“นึกไม่ถึงเลยว่าเธอเรียนสกิลลอบเร้น นั่นมันสกิลของโจรไม่ใช่เหรอ?”
“ใครว่านักดาบคู่เรียนสกิลลอบเร้นไม่ได้ล่ะ? นักดาบคู่ก็มุ่งเน้นการฆ่าศัตรูด้วยความเร็วเหมือนกัน สกิลลอบเร้นที่ดีขนาดนี้จะปล่อยไปได้ยังไงล่ะ”
ตลอดทาง พวกเราตามเครื่องบินสอดแนมทรงสามเหลี่ยมกลับหัวไปในทิศทางของสิ่งที่เรียกว่าอุปกรณ์รบกวน
แม้ว่า ‘ลอบเร้น’ แต่กลับไม่ใช่การหายตัว เพราะงั้นเวลาพวกเราสะกดรอยตามจึงไม่กล้าเข้าใกล้เกินไป ทำได้เพียงตามไปช้าๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดคือมองไม่เห็นชื่อหรือว่าฉายาของเจ้าสิ่งนี้ แม้ว่าผมใช้สกิล ‘เนตรแห่งเฟคด้า’ แล้ว อีกฝ่ายก็ยังคงไม่แสดงอะไร
ไม่ใช่เป็นเครื่องหมายคำถาม แต่เป็นไม่แสดงอะไรเลย
บางฉายาก่อนหน้านี้ผมยังสามารถเห็นผ่านกำแพงได้โดยตรง เมื่อสะกดรอยแบบนี้ก็ยิ่งสะดวก แต่ตอนนี้กลับหมดหนทาง ถ้าอีกฝ่ายออกห่างจากการมองเห็นของพวกเรา ผมคงไม่รู้ว่าจะหามันเจออีกได้ไหม
อีกทั้งเจ้านี่ยังบินแบบไม่มีเสียง อย่าทำเป็นสูงส่งแบบนี้ได้ไหม อย่างน้อยใน Assassin Cxxx ก็สามารถทำเครื่องหมายได้เลย
“หยุด!”
ผมส่งสัญญาณให้อาร์ย่าหยุด
“เกิดอะไรขึ้น?”
ได้ยินคำถามของอาร์ย่าผมกลับไม่ได้ตอบ และชี้ไปทางทรงสามเหลี่ยมกลับหัวตัวนั้น
ในขณะนั้นเองสามเหลี่ยมกลับหัวที่ลอยอยู่กลางอากาศ กลับไม่ได้มีเพียงหนึ่ง แต่สามเหลี่ยมกลับหัวรอบๆ ที่มีจำนวนประมาณหนึ่งได้เข้าใกล้มัน จากนั้นก็เชื่อมเข้าด้วยกัน หลังจากหมุนอยู่หลายครั้งก็แยกออกจากกัน
ทั้งยังแยกกันไปรอบด้าน
…
“นี่คืออะไร? เล่นกายกรรมเหรอ?”
“อาจเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงอะไรก็ได้ใครจะรู้ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นสิ่งของในยุคนี้ แต่ไม่รู้ว่าใครมีเหตุผลอะไรถึงสร้างมันออกมา แล้วของสิ่งนี้ยังดูคล้ายเทคโนโลยีของ ‘โลก’ เราด้วย มันใช้มาทำอะไรกันแน่เนี่ย”
“พวกนายต้องแข่งขันชั้นปีไม่ใช่เหรอ? ฉันได้กลิ่นของแผนการร้าย!”
“…”
ผมมองอาร์ย่าอย่างไร้คำพูด
“ถ้ามีเทคโนโลยีแบบนี้ อย่าพูดถึงการแข่งขันชั้นปีเลย ฉันคิดว่าปกครองสักอาณาจักรก็ไม่มีปัญหา แล้วจะจำเป็นเหรอ?”
“ใครจะรู้ล่ะ”
แต่ตอนนี้ปรากฏสามเหลี่ยมกลับหัวเยอะขนาดนี้ เชื่อว่าตำแหน่งของอุปกรณ์รบกวนก็คงอยู่ไม่ไกล
แต่รอบด้านกลับไม่มีของแบบนี้เลย ไม่ว่ายังไงของแบบอุปกรณ์รบกวนน่าจะดูเหมือนหอคอย หรือว่าเสาค้ำ สรุปแล้วก็คือต้องอยู่สูง
แต่ตอนนี้มองไปแล้วนอกจากอาคารเรียนก็ไม่มีอย่างอื่นเลย
“จะว่าไป…”
จู่ๆ อาร์ย่าก็พูดขึ้น
“ตรงนั้นมีรูปปั้นเกินมาหนึ่งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“รูปปั้น?”
ผมมองทางที่อาร์ย่าชี้ ตรงนั้นเป็นสถานที่ที่จัดวางรูปปั้นของสถาบันโดยเฉพาะ แถวรูปปั้นวางอยู่ที่นั่นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูเหมือนใช้รำลึกถึงวีรบุรุษเหล่านั้น
แต่ว่า…
“ทำไมเธอถึงรู้ว่าเกินมาหนึ่งล่ะ?”
“เพราะฉันแอบไปขีดขอบรูปปั้นแต่ละตัวตอนที่เพิ่งมา”
“…เมื่อก่อนเธอชอบทำเรื่องแบบนี้กับรถที่จอดไว้ข้างทางใช่ไหม”
“เปล่านี่ มีแค่เวลาอารมณ์ไม่ดีเท่านั้นแหละ”
“…”
พฤติกรรมของยัยนี่เลวทรามจริงๆ ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมยัยนี่ถึงไม่ลังเลที่จะสับคนอื่นเป็นชิ้นๆ
โชคดีที่อาชีพยัยนี่ไม่ใช่เบอร์เซอร์เกอร์ ไม่งั้นสถาบันของเธอต้องกลายเป็นซากในสัปดาห์เดียวแน่
ทว่าก็โชคดีที่ยัยนี้ทำเรื่องน่าเบื่อแบบนี้ คราวนี้จึงนับว่าเจอเบาะแสบางอย่าง
เดินไปจนถึงรูปปั้นนั้น ผมก็เคาะๆ
มันเป็นรูปปั้นที่ดูเหมือนคนแก่ที่ดูเป็นมิตร แล้วยังเป็นรูปปั้นประติมากรรมตามแบบฉบับ ก็คือเป็นรูปปั้นแบบครึ่งตัว
“ไอ้นี่ไม่ต่างจากตัวข้างๆ เลยนี่? เธอแน่ใจนะว่าจู่ๆ มันก็โผล่ขึ้นมา”
“ไม่ผิดแน่! เมื่อวานตอนฉันขีดมัน เป็นไปไม่ได้ที่ของชิ้นนี้จะไม่ทิ้งร่องรอยไว้แน่!”
พูดจบ ยัยนี่ก็หยิบมีดออกมาฟันไปบนรูปปั้น…แต่ไม่มีเสียง?
ผมกับอาร์ย่าต่างชะงัก ลองดูจุดที่ถูกฟันให้ดีอีกครั้ง บนนั้นกลับไม่มีร่องรอยเลย!
มัน…ผมกับอาร์ย่ามองกันไปมา แล้วมองที่รูปปั้นตัวนั้นอีกครั้ง
“ของชิ้นนี้ดูไฮโซจัง จะคุ้มไหมนะ?”
“มันสำคัญเหรอ?”
“ไม่สำคัญเหรอ?”
“ประเด็นควรเป็นของชิ้นนี้เพิ่งตั้งอยู่ที่นี่หรืออยู่ที่นี่มาก่อนหน้านี้ไม่ใช่เหรอ? ของสิ่งนี้เหมือนทำลายไม่ได้ชัดๆ”
ทันใดนั้น ผมก็สัมผัสได้ถึงวิกฤติ!
ของตรงหน้านี้…ให้ความรู้สึกอันตรายแก่ผม ครู่ต่อมา ผมรู้แล้วว่าความรู้สึกแบบนี้คืออะไร
“อาร์ย่า”
“มีอะไร?”
“จับมือฉัน”
“ฮะ?”
“บอกให้เธอจับมือฉัน”
“นาย…เวลาแบบนี้นายพูดอะไรอีกเนี่ย! ถึงจะ…”
เห็นยัยนี่หน้าแดงก็รู้ว่ายัยนี่นึกถึงเรื่องประหลาดอีกแล้ว ผมไม่สนใจความคิดเพ้อเจ้อของเธอ จับเธอแล้วใช้พุ่งทะลวงไปข้างหลังทันที
ชั่วขณะที่พวกเราออกไปนั้น เหล็กแหลมนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมาจากใต้พื้นเปลี่ยนที่ที่เรายืนอยู่เมื่อกี้จนกลายเป็นป่าโลหะ
ถึงใช้ ‘เสาน้ำแข็งลอบสังหาร’ หลายครั้ง แต่หนามเหล็กแบบนี้ดูยังไงก็แข็งแรงกว่าเสาน้ำแข็งของผมหลายเท่า มันแทงทะลุได้ทันที…คิดแล้วก็รู้สึกเจ็บ
“นี่…นี่มันอะไรกัน?”
“ใครมันจะรู้ล่ะ…”
รูปปั้นเหล็กตัวเดิมมีมือและเท้างอกออกมาจากทั่วตัว บนมือทุกข้างถือหนามแหลมนับไม่ถ้วน หน้าตาที่เดิมดูอ่อนโยนก็กลายเป็นปีศาจมีเขี้ยว
ฮันเนีย1
จู่ๆ ในสมองผมก็ปรากฏคำคำนี้ เพ่งมองใบหน้าของปีศาจตัวนั้นอย่างตั้งใจอีกครั้ง เหมือนกับหน้ากากฮันเนียในเกมอย่างที่คิด
ขณะเดียวกัน ที่ว่างข้างหลังสิ่งนี้ก็ดูเหมือนเกิดการบิดเบี้ยวช้าๆ หนามแหลมหนึ่งด้ามก็โผล่ออกมาจากกลางอากาศ
นี่…นี่มันอะไรกันเนี่ย?
อัพเดทเควสต์ : ทำลายอุปกรณ์รบกวน
เมื่อมองแจ้งเตือนอีกครั้ง ในใจผมก็มีความคิดหนึ่ง
แกล้อฉันเล่นเหรอ?
1.ชื่อหน้ากากที่ใช้ในการแสดงละครโนะของญี่ปุ่น แสดงถึงลักษณะของปีศาจหญิงขี้อิจฉา ฮันเนียมีเขาแหลมคมสองข้าง มีตาเป็นโลหะ และปากที่ฉีกยิ้มจนถึงหู
ผลักประตูเปิด ยังคงเป็นห้องที่คุ้นเคย แต่ว่า ตอนนี้ข้างในไม่มีคนอื่นอยู่นอกจากยูบริล
ในมือยูบริลถือผ้าสีดำ ทำความสะอาดดาบยาวในมือช้าๆ หลังจากได้ยินเสียงเปิดประตู เธอจึงหยุดการกระทำในมือแล้วเงยหน้ามองผม
“ที่แท้ก็ฟีลนี่เอง ข้าว่า พวกนางคงยังไม่ถึงเวลากลับหรอก”
“เวลากลับ?”
“ใช่แล้ว ช่วงนี้จะมีนักเรียนจากสถาบันอื่นมาเยี่ยมชมการแข่งขันชั้นปีของโรงเรียนเรา ดังนั้นฟาลันกับลาน่าเลยถูกจับไปเป็นแรงงาน”
“จริงเหรอ…พวกเธอก็ไปด้วยเหรอ?”
“อย่างไรซะชมรมของพวกเราก็ได้รับเงินทุนจากสถาบันโดยไม่ต้องทำอะไร สถาบันย่อมให้พวกเราไปทำภารกิจที่ดูไม่เป็นอันตรายเป็นบางครั้ง”
จะว่าไปชมรมนี้ก่อตั้งได้เพราะเก็บเก้าสิบเก้าบททดสอบมา เพราะงั้นแล้วก็เลยเป็นชมรมที่ไร้เป้าหมาย
“งั้นทำไมคุณ…”
“ไม่ไปช่วยสินะ? เจ้าล้อเล่นรึเปล่า? ข้าเป็นอัศวินรับใช้โบสถ์ ปราศจากคำสั่งจากเบื้องบนคนในสถาบันก็ไม่มีสิทธิ์สั่งให้ข้าทำอะไร”
“งะ…งั้นเหรอ”
นี่ก็คือความสำคัญของอำนาจสินะ…ที่จริงอีกสองคนนั้นก็แข็งแกร่งมาก แต่กลับไม่สามารถใช้ที่พึ่งได้ตรงๆ…จะว่าไปผมก็ด้วย
แม้ว่าตอนนี้จะเลเวล 18 แล้ว แต่กลับรู้สึกว่าผู้มีอำนาจรอบตัวผมมีแต่ผู้คุ้มกันแข็งแกร่งที่ผมไม่อาจมองเห็นเลเวลได้ ทุกครั้งที่มองก็ทำให้รู้สึกอึดอัด
แม้ว่าผมไม่คิดเป็นศัตรูกับใคร แต่เวลาเห็นเลเวลของตัวเองสู้คนอื่นไม่ได้แล้ว ความรู้สึกคับอกคับใจก็ยังรุนแรงมาก
“โชคดีเจ้ากลับมาช้า ไม่งั้นคงถูกจับไปเป็นแรงงานด้วย”
“ทำไมล่ะ? ผมก็ไม่ใช่สมาชิกของชมรมนี้นี่?”
“…เจ้าว่าอะไรนะ ในรายชื่อสมาชิกมีชื่อของเจ้า”
“เป็นไปได้ยังไง! ผมไม่เคยยื่นคำร้องไปนะ”
“งั้นเหรอ งั้นน่าจะมีใครช่วยใส่ให้เจ้า?”
บ้าเอ๊ย รู้สึกว่าผู้ต้องสงสัยน่าจะเป็นฟาลันกับลาน่า
“ออกจากชมรมยังไง?”
“ยื่นคำร้องกับผู้อำนวยการสถาบัน แต่เจ้ามาที่นี่แทบทุกวัน สถาบันคงไม่ยอมรับคำขอออกของเจ้า พวกเขาไม่เคยมีแรงงานมากขนาดนี้”
“…”
ทำไมแม้แต่สถาบันก็เป็นแบบนี้ ที่นี่ได้รับฉายาว่าสถาบันที่แข็งแกร่งที่สุดในบริเวณนี้ไม่ใช่เหรอ? แต่แม้แต่กำลังคนก็ต้องใช้นักเรียน นี่มันอะไรกันเนี่ย
“เอาเถอะๆ จะว่าไปแล้ว ขั้นตอนของการแข่งขันชั้นปีเป็นยังไงบ้าง?”
“หืม? เจ้าไม่รู้เหรอ?”
ยูบริลที่ได้ยินคำพูดนี้ก็แสดงท่าทางเหลือเชื่อ
“เพราะอาจารย์ของพวกเราคืออาจารย์แมรี่ไง”
“เป็นนางนี่เอง…ข้าเข้าใจแล้ว”
ดูเหมือนอาจารย์ของพวกเราจะชื่อเสียงทีเดียว น่าเสียดายที่เป็นชื่อเสียงไม่ดี
“ตามปกติแล้วการแข่งขั้นชั้นปีก็คือการเลือกนักเรียนสองคนจากทุกห้องมารวมทีมเพื่อแข่งขัน แล้วตัดสินทีมที่แข็งแกร่งที่สุดสามทีม จากนั้นค่อยแบ่งทีมละสามคนจากหกคนนั้น แล้วแยกกันแข่งขันกับทีมที่แข็งแกร่งที่สุดจากอีกสองชั้นปี”
“ฮะ? คุณล้อเล่นรึเปล่า? เลเวลของทีมชั้นสูง…ไม่สิ ความสามารถการต่อสู้สูงกว่าอีกสองชั้นปีขนาดนี้ นี่มันเหมือนเชือดไก่ชัดๆ เลย!”
“เชือดไก่?”
“หมายถึงสามารถเอาชนะได้สบายเลยล่ะสิ”
“มันก็ไม่แน่ ข้ารู้สึกว่าอย่างน้อยเจ้าก็ต่อสู้กับคนของทีมชั้นกลางได้ไม่มีปัญหา”
“เอ๋?”
หรือยัยนี่มองออกว่าเลเวลของผมเพิ่มขึ้น?
“วิธีการต่อสู้แปลกประหลาดของเจ้า โดยพื้นฐานแล้วก็คือฝันร้ายของนักเวททุกคน นอกจากนักเวทที่พลังป้องกันค่อนข้างสูงจนจัดการทันทีไม่ได้แล้ว คนอื่นก็เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย”
“คุณยกย่องผมไปแล้ว ผมก็แค่นักเรียนระดับล่างธรรมดา”
“คนธรรมดาไม่มีปีก”
“…”
จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ายูบริลเป็นหนึ่งในคนส่วนน้อยที่รู้ว่าผมมีปีก
“จะว่าไป เรื่องที่ถามเจ้าก่อนหน้าเจ้าคิดว่าไงบ้าง?”
“หืม? เรื่องอะไร?”
“ก็เรื่องเข้าสู่โบสถ์ไง ตอนนี้เจ้าเป็นคนที่มีปีกสีขาว แม้ว่ามีปีกเดียว แต่ก็เพียงพอกับเงื่อนไขการเข้าร่วมของพวกเราแล้ว”
ว่าไปแล้วก็มีเรื่องแบบนี้จริงๆ
แต่สถานการณ์ในตอนนี้คือผมเข้าร่วมกับเรดลีฟแล้ว เข้าร่วมโบสถ์อีกคงเป็นไปไม่ได้สินะ?
แล้วดูเหมือนโบสถ์จะมีกฎเกณฑ์มากเกินไป คนประเภทผมคงไม่มีทางทนได้แน่นอน
“คือว่า…”
“หยุดเถอะ ถ้าเจ้าอยากปฏิเสธก็ไม่จำเป็นต้องพูดออกมา อย่างไรซะคำเชิญนี้ก็มีอยู่ตลอด เมื่อไหร่เจ้าอยากเข้าร่วมขอเพียงอธิบายที่โบสถ์สาขาใดก็ได้”
เธอหยุดชั่วขณะแล้ววางดาบในมือลง จากนั้นเดินเข้ามา
“จะว่าไป คนที่มีปีกขาวจะสามารถใช่เวทมนตร์แสงได้ ข้าจะสอนให้เจ้าสักเวทสองเวทแล้วกัน”
“เอ๋?”
อะไรกัน? มีเรื่องดีๆ แบบนี้ด้วย?
“ก่อนหน้านี้บอกว่าถ้าไม่ใช่คนของโบสถ์จะเรียนเวทมนตร์แสงไม่ได้ไม่ใช่เหรอ?”
“ฮึ่ม ข้าเองก็คิดว่ากฎนี้มีปัญหา ทำไมคนทั่วไปถึงเรียนไม่ได้ล่ะ แล้วที่ข้าจะสอนเจ้าก็เป็นแค่เวทรักษากับเวทชำระล้าง ไม่ใช่เวทโจมตี จะมีปัญหาอะไรล่ะ”
ถึงแม้ยัยนี่เป็นคนของโบสถ์ แต่ก็เป็นประเภทหัวต่อต้านสินะ
“หรือว่าเจ้าไม่อยากเรียน?”
“อยากอยู่แล้ว!”
สกิลรักษาคืออะไร? นั่นคือของที่ฝืนหลักธรรมชาติ!
ในทีมที่มีพลังการต่อสู้ย่อมสามารถเพิ่มพลังได้ ถ้าการสนับสนุนทำได้ดี ก็ยิ่งสามารถพลิกล็อคได้ทุกเมื่อ
ตัวเวทมนตร์แสงเองผมก็ไม่ได้สนใจเท่าไหร่ แต่มันมีกลับคาถารักษาที่ทรงพลังที่สุด!
แม้ว่าเวทมนตร์สายวายุ สายน้ำและสายไม้ก็มีสกิลฟื้นฟู แต่เทียบกับคาถารักษาของเวทมนตร์สายแสงแล้ว ก็ห่างกันราวกับฟ้ากับดิน
“อืม ดูเหมือนเจ้าก็ยังกระตือรือร้นอยู่ เอาล่ะ เวทมนตร์สายแสง…”
ใจขณะเดียวกัน กระดานแจ้งเตือนก็เด้งออกมาอย่างรวดเร็ว
ยูบริลสอน ‘คาถารักษา’ กับ ‘คาถาชำระล้าง’ ของเวทมนตร์แสง ต้องการเรียนหรือไม่?
ผมกดด้วยความเร็วสูงสุด ด้านล่างกระดานแจ้งเตือนก็เริ่มแสดงแถบการอ่านออกมา
ไม่นานนัก แถบการอ่านก็สิ้นสุด กระดานแจ้งเตือนใหม่ก็ปรากฏขึ้น
คาถารักษา เลเวล 1 : ฟื้นฟู HP 30% ใช้มานา 500 หน่วย
คาถาชำระล้าง เลเวล 1 : คาถากำจัดสถานะมึนงง ใช้มานา 300 หน่วย
เวทมนตร์นี้มีเลเวลด้วย? หรือเพราะเป็นเวทมนตร์ระดับสูงเลยไม่เหมือนกัน?
“เอาล่ะ ก็ราวๆ นี้ ตอนนี้เจ้าก็ลองดูว่าความสอดคล้องของเจ้ามีแค่ไหน”
“อืม”
ผมหยิบไม้คทาชี้ไปด้านหน้า แล้วกดปุ่มสกิล
แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นมาในห้อง ในพริบตา ผมก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
ในสถานะเลือดเต็มก็ยังมีเอฟเฟกต์แบบนี้ด้วย เวทมนตร์นี้ดูไม่เลวจริงๆ
คาถารักษาเพิ่มเป็นเลเวล 2 : ฟื้นฟู HP 50% ใช้มานา 700 หน่วย
เนื่องจากเลเวลเวทมนตร์กับเลเวลผู้ใช้ห่างกันมาก เปิดใช้ความตระหนักรู้
ความตระหนักรู้ เลเวล 1 : ฟื้นฟู HP 20% ให้สมาชิกทีมที่อยู่ในบริเวณ 5 เมตร ใช้มานา 500 หน่วย
เอ๋? ความตระหนักรู้นี่มันอะไรกัน?
ยังมีสกิลฟื้นฟูแบบกลุ่มด้วยเหรอ? มันสะดวกไปรึเปล่าเนี่ย?
แต่ว่า พอเห็นท่าทางประหลาดใจของยูบริล ผมก็รู้สึกว่าผมทำเรื่องโง่ๆ อีกแล้ว
จากที่ผมรู้ ตามปกติคงไม่มีใครใช้สกิลได้ทันทีหลังจากอีกคนสอนเสร็จ สุดท้ายผมกลับทำความผิดซ้ำเดิมแบบนี้อีก
ฉายาความไม่ระมัดระวังเพิ่มเป็นเลเวล 5 ความต้านทานเพิ่ม 50 แต้ม เข้าสู่โหมดสกิลติดตัว (Passive)
เอาเถอะ ผมไม่อยากสนใจการแขวะของสวรรค์อีก แต่ปัญหาคือผมจะอธิบายกับยูบริลว่าผมใช้เวทมนตร์ได้ทันทียังไง
“บอกวิธีให้ข้าคุ้นเคยกับธาตุสายแสงที! ข้าฝึกเวทนี้ตั้งห้าสิบกว่าครั้งถึงจะมีผลอะไรบ้าง! ทำไมเจ้าฝึกแค่ครั้งเดียวก็ทำได้แล้ว! ได้โปรดบอกข้าที!”
ผมถูกจับไหล่เขย่าไม่หยุด ยูบริลสูญเสียความเยือกเย็นและระเบิดอารมณ์ทันที
ดูเหมือนวันนี้จะไม่มีเวลาพักผ่อนแล้ว…