ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่95 ไปเอาความกล้าขนาดนี้มาจากใคร?

บทที่95 ไปเอาความกล้าขนาดนี้มาจากใคร?

บทที่95 ไปเอาความกล้าขนาดนี้มาจากใคร?

เขตเหนือของเมือง ณ อาคารโอเชี่ยน บริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์

ภายใต้แสงจันทร์ ภายในห้องทำงานชั้นสามสิบสามที่มืดสลัวไม่มีแม้แต่แสงสว่างเล็ดลอด

พนักงานในอาคารโอเชี่ยนต่างก็เลิกงานหรือได้รับแจ้งเตือนให้ออกจากสถานที่แห่งนี้ไปตั้งแต่เย็น

ที่ลานจอดรถด้านล่าง มีออฟโรดสิบกว่าคันจอดอยู่ ชายชุดดำนับสิบคนยืนเฝ้าประตูทางออกเดียวของอาคาร

ภายในห้องทำงานของผู้บริหารชั้นสามสิบสาม เจียงฉีนั่งอยู่ตำแหน่งของผู้บริหาร จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหงื่อผุดทั่วใบหน้า เขารินน้ำชาไม่หยุด กระดกคำแล้วคำเล่า

ปึงปึงปึง!

ที่ด้านนอก มีคนจำนวนไม่น้อยพยายามพังประตู

“เจียงฉี!โผล่หัวออกมาสิวะ! มึงคิดว่าแค่ล็อกประตูมุดหัวอยู่ในห้องจะช่วยอะไรมึงได้หรอ?”

“ความตายมาเยือนแล้วมึงรู้ตัวหรือเปล่า? มึงมันไอ้้งูเห่าที่ตระกูลซูนเก็บมาเลี้ยง ริอาจแว้งกัดผู้มีพระคุณ มึงว่าคนแบบนี้หาเรื่องฆ่าตัวตายไหมวะ?”

เจียงฉีจุดบุหรี่มวนนึง แล้วสูดเต็มปอด แบกรับความกดดันมหาศาลนี้

บ่ายวันนี้เขาดำเนินการตามแผนที่วางเอาไว้เป็นเวลานาน เขาใช้เงินลงทุนจำนวนมากของหลินอิ่ง จากนั้นเข้าเก็บหุ้นทั้งหมดผ่านผู้ถือหุ้นรายหนึ่งอย่างลับๆ แล้วฮุบอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดไว้

เจียงฉีเตะคนของตระกูลซูนที่ส่งมาเพื่อคอยจับตาดูเขาออกในการประชุมบอร์ด แล้วเข้านั่งตำแหน่งท่านประธานของบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์ กำจัดคนทุกคนของตระกูลซูนออกไป

เขาลอบสูบถุงเงินจากอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลซูน แต่ไม่คิดเลยว่า ตระกูลซูนจะลงมือเร็วเป็นสายฟ้าฟาดเหนือชั้นกว่าตัวเขาเอง การประชุมเพิ่งดำเนินไปได้ครึ่งทาง คนที่ตระกูลซูนส่งมาก็อยู่ระหว่างทางแล้ว ทันทีที่การประชุมจบคนทั้งหมดก็ปิดล้อมตึดนี้ไว้

วิธีการแบบนี้ เจียงฉีเคยเจอมาก่อน ตระกูลซูนคิจะบีบให้เขาตายทั้งเป็น!

และนี่ก็เป็นสิ่งที่เขากลัวมาตลอด ไม่อย่างงั้นระดับหัวธุรกิจอย่างเขา กะอีแค่ฮุบกิจการมือสมัครเล่นของตระกูลซูน เรียกว่าง่ายแค่ปอกกล้วยเข้าปาก แค่ใช้หัวนิดหน่อยก็ทำให้พวกนั้นแพ้ออกจากสนามได้สบาย

ถ้าไม่ใช่เพราะมีตระกูลซูนคอยหนุนหลัง ป่านนี้เชี่ยนอสังหาริมทรัพย์คงตกอยู่ในกำมือเขานานแล้ว

บริษัทอสังหาริมทรัพย์นี่เดิมทีก็เป็นเขาที่สร้างมากับมือ จะเรียกว่าในทุกส่วนของกิจการนี้ล้วนแลกมาด้วยเลือดทุกหยดของเขา!

ปึ้ง!

ตอนนี้เอง บานประตูไม้สักของห้องทำงานก็ปลิวออกไป มันถูกคนจำนวนมากด้านนอกทุบจนพัง

ชายร่างใหญ่สิบกว่าคนแผ่รังศีความดุดัน หนึ่งในนั้นเป็นชายหัวโล้น มีรอยสักที่แขนที่ดูจะเป็นหัวโจก

ชายร่างกำยำกรูกันเข้ามาล้อมรอบ ยืนเรียงกันอยู่หน้าโต๊ะทำงาน ชายหัวโล้นคนนั้นฉีกยิ้ม แล้วนั่งลงตรงข้ามกับเจียงฉีอย่างอาจหาญ

แววตาของเจียงฉีในเริ่มแรกเผยความตระหนก แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นสงบนิ่ง

สิ่งที่กังวลมาตลอดในที่สุดก็เกิดขึ้นตรงหน้าจนได้ เขาเองก็ไม่ได้กลัวมากขนาดนั้นแล้ว

“เจียงฉี แกมันก็แค่ไอ้หมาหัวเน่าที่โดนเมียสวมเขา ยังกล้าสูบเงินขากโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์เข้าไปไม่กลัวตายเลยนะมึง ท้องมึงใหญ่แค่ไหนล่ะ? มีปัญญาสักเท่าไหร่?” ชายหัวโล้นเสยะยิ้มดูแคลน

“ลู่กวง! มึงพูดอีกทีสิ?” แววตาของเจียงฉีเต็มไปด้วยความโมโห คำพูดของคนหัวล้านเสียดแทงเข้าอย่างจัง

เรื่องที่ผู้หญิงตระกูลซูนคนนั้นสวมเขาให้เข้า เป็นความแค้นที่ฝังอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจเขามานาน!

ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ทิ้งความเจริญก้าวหน้า แล้วเดิมพันกับหลินอิ่ง ทำทุกวิถีทางเพื่อหวังจะฉุดตระกูลซุนให้ล้มไม่เป็นท่า!

“พูดอีกที? กูจะพูดสิบทีร้อยทีแล้วมึงจะทำไม?” ลู่กวงแสยะยิ้มมุมปาก ก่อนจะพูดต่อไม่แยแส “กดไอ้ลูกหมามีเขานี่ซะ!”

พูดจบ ชายร่างใหญ่หลายคนก็พากันแลกหมัดเข้ามา ต่อยจนเจียงฉีล้มลง เลือดออกจมูก ร่างทั้งร่างถูกกดลงกับโต๊ะ

ลู่กวงถุยน้ำลายลงบนหัวของเจียงฉี สะใจอย่างบ้าคลั่ง

“เจียงฉี ลองพูดมาซิว่าตัวเองทำอะไรผิดหรือเปล่า? เป็นผู้จัดการใหญ่ดีๆไม่ชอบ อยากจะมีเรื่องกับตระกูลซูน?” ลู่กวงหัวเราะ “ถ้ามึงไม่แส่หาเรื่องคิดจะฮุบบริษัทของตระกูลซูน เวลาเจอหน้ากูยังต้องเรียกมึงคุณเจียงเลยนะ”

“โอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์เดิมทีก็เป็นเลือดเนื้อของกู กูเป็นคนสร้างบริษัทนี้ขึ้นมา!” เจียงฉีกัดฟันกรอด “ตระกูลซูนใช้อำนาจเพื่อแย่งชิง ทำเรื่องชั่วๆมาตั้งเท่าไหร่?”

“เหอะๆ นั่นไม่เกี่ยวอะไรกับพวกกู กูก็แค่คนที่ได้รับคำสั่งมา” ลู่กวงหรี่ตามองเจียงฉี แล้วถามด้วยเสียงเย็นชา “กล้าสูบเงินก้อนโตไปขนาดนี้ มึงไปเอาความกล้าขนาดนี้มาจากใครวะ?”

เจียงฉีมองลู่กวงด้วยสายตาเย็นชา “รู้แล้วมึงจะหนาว!”

“โอ๊ยๆ ยังปากดีอยู่อีกนะมึง? เชื่อไหมล่ะว่ากูโยนมึงลงไปตั้งแต่ตอนนี้ก็ยังได้?” ลู่กวงพูดด้วยความดุดัน

“กูแอบติดเครื่องดักฟังไว้หมดแล้ว ถ้าวันนี้กูตายอยู่ที่อาคารนี้ พวกมึงทุกตัวไม่มีทางรอดไปได้!” เจียงฉีพูดเสียงหนักแน่น โดยที่ไม่ได้ข่มขู่แต่อย่างใด

ลู่กวงหัวเราะอย่างสนุกสนาน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นแล้วกดเล่นคลิปอัดเสียง ในคลิปเป็นเสียงของหญิงวัยกลางคนร้องขอความช่วยเหลือ

ฟังจบ ใบหน้าของเจียงฉีก็ซีด ดวงตาขึ้นเส้นเลือดแดง แค้นใจอย่างถึงที่สุด “ไอ้้พวกสัตว์นรก! กูจะฆ่ามึง มาจับแม่กูทำไม?”

เขาคาดไม่ถึงจริงๆว่าตระกูลซูนจะจับตัวแม่ของเขาที่อยู่อำเภอบ้านเกิดเพื่อเล่นงานเขา!

ถึงแม้ที่ผ่านมาตระกูลซูนจะอบใช้วิธีต่ำช้าแบบนี้ แต่แม่เขาก็อายุจะหกสิบแล้ว คนแก่คนนึง แถมยังเป็นญาติคนนึงของตระกูลซูน มันก็ยังลงมือได้?

ชั่วช้าสารเลวเกินคน!

“มึงไม่กลัวตาย แล้วไม่กลัวแม่มึงจะตกใจตายงั้นสิ?” ลู่กวงพูดได้ใจ “เข้าเรื่องเลยแล้วกัน เซ็นสัญญาโอนหุ้นนี้แล้วบอกกูมา มึงไปเอาความกล้านี้มาจากใคร!”

“อย่างมึงจะมีปัญญาไปเอาเงินทุนมากมายขนาดนี้มาจากไหน?”

พูดจบ ลู่กวงก็โยนสัญญาหนาๆใส่หน้าเจียงฉี จากนั้นกดโทรออก เสียงปลายสายเป็นเสียงของแม่เจียงฉี

ในใจของเขาเกิดความขัดแข้งขึ้นในทันที หากไม่ทำตามที่ลู่กวงบอก แม่เขาอาจจะไม่รอด แต่ถ้าหากเซ็นสัญญาฉบับนี้ ยกโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์ให้ซูนเหิง ก็นับว่าเขาได้ทำลายความเชื่อมั่นของหลินอิ่งไปจนหมดสิ้น

ทรัพย์สินจำนวนสิบกว่าล้าน ทั้งหมดนี้เป็นของประธานหลิน! ตอนนั้นประธานหลินไม่ได้ทำแม้แต่สัญญาหรือหลักฐานทางกฎหมาย นั่นก็บ่งบอกถึงความเชื่อใจที่มีต่อเขามันมากขนาดไหน?

หากเซ็นสัญญาฉบับนี้ ต่อไปในอนาคตประธานหลินจะใช้วิธีเอาเงินก้อนนี้คืน มันก็ไม่เหลือหลักฐานอะไรอีก เพราะเขาเป็นคนเซ็นชื่อเอง คงต้องมาเอากับเขาคนเดียวเท่านั้น!

เจียงฉีจ้องลู่กวงอย่างโกรธเกรี้ยว จ้องจนลูกกะตาแทบจะทะลุ

“อย่ามาใช้สายตาโกรธแค้นแบบนี้มองฉันสิ ฉันก็แค่ทำตามคำสั่งเขาอีกที แกคิดว่าวิธีนี้มันต่ำช้ามากหรอ งั้นแกก็ไปพูดกับคุณชายซูนเหิงสิ ฉันก็แค่ทำตามที่เขาสั่ง” ลู่กวงพูดสบายๆ “แกก็รู้ ฉันเป็นคนทางเขตเหนือนู่น นี่ก็แค่ทำหน้าที่มาเอาเงินคืนแทนตระกูลซูนก็เท่านั้น”

“รีบเซ็นสัญญาซะ แล้วบอกกูมาว่าใครอยู่เบื้องหลังคอยชักใยมึง แค่นี้มึงกับแม่ก็จะได้กลับไปเจอหน้ากันที่อำเภอเจียวไ

บทที่94 ตระกูลซูนออกโรง

“หรือจะให้ท่านซานมาเอง! มึงจะลองดูก็ได้ ดูสิว่าหวางกั๋วคางพ่อมึงจะรับไหวไหม!”

พูดจบ ขาท่อนใหญ่ๆของหลิวจุนก็ถีบเข้าไปที่หวางจื่อเหวินจนล้มไปนอนกองกับพื้น อีกฝ่ายเจ็บจนร้องเสียงดัง

หวางจื่อเหวินคุกเข่าอยู่หน้าประตูชุมชน ใบหน้าซีดมีเส้นเลือดฝาดด้วยความโกรธเกรี้ยว ร่างกายเจ็บปวดไปทั้งตัว เมื่อเห็นสายตาสนุกสนานของผู้คนในชุมชนที่เดินเข้าเดินออก วินาทีนี้ให้เขาฆ่าตัวตายไปเลยยังง่ายซะกว่า!

ไหนจะรถราที่ขับผ่านไปมา คนขับหลายคนที่ขับอยู่ไกลๆต่างก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิป

หวางจื่เหวินขบฟันแน่น เขาก้มหน้านิ่ง คิดยังไงก็คิดไม่ออก นี่เขาไปทำให้ใครไม่พอใจกันแน่!

วันนี้แค่ตั้งใจมาเอาเรื่องไอ้้สวะหลินอิ่ง ไหงกลายเป็นเจอเรื่องซวยๆขนาดนี้ได้!

ไอ้แมงดาเกาะผู้หญิงอย่างหลินอิ่งจะมีอำนาจยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไง ถึงกับให้ท่านเสิ่นซานผู้มีอิทธิพลที่สุดแห่งเมืองชิงหยูนออกหน้าให้?

ต้องเป็นหวางหงหลิงแน่!

หวางจื่อเหวินโกรธแค้นในใจ ในที่สุดก็คิดออก นอกจากหวางหงหลิง จะมีใครช่วยไอ้้สวะอย่างหลินอิ่งได้อีก! แล้วก็มีแค่หวางหงหลิงที่พอจะมีอำนาจนี้!

ไม่น่าหลายวันที่ผ่านมาไอ้้สวะนี่เอาแต่หลบ วันนี้จู่ๆก็โผล่หน้าออกมา ที่แท้ก็เพราะมันมีลูกสมุนมาช่วย ถึงได้ตั้งใจออกมาสู้กับเขา ชาติหมาจริงๆ!

หวางจื่อเหวินยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห แค้นจนไฟรุกท่วมหัว

หลินอิ่งมันเอาหลิวจุนมาออกหน้าแทนมันได้ เห็นทีคงจ่ายไปไม่น้อย ต้องเป็นหวางหงหลิงที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังแน่!

เรื่องนี้จะต้องรู้ถึงหูนายท่าน หวางหงหลิงแอบชุบเลี้ยงหมาขี้เรื้อน! แถมยังทำร้ายญาติพี่น้องตัวเอง! คงต้องให้นายท่านออกโรงกล่าวโทษหวางหงหลิง นังบ้านั่นถึงจะยอมปล่อยมือ ดีไม่ดีก็ถีบหลินอิ่งกระเด็นได้อีกด้วย!

พอถึงเวลานั้น เมื่อมันไม่มีเกราะกำบังอย่างหวางหงหลิง หลินอิ่งก็ไม่ต่างอะไรกับหมาข้างทางที่ใครๆก็รังแกได้ทุกเมื่อ! เขาจะต้องเล่นไอ้้สวะนี่ให้ตายในสักวัน! ความอัปยศอดสูทั้งหมดที่เขาต้องเจอในวันนี้ ไอ้้หลินอิ่งจะต้องโดนเป็นร้อยเท่าพันเท่า!

แค่คิด แววตาของหวางจื่อเหวินก็เผยความชั่วร้าย มีแผนที่จะเอาคืนหลินอิ่งแล้วในใจ

ติดก็ตรงที่ เขายังคุกเข่าอยู่ที่เดิม ในใจกังเวลอยู่กับนาฬิกาข้อมือ ไม่กล้าลุกขึ้น หลวจุนเป็นมืองฉบังแถวหน้าของท่านเสิ่นซาน ถ้าเขาเอะอะจนเรื่องใหญ่โต เกรงว่าร่างตัวเองคงกลายเป็นผงธุลีในไม่ช้า

……

อีกด้านนึง แลนด์โรเวอร์สีดำขับมาบนถนนหลวงโดยมีหลินอิ่งนั่งอยู่เบาะหลัง มุ่งหน้ากลับไปตกแต่งวิลล่าหิมะมังกรอีกเล็กน้อย เขาจะขยายห้องนอนให้ใหญ่ที่สุด จากนั้นค่อยตกแต่งอย่างหรูหรา

เขาตั้งใจจะให้ภรรยาที่รักอย่างจางฉีโม่ย้ายเข้ามาที่วิลล่าหิมะมังกร แผนกรักษาความปลอดภัยของที่นี่ใช้ได้ทีเดียว มีการคุ้มกันอย่างหนาแน่น เจ้าหน้าที่ทั้งหมดเป็นคนจากบริษัทรักษาความปลอดภัยระดับนานาชาติ

ไอ้พวกปัญญาอ่อนทั้งหลาย อย่าหวังจะได้เข้ามาใกล้แม้แต่เซนเดียว

นอกจากนี้ หลินอิ่งเองตั้งใจจะปรับความเข้าใจของฉีโม่ที่เข้าใจเขาผิด

ถึงเขาจะไม่ได้ถนัดเรื่องความรู้สึก แต่ก็พอจะรู้ว่าต้องง้อผู้หญิงที่กำลังหึง

คิดดังนั้น หลินอิ่งก็ยกหูโทรศัพท์โทรออก

“ครับ ประธานหลิน มีอะไรจะรับใช้ครับ?” ปลายสายเป็นเสียงนอบน้อบของอูหยาง

“เรื่องที่ให้ไปทำก่อนหน้านี้ ได้ความคืบหน้ายังไงบ้าง?” หลินอิ่งเอ่ยเสียงเรียบ

ก่อนหน้านี้เขาขอให้อูหยางคอยประคับประคองกำลังส่วนในของบริษัทตระกูลจาง ใช้ทุกสิ่งที่บริษัทมีผลักดันไปที่ฉีโม่ ทำให้เธอกลายเป็นนักออกแบบเครื่องประดับชื่อดังที่สุดของเมืองตุงไห่ กระทั่งมีชื่อเสียงในระดับโลก

“ประธานหลิน ผมจะทำอย่างเต็มความสามารถ ช่วงนี้คุณนายหลินยังคงออกแบบเครื่องประดับหลายชิ้นมูลค่านับสิบล้านอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ถือว่าติดอันดับอัญมณีชื่อดังของตุงไห่แล้วครับ!” อูหยางกล่าวด้วยความเคารพ

หลินอิ่งพูดต่อ “พรุ่งนี้เรียกประชุมบอร์ดบริหาร เลื่อนตำแหน่งให้เมียฉันเป็นรองประธานฝ่ายออกแบบผลิตภัณฑ์”

เขาสั่งให้อูหยางรวบบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ ก็เพื่อให้ความฝันของฉีโม่เมียรักของเขาเป็นจริง

แต่เขารู้จักนิสัยของฉีโม่ดี เธออยากจะไปถึงเป้าหมายด้วยความพยายามของตัวเอง

ไม่อย่างนั้นเขาคงเอาบริษัทเครื่องประดับยัดใส่มือเธอไปนานแล้ว

“ครับ! ประธานหลิน ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คุณสั่ง ผมรับรองว่าตั้งแต่พรุ่งนี้ไป คุณนายหลินจะต้องกลายเป็นรองประธานของบริษัท เป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารแน่นอนครับ!” อูหยางกล่าว

อูหยางรู้ดี และเขาก็พอจะดูออก จริงๆแล้วบริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เป็นแค่เครื่องมือที่ประธานหลินใช้เพื่อเอาใจคุณนายก็เท่านั้น

การมีอยู่ของบริษัทนี้ ก็แค่เพื่อให้คุณนายหลินมีความสุข

หากจะพูดกันอย่างเปิดเผย บทบาทของเขาก็แค่พ่อบ้านของบริษัทที่ประธานหลินส่งมา เพื่อคอยประคองคุณนายหลินให้เดินทีละก้าวๆจนไปถึงจุดที่เป็นเครื่องประดับระดับโลก และห้ามแสดงตัวชัด เขาต้องทำให้คุณนายหลินรู้สึกว่าความสำเร็จทุกอย่างมาได้จากความสามารถของตัวเอง

เวลานี้เอง ที่สายโทรศัพท์เข้า หลินอิ่งเหล่ตามองนิดๆ เห็นว่าเป็นภรรยาสุดที่รักโทรเข้ามา จึงรีบวางสายอูหยาง

“ว่ายังไงฉีโม่?” หลินอิ่งถาม

“ตอนนี้นายคงไม่เป็นไรแล้วใช่ไหม?” น้ำเสียงจางฉีโม่มีความกังวลอยู่บ้าง

“ไม่เป็นไรนี่” หลินอิ่งพูดหัวเราะ

ติ๊ด

หลินอิ่งอยากจะพูดอะไรต่อ แต่จางฉีโม่วางสายไปแล้ว

เขาส่ายหน้า แล้วยิ้มระเหี่ยใจ เขารู้ว่าฉีโม่กังวลเรื่องที่วันนี้เขาทำร้ายหวางจื่อเหวิน จะส่งผลเสียกับตัวเขา แต่ก็ยิ่งชัดเจนว่าเธอยังหึงเขาอยู่ ถึงไม่อยากคุยกับเขามาก

“หลินอิ่ง นายไม่คิดไม่โทรกลับมาเนี่ยนะ?” อีกด้านนึง จางฉีโม่ในชุดนอนกลิ้งอยู่บนเตียง สายตาจับจ้องไปที่โทรศัพท์หลายนาที กัดฟันโมโห “ซื่อบื้อหรือไงกัน?”

เธอคิดว่าพอตัดสายเสร็จ เดาว่าหลินอิ่งจะต้องโทรกลับมาตามเธอแน่ จากนั้นเธอค่อยตัดสายเขาสักสองสามรอบ ทำจนเขาร้อนรนแล้วสุดท้ายค่อยรับสาย

ใครจะคิด เธอกดตัดสายเขาดื้อๆแบบนี้ หลินอิ่งดันไม่โทรกลับเนี่ยนะ?

เธอยังมีอะไรต้องคุยกับเขาตั้งเยอะเลย!

จางฉีโม่ดึงทึ้งผ้าห่ม ความหงุดหงิดเผยบนใบหน้าสวยสด เธอกัดริมฝีปากแน่น

ที่เบาะหลังรถ หลินอิ่งปิดเปลือกตาพักสายตาไม่นาน

เสียงสั่นจากโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก

หลินอิ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้น ครั้งนี้เป็นเจียงฉีโทรเข้ามา

ตั้งแต่ที่เขาเสียเงินหลายสิบล้านเพื่อให้เจียงฉีไปทำธุรกิจครั้งก่อน เขาก็ไม่เคยติดต่อกับเจียงฉีอีกเลย

เจียงฉีเป็นคนทำอะไรคิดหน้าคิดหลัง ถ้าไม่เจอเรื่องอะไรที่ตัวเองปราบมือไม่ไหวจริงๆ เห็นทีคงไม่มีทางเป็นฝ่ายโทรมาหาเขา

“ประธานหลิน ยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ?” เจียงฉีพูดอ่อนน้อม

“มีอะไรก็ว่ามา” หลินอิ่งเอ่ยเสียงเรียบ

“ประธานหลิน หลังจากที่ผมวางแผนมาระยะเวลานึง ในการประชุมบอร์ดบริหารวันนี้ผมจะกำจัดผู้ถือหุ้นของตระกูลซูนทุกคนทิ้ง จากนั้นก็รวบบริษัทโอเชี่ยนอสังหาริมทรัพย์มาไว้ในกำมือ ตอนแรกตั้งใจจะมารายงานสถานการณ์กับท่าน” น้ำเสียงของเจียงฉีร้อนรน ราวกับกำลังแบกรับความกดดันอย่างหนัก

“แต่ผมไม่คิดเลยว่า ตระกูลซูนจะตอบโต้เร็วขนาดนี้ พวกมันกำลังจะตลบหลังผมในอีกไม่ช้าแล้วครับ!”

“คนที่ตระกูลซูนส่งมาตอนนี้ยึดบริษัทไว้หมด พวกนั้นต้อนผมไว้ในห้องทำงานคนเดียว ออกไปไหนก็ไม่ได้” เจียงฉีพูดไม่อ้อมค้อม “เท่าที่ผมทำความรู้จักกับตระกูลซูน ผมสงสัยว่าพวกนั้นจะบีบผมให้จนมุม หรือไม่ก็สร้างสถานการณ์ว่าผมกระโดดตึกฆ่าตัวตาย จากนั้นค่อยดึงบริษัทกลับไปในมือตัวเอง นี่เป็นวิธีที่พวกมันใช้ประจำครับ!”

“นายตั้งสติดีๆ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้” หลินอิ่งพูดเสียงนิ่งเรียบ

“ครับ!ครับ!” เจียงฉีใจเต้นตุ๊บตั๊บ เหมือนคว้าเชือกเส้นสุดท้ายไว้ได้

เจียงฉีกลัวว่าหลินอิ่งจะทอดทิ้งเขาในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ถ้าหลินอิ่งไม่ออกโรงช่วย วันนี้เขาคงถูกโยนออกไปจากห้องทำงานชั้นสามสิบกว่า แล้วตายอย่างอนาถอยู่บนพื้น

บทที่93 คุกเข่าสารภาพผิด

“พวกมึงเป็นใคร? จะทำอะไร? รู้ไหมว่ากูเป็นใคร?” หวางจื่อเหวินพูดด้วยความหวาดกลัว มองกลุ่มชายบึกบึนเต็มไปด้วยรังศีสังหาร ก็ลนลานขยับตัวถอยหลังหนีไม่หยุด

เสียงดังพลั่ก ในขณะที่จิตใจร้อนรนไม่หยุด หวางจื่อเวินตกลงมาจากรถ ร่างเขากลิ้งไปกับพื้นเหมือนลูกหมาจุกตูดก็ไม่ปาน เขาจับประตูรถพยุงตัวลุกขึ้น

“เหอะๆๆ เนี่ยหรอคุณชายแห่งตระกูลหวาง? ล้อเล่นป้ะวะ?” ชายร่างกำยำคนหนึ่งหัวเราะเยาะ

“แกรู้ว่าฉันคือคุณชายตระกูลหวาง?” หวางจื่อเหวินมีสีหน้าแปลกใจรมถึงมีคำถามในคราวเดียวกัน เขามองหลินอิ่งไม่อยากเชื่อสายตา สลับกับมองชายร่างใหญ่ทั้งสาม

เป็นไปได้ยังไง? ไอ้พวกนี้มันรู้สถานะของฉัน แต่ยังกล้าลงมือซ้อมบอร์ดี้การ์ด รวมทั้งทำร้ายร่างกายเขาอีก?

ไอ้สวะอย่างหลินอิ่ง มันไปเอาคนพวกนี้มาจากไหน?

ในใจของหวางจื่อเหวินสับสนอย่างหนัก

“เป็นคุณชายตระกูลหวางแล้วไง?” ชายกำยำพูดอย่างไม่แยแส

“รู้ว่าฉันเป็นคุณชายตระกูลหวางแต่ยังกล้าทำฉัน?” หวางจื่อเหวินตอบ ทั้งตกใจทั้งโมโห “พวกแกมันโง่ ที่ทำกับฉันแบบนี้เพื่อไอ้สวะอย่างหลินอิ่ง? กูจะจำหน้ามึงให้หมดทุกคน กูจะไม่ให้มึงตายดีแม้แต่คนเดียว!”

หลินอิ่งแค่นหัวเราะ หวางจื่อเหวินวันๆก็ดีแต่พร่ำว่าตัวเองเป็นคุณชายตระกูลหวาง สงสัยตายไปก็ยังไม่พ้นพูดคำนี้

“หลิวจุน ทางนี้ให้นายจัดการแล้วกัน” หลินอิ่งพูดนิ่งๆ แล้วหมุนตัวเดินจากไป เขาขึ้นไปนั่งบนรถแลนด์โรเวอร์แล้วออกไปจากชุมชนสุ่ยหยวน

“จะจัดการให้เรียบร้อยแน่นอนครับ!” หลิวจุนพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง

พูดจบหลิวจุนก็หันกลับมา ฝ่ามือใหญ่กระชากร่างของหวางจื่อเหวินจนลงไปกองกับพื้น

“มึงเป็นใคร? กล้าดียังไงมาตีกูวะ?!” หวางจื่อเหวินกุมใบหน้าแดงเถือกจากรอยถลอก โกรธแค้นอย่างถึงที่สุด

เขาเป็นถึงคุณชายใหญ่แห่งตระกูลหวาง พ่อของเขาคือหวางกั๋วคางผู้มีอิทธิพลเป็นอันดับสองแห่งตระกูลหวาง อยู่ในเมืองชิงหยูนมาตั้งหลายปี เขาเคยต้องก้มหัวให้ใครรังแกที่ไหน?

แต่เหมือนว่าตั้งแต่เขาทำผิดต่อหลินอิ่ง ผ่านไปไม่ถึงเดือน เขาก็ขายขี้หน้าจะไม่เหลือชิ้นดี โกรธจนอยากจะอักเป็นเลือด! เรื่องซวยซ้ำซวยซ้อนต่างๆล้วนโดนมาหมด

อย่างต่ำๆก็ถูกฉีกหน้าโดยคนไม่ซ้ำหน้ากันสามสี่คน!

ผั๊วะ ผั๊วะ!

หลิวจุนตรงเข้ามาบ้องหูอีกสองที แรงสะบัดจากฝ่ามือทำให้ปากของหวางจื่อเหวินบวมเป่ง

จากนั้น ชายร่างบึกมีสีหน้าไม่แยแส เขาขากเสลดลงพื้น จากนั้นมองหน้าหวางจื่อเหวินด้วยสายตาเย็นชา

“ดูท่ามึงยังไม่เข้าใจสถานะของตัวนี้! ไอ้เวรนี่มึงลองปากดีอีกทีสิ ถ้าไม่ยอมแพ้ วันนี้กูจะตบบ้องหูมึงจนกว่าจะสาแก่ใจ!” หลิวจุนพูดเสียงเย็น วอร์มมือรอ

หวางจื่อเหวินเห็นหลิวจุนท่าทางโอหัง สลับกับกลุ่มชายกำยำที่นั่งอยู่ในรถออฟโรดหลายคัน ในใจก็หวิวขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวัง “พี่ชาย พวกพี่เป็นใครมาจากไหน? ผมไม่เคยทำอะไรให้พี่ไม่พอใจหรอกใช่ไหม?”

หลิวจุนสะบัดฝ่ามือออกไปอีกรอบ แล้วพูดตะคอก “ไม่เคยทำอะไรให้? มึงไม่เคยทำผิดต่อกู จะบอกว่ากูก็ห้ามทำอะไรมึงงั้นสิ?”

เดิมทีหลิวจุนก็เป็นนักต่อสู้มือฉมังอยู่แล้ว ยิ่งผสมกับทักษะฝ่ามือทลายก้อนอิฐเข้าไปอีก แรงตบครั้งเดียวก็มากพอที่จะทำให้หวางจื่อเหวินโลกหมุน สมองตื้อไปหมด

หวางจื่อเหวินแทบจะหดหัวเข้าคอ กลัวตายสุดขีด

“อย่าทำผมเลย! ไม่ไหวแล้ว! พ่อผมคือหวางกั๋วคัง! ระดับชื่อเสียงของพ่อในเมืองชิงหยูนคงมีประโยชน์กับพวกพี่บ้างล่ะ” หวางจื่อเหวินยังคงทำใจดีสู้เสือ “พี่ชาย พี่อยากได้เงินหรืออยากได้อะไรล่ะ ผมจะโทรหาพ่อให้เดี๋ยวนี้ ให้พ่อผมเอามาให้ ขอแค่พี่อย่าทำผมอีกเลย!”

เมื่อพูดจบ หลิวจุนก็จู่โจมเข้ามาหยุดปากของหวางจื่อเหวินด้วยฝ่ามือหนักๆที่ตบเข้าตรงบ้องหูทั้งสองข้างสลับไปมา เมื่อเหวี่ยงมือออกไปทีก็ตบอีกฝ่ายติดต่อกันหลายครั้งราวกับเสพติดไปแล้ว

“มึงยังพูดถึงหวางกั๋วคังอีกใช่ไหม? คิดจะขู่กูงั้นสิ?” หลิวจุนถุยน้ำลาย พูดโต้อย่างไม่เกรงกลัว

เขาถึงกับผ่านความโชกโชนมาด้วยตัวเองภายใต้น้ำมือของท่านหลิน ความสามารถที่สะเทือนปฐพีแบบนั้น อย่าว่าแต่หวางกั๋วคังอะไรนั่น ไม่ว่าใครในเมืองชิงหยูนก็ไม่มีประโยชน์!

ก่อนจะมาอาศัยบารมีของหลินอิ่ง ตอนที่เขายังเป็นมือขวาให้โจปินคุณชายใหญ่แห่งตระกูลโจ เขาก็ไม่เคยให้ค่ากับไอ้วันๆที่ดีแต่สำมะเลเทเมาอย่างหวางจื่อเหวิน ยิ่งตอนนี้ที่เขามาติดสอยห้อยตามหลินอิ่งยิ่งไม่ต้องพูดถึง

หวางจื่อเหวินตัวสั่นระริก ไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป

เขาที่นับว่าเป็นคุณชายที่ปกติทำอะไรก็ไม่คำนึงถึงเหตุถึงผล ใครจะคิดว่าวันนี้จะต้องมาเจอคนที่ไม่มีเหตุผลหนักกว่าตัวเอง ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรล้วนกลายเป็นวอนโดนตบไปซะหมด แถมแรงก็อย่างกับช้าง ใครมันจะไปทนไหว

“กูชื่อหลิวจุน เคยได้ยินชื่อนี้ไหม?” หลิวจุนแสยะยิ้ม เขามองหวางจื่อเหวินด้วยสีหน้ากวนๆ

“หลิวจุน?” หวางจื่อเหวินขมวดคิ้ว ค่อยๆรำลึกความทรงจำ ก่อนจะมีสีตกใจเล็กน้อยเมื่อนึกออก “นายคือหนึ่งในสามอัศวินสกุลหลิวแห่งเมืองชิงหยูน?”

สามพี่น้องหลิวจุนที่มีทักษะการต่อสู้ขั้นสูงมีชื่อเสียงมาอย่างยาวนานในเมืองชิงหยูนกับเรื่องการสู้ปราบปราม ทั้งยังก่อตั้งศูนย์ศิลปะการต่อสู้ของสกุลหลิวขึ้นที่ใจกลางเมือง เพื่อถ่ายทอดวิชากังฟูประจำตระกูล ซึ่งเป็นวิชาที่หาเรียนได้ยาก และเป็นทักษะที่สามารถฆ่าคนได้ง่ายๆ

เพราะแบบนั้นสามพี่น้องสกุลหลิวเองก็ถือว่าเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง แม้แต่คนดังหรือเศรษฐีในเมืองชิงหยูนก็ยังต้องเกรงใจ

“นึกว่าไอ้ลูกหมาหางจุกตูนอย่างแกจะตังลอยขึ้นฟ้า ไม่สนใจแม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามของฉันซะอีก” หลิงจุนพูดโอหัง

“นายเป็นคนของโจปินหรือเปล่า?” หวางจื่อเหวินสงสัย “ฉันได้ยินมาว่าระยะนี้นายมาอาศัยบารมีของท่านเสิ่นซาน หรือว่าท่านเสิ่นซานส่งนายมา?”

หวางจื่อเหวินเคยปะทะกับสามพี่น้องหลิวจุน เมื่อตอนงานเลี้ยงต้อนรับโจปินเพิ่งกลับจากต่างประเทศ

ในแวดวงไฮโซของเมืองตุงไห่ หวางจื่อเหวินจ่ายเงินเพื่อให้ตัวเองได้ไต่ระดับขึ้นเป็นคุณชายผู้ร่ำรวยชั้นหนึ่ง แต่ถ้าเทียบกับโจปินแห่งตระกูลโจ พื้นเพของทั้งสองครอบครัวถือว่าไม่ต่างกันนัก แต่อำนาจและความสามารถกลับต่างกันอย่างชัดเจน อำนาจและความสามารถของเขาต่ำต้อยกว่าโจปินจนแทบเทียบไม่ติด

ก่อนหน้านี้ที่โจปินเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ แถมยังพาพวกนักฆ่าโหดๆกลับมาด้วย เรียกว่าเป็นมาเฟียประจำเมืองไปอย่างสมบูรณ์ เขาลั่นวาจาจะกำราบมาเฟียทุกคน และครองเมืองชิงหยูนให้ได้ภายในหนึ่งเดือน พร้อมกับลับมีดด้วยการเปิดศึกกับเสิ่นซานของเมืองหนานเฉิง

แต่ใครจะคิด โจปินที่ผ่านคู่ต่อสู้มามากมายขณะอยู่ต่างประเทศ ผู้ที่มีเงินมีอำนาจมีลูกน้อง ไหนจากมีตระกูลโจแบ็คอัพ กลับต้องพ่ายแพ้ให้กับน้ำมือของเซียนอันดับหนึ่งแห่งเมืองชิงหยูนอย่างเสิ่นซาน แพ้คาบ้านไปซะดื้อๆ

หลังจากจบเหตุการณ์นั้น แม้แต่ตระกูลโจก็ไม่กล้ากลับไปแก้แค้นเสิ่นซาน เหตุการณ์นี้สร้างความตกอกตกใจแก่แวดวงคนดังในเมืองชิงหยูนเป็นอย่างมาก

ท่านเสิ่นซานกลายเป็นคนดังในชั่วข้าวคืน เหล่ามาเฟียแห่งเมืองชิงหยูนแค่ได้ยินชื่อ ก็ต่างพากันก้มหัวให้ บารมีของเขาแผ่ขยายไปไกลจากแค่เขตเล็กๆในเมืองหนานเฉิง กลายเป็นเงามืดที่แม้แต่สามตระกูลใหญ่แห่งเมืองชิงหยูนต้องหวาดกลัว!

“พี่หลิว คงไม่ใช่ท่านเสิ่นซานสั่งให้พี่มาหรอกใช่ไหม?” หวางจื่อเหวินเริ่มหน้าซีด แววตาสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว

หากเป็นเสิ่นซานในสมัยก่อน กะอีแค่ทุบเมืองหนานเฉิงทิ้ง ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับคุณชายแห่งตระกูลหวางอย่างเขา

แต่ตอนนี้ แม้แต่โจปินท่านเสิ่นซานก็กำจัดมาแล้ว มิหนำซ้ำตระกูลโจยังไม่กล้าหือ แล้วเหวางจื่อเหวินอย่างเขาจะไปเหลืออะไร?

นี่ถ้าท่านเสิ่นซานหมายหัวเขาเข้าจริงๆ คงมีแต่ตายกับตายเท่านั้น!

“หึ กลัวเป็นเหมือนกันหรอวะ?” หลิวจุนแสยะยิ้ม “เบื้องบนเขาสั่งมา แก ไอ้หวางจื่อเหวินไปนั่งคุกเข่าหน้าประตูชุมชนสุ่ยหยวนหนึ่งชั่วโมง! จะไว้ชีวิตให้แค่ครั้งนี้!”

บทที่92 แกกำลังจะดังแล้ว

“แกได้ยินหรือยัง ต้องรอให้คุณชายหวางเรียกคนมากระทืบใช่ไหม แกถึงจะยอมโอนอ่อน?” ลู่หย่าฮุ่ยหัวเราะเยาะมองหลินอิ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่แยแส

เธออยากจะให้หวางจื่อเหวินรีบเรียกคนมาจัดการหลินอิ่งจนต้องลงไปนั่งคุกเข่าร้องขอชีวิตซะเดี๋ยวนี้ จะได้ถือโอกาสนี้กำจัดกลิ่นเหม็นสาปให้ออกไปจากบ้านตระกูลจาง

ทำให้หลินอิ่งหัดสำเหนียกตัวบ้างว่า ตัวเองก็แค่พึ่งพาอาศัยผู้หญิงอย่างหวางหงหลิงก็เท่านั้น สุดท้ายก็ต้องกลับมาส่ายหางขอความเมตตาที่บ้าน แล้วสุดท้ายค่อยถีบมันกระเด็นออกไป

ก่อนหน้านี้ที่ทำเป็นช่วยพูดแทนให้หลินอิ่ง เธอก็ทำเพื่ออยากจะเอาใจหวางจื่อเหวินก็เท่านั้น

ยังไงซะถ้าเธอเป็นฝ่ายออกตัวพูดให้หลินอิ่งยอมแพ้เอง คงจะทำให้หวางจื่อเหวินมองเธอไม่ดีเป็นแน่

“เฮ้ย? เฮ้ย!” หวางจื่อเหวินตะโกนใส่หูโทรศัพท์ สีหน้าท่าทางดูผิดปกติ

นี่มันอะไร? หัวหน้าทีมการ์ดตัดสายของเขา?

บอร์ดี้การ์ดสิบกว่าคนเมื่อกี้ยังเฝ้าอยู่มุมใดมุมหนึ่งของบ้านนี้อยู่เลยไม่ใช่หรอ? หรือว่าเกิดอะไรขึ้น?

หวางจื่อเหวินมองหลินอิ่งด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม สีหน้าดูไม่ค่อยดีนัก

ให้เขาสู้กับหลินอิ่งตัวต่อตัวเห็นท่าจะไม่รอด ถ้าไม่มีพวกทีมการ์ด เขาจะจัดการเล่นหลินอิ่งให้หมอนี่ยอมคุกเข่าลงได้ยังไง?

“ไง? ไม่มีบอร์การ์ด ก็ตัวยุบขนยุบเลยงั้นสิ?” หลินอิ่งพูดจากวน

“เด็กๆของฉันก็รออยู่ฝั่งโน้นไง!” หวางจื่อเหวินยังแสร้งข่มขู่ “ยิ่งตอนนี้แกปากดีเท่าไหร่ อีกเดี๋ยวจะได้น่าสมเพชมากเท่านั้น!”

“หลินอิ่ง แกมันไม่เห็นโรงศพไม่หลั่งน้ำตาใช่ไหม? ขนาดนี้แล้วยังมาทำอวดดีต่อหน้าคุณชายหวางเขาอีก?” ลู่หย่าฮุ่ยพูดเย็นชา พยายามจะออกหน้าแทนหวางจื่อเหวิน “ตอนที่ฉันมาถึงก็เห็นกลุ่มบอร์ดี้การ์ดของคุณชายหวางรออยู่ฝั่งโน้นแล้ว แกจะต้องให้คนเขาลงไม้ลงมือใช่ไหมถึงจะยอม?”

หวางจื่อเหวินกดโทรออกไม่หยุด ในขณะเดียวกันก็จ้องไปที่หลินอิ่งด้วยสายตาเย็นเฉียบ หวังจะข่มขู่ให้หลินอิ่งกลัว

ในขณะที่หลินอิ่งมีสีหน้าเรียบเฉย แววตาเย็นชามองไปยังหวางจื่อเหวิน “คุกเข่าก้มหัวลงซะ!”

สายตาคมกริบราวกับมีดของหลินอิ่งทำเอาหวางจื่อเหวินตกใจสะดุ้ง เขาหดหัวลงเล็กน้อย ในใจหวั่นผวา

จู่ๆก็นึกไปถึงภาพของตัวเองครั้งที่แล้วที่ถูกหลินอิ่งเหยียบอยู่บนพื้น

“นี่มึงกล้าขู่กูหรอวะ? มึงมันก็ดีแต่ตอนที่มีหวางหงหลิงอยู่ถึงกล้าโผล่หัวออกมา หลายวันก่อนกูตามหามึงทั่ว หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ไม่รู้มึงไปมุดหัวอยู่หลุมไหน!” หวางจื่อเหวินยังใช้ไม้แข็งเข้าสู่ เขาประกาศกร้าวเสียงเย็นชา “ทางที่ดีตอนนี้มึงรีบขอโทษกูซะ อีกไม่นานบอร์ดี้การ์ดกูก็จะมาแล้ว!”

แม้ว่าสายตาของหลินอิ่งจะเขย่าขวัญอยู่มาก แต่ไอ้หมอนี่มันก็แค่สวะเดินได้ที่อาศัยแต่บารมีหวางหงหลิงก็เท่านั้น

ไม่อย่างนั้น หลายวันที่ผ่านมาหลินอิ่งจะเอาแต่หลบเขาทำไม? ถ้าไม่ใช่เพราะว่ากลัว?

ตอนนี้ เดาว่ามันก็คงทำตัวพองข่มขวัญคนอื่นไปงั้นแหละ

หลินอิ่งเดินเข้ามาหาหวางจื่เหวินทีละก้าว ใบหน้าไร้อารมณ์

“มึงจะทำอะไร?” หวางจื่อเหวินถาม แล้วรีบกดโทรหาบอร์ดการ์ดอย่างสติแตก

เสียงตื๊ดดังขึ้นครั้งนึง ปรายสายก็มีคนรับ

“อีกหนึ่งนาทีบอร์ดี้การ์ดกูก็จะมาแล้ว! กูจะยืนตรงนี้แหละ ดูซิว่ามึงกล้าต่อยกูไหม?” หวางจื่อเหวินอวดดีอย่างบ้าคลั่ง แค่รอให้วพกเด็กๆรีบเข้ามา วิชาวิทยายุทธ์ก็ช่วยอะไรมันไม่ได้!

ผั๊วะ!

หลินอิ่งสะบัดมือตรงเข้าที่บ้องหูอย่างไม่ลังเล หวางจื่อเหวินหน้าหันไปสามร้อยสบสิบองศา ก่อนจะล้มลงไปนั่งจุมปุ๊เหมือนหมากินอึตัวนึง

ความโกรธเกรี้ยวพรั่งพรูขึ้นทันใด ใบหน้าบวมเป่ง จมูกช้ำ หวางจื่อเหวินเอามือกุมใบหน้าบวมๆของตัวเอง

สีหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโมโห หวางหงหลิงไม่ได้ส่งไอ้นักฆ่าสองคนนั้นมาที่นี่ด้วยซ้ำ ทำไมไอ้สวะเกาะกระโปรงผู้หญิงอย่างหลินอิ่งถึงกล้าต่อยเขา?

นี่เขาโดนไอ้้เวรนี่ซัดหน้าจนสภาพดูไม่ได้แบบนี้ ต่อหน้าต่อตาพ่อแม่ของฉีโม่!

“กูเอามึงตายแน่!” หวางจื่อเหวินส่งเสียงคำรามในลำคอ

“อ้ะ? หลินอิ่งทำร้ายคุณชายหวางแบบนั้นได้ยังไง? แกทำร้ายคนในบ้านของเรา นี่มันเจตนาฆ่าเลยรู้ไหม!” จางซิ่วเฟิงพูดด้วยความกลัวจะเกิดเรื่องขึ้น

“ขอโทษนะคะคุณชายหวาง หลินอิ่งบ้าไปแล้วแน่ๆถึงได้ทำร้ายคุณ พวกเราคิดไม่ถึงเลยจริงๆ” ลู่หย่าฮุ่ยรีบแก้ตัว รู้สึกหวั่นวิตกไปหมด หลินอิ่งมันเกิดมาเพื่อสร้างความบรรลัยให้คนอื่นอย่างแท้จริง นี่มันกล้าต่อยคุณชายหวางในรั้วบ้าน ไม่ไหวกับมันแล้ว

พลั่ก!

หลินอิ่งจู่โจมเข้ามาดึงร่างของหวางจื่อเหวิน เขาใช้มือข้างเดียวล็อกคออีกฝ่ายไว้ด้วยความรวดเร็ว แล้วดึงร่างทั้งร่างขึ้นมาจนลอยเหนือพื้น

ใบหน้าของหวางจื่อเหวินเปลี่ยนเป็นขาวซีด แววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ราวกับใกล้จะขาดอากาศหายใจเต็มที เขาหายใจไม่ออกอีกต่อไป

เขาเบิกตากว้างมองหลินอิ่งที่มีสายตาเย็นชา ร่างกายสั่นสะท้าน รังศีอำมหิตพร้อมสังหารคนได้ทุกเมื่อ อีกนิดเดี๋ยวเขาก็จะถูกบีบคอจนขาดอากาศหายใจตาย!

“แอ๊ะ!”

สีหน้าหวางจื่อเหวินบิดเบี้ยวจนดูไม่ได้ ปากสั่นจนฟันกรามกระทบกันเสียงดัง กลัวจนฉี่ราดกางเกงขนาดนี้ยังกล้าปากดีงั้นสิ

หลินอิ่งขมวดคิ้ว เขาสะบัดขายาวถีบทีนึงก็เอาร่างของหวางจื่อเหวินลอยไปไกลหลายสิบเมตร ก่อนที่ร่างจะหล่นตุบลงบนพื้นอย่างแรง เขากุมคอของตัวเองแล้วสูดหายใจเฮือก ใบหน้าซีดขาว

“นี่มัน? หลินอิ่ง?” ลู่หย่าฮุ่ยแทบไม่อยากเชื่อสายตากับภาพที่เห็นตรงหน้า

“นี่ก็คือคนที่พวกคุณมองว่าเป็นไอ้ตัวไร้ประโยชน์มาตลอดไง? ตกใจจนฉี่ราดกางเกงเลยสิ?” หลินอิ่งมองลู่หย่าฮุ่ยและสามีด้วยสีหน้านิ่งเฉย แล้วแสยะยิ้ม

ลู่หย่าฮุ่ยเตรียมจะเอ่ยปากต่อว่า แต่พอเห็นสายตาสังหารของหลินอิ่ง ก็รีบหุบปากทันควัน

หลินอิ่งสาวเท้าเดินเข้าไป แล้วกระชากเนคไทกับสูทของหวางจื่อเหวิน แล้วลากเขาไปกับพื้นเดินจากไป

ลู่หย่าฮุ่ยและสามีมองหน้ากันไปมา ในสายตาของทั้งคู่เผยความตกใจ แต่ไม่นานก็เปลี่ยนเป็นความโกรธเกรี้ยว

“ไปค่ะ เราต้องรีบขึ้นไปคุยกับลูกให้รู้เรื่อง หลินอิ่งมันโง่ดักดานขนาดนี้ ยังริอาจใช้หวางหงหลิงมาถือหางตัวเอง ทำจนหวางจื่อเหวินสภาพนี้ อีกไม่นานต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่!” ลู่หย่าฮุ่ยมองตามแผ่นหลังของหลินอิ่งด้วยความผวา กลัวว่าต่อจากนี้หวางจื่อเหวินจะต้องมาแก้แค้นแน่

“แต่? เฮ้อ หวางจื่อเหวินนี่ก็ขายขี้หน้าชะมัด เป็นผู้ชายแท้ๆกลัวจนฉี่ราดกางเกง” จางซิ่วเฟิงพูดถอนหายใจ ตอนแรกนึกว่าจะตกได้ปลาทองตัวใหญ่ ใครจะคิด ที่แท้เป็นคนแบบนี้เอง ไหนจะยังเกิดเรื่องบ้าๆนี่ขึ้นอีก

ที่ระเบียงชั้นสิบกว่า จางฉีโม่สีหน้ายุ่งเหยิง เรื่องราวที่เกิดขึ้นเธอเห็นชัดเต็มสองตา หญิงสาวจ้องแผ่นหลังของหลินอิ่งที่เดินจากไป

ห้านาทีผ่านไป

หวางจื่อเหวินถูกหลินอิ่งลากมาจนถึงหน้าประตูชุมชนสุ่ยหยวน ผู้คนที่เดินผ่านไปมาต่างก็ตกใจกับสิ่งที่ตัวเองเห็น

“ดูนั่นดิ ผู้ชายคนนั้นสภาพอย่างกับหมาเลยว่ะ หน้าบวมจมูกเขียว แถวยังฉี่ราดกางเกงอีก! ฉี่ไหลมาตลอดทางเลยด้วย!” เด็กหนุ่มคนนึงพูดขึ้นอย่างสอดรู้สอดเห็น เหมือนได้เห็นเรื่องสนุกก็ไม่ปาน ถึงขนาดหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิป

“เฮ้ย? จะอ้วก!” เด็กสาวอีกคนเห็นภาพหวางจื่อเหวินฉี่ราดกางเกง ก็รีบยกมือขึ้นปิดตา แล้วส่งเสียงร้องตกใจ

ไม่นาน คนที่มุงดูอยู่รอบๆก็ควักโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วหันกล้องไปที่หวางจื่อเหวิน ก่อนจะเผยแพร่ภาพว่อนไปทั่วโลกโซเชียล

“ห้ามถ่ายโว้ย! ใครอนุญาตให้พวกมึงถ่าย กูเป็นถึงหวาง…” หวางจื่อเหวินทั้งโกรธทั้งอาย เขาคำรามใส่ผู้คนรอบๆ แต่ไม่กล้าเอ่ยชื่อตัวเองออกมา

เขาอยากจะมุดหัวเข้าไปหลบในซอกหลีบซะเดี๋ยวนี้!

เมื่อครู่ที่เกือบตายคาน้ำมือของหลินอิ่ง ทำเอาเขาอั้นปัสสาวะอุจจาระไม่อยู่ แต่ใครจะคิดว่าหลินอิ่งยังลากเขาออกมาให้ผู้คนในสุ่ยหยวนหัวเราะเยาะราวกับเป็นตัวตลก ไหนจะถ่ายคลิปอีก

หลังจากนี้ เขาจะเป็นยังไงได้อีก?

หวางจื่อเหวินหน้าแดงก่ำเขาเอามือกุมใบหน้าตัวเองแน่น

“แกกำลังจะดังแล้ว” หลินอิ่งมองหวางจื่อเหวินด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

ชายหนุ่มสะบัดร่างของหวางจื่อเหวินกระแทกเข้ากับแลมโบกินี่ เกิดเป็นเสียงดังปึ้ง หวางจื่อเหวินร้องโอดครวญ น้ำหูน้ำตาไหลด้วยความเจ็บปวด

“กูจะฆ่ามึง!” จื่อเหวินสบถเสียงต่ำ

แต่ทันทีที่พูดจบ ฝ่ามืออรหันต์ก็ฟาดลงบนหน้า ไม่ใช่ฝ่ามือของหลินอิ่ง แต่เป็นชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างรถ

แลนด์โรเวอร์สีดำเจ็ดแปดคันจอดล้อมแลมโบกินี่ มีเพียงชายบึกบึนสามคนที่เดินลงมา แล้วหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหวางจื่อเหวิน

บอร์ดี้การ์ดที่หวางจื่อเหวินพามา ถูกทำร้ายร่างกายจนสภาพเละเทะ ทั้งหมดหลบอยู่หลังรถด้วยร่างกายสั่นเทา…

เห็นดังนั้น หวางจื่อเหวินก็อ้าปากค้าง แววตาหวาดผวา ใกล้จะฉี่แตกอีกรอบ…

บทที่91 นำอาวุธออกมา

ชุมชนสุ่ยหยวน หน้าบ้านของหลินอิ่ง

สองสามีภรรยาจางซิ่วเฟิงกำลังเจรจากับชายหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งอยู่ด้านล่าง

หวางจื่อเหวินสวมสูทสีแดงไวน์แสดงถึงความมั่นใจ ในมือถือช่อดอกกุหลาบสีน้ำเงินสวยสด

“คุณลุงคุณป้า ดูเอาเถอะ แค่ให้ฉีโม่ออกมาพบปะกันสักหน่อย เย็นนี้ผมก็จะเลี้ยงข้าวเธอ” หวางจื่อเหวินพูดยิ้มๆ

“นี่เป็นของขวัญเล็กๆน้อยๆของคุณลุงคุณป้า”

พูดๆอยู่ หวางจื่อเหวินก็ยื่นกล่องของขวัญสองกล่องให้กับมือของลู่หย่าฮุ่ยกับสามี

ลู่หย่าฮุ่ยเปิดกล่องของขวัญออกเบามือก่อนจะปรายตามองเล็กน้อย ทันใดนั้นหัวใจก็พองโต ดวงตาเบิกกว้างในเสี้ยววินาที

ในกล่องนี้เต็มไปด้วยธนบัตรสีเทาหนาเป็นตั้งๆ อย่างต่ำๆก็ต้องมีสักล้านนึงได้!

ลู่หย่าฮุ่ยระริกระรี้อยู่ในใจ สมกับเป็นคุณชายใหญ่จากตระกูลหวาง อยู่เป็นอะไรขนาดนี้ เปย์ทีนึงก็อลังการซะขนาดนี้ ขนาดยังไม่ได้คบกับฉีโม่ก็ยอมลงทุนใหญ่ขนาดนี้ ดีกว่าอีตาหลินอิ่งไร้ประโยชน์นั่นตั้งไม่รู้เท่าไหร่!

“ตายแล้ว ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้ก็ได้ค่ะคุณชายหวาง เดี๋ยวป้าจะเรียกฉีโม่ลงมาเดี๋ยวนี้เลย ให้หนุ่มๆสาวๆเขาได้พูดคุย กินข้าวกัน หรือจะเดินซ็อปปิ้ง ดูหนังก็ว่ากันไป” ลู่หย่าฮุ่ยพูดพร้อมกับยิ้มตาหยี

“คุณชายหวางอย่าถือโทษไปเลย ฉีโม่เด็กคนนี้ ก็เขินนั่นแหละ ถึงได้นอนดูทีวีอยู่บ้าน” จางซิ่วเฟิงพูดยิ้มๆ ราวกับรู้สึกประทับใจต่อหวางจื่อเหวินเป็นอย่างมาก

“ใช่แล้วคุณชายหวาง ความคิดของผู้หญิงก็แบบนี้แหละ ไม่ใช่ว่าอยากจะหลบหน้าคุณชายหรอกค่ะ อย่าถือสาแกเลย ส่วนของแพงๆพวกนี้ เดี๋ยวป้าจะคุยกับฉีโม่แกให้ก็แล้วกันนะคะ!” ลู่หย่าฮุ่ยเองก็พูดไปยิ้มไป กลัวว่าคุณชายหวางจะขุ่นเคืองเรื่องนี้

มาคิดดูเจ้าลูกสาวตัวดีนี่ก็จริงๆเลย แค่ได้ยินว่าหวางจื่อเหวินมา ก็หลบอยู่ในบ้านเป็นตายก็ไม่ยอมออกมาเจอหน้า ไหนจะของกำนัลแบรนด์เนมที่หวางจื่อเหวินเอามาให้ครั้งก่อนพวกนี้อีก ก็โยนทิ้งไว้ตรงข้างล่างเนี่ย ไม่เข้าใจจริงๆว่าในหัวกำลังคิดอะไรอยู่!

ขนาดไอ้คนไร้ประโยชน์อย่างหลินอิ่งยังกล้านอกใจแบบเปิดเผย แถมเกาะผู้หญิงกินหน้าด้านๆ

ลูกสาวของพวกเขาที่เพียบพร้อมไปทุกด้านอย่างฉีโม่ ทำไมจะไม่มีสิทธิวิ่งหาความสุขให้ตัวเองบ้าง?

“ไม่เป็นไรครับคุณลุงคุณป้า ผมเข้าใจดี” หวางจื่อเหวินทำท่าอย่างคนจิตใจดีพร้อมกับพูดยิ้มๆ

“เอาล่ะ ซิ่วเฟิงคุณเองก็ไม่ต้องโทรแล้ว ขึ้นไปเรียกฉีโม่ลงมาสิ” ลู่หย่าฮุ่ยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ให้ลูกเราไปกินข้าวดีๆสักมื้อเป็นเพื่อนคุณชายหวางอุตส่าห์ส่งของขวัญชิ้นใหญ่ขนาดนี้มา ควรจะเลี้ยงข้าวสักมื้อเป็นการแสดงความขอบคุณ ไม่ใช่มาโยนของขวัญทิ้งๆขว้างๆแบบนี้ใช่ไหมล่ะ?”

“ได้” จางซิ่วเฟิงหมุนตัวเตรียมจะขึ้นข้างบน

หวางจื่อเหวินเผยรอยยิ้มขึ้นบนมุมปาก พ่อแม่ของจางฉีโม่นี่จัดการง่ายชะมัด

แค่ใช้เงินนิดหน่อยก็ทำให้พวกเขามาอยู่ฝั่งเดียวกับตัวเองได้ ไหนจะช่วยสร้างโอกาสกับสถานการณ์ให้อีก

ใช้วิธีนี้ไปเรื่อยๆ อีกไม่นานจางฉีโม่ก็ต้องตกมาอยู่ในมือเขาจนได้

ไอ้สวะหลินอิ่งนั้น มันทำเขาขายหน้าตอนอยู่ที่หมิงเป่าซวน ไหนจะกล้าใช้อำนาจของหวางหงหลิงมาเหยียบย่ำเขาอีก

แค่คิด แววตาของหวางจื่อเหวินก็ปรากฏความแค้นออกมา จะต้องจัดการกับเมียของไอ้้วะนั่นให้ได้ แล้วค่อยชำระบัญชีกัน ทำให้หลินอิ่งมันเห็นว่าเมียของมัน ที่ตัวมันเองไม่มีปัญญาจะแตะต้อง แต่เขาจะย่ำยีจะเล่นๆขว้างๆยังไงก็ได้

มีแค่วิธีนี้ที่จะล้างความอัปยศของเขาได้!

“อย่าไปเรียกฉีโม่เลยครับ”

ทันใดนั้น เสียงเย็นเฉียบก็ลอยเข้ามา

หลินอิ่งเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เขาปรายหางตามองหวางจื่อเหวิน

“หลินอิ่ง?” ลู่หย่าฮุ่ยขมวดคิ้ว แล้วถามด้วยความสงสัย “นายมาได้ยังไง?”

หวางจื่อเหวินหันศีรษะกลับไปในทันที ชายหนุ่มจ้องหลินอิ่งตาเขม็ง ความโกรธแค้นผุดขึ้นมาทันที

“ไอ้้สวะนี่ยังกล้าโผล่มาให้ฉันเห็นหน้าอีกหรอ?” หวางจื่อเหวินโมโหขีดสุด อยากจะเข้าไปจบบ้องหูหลินอิ่งสักที

แต่ไม่นาน เขาเห็นสายตาเย็นชาของหลินอิ่ง จึงถอยกลับมาสองสามเก้าอย่างไม่ตั้งตัว

ลึกๆแล้วหวางจื่อเหวินไม่ได้ให้ความสำคัญอะไรกับหลินอิ่ง แต่เขาก็รู้ดีว่าหลินอิ่งเคยฝึกวิทยายุทธ์ ถ้าสู้กันตัวต่อตัวแน่นอนว่าเขาสู้ไม่ได้ จึงทำเพียงกลั้นโทสะ ไม่กล้าเดินเข้าไปลงไม้ลงมือ

“หลินอิ่ง แกมาที่นี่คิดจะทำอะไร?” หวางจื่อเหวินใช้เสียงเย็นพูดขึ้นมาอีกครั้ง “คิดจะมาสร้างความวุ่นวาย? หวังจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับฉีโม่งั้นสิ?”

“ก่อนหน้านี้มีครั้งไหนไหมที่ไม่ใช่เพราะได้หวางหงหลิงคอยถือหางแก? ตอนนี้กล้าจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉัน” สีหน้าของหวางจื่อเหวินไม่แยแส เขาพูดพร้อมกับแสยะยิ้ม

“ถ้าแกหัดสำเหนียกตัวสักหน่อย หลบอยู่หลังกระโปรงผู้หญิงเหมือนพวกขี้ขลาดตาขาว ดูท่าทางฉันคงไม่มีโอกาสได้แก้แค้นแหงๆ” สีหน้าของหวางจื่อเหวินค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำทะมึน แฝงไปด้วยความเสียดสีเยาะเย้ย “กล้าโผล่หน้าออกมา หาที่ตายแท้!”

ลู่หย่าฮุ่ยมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าไม่ยี่ระ ในใจลอบยิ้ม

หลินฮุ่ยไอ้หมอนี่มันไม่รู้จักกลัวตายจริงๆ หลงคิดว่าตัวเองมีคุณหนูแห่งตระกูลหวางมาติดพันแล้วตัวเองจะทำอะไรก็ได้ ถึงได้เป็นฝ่ายท้าทายหวางจื่อเหวินวอนเจ็บตัวถึงขนาดนี้

หวางหงหลิงไม่ได้อยู่ข้างกายไม่ได้มาออกหน้าช่วย หมอนี่จะต่างอะไรกับคนแขนขาด้วน? ยังมาทำอวดดี

ดีเหมือนกัน ครั้งนี้ให้หวางจื่อเหวินสั่งสอนมันสักที จะได้รู้ว่าสถานะของตัวเองมันเป็นยังไง จากนั้นก็กลับมาแทบเท้าฉีโม่ ถึงเวลานั้นค่อยหาวิธีลดทอนคุณค่าของมันที่มีต่อคุณหนูตระกูลหวางซะ

“หลินอิ่ง เอาแบบนี้เถอะ ในฐานะที่แกยังเป็นลูกเขยของตระกูลเรา ฉันจะช่วยขอร้องคุณชายหวางให้ ก่อนที่มันจะไปกันใหญ่” ลู่หย่าฮุ่ยว่า “คุณชายหวาง ที่ผ่านมาหลินอิ่งทำผิดกับคุณมามาก คุณชายอยากจะให้ขอโทษหรือมอบกระเช้าก็แล้วแต่เลย เราสองคนถือวิสาสะตัดสินใจแทนหลินอิ่ง ให้เขาทำตามที่คุณชายว่าทุกอย่าง!”

หวางจื่อเหวินขมวดคิ้วเล็กน้อย จะทำตามที่เขาว่างั้นหรอ งั้นวันนี้เห็นทีต้องตัดมือทั้งสองข้างออกมา จากนั้นก็ให้ไอ้หมอนี่คุกเข่าอยู่หน้าประตูบ้าน เป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน

แต่ว่า ขนาดพ่อแม่ของจางฉีโม่เองก็เอ่ยปากมาแล้ว เห็นทีชักจะสนุกแล้วสิ ถ้าให้หลินอิ่งต้องขายหน้าต่อหน้าพ่อตาแม่ยาย ก็นับว่าไม่เลว

ยังไงซะเมื่อถึงเวลานั้น เขายังจะไล่หรือไม่ไล่บี้หลินอิ่ง มันก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของเขาไม่ใช่หรอ?

“แฮ่มๆ คุณลุงคุณป้าครับ ผมเป็นคนทำอะไรใช้เหตุใช้ผล ในเมื่อพวกคุณเอ่ยปากมาซะขนาดนี้ ผมจะปล่อยผ่านให้ก็ได้” หวางจื่อเหวินเริ่มได้ใจ เขาทำท่าประหนึ่งคนที่ถือไพ่เหนือกว่าแล้วพูดต่อ “เอาแบบนี้แล้วกันครับคุณลุงคุณป้า ให้หลินอิ่งโค้งคำนับผม แล้วพูดคำว่าขอโทษติดกันสามครั้ง ที่สำคัญต้องยอมรับว่าตัวเองเป็นแค่ไอ้้ขี้ขลาดตาขาวไร้ความสามารถ ส่วนเรื่องที่ผ่านมาผมจะให้มันแล้วๆกันไป!”

“ดูซิ คุณชายหวางเขามีเหตุมีผลขนาดไหน แกยังมีหน้าจะหาเรื่องทำร้ายร่างกายเขาอีก?” ลู่หย่าฮุ่ยทำเสียงจิ๊จ๊ะ “หลินอิ่ง ครั้งนี้ถือว่าฉันช่วยแกสุดๆแล้วนะ? เร็วเข้า รีบโค้งตัวขอโทษซะ”

“ยังยืนบื้อทำไมอีก? กะอีแค่ยอมรับว่าตัวเองเป็นไอ้้ขี้ขลาดตาขาวมันยากมากหรอ?” ลู่หย่าฮุ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ

ไอ้หมอนี่มันยังทำท่าเหมือนกลัวเสียหน้าอีกหรอ? คนเขารู้กันทั่วว่ามันเกาะผู้หญิงกิน แถมเกาะผู้หญิงตั้งสองตระกูล

หลินอิ่งแค่นหัวเราะ เขาไม่แม้แต่จะเสียน้ำลายพูดกับลู่หย่าฮุ่ยแม้แต่นิดเดียว

“บอร์ดี้การ์ดของคุณชายหวางอยู่ตรงนั้น ถ้าแกไม่ทำตาม อีกเดี๋ยวตอนจบหน้าแกจะไม่เหลือแม้แต่นิ้วเดียว! ฉันหวังดีกับแกหรอกนะรู้ไหม?” ลู่หย่าฮุ่ยพูดเสียงเย็นชา

หลินอิ่งคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม หวังดีกับเขา?

“ฉันจะให้โอกาสแค่หนึ่งนาที หลินอิ่ง ถ้าไม่เห็นแก่หน้าคุณลุงคุณป้า ฉันจะเรียกบอร์ดี้การ์ดเข้ามาตอนนี้แล้วเล่นจนแกต้องลงไปนั่งคุกเข่าให้ฉัน เข้าใจหรือยัง?” หวางจื่อเหวินพูดอย่างคนได้ใจสุดๆ

“ก็ลองเรียกบอร์ดี้การ์ดแกเข้ามาดูสิ” หลินอิ่งหันไปมองหวางจื่อเหวิน แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าท้าทาย

หวางจื่อเหวินจ้องหลินอิ่ง ไอ้สวะนี่ท่าทางมันจะตัวพองใหญ่แล้ว รอบนี้หวางหงหลิงไม่ได้อยู่ด้วย มันยังมีอะไรมาอวดดีอีก?

“ไปเอาเด็กๆบนรถมา!” หวางจื่อเหวินแสยะยิ้ม เขากดโทรออกด้วยความโอหัง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท