ดาบพิโรธสวรรค์ – ตอนที่ 37

ตอนที่ 37

ตอนที่ 37 เจตนารมณ์แห่งดาบ

แท่งหินเหล่านี้สลักด้วยลวดลายอักขระอาคม แต่ร่องรอยของมันนั้นเบาบางมาก หากไม่มองให้ดี เช่นนั้นจะไม่สามารถเห็นได้

“นี่คือ…” หลินเซวียนมองอย่างระมัดระวัง แต่เขาไม่เข้าใจเกี่ยวอักขระอาคมเหล่านั้นเลย

“นี่คือตัวอักษรจีนโบราณ มันไม่ควรจะอยู่ในยุคนี้ได้” เซียนสุรารีบเอ่ยขึ้น

“ลุงขี้เมา ท่านรู้จักอักษรจีนโบราณด้วยหรือ?” หลินเซวียนประหลาดใจ “ท่านคงไม่ใช่คนจากโลกโบราณหรอกนะ?”

เซียนสุราไม่ตอบหลินเซวียน เขาได้กล่าวตามอักษรเป็นเสียงต่ำออกมา “คำกล่าวนั้นแค่ส่วนบังหน้า แก่นแท้นั้นคือจิตวิญญาณ ท่านจงสัมผัสมันด้วยตัวเอง“

“…”

เมื่อได้ยินคำจากเซียนสุรา หลินเซวียนได้เผยอาการงุนงง

ทันใดนั้นความหนาวเย็นได้เข้ามาปกคลุมรอบด้านทันที

หลินเซวียนรู้สึกว่าวิญญาณของตนกำลังต่อสู้บางอย่างอยู่ มันราวกับเขาเป็นมดที่อ่อนแอและต้องก้มหัวให้ราชาผู้ยิ่งใหญ่ จากนั้นไม่นาน ทิวทัศน์รอบด้านได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง กองซากศพและเลือดที่ไม่สิ้นสุด กระดูกมังกรยาวหลายร้อยเมตร อีกทั้งยังมีกระดูกมนุษย์ที่อยู่ใต้เท้ามันและเสียงคำรามของอสูรที่ดังก้องฟ้า…

ดูเหมือนเขากำลังอยู่ในสมัยโบราณ

ฟูม!

ตัวของหลินเซวียนสั่นเทา ใบหน้าของเขาเริ่มซีดเผือด

“ภาพลวงตา มันคือภาพลวงตาแน่นอน!” เหงื่อบนหน้าผากของเขาไหลออกมาทันที

“เจ้าเห็นอะไร?” เซียนสุราเอ่ยถาม

“ทะเลเลือดที่ไม่มีสิ้นสุดกับกองกระดูกคนตาย” หลินเซวียนเผยความกลัวอย่างต่อเนื่อง

“เอาน่า ไม่ว่าจะยังไงมันก็แค่ภาพลวงตาเท่านั้น” เซียนสุรากล่าว

“คนเหล่านั้นน่าจะเป็นชนชั้นสูงกันหมด เหตุใดพวกเขาถึงตายได้?” หลินเซวียนรู้สึกสับสน

ขณะเดียวกันภายในตัวของเขา เมื่อเซียนสุราได้ยิน เขาค่อย ๆ นั่งลงอิงต้นไม้อย่างเกียจคร้านพร้อมน้ำเต้าสุราในมือ ผมสีดำของเขาเปลิวไสวราวกับเทพยดา แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความผันผวนของชีวิต

“ใครเล่าจะอยู่ค้ำฟ้า มันเป็นเพียงการหลอกตัวเองเท่านั้น” เสียงของเซียนสุราดูโดดเดี่ยวเล็กน้อย

หลินเซวียนขยับแท่งหินอีกครั้ง พร้อมวางมือลงบนตัวหิน

แต่ตอนนี้มันไม่มีภาพลวงตาอีก เขาไม่คิดจะยอมแพ้และพยายามจับแท่งหินอยู่หลายครั้ง ท้ายที่สุดเขาก็รู้สึกถึงพลังงานผันผวนปรากฏขึ้น

ชายผู้หนึ่งที่ร่างสูงใหญ่ราวกับเทพเจ้า ใบหน้าของเขาไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจน ชายผู้นั้นกำลังต่อสู้อยู่กับกลุ่มปีศาจที่มีปีกสีดำอยู่ด้านหลังและมีหนึ่งเขาอยู่บนศีรษะ ปีศาจเหล่านี้ถือหอกสีแดงโลหิต พวกมันกำลังพุ่งเข้าโจมตีอย่างกระวนกระวายเล็กน้อย

บุรุษผู้นั้นเหวี่ยงแค่ดาบครั้งเดียว มิติตรงหน้าดูเหมือนจะแตกออกเป็นชิ้น ๆ ปีศาจทั้งหมดถูกฟันขาดครึ่ง

ฟูม!

หลินเซวียนผงะออกจากภาพลวงตาและเงียบไปชั่วครู่ ดาบที่เขาเห็นเมื่อครู่มันน่าตกตะลึงเกินไป เขาคิดว่าคงเป็นการใช้ดาบที่แท้จริง

เขารู้สึกถึงสิ่งที่พิเศษบางอย่างในดาบเล่มนั้น แต่ก็ไม่ทราบว่าคืออะไร

“อ๊ะ เจตนารมณ์แห่งดาบ…” ทันใดนั้นเซียนสุราได้เผยท่าทีประหลาดใจขึ้นมา “เสี่ยวเซวียน เจ้าจับหินนั่นอีกครั้ง จำไว้ว่าให้ผ่อนคลายและอย่าต่อต้าน!”

หลินเซวียนทำตามคำของเขา ไม่นานก็รู้สึกแปลกประหลาดอีกครั้ง และพื้นที่รอบด้านได้เปลี่ยนไป

ฟูม!

บนผืนดินเต็มไปด้วยความผันผวน มันมีรอยแตกที่น่ากลัวมากมายนับไม่ถ้วน ท้องฟ้าที่เหมือนเศษแก้วถูกตัดเป็นหลุมดำ เบื้องหลังของมันเป็นความมืดที่ไม่มีที่สิ้นสุด

ร่างของปีศาจนับสิบล้านตัวถูกฟันขาดสองซีก ทันใดนั้นชายลึกลับสี่คนในชุดเกราะทมิฬได้ปรากฏตัวขึ้นในสี่ทิศทางของฟ้าดิน พวกเขาค่อย ๆ เดินเข้าไปหาชายร่างสูงใหญ่ตรงกลาง

คนทั้งสี่นี้น่าสะพรึงอย่างมาก ทุกย่างก้าวของพวกเขาจะสร้างหลุมดำขึ้น และท้ายที่สุดทั่วทั้งท้องฟ้าก็ถูกทำลาย ชายร่างสูงใหญ่ยังคงยืนอย่างสง่า ลมหายใจของเขาเบาบางราวกับลมหายใจของเทพสวรรค์

ชายร่างสูงใหญ่เพียงแค่ตวัดดาบ มันราวกับว่าคนในชุดเกราะทมิฬทั้งสี่นั้นไม่อยู่ในสายตาของเขา เพียงแค่ดาบเดียว ทุกอย่างระหว่างฟ้าดินได้มัวหมองขึ้นมาทันที

ร่างของหลินเซวียนเองยังล่าถอย มันดูเหมือนเขาไม่อาจต้านพลังแห่งดาบนี้ได้ ภายในตัวเขา เซียนสุราได้เผยใบหน้าเคร่งขรึม ในดวงตาของเขายังคงมองไปที่ดาบนั่นกำลังทำลายทุกอย่างลงในทุกวินาที

ผ่านไปนาน ทุกอย่างจึงสงบ

ฟูม!

หลินเซวียนได้สติกลับมา ถึงแม้เขาจะไม่ได้บรรลุอะไร แต่ก็รู้สึกว่าความแข็งแกร่งของตนพัฒนาขึ้นมาก ความรู้สึกนี้ลึกลับและยากเกินที่จะอธิบายเป็นคำพูด

“นี่คือเจตนารมณ์แห่งดาบงั้นหรือ?” หลินเซวียนไม่สามารถหาคำใดมาอธิบายสิ่งนี้ได้

“ถูกต้อง มันคือเจตนารมณ์แห่งดาบ” เซียนสุรากลับมาอยู่ในสภาพเดิม “เสี่ยวเซวียน เจ้าโชคดีอย่างมากที่ได้มาพบเจตนารมณ์ชนิดนี้ เจ้าควรจะทำความเข้าใจกับมันให้ดี อย่าปล่อยให้มันหลุดมือไปล่ะ”

ทันใดนั้นความรู้สึกตื่นเต้นได้ปรากฏในดวงตาหลินเซวียน เป็นอย่างที่คิด มันคือเจตนารมณ์แห่งดาบ สิ่งนี้นับว่ายอดเยี่ยมกว่าพลังดาบของเจียงอู่หลงหลายเท่า หากเขาสามารถเข้าใจเจตนารมณ์แห่งดาบได้ อนาคตของเขาจะต้องไร้ขีดจำกัดแน่นอน

อย่างไรก็ตาม หลินเซวียนยังไม่สามารถออกไปไหนได้ตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงหยิบดาบเหล็กของตนขึ้นมาลองฝึกฝนวิชาดาบอัสนีระดับสอง ทุกระดับของวิชาดาบอัสนีนั้นจะมีทักษะพิเศษของมัน ในระดับที่สองของวิชาดาบอัสนี จะมีกระบวนท่าที่เรียกว่าเทพสายฟ้าพิโรธ

อันที่จริงสิ่งที่ยากที่สุดของวิชาดาบอัสนีนั้นคือระดับแรก เพราะมันต้องควบคุมพลังให้เป็นก่อน เมื่อฝึกฝนพื้นฐานจนเชี่ยวชาญ เช่นนั้นก็ไม่มีสิ่งใดยากเกินจะทำอีก

หลินเซวียนร่ายรำดาบยาวในมือราวกับสายฟ้าที่เดินทางลงมายังโลกมนุษย์ เขาไม่ทราบว่าเป็นเพราะพลังงานลึกลับเมื่อครู่หรือเปล่า เพราะรู้สึกว่ากระบวนท่าของตนราบรื่นและเสถียรกว่าเดิม ยิ่งกว่านั้นเมื่อลองพยายามทำตามชายลึกลับคนนั้น พลังดาบของเขายิ่งพุ่งสูงกว่าเดิม

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้เขามีความสุขอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงพยายามจะสัมผัสมันอีกครั้ง แต่เมื่อวางมือลงบนแท่งหิน ครั้งนี้กลับไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงอีก

“อย่าเปลืองเวลาเลย เจตนารมณ์แห่งดาบนี้ยังไม่สมบูรณ์ และมันได้ถูกจารึกไว้ในหัวเจ้าแล้ว” เซียนสุราอธิบาย

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลินเซวียนปิดตาลงและพยายามนึกภาพดาบของชายร่างสูงใหญ่เมื่อครู่อีกครั้ง เขานึกถึงซ้ำแล้วซ้ำเล่า และในที่สุดการเคลื่อนไหวของดาบทั้งหมดก็หายไปเหลือเพียงชายร่างสูงใหญ่

ความรู้สึกเดียวที่หลินเซวียนรู้สึกอยู่ตอนนี้คือ ‘ไร้เทียมทาน!’

“ศรัทธาแห่งความไร้เทียมทาน…” หลินเซวียนบ่นพึมพำ “แม้จะมีดาบในมือ ข้าก็ไร้เทียมทาน แม้ไม่มีดาบอยู่ ข้าก็ยังไร้เทียมทาน!

“ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะตระหนักถึงมันได้” เซียนสุราเผยรอยยิ้มยินดี “กระบวนท่าวิชาดาบนั้นเป็นเพียงสิ่งรอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหัวใจที่ไร้เทียมทาน”

“หัวใจที่ไร้เทียมทาน” ดวงตาหลินเซวียนเปิดกว้าง ตอนนี้เขายังไม่ทราบว่าประสบการณ์ในวันนี้จะมีอิทธิพลต่อโชคชะตาในอนาคตมากแค่ไหน

ความคิดทางวรยุทธ์นั้นเป็นสิ่งลึกลับ บางคนสามารถตระหนักถึงมันได้ ขณะที่อีกคนไม่สามารถเข้าใจได้เลยชั่วชีวิต หลินเซวียนได้รับบางสิ่งมา แต่เขาเองก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเติบโตขึ้น เมล็ดพันธุ์ที่ไรเทียมทานนี้ สักวันจะงอกเงยขึ้นในใจของเขา

แน่นอนว่าเพียงไม่นาน หลินเซวียนได้บรรลุดาบอัสนีระดับสองอย่างเป็นธรรมชาติ ถึงแม้ขั้นพลังของเขาจะอยู่เพียงขั้นเปิดชีพจรระดับสี่ แต่ความแข็งแกร่งของเขาได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า

“เห็นที่จะถึงเวลาที่ต้องก้าวข้ามขั้นพลังแล้วสินะ” หลินเซวียนวางดาบลง หลังจากขัดเกลาพลังวิญญาณมานาน เขาสามารถบรรลุขั้นเปิดชีพจรระดับห้าได้แล้ว

ดาบพิโรธสวรรค์

ดาบพิโรธสวรรค์

Status: Ongoing

ลินเซวียนถูกผนึกจุดชีพจรจากพลังลึกลับ ทำให้เขาไม่สามารถเปิดพลังวิญญาณเข้าสู่การบ่มเพาะพลังได้

ชีวิตที่ต้องทนลำบากจากการถูกดูหมิ่น เย้ยหยัน เหยียดหยาม

ด้วยความมุ่งมั่นพยายาม มันทำให้ชีวิตของเขาได้พบจุดเปลี่ยน!

หนึ่งดาบทะลวงดารา!

หนึ่งดาบสะเทือนฟ้าดิน!

หนึ่งดาบพิโรธสวรรค์!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท