ถ้าผมเกิดใหม่ใน RPG? (So What if it’s an RPG World !?) – ตอนที่ 6

ตอนที่ 6

พูดถึงฉายาที่ผมไม่อาจทนดูได้ ตัวการที่ทำให้เกิดมันขึ้นคือยัยคนที่อยู่ตรงหน้านี่

ทำลายบ้านของหมู่บ้านฝึกหัดในท่าเดียว จากนั้นความผิดทั้งหมดก็ตกอยู่ที่ผม เหมือนเป็นมือโปรการขายเพื่อนร่วมทีมมา 30 ปีเลย

ดูเหมือนยัยนี่ก็เลเวลเพิ่มไปไม่น้อย

อาร์ย่า เลเวล 14 นักดาบเพลิงคู่ ชั่วร้าย ถ่อมตน ผู้ทำลายบ้านเมือง one hit kill หัวหน้าทีมที่ 27 แห่งโรงเรียนทหารโทโก้

ความสัมพันธ์ : เป็นมิตร

“จะว่าไปฉายาพวกนั้นของนายมันเกิดอะไรขึ้น? เละตุ้มเป๊ะเหรอ?”

“เธอยังมีหน้ามาพูดอีก บางอันในนั้นนี่ต้องขอบคุณเธอเลย”

“งั้นยังไม่ขอบคุณฉันอีกล่ะ?”

“ขอบคุณน้องสาวเธอสิ!”

“นายสนใจน้องสาวฉันเหรอ?”

“ช่างมันเถอะ เธอคนเดียวก็น่ากลัวพอแล้ว ถ้ามาอีกคนโลกคงระเบิดแน่”

“อย่าพูดเหมือนฉันเป็นจอมมารสิ”

“เธอลองคิดเรื่องอาชีพนี้สิ”

“มีโอกาสค่อยว่ากัน”

“คือว่า…”

ยูบริลที่อยู่ข้างๆ ไม่รู้จะทำยังไงกับบทสนทนาของพวกเรา จึงใช้สายตาประหลาดมองพวกเรา

“ขอโทษ ขอโทษ ยูบริลจัง จริงๆ ก็มาหาเธอนี่แหละ แต่ดันมาเจอไอ้โง่นี่พอดี”

“ไม่เป็นไร…จะว่าไปพวกเจ้ารู้จักกันได้อย่างไร?”

“อ่า เคยพบกันครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้วน่ะ”

อาร์ย่าทำท่าทางให้ผมไปอยู่อีกด้านแล้วถาม

“ยูบริลจังจะกลับโรงเรียนทหารเมื่อไหร่ล่ะ?”

“คือว่า…”

ยูบริลขมวดคิ้วอย่างกระอักกระอ่วน

“ยูบริลเคยอยู่โรงเรียนทหารโทโก้เหรอ?”

“ใช่ ข้าเรียนรู้ระหว่างสองสถาบัน อย่างไรซะข้าก็คือพาลาดิน ใกล้เคียงกับเป็นอัศวินเวทนั่นแหละ”

“อย่างนี้นี่เอง ใช่แล้ว ในเมื่อเจอกันแล้ว ตอนเย็นพวกเราไปเดินเล่นกันเถอะ!”

“คงไม่ได้”

ผมยักไหล่

“ตอนเย็นฉันต้องไปเตรียมตัวแข่งขันชั้นปี”

“เอ๋ นายก็ไปร่วมกิจกรรมแบบนั้นด้วยเหรอ?”

“ทุกคนระบุชื่อฉันให้เข้าร่วม ฉันมีทางเลือกที่ไหนล่ะ”

“แต่ว่า ตอนนี้สนามต่อสู้จริงน่าจะเปิดแล้วนะ เจ้าแน่ใจเหรอว่าจะยังไม่ไป?”

“แย่แล้ว!”

เมื่อยูบริลพูดแบบนี้ผมถึงสังเกตเห็นดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า สนามต่อสู้จริงเปิดนานแล้ว

บ้าเอ๊ย ผมปล่อยให้องค์หญิงรอนานแล้วใช่ไหม?

“ฉันไปก่อนล่ะ ไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”

พูดจบ ผมก็พุ่งออกจากห้องกิจกรรมไปราวกับลม วิ่งไปที่สนามต่อสู้จริง

มองจากที่ห่างไกลก็เห็นว่าคนยืนอยู่บนสนามต่อสู้จริงสองสามคน หนึ่งในนั้นมีแสงประกายเล็กน้อยบนตัว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านั่นต้องเป็นองค์หญิงสโนว์แน่

“ช้าเกินไปแล้ว! เจ้าไปทำอะไรมา!”

“ผมงีบหลับไปนิดหน่อย…”

“กลางวันแสกๆ ก็นอนหลับด้วย เจ้าคิดอะไรอยู่กัน! เดี๋ยวนะ ข้างหลังเจ้าคือใครกัน”

“ข้างหลัง?”

ผมหันกลับไปอย่างสงสัย กลับมองเห็นอาร์ย่าและยูบริลกำลังยืนอยู่ข้างหลังผม

“พวกเธอมาได้ยังไง?”

“ดูหน่อยคงไม่เป็นไรใช่ไหม?”

อาร์ย่าเบ้ปากแล้วพูด

“ยังไงซะการต่อสู้ของนักเวทก็เท่านั้นแหละ ถึงจะมาพร้อมกันสักสองสามคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทหารหรอก”

“เจ้าว่าอะไรนะ!”

สิ้นเสียงพูดอาร์ย่า วงเวทสีครามก็ปรากฏใต้เท้าของเธอ วินาทีต่อมา เกล็ดน้ำแข็งนับไม่ถ้วนก็ม้วนขึ้นมาราวกับพายุทอร์นาโด ปกคลุมทั่วทั้งตัวเธอ

“ฮึ่ม ลอบโจมตีได้เร็วดีนี่”

เงาร่างของอาร์ย่าปรากฏจากอีกด้าน แต่เธอไม่ได้มีท่าทางผ่อนคลาย เพราะบนมือของเธอปกคลุมด้วยเกล็ดน้ำแข็ง

ประกายแสงสีแดงสว่างวาบ เกล็ดน้ำแข็งบนแขนเธอก็หลุดออก จากนั้นเธอก็ชักดาบคู่ของตัวเองออกมา

“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันขอสู้กับพวกเธอหน่อยเป็นไง?”

“ถูกใจข้าพอดีเลย!”

ไม้เท้าคริสตัลสูงกว่าตัวองค์หญิงสโนว์ปรากฏอยู่ในมือเธอ แล้วชี้ไปทางอาร์ย่า

ทำไมมองเห็นเด็กสาวที่สูงไม่ถึงไหล่ผมสองคนเล็งอาวุธใส่กันแล้วมีความสุขจังล่ะ?

สองคนนี้…

เป็นเด็กน้อยอย่างที่คิดเลย!

หลังอีกฝ่ายได้ยินคำถามของผมก็นิ่งเงียบไปสักพัก ก็เข้าใจได้ ยังไงซะคำถามแบบนี้ก็พัวพันไปถึงสถานการณ์การเมืองของอาณาจักรพวกเขาไม่มากก็น้อย เปิดเผยให้คนนอกอย่างผม ดูยังไงก็คงไม่ดีเท่าไหร่

“ถ้าไม่สะดวกก็…”

“ไม่ ข้าเองก็อยากชนะ พูดแบบนี้เจ้าเข้าใจรึยัง?”

“…”

แววตาขององค์หญิงสโนว์เต็มไปด้วยความแน่วแน่ ไม่รู้ว่าทำไม ผมเหมือนกับรู้สึกถึงกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวของเธอ อาจเป็นพลังของราชวงศ์ล่ะมั้ง

ผมยิ้มๆ

“ผมเข้าใจแล้ว พอหาเวลายืนยันวิธีการสู้ของคุณได้ พวกเราค่อยมาตั้งกลยุทธ์การต่อสู้แล้วกัน”

ไม่รู้ว่าประสบการณ์ในตำแหน่งที่สะสมมาตอนเล่นเกมจะใช้ได้รึเปล่า ถึงที่นี่จะเป็นโลกของ RPG แต่ว่า ประสบการณ์เมื่อก่อนจะใช้ได้ในความสมจริงสูงขนาดนี้หรือไม่ก็ยังคงเป็นปัญหา

“งั้นเริ่มเย็นวันนี้เลย!”

องค์หญิงสโนว์พูดทันที

“เย็นวันนี้…”

นัดฮีลไว้แล้วน่ะสิ…

“ข้าจะบอกฮีลเอง วางใจเถอะ”

อาจารย์แมรี่พูดขึ้นทันที

“…ก็ได้ งั้นวานด้วยนะครับ พวกเราเจอกันค่ำหน่อยแล้วกัน องค์หญิงสโนว์”

ผมแสดงความเคารพแบบผู้วิเศษให้พวกเธอ แล้วสาวเท้าออกไปจากห้องทำงาน

“การแข่งขันชั้นปี? มาถึงช่วงกอบโกยอีกแล้วสิ”

ผมเพิ่งพูดถึงเรื่องการแข่งขันชั้นปีจบ ลาน่าก็ร้องขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

“พอได้แล้ว! ใช้วัตถุอันตรายพวกนั้นของเธอจะไม่ผิดกฎเหรอ?”

“ไม่สิ ทุกคนพกอุปกรณ์เวทมนตร์ติดตัวทุกครั้งที่ต่อสู้กันทั้งนั้นแหละ ฮ่าๆๆ ข้าไปเตรียมวัตถุดิบก่อนล่ะ”

พูดจบ ลาน่าก็วิ่งออกไปจากห้องกิจกรรมราวกับลมพัด ปิดประตูดังปัง

ผลคือ ในห้องจึงเหลือแค่ผมกับยูบริลที่กำลังอ่านหนังสือ

ยังไงซะ ที่นี่ก็เป็นชมรมพักกลางวันที่สร้างขึ้นโดยสามผู้แข็งแกร่งที่สุดในสถาบัน ใช่แล้ว มันชื่อว่าชมรมพักกลางวัน เพราะปกติแล้วพวกเธอมักพักผ่อนในห้องกิจกรรม มันเป็นกิจกรรมที่เป็นเอกลักษณ์และหนึ่งเดียวของที่นี่

แน่นอนว่าคนในสถาบันชอบเรียกชมรมนี้ว่า “ชมรมผู้แข็งแกร่งตลาดล่าง” ซึ่งดูจะเหมาะสมกว่า

“การแข่งขันในสถาบันไม่มีอะไรหรอก แต่ว่า ถ้าเรื่องแบบนี้รวมกับผลประโยชน์เมื่อไหร่ ก็จะหมดความหมาย”

ยูบริลพูดโดยไม่เงยหน้า เธอคงหมายถึงเรื่องที่ผมบอกว่าต้องอยู่ทีมเดียวกับองค์หญิงสโนว์

“ช่วยไม่ได้นี่ มันเป็นความจริง จะว่าไปเมื่อก่อนรุ่นพี่แซงต์เคยเข้าร่วมการแข่งชั้นปีมาก่อนไหม?”

“ไม่เคย เพราะข้ามาที่สถาบันนี้ไม่ถึงหนึ่งปี”

“ไม่ถึงปี?”

“ใช่ อย่างที่เจ้าเห็น ข้าเป็นพาลาดิน ส่วนที่นี่คือสถาบันเวทมนตร์ ข้ามาที่นี่เพื่อหาความรู้ด้านเวทมนตร์เท่านั้น ไม่ใช่เพื่อเรียนเวทมนตร์ ข้าสังกัดกับโบสถ์แห่งแสงไรท์ ไม่ใช่สถาบันใด ยิ่งกว่านั้นข้าก็ไม่มีชั้นเรียน จึงไม่อาจเข้าร่วมได้”

“งั้นก็ไม่เลวจริงๆ ถ้ารุ่นพี่แซงต์เข้าร่วม คนอื่นคงไม่ได้ชนะแน่”

“…ไม่ต้องเรียกรุ่นพี่แซงต์อะไรนั่นได้ไหม เรียนข้าว่ายูบริลเหมือนพวกลาน่าก็พอ รุ่นพี่แซงต์อะไรนั่น ฟังแล้วแปลกๆ น่ะ”

“ได้ รุ่นพี่ยูบริล”

“ส่วนสำคัญอยู่ที่ตัดคำว่ารุ่นพี่ออกไป!”

“รุ่นพี่คลุ้มคลั่งอีกแล้ว”

“ไอ้นี่…”

อีกฝ่ายส่ายหน้าไปพลางละสายตากลับไปที่หนังสือ นับเป็นการเมินผม

แต่ผมก็ยอมแพ้เรื่องการแขวะ เทียบกับคนอื่นแล้ว ยูบริลนับว่าเป็นคนที่ค่อนข้างไร้ชีวิตชีวา มีกฎเกณฑ์ในการใช้ชีวิตทุกวันและยากที่จะเล่นตลกกับเธอได้ เหมือนกับการแขวะกันแบบตอนนี้ที่ค่อยๆ ขัดเกลาออกมา แต่ถ้าเกินเลยไปเธอก็จะโมโห

ยิ่งไปกว่านั้นถึงแม้ว่ายัยนี่จะแข็งทื่อมาตลอด ทว่า…

เธอกลับโกรธง่ายกว่าปกติ ถ้าอีกฝ่ายเข้าสู่สภาพแบบนี้จริงๆ แค่พูดว่า ‘คุณทำแบบนี้เป็นการฝ่าฝืนเจตจำนงของเทพเจ้านะ’ อีกฝ่ายก็จะสงบลงมาทันที

ถึงแม้ไม่อยากยอมรับ แต่ผมอยากพูดว่า ‘เทพเจ้า นามของคุณมีประโยชน์มากจริงๆ’ ผมจะใช้นามของคุณเล่นให้ถึงที่สุดแน่นอน

ยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าสนามต่อสู้จริงจะเปิด ก่อนหน้านั้นก็พักอยู่ในห้องกิจกรรมสักพักแล้วกัน

ผมเปิดแถบสกิล กดไปที่สกิลทำสมาธิ

ทำสมาธิ : เร่งการฟื้นฟูค่า HP และ MP หากโดนโจมตีจะถูกขัด ผลเพิ่มเติม ทุกครั้งที่ทำสมาธิต่อเนื่องหนึ่งชั่วโมงจะเพิ่มค่า MP สูงสุด 2 หน่วย

ตอนนี้ผมไม่มีผลเพิ่มเติมของอาชีพนักเวท จึงทำได้เพียงอาศัยวิธีเพิ่มขีดจำกัดมานาของผมเอง ไม่งั้นใช้ไปกี่เวทผมก็คงว่างเปล่าทันที

คุณคิดว่าอาศัยความตั้งใจก็ใช้เวทมนตร์ได้เหรอ? ผมไม่ใช่ผู้ชายพกสว่านนะ

ดังนั้น ผมจึงหลับตาลง เริ่มทำสมาธิ อันที่จริงสำหรับผมแล้วก็คือการนอนหลับ ยังไงซะสกิลก็ใช้งานโดยอัตโนมัติ ตัวผมเองจะทำอะไรก็ไม่เกี่ยว นี่ก็ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบของผม

“เอ๊ะ? ทำไมนายมาอยู่ที่นี่?”

“ยังหลับอยู่อีก? ล้อกันเล่นรึเปล่า ยังไงนายก็เป็นแค่คนโง่…”

“ดูเหมือนจะปลุกนายด้วยวิธีทั่วไปไม่ได้สินะ ช่วยไม่ได้…”

จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ทว่า เวลายังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ออกตอนนี้ค่า MP ก็ไม่เพิ่มสิ

เพี๊ยะ

การทำสมาธิของผมถูกขัดอย่างฉับพลัน ในขณะเดียวกันใบหน้าก็ปวดแสบปวดร้อน

“เธอบ้าไปแล้วเหรอ! ฉันกำลังทำสมาธิอยู่!”

ผมตะคอกใส่คนตรงหน้า

“ข้าห้ามแล้ว ทว่า…ช่วยไม่ได้ นางบอกว่าหยุดการทำสมาธิของเจ้าก็ไม่เป็นไร”

ยูบริลที่อยู่ด้านข้างพูดขอโทษ

“ไม่เป็นไรได้ยังไงล่ะ หนึ่งชั่วโมงของฉัน…”

เอ๋? ยูบริลอยู่ข้างๆ แล้วคนตรงหน้าคือใครล่ะ?

ผมหันศีรษะไปมอง สิ่งที่ดึงดูดสายตาคือเส้นผมสีขาวที่ถูกแสงอาทิตย์ตกส่องสว่าง

รวมถึงผมทวินเทลที่คุ้นเคย

“อา…อาร์ย่า?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูเหมือนนายยังจำฉันได้นะ”

คนที่ปรากฏตัวตรงหน้าผมตอนนี้ นึกไม่ว่าจะเป็นอีกคนหนึ่งที่เคยพบกันในหมู่บ้านฝึกหัด นักดาบเพลิงคู่ อาร์ย่า!

ตอนเช้าตรู่ ประตูห้องผมก็ถูกพังอีกครั้ง

ใช่แล้ว คนที่พังประตูเป็นเด็กสาว น่าเสียดายที่เมื่อเกิดเรื่องแบบนี้ ตัวเอกจะลำบากแน่นอน และตัวเอกตอนนี้ก็คือผม

“อรุณสวัสดิ์? เอ๋ ตื่นแล้วเหรอ?”

แถมยังไม่เคาะประตูอีก ผมจะเก็บค่าซ่อมประตูนี้กับใครดีล่ะ

“ใช่ ต้องขอบคุณนาฬิกาปลุกประหลาดของเธอ”

ผมจัดแจงชุดนักเรียนแล้วตอบไปด้วย ทว่า ลาน่าดูไม่พอใจที่แกล้งผมไม่สำเร็จ หลังจากโยนอาหารไว้บนเตียงผม ก็ยื่นมือมาทางผม

“จ่ายเงินมา! สองเท่า!”

“เฮ้ยๆ ทำธุรกิจก็ไม่ควรทำแบบนี้สิ! แล้วเธอก็เป็นคนขายนาฬิกาปลุกให้ฉันแท้ๆ…”

“ข้าก็แค่ไม่พอใจ! ถึงแม้ความคิดของเจ้าจะไม่เลว จนทำให้ข้าได้กำไรไม่น้อย แต่ว่า! สำหรับข้าแล้ว การกลั่นแกล้งคนอื่นเป็นเรื่องสำคัญที่สุด!”

“อยากแกล้งก็อย่ามาแกล้งฉันสิ โธ่เอ๊ย เอ๊ะ? นี่เธอแต่งตัวอะไรเนี่ย?”

ลาน่าในวันนี้ต่างไปจากปกติ สวมเครื่องแบบ…แต่ว่าเครื่องแต่งกายดูเหมือนมีอะไรเกินมาหน่อย

เสื้อคลุมยาวสีขาวของสถาบันเล่นแร่แปรธาตุ แต่แขน เอว หลัง แล้วก็ต้นขากลับผูกกระเป๋าหนังขนาดประมาณหนังสือหลายเล่มไว้

“ช่วยไม่ได้นี่นา วันนี้ข้าต้องขายของเยอะ”

ขณะพูดเช่นนี้ ลาน่ายังเปิดกระเป๋า หยิบเอาของที่คล้ายปากกาออกมา

“ไม้คทาระเบิดน้ำแข็ง สะสมพลัง 5 วินาที จากนั้น…”

“รอเดี๋ยว! เธอหมายความว่ามันเป็นเวทระเบิดน้ำแข็งขั้นสูงที่สามารถแช่แข็งสิ่งของทุกอย่างในระยะหนึ่งร้อยเมตรได้งั้นเหรอ? แล้วเธอเอาของแบบนี้เข้ามาในห้องฉันเนี่ยนะ? อย่าทำเป็นเล่นสิ!”

“หน่าๆ ไม่เป็นไรๆ”

ลาน่าเก็บวัตถุอันตรายชิ้นนั้นกลับไปในกระเป๋าด้วยสีหน้าสบายใจ

“ถ้าต้องการมันก็บอกข้านะ”

“เธอห่วงตัวเองหน่อยเถอะ ถ้าถูกผู้ดูแลจับได้ว่าเธอขายของพวกนี้ คงไม่ใช่ง่ายๆ แค่ถูกคุมขังแน่”

“รู้แล้วน่า”

พูดจบ ยัยนี่ก็วิ่งหายวับออกไปจากห้องของผม แม้แต่ประตูก็ยังไม่ปิด…ช่างเถอะ ถึงปิดก็ไม่มีประโยชน์ ยังไงกลอนประตูก็พังไปแล้วนี่

“บ้าเอ๊ย วันหลังต้องร่ายเวทป้องกันไว้บนกลอนประตูซะแล้ว ไม่งั้นเงินของฉันคงต้องเสียไปกับการซ่อมกลอนแน่”

จัดแจงชุดบนตัวเรียบร้อย จากนั้นก็โยนหนังสือของวันนี้เข้าไปในกระเป๋านักเรียน ผมที่ถืออาหารเช้าเอาไว้ ก็เริ่มเดินไปทางอาคารเรียน

ใช่แล้ว ทำไมตอนนี้ผมถึงอยู่ในสถานะนักเรียนน่ะเหรอ ก็ต้องเริ่มเล่าจากเมื่อหนึ่งเดือนก่อนที่ถูกพวกลาน่าพามาที่สถาบัน

ทว่า เรื่องที่ต้องอธิบายเป็นอย่างแรกคงจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากวันที่ผมเข้าห้องสมุด…

หนึ่งเดือนก่อน

อนุภาคสีเทาค่อยๆ รวมตัวกันอีกครั้ง ขณะนี้ผมจึงพบว่าที่แท้ห้องเรียนไม่มีประตู มันจะเปิดและปิดอัตโนมัติเมื่อต้องเข้าออก

และมีเพียงเจ้าของห้องที่สามารถกำหนดคนที่จะเข้าออกห้องได้

แน่นอนว่าตอนนี้มีเพียงฟาลันที่เป็นนักเรียนของสถาบัน ดังนั้น คนควบคุมห้องจึงต้องเป็นเธอ

“ตกลงเจ้ารู้เรื่องของข้ามากน้อยแค่ไหน?”

ฟาลันลากเก้าอี้ออกมาจากข้างโต๊ะ แล้วนั่งลงทันที

ขณะเดียวกันก็ผุดหมอกสีดำที่ดูเหมือนระเหยออกมาจากใบหน้าและเส้นผม หน้าตาของเธอก็เกิดความเปลี่ยนแปลง

ผมสีดำ ดวงตาสีแดง แถมเสื้อคลุมสีดำก็ลอยขึ้นอัตโนมัติ ดูยังไงก็เหมือนกับลักษณะของบทตัวร้าย…ไม่สิ ตามเนื้อเรื่องแล้ว ยัยนี่ควรจะกลายเป็นตัวร้ายจริงๆ เพียงแต่เธอมีความแปรปรวนสูงเกินไป จึงเป็นแค่สมาชิกในทีมเท่านั้น

“ผู้ส่งมอบความตาย นักฆ่านับหมื่น ผู้ถูกประกาศจับ นักเรียนสถาบันเวทมนตร์เกรย์ หนึ่งในสามผู้แข็งแกร่งที่สุดของสถาบัน เคห์ลานี เรดลีฟ”

“หึ รู้ละเอียดดีนี่…”

เธอยิ้มๆ ดูค่อนข้างพอใจต่อคำตอบของผม

ถ้าเธอรู้ว่าผมแค่อ่านฉายาข้างๆ ชื่อของเธอออกมาเท่านั้น เธอจะคิดยังไงนะ?

“เธอนั่นแหละ…เธอคงเป็นอาชญากรที่เพิ่งโผล่ออกมาช่วงนี้ล่ะสิ? ไม่งั้นฉันคงรู้จักแล้ว ยังไงซะฉันก็รู้จักผู้ถูกประกาศจับที่อายุไล่เลี่ยกับฉันทั้งหมด”

“งั้นเหรอ…”

ผมพยักหน้า

ถ้าไม่พูดความจริงที่นี่คงลำบากแน่ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตอนนี้ข้อมูลของผมถูกประกาศออกไป แล้วยัยนี่ยังมีเวทตรวจจับคำโกหกอีก ถ้าไม่พูดความจริง คงโดนจับได้แน่

“ชื่อเดิมของฉันคือหลินฟีล อย่างที่ฉันบอก ฉันเป็นชาวอาณาจักรเชอร์ฟา แต่ว่า ฉันแค่หยิบของนิดหน่อยมาจากอาณาจักรเท่านั้น เอ่อ ของในท้องพระคลังน่ะ”

“อ้อ”

ไม่รู้ว่าลูกบอลสีดำเพิ่มขึ้นมาในมือของฟาลันตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่การเลี่ยงคำตอบโดยตรง ดูแล้วคงไม่ทำให้ลูกบอลในมือของเธอเกิดปฏิกิริยาอะไร

ขณะเดียวกัน เธอก็วางมือลงบนลูกบอลที่วางอยู่บนโต๊ะ แผ่นกระดานที่เหมือนกับหน้าจอหลายแผ่นก็ปรากฏออกมาล้อมรอบลูกบอลเอาไว้

สุดยอดไปเลย! มันคืออะไรน่ะ? เทคโนโลยีขั้นสูงเหรอ?

“…แต่ข้อมูลเงินรางวัลในกิลด์ดูไม่ธรรมดาขนาดนั้นนะ”

ฟาลันจับหน้าจอไว้แผ่นหนึ่ง แล้วโยนมาตรงหน้าผม

ฟีล หลิน

ถูกพระราชวงศ์เชอร์ฟาประกาศจับ เสนอรางวัลหนึ่งล้านเหรียญทอง โทษฐาน: สังหารขุนนางเคานต์คลอส วู้ดและไวส์เคานต์เอส วู้ดแห่งอาณาจักร ขโมยทรัพย์สินของอาณาจักร

ข้างล่างยังมีภาพจำลองใบหนึ่ง…หืม ผมต้องขอบคุณจิตรกรคนนี้ซะแล้ว เพราะรูปใบนี้ต่างกับหน้าตาของผมราวฟ้ากับดินเลย

ทว่า ข้อหานั้นเป็นการใส่ร้ายกันจริงๆ มิน่าฉายาแพะรับบาปถึงอัพไปหลายเลเวลอย่างต่อเนื่อง! ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้เองเหรอ?

“เธอคงรู้ว่าฉันไม่ได้โกหก ฉันไม่ฆ่าใครแน่”

“อืม ก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่แปลกใจเลยที่เจ้าใช้เงินตามอำเภอใจแบบนี้ ที่แท้ก็ขโมยจากท้องพระคลังของอาณาจักรนี่เอง”

“นอกจากนี้จะมีวิธีไหนหาเงินได้เร็วกว่าอีกล่ะ?”

“สังหารหมู่ไง?”

“การฆ่าคนวุ่นวายมาก ฉันชอบเป็นพวกแอบดูมากกว่า”

“ฮะ? แหม ช่างเถอะ แบบนั้นก็ไม่เลว ข้าว่าขอเพียงเจ้าเต็มใจจ่ายเงิน ถ้าต้องการได้รับคุณสมบัติเป็นนักเรียนของสถาบันเวทมนตร์ก็คงไม่มีปัญหา”

“ฉันสงสัยมากว่าเธอเข้ามาได้ยังไง”

“ข้าข่มขู่ผู้รับผิดชอบ แล้วล้างความทรงจำของเขาหลังจากให้เขาลงทะเบียน”

ผมกุมขมับ มันช่างเป็นวิธีที่เหมาะกับนิสัยและตัวตนของยัยนี่จริงๆ

“ปกติแล้วเธอต้องการเงินเท่าไหร่ในการฆ่าคน?”

“ฮะ? ข้าไม่ใช่ฆาตกร ถ้าข้าจะฆ่าคนก็ต้องดูอารมณ์ด้วย…ราคาสามพันขึ้นไป เป็นอย่างไร มีคนที่อยากฆ่าไหม?”

เฮ้ยๆๆ! ความหมายของคำพูดก่อนหน้านั้นอยู่ที่ไหนล่ะ!

“สามพัน แล้วช่วยฉันลงทะเบียนในรายชื่อนักเรียน!”

“ไม่ได้ ขั้นตอนการโอนย้ายนักเรียนยุ่งยากทีเดียว! มันไม่ใช่แค่ล้างความทรงจำก็สามารถแก้ปัญหาได้นะ…อย่างน้อยก็เจ็ดพันสิ?”

สุดท้ายก็อยากได้เงินนี่เอง! นังนี่!

“เธอฟังให้ดีนะ ฉันก็ขโมยเงินมาเยอะมากไม่ได้นี่? ประมาณห้าพันก็พอแล้วมั้ง?”

“หกพันห้าร้อย”

“ห้าพัน”

“หกพัน! น้อยกว่านี้ไม่ได้แล้ว!”

“งั้นก็หกพัน แต่ระหว่างนั้นเธอต้องช่วยฉันหาหนังสือการเรียนเวทมนตร์ ฉันแค่ยืมมาใช้ก็พอ!”

“สมกับเป็นโจร แม้แต่การปล้นผลงานก็ทำเหรอ? แหม ไม่มีปัญหา จำไว้ว่าต้องแบ่งให้ข้าบ้างก็พอ ฮ่าๆๆ”

ภาพพจน์ของยัยนี่พังทลายหมดแล้ว ผมไม่รู้จริงๆ ว่ายัยนี่รักษาภาพพจน์ในสถาบันได้ยังไง

“ใช่แล้ว ระหว่างนั้นเจ้าต้องเปลี่ยนภาพลักษณ์หน่อย ถึงในรูปจะดูแตกต่าง แต่ก็คงเลี่ยงคนที่รู้จักเจ้าไม่ได้…ดี ข้าตัดสินใจได้แล้ว!”

ฟาลันกระโดดจากเก้าอี้ไปบนโต๊ะ แล้วยื่นมือใส่ผม ทั้งร่างของผมก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศทันที!

“เฮ้ยๆๆ! เธอจะทำอะไรน่ะ!”

“ฮ่าๆ ศัลยกรรมไง”

พูดจบ แสงหลายสายก็ตกลงบนตัวของผม ความรู้สึกคันก็แพร่ออกจากหนังศีรษะ

“เธอ…เธอทำอะไรน่ะ!”

“ฮ่าๆ แล้วทำแบบนี้อีก ก็พอสมควรแล้ว”

อีกฝ่ายหัวเราะพลางหยิบแว่นตาออกมาจากกระเป๋าแล้วสวมให้ผม มองกลับไปกลับมาบนตัวของผม จากนั้นก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“เรียบร้อย ตอนนี้เจ้าลองดูสิ”

รับกระจกที่เธอส่งมา ผมก็ตกตะลึงในพริบตา

ผู้ชายใส่แว่นผมยาวสีทองนี่มันใครกัน! ทำไมผมแค่เห็นไอ้หมอนี่ก็คิดว่าเป็นคนจากเผ่าเอลฟ์ประหลาดสักที่! ขาดแค่ใบหูไม่ได้แหลมเท่านั้นเอง!

“เฮ้ยๆๆ! หน้าตาที่เหมือนเกย์ที่มันอะไรกัน!”

“เอ๊ะ? มันเป็นหน้าตาที่ชนชั้นสูงชอบที่สุดแท้ๆ เจ้าไม่ชอบเหรอ?”

“ไม่สักนิด!”

หรือว่าชนชั้นสูงที่นี่เป็นเกย์กันหมดเลย?

“แหม ข้าก็ทำเพื่อเจ้านี่ ใช่แล้ว ข้าจะบอกเวทเปลี่ยนสีกับความสั้นยาวของผมให้เจ้าแล้วกัน ไม่อย่างนั้นคงต้องให้ข้าวุ่นวายทุกรอบ”

หยิบกระจกกลับไป อีกฝ่ายก็พูดต่อ

“เวทนี้น่ะ สรุปแล้วก็คือ…”

ขณะที่เธอเริ่มพูด ตรงหน้าของผมก็มีหน้าจอลอยขึ้นมา บนนั้นยังมีแถบอ่านข้อมูลอีกด้วย

ความคืบหน้าของการเรียนรู้เวทเปลี่ยนสีผม 12%

ที่แท้ก็เรียนรู้แบบนี้ได้ด้วย? แค่ฟังคำอธิบายก็สามารถเรียนรู้ได้แล้วเหรอ?

“ดังนั้น ขอแค่ทำแบบนี้ก็สามารถเปลี่ยนสีผมได้แล้ว เข้าใจรึยัง?”

เรียนเสร็จแล้วจะมีแถบสกิลเพิ่มขึ้นด้วยไหม?

กดลงบนปุ่มยอมรับ เวทนี้ก็แสดงขึ้นบนแถบสกิลของผม

“อืม ขอบใจ”

“เรียนรู้เร็วดีนี่? เอาล่ะ…”

อีกฝ่ายตบมือเล็กน้อย เสื้อผ้ากับสีผมก็กลับคืนสภาพเดิมในพริบตา

“มีความสุขกับชีวิตในสถาบันนะ เจ้าหนู”

***ผู้แปลไม่ได้มีเจตนาเหยียดเพศใดๆ เพียงแค่แปลตามผู้แต่งเท่านั้น หากทำให้ผู้อ่านไม่พอใจต้องขออภัยด้วยนะคะ***

ถ้าผมเกิดใหม่ใน RPG? (So What if it’s an RPG World !?)

ถ้าผมเกิดใหม่ใน RPG? (So What if it’s an RPG World !?)

Status: Ongoing

ผมตื่นขึ้นมาหน้าหมู่บ้านแปลกๆ แห่งหนึ่ง ผมลองคิดว่าก่อนหน้านี้ผมทำอะไรมาถึงมาอยู่ที่นี่ แต่ผมกลับนึกอะไรไม่ออก นอกจากชื่อของผม “หลิน ฟีล”

ผมเดินเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อขอความช่วยเหลือ กลับพบว่าทุกคนในหมู่บ้านมีชื่อและหลอด HP ลอยอยู่เหนือศีรษะ

เอ๊ะ…ทำไมมันเหมือนเกม RPG จัง หรือว่า…ผมจะหลุดเข้ามาในเกม RPG?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท