ถ้าผมเกิดใหม่ใน RPG? (So What if it’s an RPG World !?) – ตอนที่ 25

ตอนที่ 25

ผมไม่เข้าใจมาตลอด

ว่าทำไมบางคนถึงชอบห่อตัวเองจนกลายเป็นของที่ดูคล้ายกับขนมบ๊ะจ่าง

ตัวอย่างเช่นคนตรงหน้านี้ที่ห่อด้วยชุดสีดำทั้งตัว แม้ว่าอยากปิดบังตัวตน ก็ไม่จำเป็นต้องห่อตัวเองจนกลายเป็นแบบนี้นี่? ดูคล้ายกับคนโรคจิตที่สวมชุดคนบ้าเลย

แน่นอน คนคนนี้ยังไม่ถือว่า ‘ห่อ’ เท่าไหร่ ยังไงซะบนตัวเขาก็ยังปกปิดด้วยชุดคลุมสีดำ

เพราะเป็นแบบนี้ ผมจึงมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง

ทว่าเรื่องที่ผมสนใจไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็นเผ่าพันธุ์ของอีกฝ่าย

เอลฟ์!

นึกไม่ถึงว่าจะเป็นเอลฟ์!

ถึงจะไม่รู้ว่าเป็นเอลฟ์ทุ่งหญ้า เอลฟ์ป่า หรือว่าเอลฟ์มืด แต่อย่างน้อยก็เป็นเอลฟ์!

ตามข้อมูลของสถาบัน เอลฟ์บนแผ่นดินนี้ติดต่อกับมนุษย์น้อยมาก นอกจากเอลฟ์ป่าที่ทรงพลังส่วนหนึ่งที่ใช้ป่าเป็นที่หนุนหลังและทำการค้าแลกเปลี่ยนกับมนุษย์แล้ว ส่วนที่เหลือก็มีเพียงเอลฟ์ที่เข้าร่วมกับกลุ่มทหารรับจ้างพวกนั้น

ตามข้อมูล ถึงแม้โดยรวมแล้วร่างกายเอลฟ์จะอ่อนแอกว่ามนุษย์ จำนวนก็น้อยกว่ามนุษย์ แต่พวกเขาก็มีอายุขัยที่ยืนยาวและมีความสัมพันธ์กับธาตุในธรรมชาติ

ถึงผมจะไม่รู้ว่าข้อมูลมีส่วนที่พูดเกินจริงหรือไม่ แต่ตามคำกล่าวข้างต้นแล้ว ลูกเอลฟ์จะใช้เวทมนตร์ได้ทันทีที่เกิดมา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาสามารถใช้กาลเวลาที่ยาวนานค่อยๆ เพิ่มความสามารถของตัวเอง พลังต่อสู้จึงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

แล้วยังดูเหมือนพวกเขาจะบรรลุศาสตร์ของธนูและลูกศรเป็นอย่างดี เพราะงั้นโดยพื้นฐานแล้วเอลฟ์จึงเป็นกลุ่มมือสังหารระยะไกล!

ถ้าเป็นผม ผมคงไม่อยากต่อสู้กับศัตรูแบบนี้ เพราะวิธีการต่อสู้กับพวกเขาก็คือต้องใช้อาชีพอย่างโจรแอบลอบเข้าใกล้เงียบๆ จากนั้นก็ฆ่าในการโจมตีเดียว ไม่งั้นหากถูกเขาไคท์(kite)ดึงระยะห่าง แบบนั้นก็คงทำได้เพียงอาบน้ำนอน1

เพราะงั้น พวกเขาเข้าร่วมกับกลุ่มทหารรับจ้างใดก็มักได้รับการต้อนรับ ไม่ว่าจะเป็นในฐานะนักเวทหรือนักธนู

แต่เรื่องที่ผมสนใจไม่ใช่เรื่องพวกนี้ ยังไงซะผมก็เคยเห็นการต่อสู้ของเอลฟ์ในเกมมานับร้อยครั้งแล้ว เรื่องที่ผมอยากเห็นตอนนี้คือ พวกเขาหล่อสวยเหมือนในตำนานจริงๆ หรือไม่!

แน่นอน ผมอยากเห็นสาวสวยมากกว่าอยู่แล้ว

ผิวพรรณละเอียดนุ่มนวลราวกับจะกระเทาะได้ตลอดเวลา แล้วยังมีใบหูเรียวแหลมที่ทำให้แค่เห็นก็อยากเข้าไปสัมผัส เอลฟ์สาวเป็น NO.1 ผู้หญิงที่ไม่ใช่มนุษย์ในใจผมเลย!

ก่อนหน้านี้ยังคิดวิธีไปดูที่ทุ่งหญ้าทางเหนือ ลองเสี่ยงดวงดูว่าจะพบเอลฟ์หรือไม่ แต่ยังไงซะเอลฟ์มืดกับเอลฟ์ป่าก็แทบจะคล้ายกับผี

ส่วนเอลฟ์ทุ่งหญ้าก็ไม่ชอบมนุษย์เท่าไหร่

โอ้ ใช่แล้ว ผมก็ไม่ใช่มนุษย์ พอดีเลย ถึงตอนนั้นก็หาโอกาสสวมหน้ากาก สยายปีก ก็ไม่ใช่มนุษย์แล้วไม่ใช่เหรอ?

น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าเผ่าเทวดาศักดิ์สิทธิ์แห่งความตายมีชื่อเสียงหรือไม่ ไม่งั้นถ้าคนอื่นไม่รู้จักคงเป็นปัญหา

ไม่ๆๆๆ ตอนนี้อย่าคิดมากแบบนี้จะดีกว่า ยังไงซะตรงหน้าก็มีเอลฟ์ปรากฏตัวแล้ว จากสถานการณ์ก่อนหน้า อย่างน้อยสิ่งที่ปรากฏก็เป็นเควสต์ย่อย!

ตราบใดที่มีเส้นทาง การหาเอลฟ์คงเป็นเรื่องที่เป็นจริงในไม่ช้า!

แม้ว่าพระเจ้ามาก็ขัดขวางผมไม่ได้ ถ้าให้ผมสัมผัสหูของเอลฟ์สาวได้ ถึงแม้พระเจ้าจะขวางอยู่ตรงหน้าผม ผมก็จะเก็บเลเวลจนจัดการเขาให้ได้!

“ฟีล…ฟีล…”

“มีอะไร? เบาเสียงหน่อย โดนจับได้คงไม่ดีแน่”

โชคดีที่ระยะห่างตอนนี้ไม่ถือว่าใกล้มาก ได้ยินว่าความสามารถการได้ยินของพวกเขาดีกว่ามนุษย์ทั่วไป ไม่งั้นอีกฝ่ายคงได้ยินแน่นอน

“คือว่า…พวกเรารีบหนีเถอะ คนคนนั้นดูเหมือนไม่ใช่คนดีอะไร”

อ่าๆๆๆ ถ้าไม่ใช่เพราะนายเป็นเพื่อนสนิทฉัน ฉันคงเปลี่ยนให้นายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งไปแล้ว…ใช่แล้ว ฮีลมองไม่เห็นฉายาของคนคนนี้

“ฮีลฟังให้ดี ฉันรู้สึกว่าคนคนนั้นเป็นเอลฟ์”

“เอลฟ์!”

หมอนี่แทบร้องเสียงหลงออกมา โชคดีที่ผมหูตาไวจึงเอามือปิดปากเขาทันที ไม่งั้นคงแย่จริงๆ

“นายทำอะไร เบาเสียงหน่อยสิ!”

“…”

อีกฝ่ายขัดขืนอยู่สักพัก แต่มองเห็นผมไม่ปล่อยเขา จึงค่อยๆ สงบลง

หลังจากเห็นเขาไม่ขัดขืนอีกผมจึงปล่อยเขา

“นายทำอะไร! ตื่นเต้นอะไรกัน!”

ผมอยากตะโกน แต่สัญชาตญาณบอกให้ผมกดเสียงตัวเองให้เบาที่สุด

“เอลฟ์…อีกฝ่ายเป็นเอลฟ์!”

“เอลฟ์แล้วมันยังไงล่ะ?”

“เจ้าไม่รู้เหรอ…ใช่แล้ว เจ้าไม่ใช่ชนชั้นสูง”

“แล้วนี่เกี่ยวอะไรกับชนชั้นสูงล่ะ…”

การพูดจาของหมอนี่ทำให้คนอื่นร้อนใจจริงๆ ถึงนายจะอยากอุบไว้ ก็อย่าอ้อมแอ้มแบบนี้สิ ความรู้สึกแบบนี้เหมือนกับละครยืดยาวที่อยากจะตัดจบแต่ก็กรอภาพไม่ได้เลย

“เพราะว่า…ข้างในชนชั้นสูง เอลฟ์ถูกค้าขายเหมือนกับสินค้า เพราะงั้นเอลฟ์จึงเกลียดมนุษย์มาก”

“นี่มัน…”

เดี๋ยวๆ ถึงผมจะคาดเดาได้ถึงเนื้อเรื่องแบบนี้ แต่ตอนที่ผมตรวจสอบข้อมูลกลับไม่เจอเลย ผมยังนึกว่าในโลกนี้ไม่มีเรื่องแบบนี้ซะอีก…

บ้าเอ๊ย ทำไมถึงเจอสถานการณ์แบบนี้ หรือเควสต์ย่อยจะให้ผมกำจัดชนชั้นสูง?

แต่ถ้าอีกฝ่ายเป็นชนชั้นสูงที่น่ารังเกียจจริงๆ พระเจ้าก็คงให้อภัยที่ผมทำลายมนุษยชาติใช่ไหม?

“แล้วตอนนี้พวกเรายังต้องไปค้นหาหัวใจคริสตัลอีก รีบออกจากที่นี่จะดีกว่า”

“…”

แม้ว่าผมไม่อยากเห็นด้วยกับเขา แต่คำพูดของเขาก็ถูกต้อง

บ้าเอ๊ย หรือว่าความปรารถนาในการสัมผัสหูเอลฟ์ของผมจะไม่มีทางเป็นจริงเหรอ? ทำไมกัน พระเจ้าคุณอยากลงโทษผมเหรอ?

แต่หมอนี่กลับเตือนผม จะว่าไปข้างหลังพวกเรายังมีอาจารย์แรนดอลตามอยู่ ถ้าเรื่องราวดำเนินต่อไปแบบนี้ ผมรู้สึกว่าอนาคตคงน่าเป็นห่วง

เอาเถอะ ทำให้ถึงที่สุดแล้วกัน!

“นายหลบอยู่นี่ ถ้าเกิดอะไรขึ้น นายก็วิ่งไปข้างหน้า อาจารย์แรนดอลอยู่ในป่าที่มีดอกไม้สีเหลือง บนต้นไม้ที่หนาที่สุดต้นนั้น”

“เดี๋ยว…”

ผมไม่สนใจคำพูดอีกฝ่าย กระโดดออกจากพงหญ้าทันที

เอลฟ์คนนั้นที่เดิมทีเดินอยู่อย่างเหม่อลอย มองเห็นผมกระโดดออกมาอย่างฉับพลัน ก็ดูตกตะลึงอยู่ชั่วขณะ จากนั้นก็หมุนตัวทันที กลายเป็นลำแสงหนีไป

นะ…หนีเหรอ?

อีกฝ่ายไม่ใช่นักบวชเหรอ สกิลหนีที่ประหลาดแบบนี้มันคืออะไร!

แล้วปัญหาตอนนี้คือ ผมพบว่าดูเหมือนผมจะไล่ตามความเร็วนั้นไม่ทัน…

“ฮีล…”

ผมกลับมามองฮีลแล้วถาม

“ฉันหน้าตาน่ากลัวเหรอ?”

ฮีลมองผมอยู่นานแล้วตอบ

“เปล่านี่”

“นายควรจะตอบกลับทันทีสิ ถึงกับมองตั้งนานกว่าจะตอบแบบนี้เนี่ยนะ!”

“เอ๋?”

อีกฝ่ายดูสับสนมึนงงอยู่บ้าง แต่แขวะเรื่องแบบนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนปกติทำกัน

“เอาล่ะ ช่างมันเถอะ ตอนแรกแค่อยากทักทายดู ในเมื่อไม่เชื่อใจพวกเราก็ทำภารกิจต่อเถอะ จะว่าไป…”

ผมหยุดพูด ตั้งใจฟังเสียงรอบด้าน

“ฉันได้ยินเสียงน้ำ น่าจะหาแม่น้ำเจอแล้ว เริ่มแผนอีกครั้งเถอะ!”

หมายความว่า อย่าเสียแรงเปล่า

ความเร็วในการเดินไม่สามารถเทียบการวิ่งได้อย่างแน่นอน ยังไงซะพวกเราก็ไม่ใช่แชมป์แข่งเดินทนอยู่แล้ว

แต่ความเร็วที่ผมใช้สกิลทำได้เมื่อกี้ แม้ว่าเป็นแชมป์โอลิมปิควิ่ง 100 เมตรก็ไม่มีทางสู้ได้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้พวกเราก็ใช้แค่ความเร็วปกติเดิน

แม้ว่าพวกเราเดินมาสามชั่วโมงแล้ว แต่รู้สึกว่าระยะห่างระหว่างพวกเรากับภูเขาไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ไม่รู้จริงๆ ว่าความเร็วของผมก่อนหน้านี้คือกี่กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทั้งที่ตอนนั้นรู้สึกว่าแค่แป๊บเดียวระยะห่างก็ใกล้ขึ้นไม่น้อยแท้ๆ

แต่ความรู้สึกแบบนั้นก็อึดอัดมาก แม้ว่ายาจะสามารถฟื้นฟูได้ แต่ความรู้สึกอ่อนแอแบบนั้นผมไม่อยากพบเจออีกครั้งแล้ว

เหมือนกับถ้าคุณมีความสามารถเกิดใหม่อีกครั้ง แต่คุณจะยินดีถูกแทงเหรอ? เหตุผลก็คล้ายกัน

แต่ก็โชคดีที่แคล้วคลาดปลอดภัย ระหว่างทางก็ถือว่าเป็นการสงบอารมณ์เมื่อกี้ลงได้

ประสบการณ์คราวนี้ก็ไม่ถือว่าเปล่าประโยชน์ซะทีเดียว อย่างน้อยตั้งแต่นั้น ฮีลก็ให้ความรู้สึกเปลี่ยนไปไม่น้อย ถ้าก่อนหน้านี้ยังมีความเป็นเด็กน้อย ตอนนี้ก็ให้ความรู้สึกเป็นผู้ใหญ่ขึ้น อย่างน้อย แววตานั้นก็ดูไม่เลว

นึกไม่ถึงว่านอกจากเลเวลจะเพิ่มแล้ว NPC พวกนี้ก็สามารถเปลี่ยนไปตามประสบการณ์ได้ ไม่ธรรมดาจริงๆ

แต่มีเรื่องหนึ่งที่ผมสงสัยมาตลอด ตอนคนอื่นฆ่าสัตว์อสูรผมก็ได้รับค่าประสบการณ์เพื่อนร่วมทีม แต่ผ่านไปนานขนาดนี้ ทำไมฮีลถึงยังไม่เลเวลอัพล่ะ? หรือว่าเพื่อนร่วมทีมของผมจะไม่ได้รับแบ่งปันค่าประสบการณ์?

งั้นก็น่าเสียดายสิ?

หรือว่าต้องให้เขาโจมตีปิดท้ายถึงจะได้รับค่าประสบการณ์? งั้นคงไม่ลำบากหรอกเหรอ?

ใช่แล้ว หรือว่านี่คือสาเหตุที่มิเชลต้องทำการโจมตีปิดท้ายในการแข่งขันชั้นปี? แต่การแข่งขันในสนามต่อสู้จริงไม่มีค่าประสบการณ์ไม่ใช่เหรอ?

เป็นเพราะว่าการแข่งขันชั้นปีมีค่าประสบการณ์หรือเป็นเพราะมีเพียง NPC พวกนี้ถึงจะได้รับค่าประสบการณ์?

ช่างเถอะ ปัญหานี้ไว้ค่อยว่ากันทีหลังดีกว่า

“รอเดี๋ยว ลมทางนั้นผิดปกติ”

“หืม?”

ทันใดนั้น ฮีลก็จับผมแล้วพูด ผมมองทางที่เขาชี้ แต่ก็ไม่เห็นชื่อหรืออะไร

ทว่า ยังไงซะก็เป็นสถานการณ์พิเศษ ตอนนี้หยั่งเชิงไว้คงดีกว่า

“อุกกาบาตน้ำแข็ง!”

ผมใช้เวทมนตร์สายน้ำแข็งที่ทรงพลังที่สุดทันที เวทมนตร์นี้ในแง่ของพลังทำลายล้างถือว่ามีประโยชน์มาก น่าเสียดายที่ผลาญมานามากเกินไป

ทำไมผมถึงเล่นใหญ่ทันทีเลยน่ะเหรอ? เพราะใครก็ตามที่คิดซ่อนตัวต่อหน้าพวกเราล้วนอันตรายทั้งนั้น แล้วผมก็ยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่อาจารย์แรนดอล เพราะตอนที่พวกเราเดินเมื่อกี้ หมอนั่นก็กลับมาอยู่ข้างหลังพวกเราโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว แต่คราวนี้เขากลับไม่ได้เปิดเผยร่องรอย

บางทีคงกังวลว่าพวกเราจะวิ่งไปประณามเขาว่าเห็นแต่ไม่ช่วย

หลังจากถูกอุกกาบาตน้ำแข็งของผม ป่าตรงนั้นก็ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งทันที ภายใต้แสงอาทิตย์ระยิบระยับ ในขณะเดียวกัน ชื่อสีแดงก็ปรากฏออกมา

เลอี้ 0034 เลเวล 10 ภูติสายไม้ (สิ่งอัญเชิญ)

เป็นเพราะเลเวลที่ต่างกันของพวกเรา HP ของเจ้าตัวนี้ตอนนี้จึงเหลือศูนย์แล้ว ก็แปลว่า เด็กที่น่าสงสารนี่เหลือแค่ศพที่ถูกแช่แข็งไว้ที่นั่น

ผมรีบก้าวเท้าไปข้างหน้า ในที่สุดก็มองเห็นใบหน้าของเจ้าตัวนี้ได้ชัดเจน

หูแหลม ผิวดูเรียบเนียน ผิวสีเขียวเข้ม ดวงตาโตน่ารัก แล้วยังมีปีกโปร่งใสหนึ่งคู่ อืม ถ้าผมเดาไม่ผิด นี่ก็น่าจะเป็นภูติจิ๋วในตำนาน!

อันที่จริงไม่ต้องเดา ผมก็มองออกตั้งแต่ชื่อบนหัวมันแล้ว

แต่เจ้าตัวเล็กนี้น่ารักจริงๆ อยากเก็บไว้เป็นสัตว์เลี้ยงจัง น่าเสียดายที่ดูเหมือนเป็นสิ่งอัญเชิญของคนอื่น…แม้ผมจะชอบเอลฟ์สาวหุ่นดีที่สูงพอกันมากกว่า แต่มีภูติจิ๋วน่ารักอยู่ข้างกายก็ยังดูเจริญหูเจริญตา

แม้ว่าจะหน้าอกเล็ก แต่น่ารักก็พอแล้ว

“นึกไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งอัญเชิญ…นายเคยได้ยินว่ามีใครอัญเชิญภูติจิ๋วได้ไหม?”

ผมหันกลับไปถามฮีล

“ภูติจิ๋ว…ไม่เคยได้ยินเลย แต่สิ่งเดียวที่ข้ายืนยันได้ก็คือ มนุษย์ไม่สามารถอัญเชิญภูติจิ๋วได้”

“ไม่ได้เหรอ?”

ชิ น่าเสียดายจริงๆ ผมก็อยากอัญเชิญไว้สักตัวแท้ๆ…ไม่สิ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงคงเป็นปัญหาใหญ่ หรือว่าแถวนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาประเภทอื่นนอกจากมนุษย์อยู่อีก? ไม่งั้นจะมีสิ่งอัญเชิญได้ยังไง?

พูดถึงป่า สิ่งที่นึกถึงก็มีเพียงแค่เอลฟ์กับดรูอิด แต่ป่านี้เป็นทรัพย์สินของสถาบันเราชัดๆ ทำไมถึงมีสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาอย่างอื่นได้…

ไม่สิ จะว่าไปเมื่อกี้ยังเห็นคนที่ไม่ใช่สถาบันพวกเราเลย…คนพวกนั้นเป็นใครกันแน่? ทหารรับจ้าง? หน่วยสำรวจ? หรือว่าเป็นกลุ่มอาชญากรอย่าง ‘เรดลีฟ’?

ทำไมแค่การฝึกฝนเก็บเลเวลเล็กๆ ถึงได้พบเจอแต่เรื่องประหลาด? หรือว่านี่คือความน่าเศร้าของคนจากต่างโลก?

ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาตรงหน้าก็ดูร้ายแรงมาก ถ้าพูดถึงเรื่องก่อนหน้าที่ยังเป็นแค่ปัญหาระหว่างมนุษย์ เรื่องที่ปรากฏตรงหน้าผมตอนนี้ ก็คงเป็นปัญหาของเผ่าพันธุ์ที่แตกต่าง

ยังไงซะมนุษย์ก็ไม่มีทางอัญเชิญภูติจิ๋วได้ งั้นก็อธิบายได้ว่าของนี่ไม่ใช่มนุษย์ที่อัญเชิญ…

อ่า…

ถ้าเมื่อกี้ไม่เล่นใหญ่ทันทีก็คงดี ไม่แน่ว่าคงสามารถจับภูติจิ๋วตัวนี้ได้…รอเดี๋ยว บางทีอาจจะใช้เวทอันเดดลองดูได้! ในเมื่อตอนนี้มันตายแล้ว ผมน่าจะสามารถเก็บเข้าในแหวนมิติได้?

ด้วยความคิดที่จะลอง ผมจึงสัมผัสส่วนหนึ่งของมันที่อยู่นอกก้อนน้ำแข็ง เพียงครู่เดียวมันก็ถูกเก็บเข้าไปในแหวน

“เอ๋ ภูติจิ๋วนั่นล่ะ?”

“เอากลับไปดูที่สถาบันน่ะ”

“เอากลับไปดูที่สถาบัน? จะดีเหรอ? มันเป็นสิ่งอัญเชิญของผู้อื่น ถ้าคนที่อัญเชิญพบว่าสิ่งอัญเชิญของตัวเองตายแล้ว จะต้องตามมา…”

“…เรื่องแบบนี้ก็พูดให้ไวสิ!”

ผมรีบจับฮีลเข้าไปซ่อนตัวในไม้พุ่มข้างๆ เพิ่งเข้าไปได้ไม่นาน เสียงฝีเท้าถี่สั้นก็ดังขึ้นมา ไม่รู้ว่า ‘ภาพแฝง’ จะมีผลกับฮีลไหม เพราะงั้นผมจึงใช้ทั้งสกิล ‘ภาพแฝง’ และ ‘ซ่อนเร้น’ แล้วกอดฮีลซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้อย่างไร้เสียง

ไม่นานนัก คนสวมชุดสีดำทั้งตัวก็ปรากฏในวิสัยทัศน์ ตัวเตี้ยกว่าผมเล็กน้อย แต่จากเสื้อผ้าแล้วก็มองรูปร่างไม่ออก

ทว่า…

ทำไมคนพวกนี้ถึงชอบใส่เสื้อผ้าสีดำทั้งตัว วันที่อากาศร้อน แดดแรงขนาดนี้ไม่รู้สึกร้อนเหรอ? หรือว่าทำเพื่อลดน้ำหนัก?

แต่จะเพื่อเหตุผลอะไรก็ตาม คนแบบนี้ก็เป็นเพียงตัวตนของตัวร้ายในเกมเท่านั้น เว้นแต่พวกเขาจะกลับตัวในภายหลัง

แน่นอน ช่วงนี้ตัวร้ายก็ชอบสวมเสื้อผ้าสีขาว ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นพวกผิดปกติ

แต่ว่า ชื่อและฉายาของคนคนนี้ดึงดูดความสนใจของผมขึ้นมา

คามิโอชิ ยูอน เลเวล 21 นักบวชเอลฟ์ ? ผู้เคร่งครัดศาสนา เผ่าเอลฟ์ นักบวชตกอับ ผู้หลบหนี ผู้รับฟัง ??? ???

คนคนนั้นมองไปบริเวณนั้น หยุดตรงหน้าน้ำแข็งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็จากไปอีกทาง

น่าสนใจนี่ เป็นครั้งแรกที่เห็นคนมีชื่อญี่ปุ่น ยิ่งไปกว่านั้น ฉายาผู้หลบหนีนั้นก็ดูท่าทางไม่เลว

ผมยิ้ม แล้วดึงฮีลที่ตกตะลึงอยู่ตามไป

ถ้าผมเกิดใหม่ใน RPG? (So What if it’s an RPG World !?)

ถ้าผมเกิดใหม่ใน RPG? (So What if it’s an RPG World !?)

Status: Ongoing

ผมตื่นขึ้นมาหน้าหมู่บ้านแปลกๆ แห่งหนึ่ง ผมลองคิดว่าก่อนหน้านี้ผมทำอะไรมาถึงมาอยู่ที่นี่ แต่ผมกลับนึกอะไรไม่ออก นอกจากชื่อของผม “หลิน ฟีล”

ผมเดินเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อขอความช่วยเหลือ กลับพบว่าทุกคนในหมู่บ้านมีชื่อและหลอด HP ลอยอยู่เหนือศีรษะ

เอ๊ะ…ทำไมมันเหมือนเกม RPG จัง หรือว่า…ผมจะหลุดเข้ามาในเกม RPG?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท