ถ้าผมเกิดใหม่ใน RPG? (So What if it’s an RPG World !?) – ตอนที่ 12

ตอนที่ 12

เร่งฝีเท้าจนถึงสถาบัน อย่างที่คิดเลย ที่นั่นถูกพวกนักเรียนขวางเอาไว้อย่างแน่นหนา

พวกอาจารย์กำลังยืนทำหน้าที่ระวังภัยอยู่หน้าประตูสถาบัน ไม่ยอมให้นักเรียนเข้าไปได้

มันก็ต้องเป็นแบบนั้น มองออกไป อาคารในสถาบันสองสามแห่งได้โค่นลง หนึ่งในนั้นผมยังจำได้ ว่าที่นั่นเป็นอาคารที่ถล่มก่อนที่มอนสเตอร์รูปปั้นเหล็กตัวนั้นจะกระโดดลงมา

ทว่าห้องพยาบาลของสถาบันดูแล้วเหมือนจะไม่เสียหาย ยังไงซะสถานที่ที่เกิดการต่อสู้ก็ไม่ได้อยู่บริเวณห้องพยาบาล ดังนั้นห้องพยาบาลเลยไม่เสียหาย

แต่ตอนนี้สถาบันถูกปิดกั้นแล้ว อาจารย์ก็ไม่อนุญาตให้คนอื่นเข้าไป และคนข้างในก็คงถูกพาตัวออกมาแล้วแน่นอน

อีกทั้งตอนนี้ก็ผ่านไปสองชั่วโมงกว่าแล้ว คงจะ…

“ฟีล เจ้าอยู่นี่เอง”

จู่ๆ ก็ถูกคนตบข้างหลัง

“หืม? ญาริน? พวกเธออยู่นี่เอง”

คนข้างหลังคือญารินกับเพื่อนอีกสองคนของเธอ

“เจ้าหนีเร็วดีนี่? ถึงกับทิ้งพวกเราไว้แล้วค่อยหนีอีก”

“นั่นสิ”

“ช่างไม่มีความรับผิดชอบในฐานะผู้ชายเลย”

“นั่นสิ”

การแขวะของมัวร์และมิเชลยังคงแข็งแกร่ง

ฉันทำเพื่อช่วยชีวิตพวกเธอค่อยออกไป…ถึงผมจะอยากพูดแบบนี้ แต่พูดแบบนี้ก็เหมือนรนหาที่ตายชัดๆ

“ไม่ต้องพูดถึงฉันหรอก เกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ?”

เปลี่ยนหัวข้อน่าจะดีกว่า

“คือว่า…เพราะเกิดเรื่องยากจะอธิบายในสถาบัน จากนั้นมัวร์ มิเชลกับข้าถูกอาจารย์ที่รับผิดชอบการอพยพแบกออกมา ดูเหมือนจะมีมอนสเตอร์โจมตีสถาบัน อีกทั้งยังทำให้คนในสถาบันหมดสติไป”

ญารินอธิบาย

“มีคนพูดไหมว่ามอนสเตอร์ตัวนั้นหน้าตาเป็นยังไง?”

ญารินคิดจะเอ่ยปากพูด อีกสองคนที่อยู่ข้างๆ ก็แทรกเข้ามาอย่างรวดเร็ว

“มีปีก”

“ปีกกระดูก”

“หน้าตาชั่วร้าย”

“รูปร่างใหญ่โต”

“เป็นปีศาจ”

“เป็นมอนสเตอร์”

“ฉันว่าชาติก่อนพวกเธอคงแชท QQ1 จนชินสินะ? ตอนพูดยังพูดต่อกันไม่ได้เลย?”

“QQ? คืออะไร?”

“ก็หมายความตามที่พูดแหละ ทำไมพวกเธอไม่พูดให้จบทีเดียวเลยล่ะ?”

“แบบนี้ฟังดูได้อารมณ์ยิ่งกว่าแท้ๆ”

“นั่นสิ แบบนี้ฟังดูก็มีจังหวะดี”

“เอาเถอะ ถือว่าฉันแพ้พวกเธอแล้วกัน…”

มองทางสถาบัน ผมจึงพูดต่อ

“งั้นพวกเธอคิดจะทำยังไง? ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ไม่รู้ว่าการแข่งขันชั้นปียังดำเนินต่อได้รึเปล่า”

“เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง เมื่อกี้มีคนที่รับผิดชอบอธิบายกับพวกเราแล้ว ว่าให้พวกเราพักผ่อนอยู่ในห้องพักบริเวณนี้ก่อน และการแข่งขันชั้นปียังดำเนินตามปกติ”

“จริงเหรอ?”

“เพราะพวกเขาบอกว่าสถานที่แข่งขันไม่ได้รับความเสียหาย จึงไม่มีปัญหา”

สถานที่แข่งขัน…ที่ได้รับความเสียหายน่าจะเป็นสนามต่อสู้ทางฝั่งตะวันออกและอาคารฝ่ายเวทมนตร์ในสถาบัน แต่ในเมื่อบอกว่าสถานที่แข่งขันไม่ได้รับความเสียหาย คงเหลือแค่สนามทางฝั่งตะวันตกที่สามารถใช้ได้

แต่ผมจำได้ว่าสนามนั้นไม่ได้ดีเท่าฝั่งตะวันออกนี่นา…

“แล้วก็ ข้าตัดสินใจย้ายมาที่สถาบันนี้แล้ว แบบนี้แม้ว่าจะสิ้นสุดการแข่งขันชั้นปีข้าก็ไม่ต้องกลับไป”

“เอ๋!”

ไม่ใช่แค่ผม เพื่อนอีกสองคนก็มองเธออย่างตกตะลึง

“ทำไมล่ะ!”

“นั่นสิ”

“พวกเราเป็นอัศวินไม่ใช่เหรอ?”

“ทำไมต้องย้ายมาสถาบันเวทมนตร์ด้วยล่ะ?”

“เพราะ…เพราะว่า…”

ญารินมองผม แล้วพูดต่อ

“เพราะว่าอยู่ที่นี่ข้าสามารถลืมเรื่องในครอบครัวได้…”

“…”

เพื่อนทั้งสองคนของเธอสบตากัน และส่ายศีรษะอย่างจนใจพร้อมกัน

จากนั้นก็มองผม

“เฮ้อ~”

ทั้งคู่ถอนหายใจพร้อมกันอีกครั้ง

“ไม่เข้าใจเลย”

“ทำไมถึงเป็นหมอนี่”

“ไม่เป็นไร อย่างไรซะข้าก็เป็นอัศวินเวท ก่อนหน้าสถาบันเกรย์ก็ส่งคำเชิญให้ข้า แต่เพราะตอนแรกมีเหตุผลมากมายสุดท้ายเลยไม่ได้มาก็เท่านั้น”

ดูเหมือนญารินจะทำการบ้านมาไม่น้อย เข้าใจได้แจ่มแจ้งจริงๆ

“ในฐานะอัศวินเวทข้าก็แข็งแกร่ง”

“ก็หมายความว่า เธอจะเข้าสถาบันเกรย์ในฐานะอัศวินเวทสายน้ำแข็ง? พวกเขาไม่น่าตั้งสถาบันอัศวินเวทสายน้ำแข็ง เธอเลยจะเข้าสถาบันสายน้ำแข็งของพวกเรา”

“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนี้”

“ต่อไปชีวิตในสถาบันคงไม่เงียบเหงาแล้วสิ…”

ผมยิ้มอย่างจนปัญญา

1 แอพลิเคชั่นที่ใช้แชทคุยของประเทศจีน

เล่ม 3

ภาพสุดท้ายคือมองเห็นพื้นใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว จากนั้นตรงหน้าก็กลายเป็นสีดำ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะระบบรู้รึเปล่าว่าผมกำลังจะกระแทกพื้นเลยตัดความรู้สึกของผม หรืออาจจะเป็นเพราะสาเหตุอื่น หลังจากตรงหน้ากลายเป็นจอสีดำอยู่ครู่หนึ่ง ข้อความที่แสดงข้างบนกลับไม่ใช่นับถอยหลังฟื้นคืนชีพ แต่เป็นนับถอยหลังหมดสติ

ดูเหมือนหลังจากผมเลเวล 18 แล้วจะหนังหนาจริงๆ ตกจากที่สูงขนาดนี้ยังไม่ตายเลย

นี่แปลว่าพลังป้องกันสูงก็มีประโยชน์อยู่บ้าง ยกตัวอย่างเวลาเล่นบันจีจัมพ์เกิดไม่ระวังเชือกขาดก็คงไม่ตกตาย…เอาเถอะ ตอนนี้ผมมีปีก ก็คงไม่บ้าไปเล่นบันจีจัมพ์หรอก

แต่อาร์ย่า…โอ้ ทำไมยัยนี่ถึงชอบทำเรื่องอันตรายกับตัวเองแบบนี้ ถึงผมจะรู้ว่ากอดคนอื่นตามใจชอบจะดูบุ่มบ่ามไปบ้าง แต่สถานการณ์แบบเมื่อกี้ผมทำแบบนั้นเพื่อปกป้องเธอแท้ๆ ทำไมเธอถึงไม่เข้าใจล่ะ?

ไม่รู้ว่ายัยนั่นจะเป็นอะไรไหม แม้ว่าสุดท้ายผมจะพยายามให้เธออยู่บนตัวผมแล้ว แต่ภายหลังเธอจะถีบผมออกแล้วกระแทกพื้นหรือไม่ เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้

แต่ว่า…

รอคอยสองชั่วโมงเป็นเวลาที่ยาวนานจริงๆ ช่วยไม่ได้ ผมทำได้เพียงปล่อบให้ตัวเองผ่อนคลายให้เต็มที่ แบบนี้ก็คล้ายกับการเข้าสู่สถานะหลับ

“ตื่นสิ! ตื่นเร็วเจ้าโง่!”

เอาเถอะ ผมรู้ว่าในสถานการณ์ปกติผมจะถูกปลุกด้วยเสียงแบบนี้เท่านั้น

แม้ว่ารู้สึกลืมตาลำบาก แต่พอตั้งใจฟังเสียง ผมกลับลืมตาทันที

“ฟาลัน เกิดอะไรขึ้น…เอ่อ ที่นี่ที่ไหน?”

รู้สึก…ดูเหมือนผมจะนอนอยู่บนโซฟาขรุขระ รอบด้านดูเหมือนเป็นห้องเล็กๆ ทรุดโทรม

ห้องที่ผนังเป็นสนิมและกองเต็มไปด้วยหนังสือและของใช้จิปาถะ มองแวบแรกรู้สึกว่าเป็นห้องกิจกรรมของพวกเรา แต่ความจริงกลับมีความแตกต่าง

ห้องนี้แตกต่างจากห้องใดๆ ในห้องกิจกรรม และเล็กยิ่งกว่า อีกทั้งรูปร่างของประตูก็ไม่เหมือนห้องกิจกรรม เพราะห้องนี้เป็นประตูเหล็ก

“ห้องใต้ดินของบ้านที่ข้าซื้อ”

ฟาลันพูดด้วยรอยยิ้ม

ตอนนี้ฟาลันสวมชุดนักเวทสีดำสนิทกับผ้าคลุมไหล่ขนอ่อน การแต่งตัวดูแล้วเหมือน…เตรียมออกไปข้างนอก?

“โอ้ จริงสิ ตอนนี้ผมต้องรีบออกไปแล้ว”

มองเห็นผมมองเสื้อผ้าของเธอจนตะลึง เธอจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“มีคนเห็นตอนที่เจ้ากางปีกบินอยู่บนท้องฟ้า แล้วเขาก็ไม่ได้เห็นแค่ปีกสีขาวของเจ้า แต่เป็นปีกกระดูกด้วย ตอนนี้วิหารศักดิ์สิทธิ์และอัศวินเทมพลาร์ต่างออกปฏิบัติการ เดี๋ยวข้าต้องหลบเข้าไปในทางเข้าดันเจี้ยนใต้ดิน แกล้งทำเป็นนักเรียนที่ตกลงไป กลิ่นอายความตายบนตัวเจ้าเบาบางมาก ขอเพียงเจ้าไม่กางปีกเวทมนตร์ของตัวเองมันก็จะไม่กระจายออกไป”

อย่างที่คิด ปีกข้างหลังผมตอนนี้เหลือแค่ปีกสีขาว ปีกกระดูกหุบเข้าไปแล้ว น่าจะเป็นเพราะฟาลันใช้เวทมนตร์ช่วยผม

ผมเก็บปีกสีขาวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถามไป

“แล้วทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”

“ไม่ใช่เพราะเจ้านอนกางปีกอยู่กลางลานจัตุรัสเหรอ? พอข้าตื่นขึ้นมาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเจ้าเลยพาเจ้ากลับมา แต่ข้าคิดว่าหัวหน้าคนนั้นก็น่าจะสัมผัสได้ ระวังไว้หน่อย”

“แน่นอนอยู่แล้ว”

หัวหน้าที่ฟาลันพูดถึงคงจะเป็น ‘รีด’ หัวหน้าผู้บัญชาการหัวโล้นคนนั้น

ทำไมถึงบอกว่าเป็นผู้บัญชาการหัวโล้นน่ะเหรอ? เพราะสาขาวิชาของเขาไม่มีคนอยู่เลย ถึงเขาพบว่ามีคนมีศักยภาพในการใช้เวทสายแสงก็จะส่งตัวไปที่โบสถ์อยู่ดี

หมอนั่นคงเป็นตัวแทนประจำโบสถ์ล่ะมั้ง ยังไงยูบริลคนเดียวก็ไม่อาจจัดการธุระเยอะแยะขนาดนั้นได้

“งั้น…น่าจะมีเด็กผู้หญิงตกอยู่กับผมด้วย แล้วเธอไปอยู่ที่ไหนแล้ว?”

“…เป็นเด็กสาวผมทวินเทลสีขาว?”

“อืม”

“เอ๋ ที่แท้เจ้าก็ชอบแบบนั้น”

“ล้อเล่นรึไง นิสัยยัยนั่นแย่แบบนั้น…แต่ยัยนั่นไม่ได้ตายใช่ไหม?”

“ไม่อยู่แล้ว ไม่รู้ว่าใครใช้ตัวเองเป็นเบาะรอง ผู้หญิงนางนั้นจึงแค่ใกล้ตายเท่านั้น หลังข้ารินน้ำยาฟื้นฟูให้ก็พานางออกไปจากที่นั่นแล้ว”

“ก็ดี หวังว่ายัยนั่นจะปิดปากแน่นพอ ไม่งั้นปล่อยให้คนอื่นรู้ว่าผมมีปีกงอกคงเป็นปัญหาแน่”

“งั้นเจ้าไปที่ห้องพยาบาลคงดีที่สุด”

“พูดแล้วก็ใช่”

อีกทั้งพวกญารินก็ยังนอนอยู่ในห้องพยาบาล ตอนนี้น่าจะตื่นแล้ว

แม้ว่าคำว่า ‘คู่หมั้น’ นี้จะดูห่างไกลสำหรับผมอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ญารินผ่านความยากลำบากมามากขนาดนี้ เวลาแบบนี้อยู่ข้างกายเธอให้มากก็ถือว่าเป็นการปลอบโยนจิตใจเธอ

“แต่ตอนนี้เจ้าลดตัวไว้จะดีที่สุด ต้องรู้ว่าตอนนี้ทั้งสถาบันกำลังตามหาเทวดาแห่งความตายที่มีปีกกระดูก แต่ที่นี่ไม่มีคนแบบนั้น เพราะคนที่พวกเขาเห็นก็คือเจ้า”

“ผมรู้แล้ว ผมจะพยายามให้ดีที่สุด”

“อ่า…เอาเถอะ ข้าไปก่อนล่ะ เจ้าระวังด้วย”

พูดจบ ฟาลันก็กลายเป็นเงาดำลอยผ่านช่องประตูออกไป ในขณะเดียวกัน เสียงหนึ่งก็ดังเข้าในหัวผม

‘บนประตูเหล็กบันทึกกลิ่นอายของเจ้าเอาไว้ สัมผัสมันก็สามารถเปิดได้’

จากนั้นอีกฝ่ายก็หายไปทันที

ผมส่ายศีรษะอย่างจนใจ จัดเสื้อผ้าบนตัว เตรียมออกไป

แต่ว่า ทันใดนั้นก็มองเห็นหน้าต่างแจ้งเตือนเป็นชุดที่ถูกกองไว้ข้างๆ

คงเป็นตอนที่ผมเพิ่งฟื้น เลยปัดแจ้งเตือนไปไว้ขอบหน้าต่างอย่างรวดเร็ว และตอนนี้เมื่อสงบลงแล้วก็สามารถเปิดออกมาลองดูได้

สกิลพิเศษเนตรแห่งเฟคด้า ผู้ครอบครองตาอินทรี ทักษะปลอมตัว (ทักษาเปลี่ยนสีผม) สามารถอัพเกรดข้อจำกัดในการเปิดใช้ได้

เปิดความสามารถในการสื่อสาร การสื่อสารกับคนต่างโลกทุกคนเข้าสู่สถานะติดต่อได้

เลเวลมิตรภาพกับอาร์ย่าเพิ่มขึ้น อัพเกรดอุปกรณ์สื่อสาร สามารถพูดคุยด้วยเสียงได้

เลเวลความสัมพันธ์กับญารินเพิ่มขึ้น ทั้งสองจะได้รับค่าประสบการณ์เท่ากันในโหมดทีม รวมค่าประสบการณ์เป็น 1.2 เท่า

เนื่องจากถูกตัดสินว่าเป็นตัวการก่อการร้ายทำลายสถาบัน ตอนนี้จึงกลายเป็นเทวดาศักดิ์สิทธิ์แห่งความตายผู้ถูกประกาศจับ แต่เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าเทวดาศักดิ์สิทธิ์แห่งความตายคือใคร ดังนั้นจึงไม่ถูกประกาศจับด้วยชื่อจริง

ฉายา ความไม่ระมัดระวังเลเวลอัพเป็นเลเวล 6 ความต้านทานเพิ่มขึ้น 60 หน่วย เข้าสู่การถูกกระทำ

แพะรับบาปเลเวลอัพเป็นเลเวล 6 แต้มรับบาป 0/30000

แพะรับบาปเลเวลอัพเป็นเลเวล 7 แต้มรับบาป 0/35000

ความโหดร้ายเลเวลอัพเป็นเลเวล 2 พลังโจมตีเพิ่มขึ้น 200

ผู้ถูกประกาศจับเลเวลอัพเป็นเลเวล 2 ความเป็นไปได้ในการถูกหน่วยงามบังคับใช้กฎหมายพบตัวลดลง 10%

หลังจากอ่านฉายาพวกนี้เสร็จผมก็สงบไม่ได้ เพราะผมอยากพูด

ผมรู้แล้วว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้อีก…แต่ทำไมถึงเป็นผมทุกครั้งเลย…

เล่ม 3

ผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคืออะไร ไม่ใช่เพราะผมมองเห็นไม่ชัดเจน แต่ข้อมูลบนชื่ออีกฝ่านล้วนเป็นแค่เครื่องหมายคำถาม

ของแบบนั้นถึงผมอยากรู้ก็คงเป็นไปไม่ได้หรอก?

เรื่องที่รู้มีแค่เรื่องเดียว นั่นก็คือเลเวลของอีกฝ่ายสูงกว่าพวกเราไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองเลเวล แล้วยังฆ่าพวกเราได้รวดเร็วราวกับหั่นผัก

ทำไมศัตรูคราวนี้ถึงเป็นมอนสเตอร์แบบนี้?

แม้ว่าอยากสาปแช่ง ‘โลก’ นั่น แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องที่สำคัญกว่านั้น

ผมหยิบยาฟื้นฟู HP ออกมาส่งให้อาร์ย่าทันที หลังจากหลอด HP ของอีกฝ่ายกะพริบได้สองครั้งก็เริ่มฟื้นฟูกลับมาช้าๆ

แม้ว่าอยู่ในเมืองจะสามารถฟื้นคืนชีพได้ที่วิหาร แต่วิหารที่อยู่ใกล้ที่สุดก็อยู่ที่อีกด้านบของเมือง คงเป็นเรื่องลำบากที่จะกลับมาจากที่นั่นโดยไม่มีบลิงค์

และผมก็หยิบยา HP และ MP ออกมาดื่มลงไปทันที HP ที่เสียไปและหลอด MP ที่ใช้บลิงค์จนกลายเป็นศูนย์ก็เริ่มฟื้นฟูกลับมา

“อาร์ย่า อาร์ย่า ตื่นเร็ว เธอหลับทั้งๆ ที่ลืมตาได้ด้วยเหรอ?”

“…บ้าเอ๊ย เบาหน่อยสิ ถูกแทงท้องทะลุมันเจ็บมากนะ”

อาร์ย่าปัดมือผมอย่างไม่พอใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่งจากพื้น

เลือดตรงบาดแผลที่ท้องเธอก็เริ่มหยุดไหล บาดแผลค่อยๆ สมานตัวด้วยความเร็วที่มองเห็นด้วยตาเปล่า

“ยานี้ไม่เลวเลย นายทำเองเหรอ? รู้สึกผลดีกว่ายาที่ขายข้างนอกมากเลย”

“จริงเหรอ ถ้าเอาไปบอกลาน่า เธอคงดีใจมาก”

“ลาน่า…ใครกัน?”

“เพื่อนน่ะ”

“จริงเหรอ…”

อาร์ย่าใช้สายตาสงสัยมองผม เหมือนกับผมพูดโกหก

“สายตาอะไรของเธอ?”

“ไม่มีอะไร~”

“…ช่างเถอะ ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องแบบนี้ สิ่งเมื่อกี้คืออะไรกันแน่ เธอเคยเห็นมาก่อนไหม?”

“ไม่เลย แล้วความเร็วกับพลังโจมตีของสิ่งนั้นก็น่ากลัวเกินไปแล้วว่าไหม? พวกเราไม่มีโอกาสชนะเลย”

อาร์ยาแทงอาวุธลงพื้นแล้วพูดอย่างไม่พอใจ

“นั่นสิ ของแบบนี้ถึงให้รางวัลพวกเราขนาดนี้ ก็ไม่อยากทำเลย”

“จะว่าไปก็ใช่ ถึงกับให้เพิ่มสองเลเวล ถึงพวกเราผลักกันไปเก็บเลเวล ตายแล้วคืนชีพมาเก็บต่อก็คงชนะไม่ได้อยู่ดี?”

“มอนสเตอร์บนโลกนี้ไม่มีสิ่งที่จะเพิ่มเลือดอัตโนมัติ ถ้าลากมันไปใกล้ๆ วิหารได้ก็อาจจะสำเร็จ…”

“เฮ้ๆๆ นายคิดจะลองดูจริงเหรอ? ดูยังไงก็มีแต่หาที่ตายนะ? ถ้าเลือดของอีกฝ่ายมีหลายล้าน…ถึงมีแค่ล้านเดียว ให้พวกเราฟันทีละนิดคนละที อย่างน้อยก็ต้องฟันถึงประมาณสิบสองวันเชียวนะ”

“ไม่ ถ้าสองคนก็น่าจะหกวัน”

“นายคิดจะโค่นในหกวันจริงๆ?”

“เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ถึงแม้มันจะไม่ฟื้น HP อัตโนมัติ แต่ถ้ามันฆ่าพวกเราก่อนลงมือล่ะ นั่นคงกลายเป็นพวกเราที่ถูกฆ่าไม่หยุด…”

“งั้นควรทำยังไง? ทิ้งเควสต์เหรอ?”

“ถึงฉันจะรู้สึกว่าการทิ้งเควสต์จะไม่ใช่อะไรไม่ดี แต่เธอดูทั้งสถาบันที่กลายเป็นแบบนี้สิ ถ้าพวกเราไม่ทำอะไรหน่อย ต่อไปถ้ามอนสเตอร์นั่นบุกมาที่นี่คงกลายเป็นสถาบันแห่งความตายแน่”

“แต่นายก็ไม่มีวิธีอื่นไม่ใช่เหรอ?”

“…ก็ไม่เชิง”

ผมคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตอบกลับ

“เอ๋?”

อาร์ย่าทำท่าทางประหลาดใจ

“เธอลองคิดดู สิ่งที่ทำให้ทั้งสถาบันตกอยู่ในความหลับใหลได้คงเป็นอุปกรณ์ประเภทส่งที่ครอบคลุมทั่วทั้งสถาบัน ไม่งั้นในแจ้งเตือนเควสต์คงไม่บอกให้หาขอบเขตการครอบคลุม แล้วหาต้นตอหรอก”

“พูดแบบนี้ก็ใช่ แต่จะลงมือยังไงล่ะ? ตอนนี้แม้กระทั่งชายขอบพวกเรายังไม่เห็นเลย”

“ที่นั่นน่าจะเป็นชายขอบ”

“เอ๋?”

“ก็คือตำแหน่งของกำแพงนั้น เธอคิดดูสิ ถ้าที่นั่นไม่ใช่ชายขอบ ก็ไม่จำเป็นต้องมีมอนสเตอร์ที่แข็งแกร่งแบบนั้นอยู่”

“นั่น…”

“จดตำแหน่งเมื่อกี้เอาไว้ จากนั้นก็หาสิ่งที่คล้ายกันอีกสองอย่างแล้วหาจุดศูนย์กลางที่พวกมันล้อมอยู่”

“นายต้องเป็นสายวิทยาศาสตร์แน่นอน”

“ทะลุมิติมาก็ต้องอาศัยวิทยาศาสตร์ช่วยโลก”

ผมลุกขึ้นยืนมองดูรอบๆ จากนั้นพูดขึ้น

“กำแพงที่เรามองเห็นเมื่อกี้คือทางตะวันออก ถ้าเป็นแบบนี้พวกเราแค่ตรงไปทางตะวันตกก็พอ…เดี๋ยวก่อน รีบหมอบลง!”

พูดจบผมก็กระโจนใส่อาร์ย่าที่อยู่ข้างๆ ทันที

“เฮ้ย นายทำบ้าอะไรเนี่ย ลุกจากตัวฉันเร็ว”

“ยัยโง่ เงียบเร็ว มองทางนั้น”

ทันทีที่อาร์ย่าเงยหน้ามองก็หยุดขัดขืน

ดูเหมือนเธอก็เห็นแล้ว

มีวัตถุไม่รู้จักลอยอยู่กลางอากาศ

สีเหมือนกับสีกำแพงเมื่อกี้ แต่โครงสร้างกลับไม่ใช่แบบเมื่อกี้

มันในตอนนี้มีรูปร่างเป็นทรงสามเหลี่ยมกลับหัว แต่ละด้านมีของที่คล้ายกับดวงตากำลังเคลื่อนที่ขึ้นลง

ของสิ่งนี้ทำให้ผมนึกถึงของที่คล้ายกันอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเครื่องบินสอดแนม แต่เครื่องบินสอดแนมที่สร้างได้ละเมิดกฎฟิสิกส์และให้ความรู้สึกรุนแรงแบบนี้ผมกลับเห็นเป็นครั้งแรก

มันไม่ใช่เพราะโครงสร้างของสิ่งสิ่งนี้ดูบิดเบี้ยวเกินไป แต่ของสิ่งนี้จะดูยังไงก็รู้สึกเหมือนมันมีต้นกำเนิดจากลัทธิปิกัสโซ1เลย

เมื่อกี้ผมเห็นจุดสีแดงที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นบนมินิแมพจึงเตือนอาร์ย่าให้หมอบลง และมันก็เพิ่งปรากฏที่อีกด้านหนึ่งของหัวมุมพอดี ดังนั้นจึงไม่เห็นพวกเรา

“หลับตาแกล้งทำเป็นหลับ”

พูดคำพูดจบผมก็หลับตา

แต่ผมยังจ้องจุดสีแดงที่เคลื่อนที่ช้าๆ อยู่บนมินิแมพ ยังไงซะผมก็ทำได้แค่ยืนยันตำแหน่งของเจ้าสิ่งนี้ผ่านทางมินิแมพนี่

ยังไงซะขณะเจ้าสิ่งนี้บินก็ไม่มีเสียง

จุดสีแดงเคลื่อนที่ช้าๆ ผมรู้สึกได้ถึงหัวใจของผมที่เต้นเร็วขึ้นไม่หยุด

โดยเฉพาะตอนที่มันกำลังมาถึงทางผม เจ้าสิ่งนี้ก็หยุดลง! ผมรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นเร็วแบบไม่เคยเป็นมาก่อน!

“พื้นที่ C เคลียร์ ไม่พบผู้หลบหนีที่ตื่นอยู่ คนพวกนั้นน่าจะหนีออกจากสถาบันไปแล้ว?”

ทันใดนั้น เจ้าสิ่งนั้นก็ส่งเสียงพูด

เจ้านี่พูดได้ด้วยเหรอ? อีกทั้งยังไม่ใช่เสียงอิเล็กทรอนิกส์ หรือว่ามีคนนั่งอยู่ข้างใน?

“สำรวจต่อไป ไปดูทางด้านเครื่องกระจายสัญญาณ ถ้ามีใครทำลายอุปกรณ์รบกวนภารกิจของพวกเราคงยุ่งยากแน่”

“รับทราบ ดอกเตอร์ ตอนนี้เครื่องบินสอดแนมหมายเลขสองกำลังไปยังอุปกรณ์รบกวน”

ทันใดนั้น จุดสีแดงก็เร่งความเร็วบินไปทางเหนือ

อัพเดทเควสต์ ติดตามเครื่องบินสอดแนม ค้นหาอุปกรณ์รบกวน

อย่างที่คิด ในตอนนั้นเอง ข้อมูลของเควสต์ก็อัพเดททันที

แน่จริงก็อัพเดทของรางวัลด้วยสิ!

เห็นจุดสีแดงเลี้ยวมุมไป ผมก็ฉุดอาร์ย่าลุกขึ้นจากพื้นทันที

“เอาล่ะ ถึงเวลาเก็บค่าประสบการณ์แล้ว”

“อืม”

พวกเราเปิด ‘ลอบเร้น’ พร้อมกัน แล้วตามเครื่องบินสอดแนมไป

1 ผลงานของปีกัสโซมีลักษณะเป็นทรงเรขาคณิต (Cubism)

“ระ…เรื่องราวก็เป็นแบบนี้ ฟีลเป็นผู้มีบุญคุณช่วยชีวิตข้าในระหว่างทาง ก็เลย…”

ขณะรออาหารมาเสิร์ฟ ญารินที่นั่งข้างผมก็เริ่มแนะนำประวัติของผมให้เพื่อนๆ ของเธอ

ยังไงซะแค่พบกันก็ร้องไห้ออกมา ทั้งยังจูบผมอีก เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไปจนไม่ว่าใครก็คงสงสัย

ต้องมีคนคิดว่าผมเป็นผู้ชายที่หักอกละทิ้งเด็กสาวตามใจชอบแน่? ก็เธอร้องไห้ออกมานี่นา

แต่ตอนหลังที่เข้ามาจูบทันที คนทั่วไปเห็นก็คงยากที่จะเข้าใจ

อย่างน้อยลุงฮอลส์ก็เริ่มมองทางพวกเรามาตลอดตั้งแต่เมื่อกี้ มองจนผมเสียวสันหลัง

ไม่ใช่แค่นี้ สายตารอบด้าน รวมถึงสายตาของเด็กสาวสองคนที่จ้องผมจนเหมือนกับหนามทิ่มแทงเข้าไปในร่างกายผมไม่หยุด ทำให้ผมอึดอัดไปทั้งตัว

“เป็น ‘อัศวินหัวใจน้ำแข็ง’ แท้ๆ”

“นั่นสิ”

“ตอนนี้กลับนั่งอยู่ข้างผู้ชายเหมือนกับเด็กผู้หญิง”

“แย่ที่สุด”

“ใช่แล้ว”

อัศวินสาวสองคนสลับกันพูด

เด็กสาวทั้งสองคนล้วนมีผมสีเขียว เด็กสาวผมสั้นตัวเตี้ยกว่าเล็กน้อย ชื่อว่ามิเชล อัศวินเลเวล 5 ส่วนคนผมยาวดูเหมือนจะสูงกว่าญาริน ชื่อว่ามัวร์ อัศวินเลเวล 6 ทั้งคู่ดูท่าทางเหมือนเป็นพี่น้องกัน อีกทั้งดวงตาของพวกเธอต่างเป็นสีน้ำตาลกระจ่างใส

อัศวินทั่วไปไม่เหมือนกับนักดาบคู่แบบอาร์ย่าที่อาศัยความคล่องแคล่วในการโจมตี ทั้งตัวของอัศวินตามแบบฉบับจึงคลุมด้วยชุดเกราะ ห่อจนกลายเป็นกระป๋อง แต่ชุดเกราะกลับดูเหมือนออกแบบตามสัดส่วนของแต่ละคน

“มิเชล มัวร์!”

ญารินพูดอย่างไม่พอใจ

“ฟีลเป็นคนดี โปรดเชื่อข้า”

คู่หมั้นที่เจอกันอีกครั้งปล่อยการ์ดคนดีทันที นี่มันโลกอะไรกัน

“…”

ทั้งคู่สบสายตากัน จากนั้นจึงจ้องทางผมพร้อมกัน

ผมจำใจต้องยิ้มแสดงความจนใจ

“คนโง่”

“ใช่ ก็แค่คนโง่”

“ไม่เข้าใจว่าทำไมรินถึงชอบผู้ชายแบบนี้”

“ข้าก็ไม่เข้าใจ”

พวกเธอสองคนกำลังพูดละครตลกกันอยู่เหรอ?

“แม้กระทั่งผู้ชายในกองอัศวินก็ไม่มองแท้ๆ”

“เหมือนกับน้ำแข็ง”

“แต่กลับเปิดใจต่อนักเวทแบบนี้”

“ทำไมล่ะ?”

“ไม่ใช่แบบนั้น วิชาดาบของฟีลแข็งแกร่งมาก เมื่อก่อนก็สามารถกันการโจมตีของข้าได้!”

ได้ยินคำพูดของเพื่อนตัวเอง ญารินจึงพูดอย่างกังวล

“จริงเหรอ? ไม่เหมือนเลย เป็นนักเวทชัดๆ”

“นักเวทใช้วิชาดาบไม่ได้นี่?”

บ้าเอ๊ย ยัยสองคนนี้น่ารำคาญจริงๆ ถ้าไม่เพราะพวกเธอเป็นเพื่อนของญารินผมคงสอนบทเรียนให้พวกเธอสักหน่อยแล้ว

แต่ถ้าไม่มีกรณีพิเศษก็ห้ามใช้เวทมนตร์ตอนอยู่ในเมือง นี่เป็นหนึ่งในกฎของสถาบัน แม้เป็นราชวงศ์หรือชนชั้นสูงก็ไม่อาจละเมิด

แต่ว่า…

แค่ไม่ใช้เวทมนตร์ใช่ไหม?

“พวกเธอทั้งคู่ ตั้งแต่เมื่อกี้มันก็มากไปแล้วนะ ทำไมถึงไม่เชื่อว่าฉันเป็นเพื่อนของญาริน!”

ถ้าเงียบต่อไปอีกพวกเธอคงคิดว่าฉันเป็นคนโง่?

“เพราะเจ้าเป็นนักเวท”

“เพราะเจ้าเป็นผู้ชาย”

“ไม่ว่าจะเป็นด้านไหนเจ้าก็ไม่ใช่ประเภทที่พวกเราเชื่อถือได้”

“แม้ว่าพวกเรายอมรับการเลือกของญาริน”

“แต่พวกเราไม่ยอมรับเจ้า”

ทั้งคู่ผลัดกันตอบ

อย่างนี้นี่เอง ดูเหมือนยัยสองคนนี้จะอคติกับนักเวทไม่น้อย

แม้เรื่องผมเป็นผู้ชายคงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่กับการประลองดาบล่ะก็…

“พูดตรงๆ ก็คือพวกเธออยากประลองดาบสักรอบสินะ?”

ผมลุกขึ้นยืนพร้อมพูดทันที

“ฟีล กฎสถาบันข้อที่แปด”

ลุงฮอลส์เอ่ยเตือนด้วยความปรารถนาดี

“ไม่มีปัญหา ผมจะไม่ใช้เวทมนตร์”

พูดแล้วผมก็เอาดาบยาวออกมา

แม้ไม่ได้ใช้อาบอัญเชิญ ดาบต้องสาปที่ฝังคริสตัลน้ำแข็งไว้ก็มีความสามารถในการแช่แข็งอีกฝ่ายได้อยู่ดี แม้ไม่อาจลดความเร็วได้ทันที แต่ทำให้การเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายช้าลงได้ก็ไม่เลวแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น…

ล้อเล่นรึเปล่า อีกฝ่ายเป็นแค่คนเลเวล 5 กับ 6 ส่วนผมเลเวล 18 แล้ว

แม้ว่าฟันมั่วๆ ก็คงไม่ทำลายการป้องกันหรอก?

“น่าสนใจนี่”

“โปรดชี้แนะ”

ทั้งสองลุกขึ้นมาจากโต๊ะอย่างรวดเร็ว แล้วพลิกตัวพุ่งมาทางผม

ผมว่า คนรอบๆ คงเห็นเหตุการณ์แบบนี้ล่ะมั้ง?

นอกจากลุงฮอลส์ พลเมืองต่างก็มีเลเวลประมาณ 1 และ 2 คงเห็นเลเวล 5 กับ 6 รวดเร็วมากสินะ?

แต่สำหรับผม พวกเธอช้าเกินไปรึเปล่า?

เมื่อเข้าสู่สถานะต่อสู้ ผมจะเพิ่มความเร็วที่ผมควรมีจนถึงขีดสุด เหตุการณ์รอบตัวก็ฉายอย่างช้าๆ เหมือนกับในภาพยนตร์

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเข้าสู่สถานะต่อสู้หลังจากเลเวล 18 ก่อนหน้านี้มักเลเวลเพิ่มทีละเลเวล แต่ตอนนี้กลับเพิ่มทีเดียว 5 เลเวล ความแข็งแกร่งทั่วทั้งร่างจึงเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น การรับรู้ก็เพิ่มขึ้นอีกระดับไปพร้อมกัน

เลเวลอัพนี่มันเท่ระเบิดไปเลยนะ!

การเคลื่อนไหวขณะพลิกตัวกลางอากาศของทั้งสองช้าจนผมไม่รู้จะทำยังไง

ทำยังไงดี? ล้มสองคนนี้แบบนี้เลยไหม?

ไม่ได้หรอก? ยังไงสองคนนี้ก็เป็นเพื่อนสนิทของญาริน

แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้สองคนนี้ฟันบนตัวผมสิ ผมไม่อยากเป็นเหมือนจูนิเบียวในอนิเมะบางเรื่องที่ให้คนอื่นฟันเพื่อโชว์ความเร็วในการเพิ่มเลือดของตัวเองหรอกนะ

เพิ่มเลือดก็ต้องใช้เงินนี่ แม้จะมีเวทเพิ่มเลือด แต่ของอย่างเวทสายแสงเอามาใช้ไม่ได้อย่างเห็นได้ชัด ผมไม่ได้อยากเสียยาเพิ่มเลือดของผมนี่

แต่ต้องทำยังไงถึงทำให้พวกเธอล้มเลิกการโจมตีผมได้?

ใช่แล้ว ทำให้อาวุธทั้งหมดพังก็พอแล้ว?

ยังไงความเร็วของพวกเธอก็ช้ากว่าผม งั้นพวกความเฉื่อยก็ยังมีประโยชน์สิ!

คิดแบบนี้ผมก็แกว่งดาบตรงไปฟันดาบอัศวินของพวกเธอเป็นสองท่อน!

เพล้ง!

เสียงแตกเป็นชิ้นดังออกมาจากบนอาวุธของพวกเธอ ตามด้วยดาบอัศวินสองเล่มที่แตกสลายอย่างช้าๆ

ออกจากสถานะต่อสู้ ทั้งสองก็มองเหม่อไปที่อาวุธในมือของตัวเอง

“แพ้แล้ว?”

“อาวุธถูกทำลายแล้ว”

“แข็งแกร่งมาก”

“เจ้าเป็นนักเวทจริงๆ เหรอ?”

“ทำไมเจ้าถึงไม่มาเป็นอัศวิน?”

ทั้งคู่พูดไปด้วยพลางเข้ามาใกล้ผม

“ดาบที่ประหลาดนัก”

“ไม่เคยเห็นมาก่อน”

“พวกเรายอมรับว่าเจ้าแข็งแกร่ง”

“การเลือกของญารินไม่ผิดอย่างที่คิด”

“แนะนำวิชาดาบให้พวกเราได้ไหม?”

“พวกเราก็อยากเป็นอัศวินที่แข็งแกร่งขึ้น”

ทั้งคู่บีบให้ผมถอยหลังไม่หยุด รู้สึกเหมือนจะชนกำแพงที่อยู่ข้างหลังแล้ว

ผมอยากส่งสายตาขอความช่วยเหลือให้ญาริน อีกฝ่ายกลับแสดงท่าทีจนใจ

ดูท่าเธอก็คงจนปัญญากับสองคนนี้เหมือนกันมั้ง?

แต่ว่า…

ทำไมผมเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่างแตก?

เพล้ง!

เสียงแตกดังขึ้นอีกครั้ง ชุดเกราะบนตัวของเด็กสาวทั้งสองก็แตกเป็นเสี่ยง!

ผมไม่ได้โจมตีชุดเกราะ ทำไมถึง…

ยิ่งไปกว่านั้น…

ท่อนล่างเกราะของเด็กสาวยังไม่ใส่อะไรเลย นอกจากผ้ารัดอกแล้ว ก็ไม่มีอย่างอื่นอีก!

เด็กสาวทั้งสองยืนโป๊อยู่ตรงหน้าผมแบบนั้น!

และที่ยิ่งกว่าก็คือ ชุดเกราะส่วนหนึ่งกลับไม่ได้ตกลงมา ทั้งยังแขวนอยู่บนตัวของพวกเธอ!

มันยิ่งเพิ่มความเย้ายวนเข้าไปอีก บ้าเอ๊ย!

“ทะลวงไส้!” x2

จู่ๆ ก็เจ็บ ตรงหน้าของผมดำมืด แล้วสลบไป

ยามเย็น

ขอบฟ้ามองเห็นเพียงแสงระเรื่อยามพระอาทิตย์ตกดิน คาบเรียนในสถาบันก็สิ้นสุดลง

เหล่านักเรียนทยอยกันออกจากสถาบัน กลับไปยังที่พักด้านนอกของตัวเอง

“ถึงยังไม่เข้าใจว่าทำไมการควบคุมธาตุแสงของเจ้าถึงดีขนาดนี้ แต่คืนนี้ข้ายังมีธุระ ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาต่อกัน”

และก็จนกระทั่งตอนนี้ยูบริลถึงยอมปล่อยผมไป

ได้รับการทรมานจิตใจจากยัยนี่ที่สนามต่อสู้ตลอดทั้งบ่ายช่างเจ็บปวดจริงๆ แต่อีกฝ่ายก็สอนเวทแสงให้ผมแล้ว ถ้าผมบ่ายเบี่ยงก็คงไม่ดีนี่

“ถึงพรุ่งนี้จะต่อก็ไม่มีประโยชน์ล่ะมั้ง? ตัวผมเองก็ไม่รู้ คุณถามผมแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์”

“อย่างไรซะข้าก็ไม่รีบร้อน การฝึกฝนเวทมนตร์สายแสงไม่ใช่เรื่องที่ใช้ระยะเวลาสั้นๆ”

“เอาล่ะ แต่ต่อไปคุณจะสอนเวทมนตร์สายแสงให้ผมเยอะขึ้นไหม?”

“…คือว่า ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน เอาล่ะ สายมากแล้ว ข้าไปก่อนล่ะ”

“อืม เจอกันพรุ่งนี้”

พูดจบอีกฝ่ายก็จากไปอย่างรวดเร็ว หลังจากหมุนตัวก็หายไปจากหลังอาคารแล้ว

แม้ไม่รู้ว่าเธอไปทำอะไร แต่ถ้าเป็นยูบริล ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คงเกี่ยวข้องกับโบสถ์ล่ะมั้ง?

ทว่าได้รับเวทมนตร์เพิ่มเลือดมาก็ไม่เลวแล้ว คราวหน้าค่อยหาทางเพิ่มเลเวลแล้วกัน แบบนี้ค่อยมีส่วนช่วยในการต่อสู้มากหน่อย

โบราณกล่าวไว้ว่า ใครให้ประโยชน์ก็อาศัยผู้นั้น

แต่ตอนนี้รีบกลับไปงีบที่ที่พักเร็วหน่อยดีกว่า เดิมทีการฝึกฝนตลอดหนึ่งสัปดาห์ก็เหนื่อยพอแล้ว กลับมายังต้องเจอกับเรื่องแปลกๆ อีก

ทว่าก่อนอื่นไปกินอะไรหน่อยจะดีกว่า กินของว่างชั้นสูงตอนอยู่ในป่าจนเอียนแล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าในแหวนของฮีลเก็บของแบบนั้นไว้มากแค่ไหนกันแน่

แต่ฝั่งองค์หญิงแอนก็ไม่ได้ดีกว่ากันเท่าไหร่ สิ่งที่พกมาต่างก็เป็นขนมและเนื้อสัตว์ สุดท้ายจึงได้กินปิ้งย่างมาหลายวันจนเอียนแล้วเช่นกัน

ความรู้สึกในตอนนี้คือถ้าใครชวนผมไปกินปิ้งย่างหรือของหวาน ผมจะสู้ตายกับเขาแน่

เข้าสู่ย่านธุรกิจ บนท้องถนนตอนนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศอันคึกครื้น

ตอนนี้เป็นเวลาอาหารเย็นพอดี ยิ่งกว่านั้นคาบเรียนของสถาบันก็สิ้นสุดแล้ว นักเรียนที่เดินไปมาบนถนนจึงค่อนข้างมาก

พนักงานพาร์ทไทม์ในร้านค้าบางแห่งก็เป็นนักเรียนของสถาบัน ยังไงซะนักเรียนสามัญชนในสถาบันนี้ก็มากกว่าชนชั้นสูงไม่น้อย

วันนี้กินอะไรดีนะ? ไม่อยากแตะพวกปิ้งย่างอะไรเลย ถึงราเมงจะดูไม่เลวแต่เกี๊ยวทอดร้านตรงหัวมุมก็ไม่ได้กินนานแล้วเหมือนกัน

อืม กินเกี๊ยวทอดแล้วกัน

“เถ้าแก่ เอาแบบเดิมครับ”

“โอ้ นี่มันฟีลนี่? วันนี้คิดยังไงถึงมาล่ะ?”

เจ้าของร้านของที่นี่เป็นลุงวัยกลางคน ชื่อว่า ‘ฮอลส์’ ได้ยินว่าเขาเคยเป็นอัศวินกลุ่มทหารรับจ้าง แต่เพราะได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงถอนตัวออกจากวงการ

ทว่าตอนที่เป็นทหารรับจ้างเขาเคยไปที่แผ่นดินใหญ่ฝั่งตะวันออก เป็นสถานที่ที่ต้องเดินเรือสามเดือนกว่าจะถึง และได้ศึกษาการทำอาหารมาไม่น้อย

หนึ่งในนั้นคือเมนูเกี๊ยวทอดที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด

ตอนผมสร้างดาบยาวเมื่อก่อนหน้านี้ก็ได้ยินข่าวคราวของแผ่นดินใหญ่ทางตะวันออกมาแล้ว ดูท่าโครงสร้างของทางนั้นคงคล้ายกับทวีปเอเชียในโลกของผมล่ะมั้ง

ทว่าสถานที่แบบนั้นเป็นพื้นที่อันตรายอย่างเห็นได้ชัด รอให้เลเวลสูงค่อยไปดีกว่า

“ฝึกฝนครับฝึกฝน วันนี้เพิ่งสิ้นสุดนี่นา?”

“อ้อ เจ้าไปเข้าร่วมการฝึกฝนด้วย มิน่าถึงไม่เห็นตั้งนาน แต่พวกเจ้าเพิ่งกลับมาผู้เยี่ยมชมจากสถาบันอื่นก็มาถึงพอดี คราวนี้สถาบันคงคึกคักแน่”

“มันเป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอครับ? แบบนั้นกิจการของคุณจะได้ดีขึ้นอีก?”

“ฮ่าฮ่า หวังว่าจะเป็นแบบนั้นนะ ว่าไปแล้วก็มีลูกค้าวัยรุ่นสวมชุดเกราะหลายคน คงเป็นคนจากสถาบันอื่นมั้ง”

“เอ๋ มันก็เป็นธุรกิจนี่”

“จะว่าไป…เจ้ารู้จักอัศวินผมยาวสีแดงไหม?”

“อัศวินผมยาวสีแดง?”

ย้อนคิดกลับไป ผมของยูบริลไม่ใช่สีแดง ดูอัลก็ไม่ใช่ อาร์ย่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง

ถ้าคนอื่นล่ะก็…เหมือนจะไม่มีแฮะ ถึงแม้เหมือนจะมีภาพจำกับผมสีแดงอยู่บ้าง แต่ก็นึกไม่ออก

เดี๋ยวก่อน…

หรือว่าคือคนนั้น?

“อัศวินผมยาวสีแดงหรือว่าจะเป็นเด็กสาวที่สูงราวๆ 165 ถือดาบอัศวินสีคราม? แล้วก็…สวมหน้ากากใช่ไหม?”

“เป็นเจ้าอย่างที่คิด ฟีล”

เสียงคุ้นเคยดังมาจากข้างหลัง หมุนตัวไปมอง คนที่ยืนอยู่ข้างหลังผม…

คือญาริน!

อัศวินสาวที่พบในอาณาจักรเชอร์ฟาแล้วยังถูกแต่งตั้งเป็นคู่หมั้นของผม

ไม่เจอกันสองเดือน แม้ว่าจะสวมหน้ากาก แต่ผมยังมองเห็นความเปลี่ยนแปลงได้จากในสายตาของเธอ

เด็กสาวร่าเริงที่พบกันก่อนหน้านั้น สายตาในตอนนี้เผยความอ่อนล้าและเศร้าโศก

“ทำไมเจ้าต้องจากไปด้วย!”

ญารินกอดผมทันที น้ำตาไหลลงมาไม่หยุด

ผมตกตะลึงกับการกระทำที่กะทันหันนี้ ถึงแม้ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร แต่สถานการณ์แบบนี้ปิดปากเงียบไว้คงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด

“ปู่ของข้าไม่รู้อยู่ไหน ในบ้านเหลือแค่พ่อคนเดียว ความแข็งแกร่งของตระกูลเราจึงลดลงไม่น้อย ตระกูลอื่นก็หาจังหวะจะกดขี่พวกเรา ข้า…ตอนนี้ข้าเหลือเพียงแค่ชื่อว่าอัศวิน แต่กลับไม่อาจถือดาบต่อสู้ได้เลย…”

ร่างกายของเด็กสาวสั่นไม่หยุด

บางทีผมคงไม่อาจเข้าใจประสบการณ์ของเธอ แต่ความรู้สึกในใจเธอผมกลับสัมผัสได้

สองเดือนนี้ สำหรับเธอแล้วมันเป็นยังไงบ้าง?

จากเลเวลของเธอที่เพิ่มจากสามเป็นเจ็ดทันที ผมก็สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดจากประสบการณ์ที่เธอไม่เคยได้รับมาก่อน

แม้ว่าตอนนี้ผมเป็นผู้ถูกประกาศจับ

แม้ว่าผมยังไม่อยากเผชิญหน้ากับอาณาจักร

แต่ว่า ถ้าตอนนี้มีเด็กสาวกำลังร้องไห้ต่อหน้าคุณ คุณจะกล้าไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นใครงั้นเหรอ ยังเป็นคนอยู่ไหม?

“ขอโทษ”

ผมกอดเธอช้าๆ

“ฉัน…”

ยังไม่ทันได้พูดออกมา จู่ๆ อีกฝ่ายก็เงยหน้าจูบไปที่ริมฝีปากของผม

ผมยังไม่ทันได้ตอบสนอง อีกฝ่ายก็เลิกจูบ แล้วสวมหน้ากากกลับไปอย่างรวดเร็ว

“ต่อไป อย่าไปจากข้าอีกนะ…ได้ไหม?”

“อืม…”

สมองผมขาวโพลน ตอบกลับโดยอัตโนมัติ

มะ…เมื่อกี้เธอจูบผมเหรอ?

แล้วยังเป็นปากต่อปาก?

ผม…จูบแรกของผม…จู่ๆ ก็ถูกขโมยไป?

กลิ่นที่หลงเหลืออยู่ที่ริมฝีปากบอกผมว่าทุกอย่างเมื่อกี้ไม่ใช่ภาพลวงตา เมื่อกี้ญารินจูบผมจริงๆ

“นี่คือจูบแรกของข้า เพราะงั้น…โปรดทะนุถนอมด้วย”

แน่นอนอยู่แล้ว!

แต่ว่า…สายตาของคนรอบด้านทำไมถึงดูประหลาดขนาดนี้

ดวงตาของลุงฮอลส์เบิกกว้างเพราะความตกตะลึงไม่พอ นักเรียนโต๊ะถัดไปกินเกี๊ยวไปได้ครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งค่อยๆ ร่วงลงมาจากปาก

แล้วยังมีเด็กสาวสองคนที่สวมชุดเกราะเหมือนกับญาริน…เอาล่ะ พวกเธอแสดงละครเปลี่ยนหน้าเหรอ? หน้าบิดเบี้ยวไปหมดแล้วนะ?

“ญะ…ญารินถอดหน้ากาก?”

“แล้วยังจูบคนอื่น…”

“แถมยังเป็นผู้ชายอีก…”

“น่ากลัวจัง…”

“ใช่แล้ว”

ตอนนี้คนที่ควรตกตะลึงที่สุดควรเป็นผมสิ? ผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย

“คือว่า…สรุปแล้ว พวกเรา…ไปกินมื้อเย็นก่อนเถอะ”

ผมเสนอไป

ถ้าผมเกิดใหม่ใน RPG? (So What if it’s an RPG World !?)

ถ้าผมเกิดใหม่ใน RPG? (So What if it’s an RPG World !?)

Status: Ongoing

ผมตื่นขึ้นมาหน้าหมู่บ้านแปลกๆ แห่งหนึ่ง ผมลองคิดว่าก่อนหน้านี้ผมทำอะไรมาถึงมาอยู่ที่นี่ แต่ผมกลับนึกอะไรไม่ออก นอกจากชื่อของผม “หลิน ฟีล”

ผมเดินเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อขอความช่วยเหลือ กลับพบว่าทุกคนในหมู่บ้านมีชื่อและหลอด HP ลอยอยู่เหนือศีรษะ

เอ๊ะ…ทำไมมันเหมือนเกม RPG จัง หรือว่า…ผมจะหลุดเข้ามาในเกม RPG?!

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท