ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ – ตอนที่ 67 ซากกระดูกใต้สวนดอกไม้

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 67 ซากกระดูกใต้สวนดอกไม้

เจียงซื่อมีประสาทรับกลิ่นเป็นเลิศเนื่องจากเคยร่ำเรียนวิชามาจากผู้อาวุโสเผ่าอูเหมียว แต่ในสายตาคนทั่วไปมักจะเรียกว่าสิ่งนี้ว่า ‘วิชามนตร์ดำ’

สำหรับเจียงซื่อแล้ว ต่อให้ดอกโบตั๋นจะมีกลิ่นฉุนรุนแรงเพียงใดก็ไม่อาจกลบกลิ่นเหม็นจางๆ นั้นได้

นางเคยได้กลิ่นนี้มาก่อน มันคือกลิ่นซากศพ

เจียงซื่อมาเยือนจวนฉังซิงโหวแม้จะรู้ดีว่าบนภูเขามีเสืออาศัยอยู่ แต่นางก็ยังมิวายเดินเข้ามา เหตุผลทั้งหมดก็เพื่อจะสืบหาว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เฉาซิงอวี้และเจียงเชี่ยนกล้าทำเรื่องเลวร้ายที่ไม่มีใครคาดคิด

นั่นคือปมในใจของเจียงซื่อ หากแก้ไขและนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษไม่ได้ เรื่องนี้คงติดค้างในใจของนางไปตลอด

เรื่องบางเรื่องสามารถปล่อยผ่านไปได้ สามารถย้อนกลับไปมองได้ แต่เรื่องบางเรื่องต้องเผชิญหน้า ต้องแก้ไขจึงจะสามารถหลุดพ้นจากฝันร้ายนั้นได้

ดังนั้นนางจึงเลือกที่จะมา เลือกที่จะเข้าใกล้สถานที่แห่งนี้ เลือกที่จะเข้าใกล้สองสามีภรรยาคู่นี้

แม้ว่านางจะเตรียมตัวมาดีแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีโครงกระดูกถูกฝังอยู่ใต้แปลงดอกโบตั๋นที่สวยงามนี้

เจียงซื่อใช้ปลายเท้าของนางเขี่ยไปบนดิน

กลิ่นซากศพนั้นแทรกซึมไปทั่วชั้นดิน หนำซ้ำยังมีกลิ่นปะปนออกมากับดอกโบตั๋นที่ซ้อนเป็นชั้นๆ ด้วย

กลิ่นลักษณะนี้ไม่อาจเกิดขึ้นได้ผ่านในสองสามวัน แต่ที่น่าแปลกคือกลิ่นนี้ก็ยังให้ความสดใหม่ ราวกับว่าซากนั้นเพิ่งถูกฝังได้ไม่นาน และดอกโบตั๋นเหล่านี้ก็เบ่งบานสะพรั่งจากซากศพเปื่อยเน่านั้นเอง

ใบหน้าของเจียงซื่อซีดเผือด

แม้ว่าในขณะนั้นนางไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด แต่กลิ่นซากศพที่พัดโชยมาครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้นางรู้สึกคลื่นไส้จนแทบอาเจียนออกมา

“น้องสี่ เจ้าไม่สบายหรือเปล่า” เจียงเชี่ยวที่ละสายตาจากดอกโบตั๋นที่ออกดอกสวยงามผิดปกติหันมาเห็นว่าน้องสาวมีอาการผิดแปลกไป

เจียงซื่อสูดลมหายใจเข้าปอด ฝืนยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นไร”

เจียงเชี่ยวขมวดคิ้วมองไปที่เจียงซื่อ นางเด็ดกลีบดอกโบตั๋นออกมาและคลึงด้วยปลายนิ้วอย่างเบามือ

สารเหลวสีแดงอ่อนเปื้อนปลายนิ้วขาวนวลของเจียงเชี่ยว

สายตาของเจียซื่อจับจ้องไปที่นิ้วมือของเจียงเชี่ยว

เจียงเชี่ยวปล่อยเศษกลีบดอกไม้ที่ถูกคลึงให้ปลิวว้าว่อนไปตามสายลม นางก้มหน้าพลางสูดดมกลิ่นที่ติดอยู่บนปลายนิ้ว และยิ้มขึ้นพลางเอ่ยว่า “จะว่าไปแล้วก็แปลกอยู่นะ แม้ว่าข้าจะชอบดอกโบตั๋น แต่ข้ากลับไม่ชอบกลิ่นของมันเลย น้องสี่ เจ้าเองก็ไม่ชินกับกลิ่นของมันเลยรู้สึกไม่ค่อยสบายขึ้นมาหรือเปล่า”

เจียงซื่อนึกถึงกลิ่นเน่าซากศพที่คลุ้งกระจายไปทั่ว พลางเหลือบมองไปที่รอยแดงอ่อนๆ บนนิ้วของเจียงเชี่ยวอีกครั้ง เจียงซื่อพยายามข่มกลั้นความรู้สึกพะอืดพะอมสุดฤทธิ์ กล้ำกลืนฝืนยิ้มออกมาอีกครั้งเอ่ยว่า “มีหลายกลิ่นที่ดมอย่างไรข้าก็ไม่ชินเสียที”

“ถ้าเช่นนั้นพวกเราไปกันเถอะ ถ้าเจ้าบอกว่าไม่ถูกกับกลิ่นนี้ข้าคงไม่ลากเจ้ามาแต่แรก” แม้ว่ายามอยู่จวนปั๋ว ทั้งคู่จะคุยกันได้ไม่เกินสามประโยคเป็นอันต้องทะเลาะกัน แต่การออกมาข้างนอกเช่นนี้กลับทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น

พี่น้องจากจวนเดียวกัน ยามอยู่ข้างนอกย่อมต้องดูแลซึ่งกันและกันเป็นธรรมดา

แม้เจียงเชี่ยวจะมีนิสัยร่าเริงและตรงไปตรงมา แต่นางไม่ใช่คนโง่จึงรับรู้ได้ถึงท่าทีแปลกๆ ที่เจียงเชี่ยนปฏิบัติต่อเจียงซื่อมาตั้งนานแล้ว

เจียงซื่อยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม และพยายามปรับน้ำเสียงให้เป็นปกติ “แม้ว่ามีหลายกลิ่นที่ข้ารู้สึกไม่ชิน ทว่ากลิ่นดอกโบตั๋นนี้ถือว่าหอมทีเดียว”

ไม่ว่าสิ่งที่ถูกฝังอยู่ใต้แปลงดอกโบตั๋นนี้จะเป็นร่างคนหรือร่างสัตว์ นางเองต้องหาคำตอบให้ได้เสียก่อน

ในเมื่อต้องการพิสูจน์ให้แน่ใจ นางจำเป็นต้องกลับมาที่ตรงนี้อีกครั้ง ดังนั้นการจะบอกว่าไม่ชอบกลิ่นดอกโบตั๋นนี้คงจะไม่ได้

เพราะหากเป็นเช่นนั้น การที่นางเข้าใกล้พื้นที่นี้อีกคงเป็นเรื่องผิดวิสัยอย่างมาก

“น้องสี่ ข้าถามหน่อย ระหว่างเจ้ากับพี่รองเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เจียงเชี่ยวกระซิบกระซาบพลางทอดสายตาไปที่เจียงเชี่ยนซึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งบนภูเขาจำลอง

เมื่อเห็นว่าเจียงซื่อไม่ตอบ เจียงเชี่ยวจึงยิ้มเยาะเอ่ยว่า “เจ้าให้นางไล่น้องหกกลับไป นางก็ไม่ปฏิเสธเลยสักคำ ช่างประหลาดแท้ อย่าบอกข้านะว่า พี่รองสนิทกับเจ้าเสียยิ่งกว่าน้องแท้ๆ ข้าก็มิใช่คนโง่”

สายตาของเจียงซื่อยังคงจับจ้องไปที่ดอกโบตั๋นที่บานสะพรั่ง นางเอ่ยเสียงเบาหลังจากเงียบงันอยู่นาน “ก็ใช่น่ะสิ ข้าเองก็แปลกใจอยู่เหมือนกัน พี่สามรู้หรือไม่ว่า พี่รองเอ่ยชวนข้ามาที่จวนนี้ตั้งแต่ครั้งที่นางกลับไปเยี่ยมก่อนที่ท่านย่าจะตาเจ็บเสียอีก”

เจียงเชี่ยวฉงนหนัก ความอยากรู้อยากเห็นเพิ่มมากเป็นเท่าตัว

พวกนางได้รับเทียบเชิญพร้อมกัน ไฉนเจียงซื่อถึงถูกเชิญมาก่อนหน้านั้นแล้ว

นี่คงจะหมายความว่า คนที่พี่รองตั้งใจเชิญมาคือเจียงซื่ออย่างงั้นหรือ

ความคิดนั้นวนเวียนอยู่ในใจของเจียงเชี่ยว นางเหลือบมองเจียงซื่อด้วยสายตาเคลือบแคลง

เจียงซื่อยิ้มบางๆ พลางเอ่ย “ฉะนั้นข้าจึงลองพิสูจน์ดูว่าพี่รองจริงใจต่อข้ามากน้อยเพียงใด ไม่นึกว่า…”

“ไม่นึกว่าพี่รองจะมีความจริงใจเต็มเปี่ยมเช่นนี้” เจียงเชี่ยวต่อประโยค

“ก็ใช่น่ะสิ จริงใจอย่างเต็มเปี่ยม” เจียงซื่อแสยะยิ้มมุมปาก

ในเมื่อนางต้องการเปิดโปงอุบายเลวทรามของคู่สามีภรรยาคู่นี้อยู่แล้ว เรื่องนี้จึงไม่จำเป็นต้องปิดบังเจียงเชี่ยว

“แล้วมันเพราะอะไรกันล่ะ” เจียงเชี่ยวใช้เท้าเขี่ยดอกไม้ใบหญ้าที่ล่วงหล่นบนพื้น นางใช้ความคิด “ข้ารู้สึกว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ น้องสี่ ยามอยู่ที่จวนโหวนี้ เจ้ากับข้าพยายามอยู่ใกล้กันไว้แล้วกัน หลังจากนี้สองวันพวกเราก็รีบกลับจวนกันเถอะ”

แม้ว่าเจียงซื่อจะรู้ว่าเจียงเชี่ยวเป็นพวกปากร้ายแต่ใจดี แต่ก็ไม่นึกฝันมาก่อนว่านางจะมานั่งวางแผนให้ แต่ถึงจะรู้สึกซาบซึ้งก็มิวายบอกปัดว่า “ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอก ข้ามาในฐานะแขกของจวนโหว พี่รองจะกล้าทำให้ข้าลำบากงั้นรึ”

สิ่งที่นางจะทำนั้นเสี่ยงเกินไป การที่ยอมให้เจียงเชี่ยวรับรู้ความผิดปกติก็เพื่อหลังจากที่ความจริงเปิดเผยจะได้มีคนคอยช่วยพูด แต่นางไม่ต้องการลากเจียงเชี่ยวเข้ามาเสี่ยงอันตรายด้วย

เจียงเชี่ยวแสดงท่าทีรำคาญกับคำตอบของเจียงซื่อ นางจึงยื่นมือมาดีดหน้าผากของเจียงซื่อพลางเอ่ยอย่างกลัดกลุ้มว่า “นี่เจ้าโง่หรือไง”

เจียงเชี่ยวประทับตราบนผิวหนังบอบบางของหญิงสาว ทำให้มีรอยแดงปรากฏขึ้นกลางหน้าผากแทบจะทันที

เจียงเชี่ยวอ้าปากค้าง ใช้เท้าขยี้ใบหญ้าอย่างรู้สึกผิด

ไม่รู้มาก่อนว่าเจียงซื่อจะบอบบางเป็นตุ๊กตาเคลือบแก้วเช่นนี้ ดีดนิดเดียวก็เป็นรอยแดงเสียแล้ว ราวกับว่านางเป็นคนกลั่นแกล้งอย่างไรอย่างนั้น

“เอ๊ะ…” เจียงเชี่ยวก้มลงไปหยิบบางอย่างจากพื้น “นี่อะไรน่ะ”

ในมือของเจียงเชี่ยวมีปิ่นอยู่อันหนึ่ง แสงอาทิตย์ส่องลงมาบนปิ่นนั้นจนเห็นผิววัสดุดั้งเดิมของมัน

สายตาของเจียงซื่อพลันเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบเคร่งขรึม

นั่นคือปิ่นทองแดง!

ปิ่นทองแดงสามารถพบเห็นได้ทั่วไป

เนื่องจากเป็นที่นิยมของสตรีที่รักสวยรักงาม แต่ทว่าไม่ใช่ว่าทุกบ้านจะสามารถสั่งทำปิ่นทองหรือปิ่นเงินได้ ฉะนั้นปิ่นทองแดง ปิ่นไม้ หรือแม้แต่ปิ่นจากไม้ไผ่จึงเป็นตัวเลือกรองลงมา

แต่ที่นี่ที่ไหนกัน

ที่นี่คือจวนฉังซิงโหว นับประสาอะไรกับบรรดาเจ้านาย เพราะแม้แต่สาวรับใช้ในจวนยังปักผมด้วยปิ่นทองที่เจ้านายให้เป็นรางวัล หรือถ้าดีกว่านั้นก็ประดับผมด้วยปิ่นเงิน

หรือต่อให้เป็นหญิงเฒ่ารับใช้ที่ต้องทำงานอย่างลำเข็ญที่สุดหรือเหนื่อยยากที่สุด แม้ไม่มีปิ่นเงินปักอยู่บนศีรษะก็ยังไม่ชายตามองปิ่นทองแดงเลย สู้หาลูกปัดดอกไม้หรือดอกไม้ประดิษฐ์ที่ทำอย่างประณีตมาติดผมยังดีเสียกว่า

เจียงซื่อหัวใจเต้นแรง นางด่วนสรุปออกมาอย่างอาจหาญ หากใต้แปลงดอกโบตั๋นนี้มีร่างคนฝังอยู่จริง ปิ่นทองแดงนี่ก็เป็นของเหยื่อเคราะห์ร้ายอย่างงั้นหรือ

“เหมือนว่าจะเป็นปิ่นทองแดงนะ” เจียงเชี่ยวครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะสรุปออกมา

ทันใดนั้นก็มีเสียงพูดดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มสบายอารมณ์ “น้องทั้งสองกำลังทำอะไรกันอยู่หรือ”

เจียงซื่อสะดุ้งตกใจ มือของนางรีบคว้าปิ่นทองแดงจากมือของเจียงเชี่ยวมาซ่อนไว้ในแขนเสื้อของตนเองโดยเร็ว

ห่างออกไปไม่ไกล เฉาซิงอวี้ในชุดเสื้อคลุมยาวสีครามมองมาทางทั้งคู่พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

Status: Ongoing
นิยายโรแมนติกยุคโบราณ-แนวแต่งงาน ดราม่าในอดีตจะหายไป รักใหม่สุดหวานซึ้งจะเริ่มต้น…กับคนเดิม?! ชาติที่แล้วเพราะนาง ‘เจียงซื่อ’ คุณหนูสี่แห่งตระกูลตงผิงปั๋วดวงตามืดบอดทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรจนถึงแก่ความตาย เมื่อได้รับโอกาสให้กลับมามีชีวิตที่สองนางจะไม่ทำเรื่องผิดพลาดซ้ำอีกต่อไป คนที่หวังดีกับนางจากใจจริงนางล้วนเข้าใจและพร้อมตอบแทนด้วยสิ่งเดียวกัน คนที่คิดร้ายวางแผนทำลายนาง นางก็พร้อมจะเอาคืนเป็นทบเท่าพันทวี ชีวิตการแต่งงานที่ไม่สมหวังในชาติก่อนทำให้นางเข็ดขยาดไม่คิดจะมีความรักอีก แต่เหตุใดกัน ‘อวี้จิ่น’ สามีคนที่สองของนางในชาติก่อนกลับมาคอยตามตอแยนางไม่หยุดเช่นนี้! แม้ชาติก่อนข้าจะเคยชอบเจ้า แต่ชาตินี้อย่าหวังจะทำให้ข้าเสียน้ำตาได้อีกเป็นหนที่สอง นางต้องอยู่ให้ห่างจากเจ้าคนเลวนั่นไว้ ยิ่งไกลยิ่ง

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท