! ”

คนอื่นแม้ว่าในใจจะกล่าวโทษหวางซูเฟิน แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงออกมา มีเพียงแค่หานเจียวเจียวเท่านั้น ที่เมื่อครู่เสียหน้าให้กับหวางซูเฟิน ตอนนี้จึงได้ว่ากล่าวโจมตีใส่หวางซูเฟินอย่างถึงที่สุด

หานเจียวเจียวกวาดสายตามองไปยังทุกคน ในใจโมโหขึ้นเล็กน้อย: “ทำไมต่างก็ไม่พูดกันบ้างล่ะ? หรือว่าพวกเธอต่างลืมกันไปหมดแล้ว ที่ในตอนนั้นตระกูลหวางข่มเหงรังแกพวกเราตระกูลหลินมากขนาดไหน? ”

“หากไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนั้น พวกเราตระกูลหลินจะอยู่ในสภาพที่ตกต่ำขนาดนี้เลยเหรอ? ”

หลินตงถิงตวาดขึ้นเบา ๆ และพูดอย่างจริงจังว่า: “พอได้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเราก็คือตระกูลเดียวกัน ซึ่งคำพูดเหล่านี้อย่าได้ให้เจ้าบ้านได้ยินโดยเด็ดขาด”

หานเจียวเจียวส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา และไม่พูดอะไรอีก โดยที่เจ้าบ้านนั้นรังเกียจผู้ที่ชอบว่ากล่าวหวางซูเฟินลับหลังเป็นอย่างที่สุด ซึ่งเธอก็อาศัยในช่วงที่เจ้าบ้านไม่อยู่ จึงกล้าที่จะพูดบ่น

หวางซูเฟินโมโหจนหน้าตาขาวซีด และกลับเข้าสู่ที่พัก

ฉินหลันยกน้ำอุ่นมาหนึ่งแก้ว และพูดปลอบใจว่า: “ประธานกรรมการ ทำไมจะต้องไปโกธรเคืองกับคนชั่วพวกนี้ด้วยล่ะ หากโมโหมากไปจนส่งผลเสียต่อร่างกายมันจะไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย! ”

หวางซูเฟินเบ้าตาแดงก่ำหมดแล้ว และพูดขึ้นด้วยความโกรธ: “คนพวกนี้รู้อยู่แก่ใจว่าลูกของฉันหายสาบสูญไป แล้วยังจะนำเรื่องนี้มาพูดเสียดสียั่วยุฉันอีก! ”

“หลายปีมานี้ ฉันทำผิดอะไรต่อพวกเขาตระกูลหลินด้วยล่ะ! ”

“ที่น่าโมโหที่สุดก็คือไอ้หานเจียวเจียวนั่น หลายปีมานี้ บริษัท ตงหวาง กรุ๊ปทำธุรกิจร่วมกับพวกเขาโดยที่ต้องขาดทุนมาโดยตลอด ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้สึกซาบซึ้งแม้แต่น้อย และยังจะเป็นผู้นำพูดทิ่มแทงทำร้ายจิตใจฉันอีก! ”

“นี่มันไม่ใช่คนเนรคุณหรอกเหรอ? ”

“เธอก็เป็นคนอย่างนั้น ทุกคนมีใครไม่ทราบบ้างล่ะ แล้วทำไมจะต้องโมโหเธอมากขนาดนี้ด้วย? ” หลินตงหัวเดินเข้ามาจากด้านนอก พูดโน้มน้าวขึ้นอย่างใจเย็น

หวางซูเฟินจ้องมองไปที่หลินตงหัวอย่างเย็นชา และพูดขึ้นด้วยความโกรธว่า: “พวกเขาว่ากล่าวโจมตีฉัน ทำให้ฉันต้องอับอาย ฉันสามารถอดทนได้ แต่ทำไมต้องนำเรื่องของลูกมาโจมตีฉันด้วย? หลายปีมานี้ฉันคิดถึงลูกมากแค่ไหนคุณรู้บ้างไหม? ”

หลินตงหัวถอนหายใจยาว สีหน้าแสดงออกถึงความรู้สึกผิด: “เป็นความผิดของฉันเอง ที่ไม่สามารถปกป้องดูแลลูกชายของพวกเราให้ดี”

หลินหยุนอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบสงบ และมองไปยังพ่อแม่ที่ใบหน้าแสดงออกถึงอาการคิดถึงอย่างสุดซึ้งและความปวดร้าวในจิตใจ ทำให้อารมณ์โกรธของเขาก็ได้พุ่งขึ้นมา

“คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่า คำพูดของพวกญาติพี่น้องเหล่านี้จะรุนแรงเลวร้ายเหลือเกิน โดยในทุกคำพูด ต่างก็ทิ่มแทงเข้าไปยังจุดที่อ่อนแอที่สุดของคุณแม่”

“ก็เหมือนกับโรยเกลือลงไปบนบาดแผล มันช่างโหดร้ายยิ่งนัก! ”

“วันนี้เป็นเพียงแค่การรวมตัวกันของพวกญาติพี่น้องเท่านั้น พวกเขายังทำกันถึงขนาดนี้ ถ้าหากตอนที่งานเลี้ยงปีใหม่เริ่มต้นขึ้น พวกญาติพี่น้องเหล่านี้ไม่รู้ว่าจะโจมตีคุณแม่อย่างไรอีก”

“ยังมีหลินโล่เฉินพวกนั้นอีก ที่ตั้งแต่งานเลี้ยงสุดยอดผู้มีอิทธิพลจบลงจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลย ดูเหมือนว่า น่าจะกำลังเตรียมวางแผนกลอุบาย คิดที่จะโจมตีอย่างรุนแรงใส่ฉันทีเดียวเลย”

ขณะที่หลินหยุนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น หวางซูเฟินก็ได้พูดขึ้นด้วยความสะอึกสะอื้นว่า: “ถ้าหากลูกของฉันยังอยู่ ตอนนี้น่าจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว! ”

คำพูดนี้ รวบรวมทุกความรู้สึกของแม่ ที่คิดถึงลูกชายมานานสิบกว่าปี

หลินหยุนได้ฟังแล้วถึงกับหวั่นไหว ต่อให้เขามีจิตใจของกษัตริย์เซียนผู้ยิ่งใหญ่ ที่เข้มแข็งและ หนักแน่นราวกับก้อนหิน แต่ก็ยังอดทนไม่ได้ที่จะเกิดความหวั่นไหว

มองเห็นท่าทางที่ปวดร้าวของหวางซูเฟิน หลินหยุนก็ไม่คิดที่จะรออีกต่อแล้ว

“ดูเหมือนว่า สถานะของฉันจำเป็นต้องเปิดเผยก่อนล่วงหน้าแล้ว! ”

“ฉันไม่ยอมที่จะให้พวกญาติพี่น้องเหล่านี้ นำเรื่องลูกมาว่ากล่าวโจมตีคุณแม่ได้อีกเป็นอันขาด! ”

“ไม่ได้ จำเป็นจะต้องจัดเตรียมการอะไรบางอย่างเสียแล้ว……”

หลินหยุนมองไปที่หวางซูเฟิน และพูดขึ้นอย่างลึกลับว่า: “แม่บุญธรรม อย่าได้โมโหไปเลย ไม่แน่ว่าลูกของท่านตอนนี้ก็กำลังตามหาท่านอยู่เช่นกัน อีกไม่กี่วันอาจจะกลับมาหาแล้วก็เป็นได้”

หวางซูเฟินรีบเช็ดน้ำตา เมื่อครู่ที่เธอโมโหนั้น ได้ลืมไปเลยว่ามีหลินหยุนอยู่ด้วย ซึ่งละเลยความรู้สึกของหลินหยุนไปเลย

“เสี่ยวหยุนต้องขอโทษด้วย ฉันเก็บอาการไม่อยู่จริง ๆ”

หลินตงหัวก็พูดโน้มน้าวขึ้นว่า: “ฉันคิดว่าที่เสี่ยวหยุนพูดนั้นถูกต้อง พวกเราหาลูกไม่เจอ ก็แสดงว่าลูกไม่น่าจะเป็นอะไร ไม่แน่ว่าตอนนี้ลูกอาจจะกำลังตามหาพวกเราอยู่ก็เป็นได้”

แววตาของหวางซูเฟินเผยความหวังขึ้นมาเล็กน้อย: “หวังว่าจะเป็นเช่นนี้นะ! ”

ฉินหลันที่ยืนอยู่ด้านข้าง มองไปที่หลินหยุนด้วยความสับสน ตอนนี้ก็เท่ากับว่าเธอคนเดียวที่เป็นคนนอก มองไม่ค่อยชัดเจนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ฉินหลันรู้สึกว่าคำพูดของหลินหยุน เหมือนกับว่าแสดงออกถึงอะไรบางอย่าง

แต่ว่า ฉินหลันก็คิดไม่ออกถึงความหมายในคำพูดของหลินหยุน เพราะว่า เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะคิดได้ว่า หลินหยุนก็คือลูกชายแท้ ๆ ของหวางซูเฟิน

จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์

จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์

Status: Ongoing

มหากษัตริย์ชางฉองหลินหยุนที่ปราบปรามสามโลกไถ่บาปไม่สำเร็จ เกิดใหม่กลับสู่โลกมนุษย์เป็นเขยแต่งเข้าบ้าน ชาติปางก่อน ได้เมียที่สวยเซ็กซี่ดูเป็นผู้ใหญ่กลับครอบครองไม่ได้ ชาตินี้ หลินหยุนจะทำยังไง……ชาติก่อน เขาเป็นคนไร้ความสามารถที่ใครๆต่างดูถูก ชาตินี้ เขาเป็นหมอเทพหลินในวงการแพทย์ ตาทิพย์หลินในวงการของโบราณ อาจารย์หลินในวงการฮวงจุ้ย และหลินชางฉองในวงการบู๊ เมื่อเขากลับมาสู่เทวโลกอีกครั้ง พบว่าเทวโลกมีการเปลี่ยนแปลง หลายคนที่กำลังไถ่บาปรวมตัวกัน พวกเขาจะทำได้ดั่งใจหวังหรือไม่

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท