สัมผัสที่ข้างหลังคือสวรรค์บนดิน แต่ที่ท้องกับไหล่ของผมกลับได้รับการก่อกวนจากแม่มดน้อยไม่หยุด
แม่มดน้อยคือชื่อใหม่ที่ผมตั้งให้โอน่า ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนชื่อนี้ก็สะท้อนลักษณะเด่นของเธอได้ดีอย่างยิ่ง
“ไอ้สารเลว! ทำไมไอ้หมอนี่ต้องอยู่ใกล้ๆ ข้ากับพี่สาวตอนพบกันด้วย!”
แล้วตั้งแต่เมื่อกี้ กำปั้นของยัยนี่ก็ไม่เคยหยุดลงเลย ถ้าไม่ใช่เพราะผมใช้เวทน้ำรักษา HP ให้ตัวเองไม่หยุด ตอนนี้ผมคงล้มลงกับพื้นแล้วแน่นอน
ดื่มยา?
ล้อกันเล่นรึเปล่า ตั้งแต่เมื่อกี้ฟาลันก็กอดผมมาตลอด ไม่ให้โอกาสผมได้ขยับเลย!
“รุ่นพี่ฟาลัน…ปล่อมผมได้ไหม?”
ถึงแม้ว่าจะสบายดี แต่เป็นแบบนี้ต่อไป MP ของผมคงหมดเกลี้ยงแน่นอน!
ถึงตายในอ้อมแขนสาวสวยจะฟังดูไม่เลว แต่รวมกับตายใต้กำปั้นยัยนี่แล้ว มันคงไม่ใช่ชื่อเสียงที่ดีอะไร
“เอ๋ เป็นเจ้าเองที่ไล่ตามข้ามาแท้ๆ ตอนนี้อยากให้ปล่อยแล้วเหรอ?”
ฟาลันยิ้มพร้อมพูด แล้วยังจงใจกอดให้แน่นขึ้น
ไม่รู้จริงๆ ว่ายัยนี่กำลังคิดอะไรอยู่ ไม่รู้สึกว่ากำปั้นของแม่มดน้อยดูเอาจริงเอาจังเลยเหรอ?
“รีบออกมาจากจากอ้อมแขนของพี่สาวนะ!”
“บอกพี่สาวเธอสิ บอกฉันก็ไม่มีประโยชน์!”
แต่ยัยนี่ยังคงปล่อยหมัดใส่ผมไม่หยุด ไม่สนใจคำพูดของผมทั้งสิ้น
บ้าเอ๊ย…พี่น้องคู่นี้ทำไมไม่ฟังคนอื่นพูดบ้างเลย!
“ใช่แล้ว พวกเธอออกมาทำไมกันแน่…”
“พูดแล้วก็ถูก เป็นแบบนี้ต่อไปคงเวลาไม่พอ”
ในที่สุด ฟาลันก็ปล่อยผม หมัดของแม่มดน้อยก็หยุดลง
หันกลับไปมองความอ่อนนุ่ม cup D ของฟาลัน ผมในตอนนี้กลับรู้สึกเสียดายเล็กน้อย…ช่างเถอะ ชีวิตสำคัญกว่า!
“ไปเถอะ ไปที่มั่นของข้า คุยกันที่นี่คงไม่ปลอดภัย”
พูดจบฟาลันก็อุ้มแม่มดน้อยเดินไปทางส่วนลึกของซอย มองดูเงาหลังของพวกเธอ ผมฝืนยิ้มอย่างจนปัญญา แล้วเดินตามไป
คนตระกูลเรดลีฟปรากฏตัวพร้อมกันสองคน…หาได้ยากจริงๆ
ถึงแม้พวกเธอจะมีนามสกุลเหมือนกัน แต่อันที่จริง ชื่อเรดลีฟนี้กลับไม่ได้เป็นแสดงถึงชื่อของตระกูล
‘สมาคมปริศนาเรดลีฟ’
นี่เป็นที่มาของชื่อพวกเธอ
ตอนนี้น้อยมากแล้วที่จะได้ยินชื่อนี้ แต่สิบปีก่อน ชื่อนี้กลับเป็นฝันร้ายของกลุ่มทหารรับจ้างและกลุ่มธุรกิจนับไม่ถ้วนบนแผ่นดินลาย่า
เป็นสถานที่รวมตัวของพลังมืดมากมายบนแผ่นดิน ทั้งนักเวทแห่งความมืด เนโครแมนเซอร์ นักฆ่า นักดาบผู้เสื่อมโทรม และยังมีออร์ค ตลอดจนการรวมกลุ่มพลังของชาวลาย่า ที่คอยรับภารกิจเชิงลบทั้งลอบสังหาร สกัดกั้นการโจมตี ตลอดจนการปล้น
‘แม้ว่ามีสีแดงเหมือนแสงตะวัน แต่เดินผ่านที่แห่งใดกลับหลงเหลือเพียงเลือดเหม็นคาว’
นี่เป็นคำนิยามที่คนทั่วไปมีต่อ ‘สมาคมปริศนาเรดลีฟ’ และสามปีที่มันคงอยู่ก็เป็นสามปีที่เขย่าขวัญที่สุดของกลุ่มธุรกิจและบุคคลสำคัญทั่วทั้งแผ่นดิน
ในที่สุด ปี 2438 ของศักราชเวทมนตร์ขาว หรือก็คือสิบปีก่อน สมาคมทั่วทั้งแผ่นดิน กลุ่มนักดาบ และกลุ่มศาสนาก็ปฏิบัติการแขวนคอ ‘สมาคมปริศนาเรดลีฟ’ ทั้งหมด แม้ช่วงเวลานี้จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ แต่กลับไม่มีการบันทึกไว้อย่างละเอียด
ทว่า ผลลัพธ์ของเหตุการณ์กลับถูกบันทึกไว้ว่า ‘สมาคมปริศนาเรดลีฟ’ สามร้อยกว่าคนถูกกำจัดไปกว่าครึ่งในระยะเวลาครึ่งปีสั้นๆ
คนที่หลงเหลืออยู่ก็แอบซ่อนตัว เงียบหายไปนับตั้งแต่นั้นมา
ทว่าผมกลับเจอบันทึกอย่างไม่เป็นทางการบางส่วนในห้องเอกสารของห้องสมุด บอกว่าตอนที่กวาดล้าง ‘สมาคมปริศนาเรดลีฟ’ ได้พบกับเด็กอายุน้อยมากมายในฐานที่มั่นของพวกเขา
เนื่องจากการก้าวก่ายของกลุ่มศาสนาจำนวนมาก เด็กเหล่านี้จึงพ้นจากโทษตาย ทว่าพวกเขาต่างก็ถูกองค์กรที่แตกต่างกันของแต่ละอาณาจักรรับตัวไป
ข้อมูลในบันทึกมีเท่านี้ ก่อนหน้านี้ผมยังสงสัยในความน่าเชื่อถือของมัน แต่พอเห็นฉายา ‘นักฆ่าเวทมนตร์’ ของโอน่าแล้ว ความสงสัยก็หายไป
และยัยโอน่า…อย่างมากก็อายุแค่สิบปี? หรือแปลว่ายัยนี่เพิ่งเกิดได้ไม่นานก็ถูกอาณาจักรเอสรับไปเลี้ยงดูแล้ว? แต่พวกเขากลับพัฒนาศักยภาพของเธออย่างเต็มที่ แค่สิบขวบก็เป็นนักเวทความมืดเลเวล 25 ได้…ลองคิดดูสิ เด็กที่ดูไร้เดียงสาเดินมาตรงหน้าคุณ ขณะที่จิตใจความเป็นโลลิคอนสั่งการให้คุณเดินหน้าไปหา จู่ๆ คุณกลับถูกเธอใช้เวท ‘กัดกร่อน’ ชนิดหนึ่ง แล้วไม่มีคำว่าต่อจากนั้นอีก…
ยัยนี่เป็นนักฆ่าเวทมนตร์สมชื่อโดยแท้จริง
ในไม่ช้า พวกเราก็มาถึงย่านที่อยู่อาศัยที่ดูทันสมัย เราเดินไปจนมาหยุดลงนอกบ้านที่ตกแต่งอย่างหรูหรา
ฟาลันเดินไปที่ทางเข้าแล้วใช้ไม้คทาเคาะประตูสองสามครั้ง ประตูจึงเปิดออกเองอัตโนมัติ ในขณะเดียวกันไฟในบ้านก็สว่างขึ้นมา
“เฮ้เฮ้ ที่หรูหราแบบนี้ต้องใช้เงินมากแค่ไหนกัน?”
“อืม…ข้าซื้อมา 5,000 เหรียญทอง ข้างหลังมีสวนด้วยนะ”
“อะไรนะ! ผมอยู่ในหอพักราคา 30 เหรียญเงินต่อเดือนเอง! รุ่นพี่นี่…”
“ฮึ่ม อย่างไรก็เป็นเงินที่ข้าหามาได้ จะสำคัญอะไรล่ะ”
พูดจบ ฟาลันก็อุ้มแม่มดน้อยเดินเข้าไป จากนั้นจึงนั่งลงบนโซฟา
หลังจากปิดประตูผมก็ตามเข้าไป หลังเข้าไปผมยิ่งรู้สึกว่าเหรียญทองในแหวนพวกนั้นไม่คุ้มค่าเอาซะเลย
พวกนี้มันอะไรกัน ประติมากรรมทองคำบริสุทธิ์ ภาพวาดที่ดูมีมูลค่า ยังมีเครื่องเงินที่ประกายวิบวับอีก ที่แท้รุ่นพี่ฟาลันก็เป็นผู้มีอิทธิพลนี่เอง!
“เลิกมองได้แล้ว ข้าแค่เปลี่ยนทองกับบัตรทองคำอันหนักอึ้งให้กลายเป็นสิ่งของที่สามารถโยนเข้าไปในกระเป๋ามิติแล้วเคลื่อนย้ายได้อย่างรวดเร็วเท่านั้นเอง ข้าต้องเตรียมทางหนีไว้ตลอดน่ะ”
พูดจบรุ่นพี่ฟาลันก็ถูๆ ใบหน้าของแม่มดน้อยในอ้อมแขน อีกฝ่ายดูมีสีหน้าที่ยินดี
“แต่ฉันว่า…‘เรดลีฟ’ สองคนมาเจอกันแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ? โดยเฉพาะแม่มดน้อยนั่น ตัวตนในตอนนี้ของเธอคงไม่ธรรมดาสินะ?”
“เอ๊ะ ข้าดูถูกความสามารถของเจ้าไปจริงๆ…ถ้า ‘เรดลีฟ’ ในตอนนั้นมีเจ้าอยู่ พวกเราอาจไม่ต้องเสียคนมากมายขนาดนั้นก็ได้?”
ใบหน้าของรุ่นพี่ฟาลันเผยรอยยิ้มออกมา แต่ว่า ผมรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในกลิ่นของเธออย่างชัดเจน รู้สึกปฏิปักษ์เหรอ? ไม่ใช่…คงรู้สึกเศร้า
พวกเธอคงเป็นพี่น้องแท้ๆ แต่ตอนนี้ดูแล้วครอบครัวของพวกเธอคงไม่อยู่แล้วล่ะมั้ง…
“ผมไม่อยากและไม่กล้าจะยกย่องตัวเองขนาดนั้น แล้วผมก็เคยบอกแล้ว ว่าผมมองคนตามความรู้สึก ผมรู้ธาตุแท้ของรุ่นพี่ฟาลันจากกลิ่นเลือดบนตัวคุณ ส่วนแม่มดน้อย…”
ผมยืนยันฉายาของเธออีกครั้ง
“ตัวของเธอเหมือนจะมีกลิ่นของพลทหาร”
“เอ๋ๆๆ!”
แม่มดน้อยมองที่ผมอย่างประหลาดใจ แววตาผสมความตกใจและความเลื่อมใส
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นนักฆ่าเวทมนตร์กองทัพกลางของอาณาจักรเอส!”
“เอ่อ…เธอเพิ่งบอกฉันนะ”
“อ๊า ซวยแล้ว…”
แม่มดน้อยกลอกตา แล้วบุ้ยปาก
“ถึงกับวางกับคำพูดผู้อื่น แกมันไอ้สารเลว!”
“แต่แบบนั้นจะไม่เป็นไรจริงเหรอ? บุคคลถูกประกาศจับหมายเลข 17 เคห์ลานี เรดลีฟ ที่แท้ก็เป็นพี่สาวของนักฆ่าเวทมนตร์แห่งกองทัพกลาง สถานการณ์แบบนี้คนของกองทัพจะรับได้เหรอ?”
“แน่นอนสิ ข้าอยู่ในกลุ่มกองทัพเวทมนตร์มาตั้งเจ็ดปีกว่าจะได้เจอพี่สาว แล้วพวกนั้นยังไม่รู้ตัวตนของพี่สาวด้วย พวกเขาแค่ถูกใจศักยภาพของข้าเท่านั้น”
ขณะที่พูดแบบนี้ บนตัวของแม่มดน้อยก็แผ่กลิ่นของความกลัวออกมา
กลิ่นแบบนี้…เหมือนกลิ่นบนตัวของรุ่นพี่ฟาลัน…
“อย่างนี้นี่เอง กลายเป็นนักฆ่าของทหารก็เป็นสิ่งถูกกฎหมาย”
“ใช่แล้ว!”
เห็นท่าทางเย่อหยิ่งของแม่มดน้อย ก็ไม่รู้จริงๆ ว่าฆ่าไปกี่คนแล้ว…
การอยู่ในห้องเดียวกับคนที่หลงใหลการฆ่าสองคนช่างเหมือนอเล็กซานเดอร์จริงๆ แต่โชคดีที่คนทั้งสองไม่ใช่ศัตรู ไม่งั้นตายสักกี่ครั้งก็คงไม่พอ
“แต่…ตกลงฟีลเป็นใครกัน?”
“เอ๊ะ?”
ได้ยินรุ่นพี่ฟาลันถามแบบนี้ ผมก็ค่อนข้างประหลาดใจ
“เครือข่ายข่าวกรองของข้าก็ไม่ได้แย่กว่าเจ้าหรอก หลิน ฟีล พลเมืองอาณาจักรเชอร์ฟา เกิดเมื่อปีศักราชเวทมนตร์ขาว 2432 ถูกประกาศจับเมื่อปีศักราชเวทมนตร์ขาว 2448 แต่ว่า สิ่งที่น่ากลัวมากคือตัวตนที่ดูเหมือนไม่มีอะไรกลับมีจุดที่น่าแปลกมาก”
รุ่นพี่ฟาลันวางแม่มดน้อยลงบนโซฟาข้างๆ แล้วเข้ามาใกล้ผม จ้องผมพร้อมถาม
“ทำไมช่วงเวลาหลังเจ้าเกิดจนถึงถูกประกาศจับถึงไม่มีอะไรบันทึกไว้เลยล่ะ?”
ปีกเทวดาเลเวล 1 (พิเศษสำหรับเทวดาศักดิ์สิทธิ์แห่งความตาย) ปีกคุณสมบัติศักดิ์สิทธิ์ เอฟเฟกต์เพิ่มเติม : การใช้เวทมนตร์แสงและเวทมนตร์คุณสมบัติลวงตาใช้ค่ามานา 0 ใช้เอฟเฟกต์อยู่ได้นานสุดหนึ่งชั่วโมง เวลาคูลดาวน์สามชั่วโมง ไม่ใช้เอฟเฟกต์อยู่ได้นานสุดสิบสองชั่วโมง เวลาคูลดาวน์สิบนาที เอฟเฟกต์เพิ่มเติม : การบินเลเวล 1 (เลเวลปีกที่ต้องการ เลเวล 3) วิธีอัพเลเวล : ใช้เอฟเฟกต์เป็นระยะเวลาเกินสิบชั่วโมง
ปีกอันเดดเลเวล 1 (พิเศษสำหรับเทวดาศักดิ์สิทธิ์แห่งความตาย) ปีกคุณสมบัติอันเดด เอฟเฟกต์เพิ่มเติม : การใช้เวทมนตร์อันเดดและเวทมนตร์คุณสมบัติความมืดใช้ค่ามานา 0 ใช้เอฟเฟกต์อยู่ได้นานสุดหนึ่งชั่วโมง เวลาคูลดาวน์สามชั่วโมง ไม่ใช้เอฟเฟกต์อยู่ได้นานสุดสิบสองชั่วโมง เวลาคูลดาวน์สิบนาที เอฟเฟกต์เพิ่มเติม : มลพิษเลเวล 1 (เลเวลปีกที่ต้องการเลเวล 3) วิธีอัพเลเวล : ใช้เอฟเฟกต์เป็นระยะเวลาเกินสิบชั่วโมง
การบินเลเวล 1 : บินเหนือพื้นดินสูงสุด 50 เมตร เร็วสุด 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
มลพิษเลเวล 1 : ทำให้สิ่งมีชีวิตที่เลเวลต่ำกว่าตัวเอง 10 เลเวลเป็นอันเดด และควบคุมอีกฝ่าย ระยะเวลาที่ควบคุมได้ = ความต่างเลเวลต่อชั่วโมง ขีดจำกัดปริมาณมลพิษ : 1
อ่านคำแนะนำบนหน้าต่างเสมือนจริงจบ ผมก็เกือบโดดขึ้นด้วยความตื่นเต้น ประสิทธิภาพของปีกทั้งสองยอดไปเลย ถึงมีแค่ข้างใดข้างหนึ่งก็สะดวกอยู่ดี
ก่อนหน้านี้ยังกังวลว่าจะเสียเปรียบเพราะไร้อาชีพ แต่พอมีปีกคู่นี้แล้วก็ถือว่าชดเชยความขาดแคลนของการไร้อาชีพได้
แต่ว่า ตอนนี้ยังมีเรื่องสำคัญอย่างหนึ่ง นั่นคือเวทแสง เวทคุณสมบัติลวงตา เวทอันเดด และเวทคุณสมบัติความมืด ผมทำไม่ได้เลยสักอย่าง…
พระเจ้า! ทำไมถึงเป็นสี่เวทนี้พอดี? ทำไมนะ!
ได้ปีกที่แข็งแกร่งขนาดนี้มาอย่างไม่ง่ายดาย แต่ทำไมผมถึงใช้ไม่ได้ล่ะ!
และเป็นเพราะยังใช้เวททั้งสี่ไม่ได้ในตอนนี้ กางปีกออกมาก็ไม่คุ้ม ยังไงซะเวลาการคูลดาวน์เป็นสามเท่าก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ถ้ากางออกมา ปีกที่กางออกได้ก็มีแค่ปีกเทวดา ถ้ากางปีกแห่งความตายออกมาตอนนี้ คงก่อเรื่องวุ่นวายที่ไม่จำเป็นแน่
แต่ตอนนี้การกางและหุบปีกสามารถใช้หน้าจอควบคุมได้ แบบนี้ก็สะดวกไม่น้อย จับดูปีกที่หุบไว้ก็เป็นเพียงรอยนูนเล็กๆ บนหลัง ถ้าใส่ชุดปิดบังย่อมมองไม่เห็น
ส่วนปีกอันเดดก็ดูเหมือนจะกางไม่ออกด้วยเวทของฟาลัน แบบนั้นก็ดี
แต่ผมก็ยังเก็บหน้าจอเสมือนจริงอยู่ดี เพื่อป้องกันไม่ให้ปีกยืดออกมาเมื่อคลายเวท
ผมปิดไฟในห้องแล้ว ยังไงซะโพรงขนาดใหญ่ตรงนั้น ถ้าไม่ปิดไฟ ห้องนี้จะกลายเป็นแหล่งกำเนิดแสงของสวนดอกไม้ด้านนอก
ผมไม่อยากให้คู่รักที่เจอกันกลางดึกในสวนดอกไม้ต้องอึดอัดใจ ผมนี่เป็นคนดีจริงๆ!
นอนอยู่บนเตียงสักพัก ในที่สุดประตูห้องก็มีเสียงเปิดออก ลืมตาดู ผมจึงเห็นชื่อของฟาลันลอยอยู่กลางอากาศท่ามกลางความมืด
“เธอมาจนได้? ฉันเกือบหลับไปแล้ว”
“น่าสงสารเจ้าจริงๆ ที่ต้องนอนในห้องโพรงใหญ่ขนาดนี้ จริงๆ นะ”
ฟาลันเดินเข้ามา ยืนอยู่ที่ปลายเตียง
“เอาล่ะ เดี๋ยวข้าจะสอนเวทควบคุมกลิ่นอันเดดบนตัวเจ้า อย่างไรซะข้าก็ไม่อาจอยู่ข้างๆ เจ้าตลอดได้นี่? วางใจเถอะ ข้าได้ร่ายเขตแดนเวทไว้ก่อนจะเข้ามาแล้ว แล้วเขตแดนเวทนี้ข้าจะสอนเจ้าด้วย”
“งั้นก็ขอบใจจริงๆ”
“ช่วยไม่ได้นี่ ที่เจ้ามีปีกอันเดดงอกออกมาก็เป็นเพราะข้าไม่ใช่เหรอ?”
ขณะที่พูดแบบนี้ เธอก็โยนเม็ดคริสตัลเล็กๆ สองลูกมาตรงหน้าผม
“ข้าบรรจุภาพเวทมนตร์ไว้ในนั้นแล้ว เจ้าค่อยๆ ลองดู คืนนี้ข้ามีธุระ ต้องไปก่อนล่ะ”
“มีธุระ? เธอจะออกจากสถาบันเหรอ? ตอนนี้เนี่ยนะ…”
“วางใจเถอะ เป็นเด็กก็พักผ่อนให้พอ หรืออยากให้พี่สาวอยู่เป็นเพื่อนจ๊ะ? คราว~หน้า~นะ~”
พูดจบ เงาร่างของฟาลันสว่างวาบ แล้วโดดออกไปจากโพรงในห้อง
จริงๆ เลย ยัยนี่เด็กกว่าผมชัดๆ…ผมหมายถึงอายุจิตใจน่ะ
ขณะที่ผมกดบนคริสตัลสองลูกนั้น หน้าต่างแจ้งการเรียนของผมก็เด้งออกมา แน่นอน ผมกดปุ่มยืนยันอย่างรวดเร็ว
คนตายผู้เงียบงัน เรียนรู้เพื่อจำกัดกลิ่นอายอันเดดบนตัวเป้าหมาย และจำกัดความสามารถของอีกฝ่ายไปพร้อมกัน
ความเงียบของคนตาย เรียนรู้เพื่อตั้งเขตแดนในบริเวณเฉพาะ กลิ่นอายอันเดดจะไม่ฟุ้งออกไปนอกเขตแดน
หลังจากยืนยันสกิลบนแถบสกิลแล้ว ผมก็เดินไปตรงโพรงใหญ่
ในระยะไกล ชื่อของฟาลันกำลังห่างออกไปทางทิศตะวันตกของสถาบัน…ผมจำได้ว่าทางนั้นคือสนามต่อสู้จริง เดินออกไปอีกก็ไม่มีสิ่งก่อสร้างอื่นแล้ว…กำแพงสถาบัน? หรือว่ายัยนั่นจะหนีออกไป?
“ถึงรู้สึกอันตราย แต่กลิ่นของเนื้อเรื่องย่อยแบบนี้ก็ไม่อาจปล่อยไว้ได้นี่…ยิ่งกว่านั้นในบริเวณสถาบันก็ไม่สามารถอัพเลเวลได้ด้วย ออกไปดูสักหน่อยแล้วกัน”
ผมสามารถใช้ความคิดควบคุมสกิลนักเวทได้นิดหน่อย แต่ว่า สกิลอื่นกลับทำไม่ได้
เปิดแถบสกิลออก หลังลากมาตำแหน่งที่พอดี ผมก็กดที่สกิลโจร “เบาเหมือนขนนก” กับ “ลอบเร้น” และสกิลนักรบ “เพิ่มความเร็ว” ค่อยๆ โดดไปข้างหน้าเบาๆ ผมจึงเริ่มตามไปยังทางที่ฟาลันออกไป
เมื่อผ่านสนามต่อสู้จริง ผมยังเห็นแท่งน้ำแข็งขนาดมหึมาตั้งอยู่ตรงกลางสนาม ส่วนอีกด้านหนึ่ง บนกำแพงของสนามต่อสู้จริงยังเต็มไปด้วยร่องรอยการถูกเผา
การกำจัดสิ่งของที่ใช้เวทมนตร์ควบแน่นธาตุออกมาดูค่อนข้างลำบากจริงๆ
ผมเคยทำการทดลองมาก่อนว่าน้ำแข็งที่เกิดจากเวทมนตร์ของโลกนี้ไม่อาจละลายได้เหมมือนน้ำแข็งที่เกิดตามธรรมชาติ วิธีการละลายคือต้องเจอกับธาตุของเวทไฟ หรืออีกอย่างก็คือรอให้ธาตุที่ควบแน่นออกมาของเวทน้ำแข็งในก้อนน้ำแข็งค่อยๆ หายไป ถึงแม้เป็นน้ำแข็งที่มีขนาดเท่าลูกเบสบอลก็ต้องใช้เวลาเป็นวันกว่าจะสลาย ส่วนสิ่งที่องค์หญิงสโนว์สร้างออกมานี้ สองสามเดือนก็คงยังไม่หายไป
เห็นชื่อสีแดงตรงหน้าไม่เคลื่อนไหว ผมจึงหยุดพิงกำแพงสนามต่อสู้จริง แล้วกดที่สกิล “ลอบเร้น”
ขณะที่ร่างกายของผมหายไป ผมอาศัยแสงจันทร์มองไปบริเวณที่ฟาลันยืนอยู่ไกลๆ อย่างระมัดระวังอยู่สักพัก เธอหมุนตัวไปจุดบนกำแพงข้างหลังห้าจุด
จุดที่ถูกวาดมีรัศมีสีเทาเล็กน้อย จากนั้นก็เชื่อมเข้าด้วยกัน ก่อตัวเป็นดวงดาวห้าแฉกที่เส้นผ่านศูนย์กลางไม่ถึงหนึ่งเมตร
หลังจากมั่นใจว่าไม่มีคนอยู่ข้างหลัง ฟาลันก็ลอดเข้าไปในวงเวทอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันวงเวทก็มืดลงทันที
ทว่า ผมยังคงเห็นชื่อของฟาลันกำลังเล็กลงเรื่อยๆ แปลว่าวงเวทนั้นเป็นเวทที่แค่ให้คนทะลุผ่านไปเท่านั้น
“เวทช่องว่าง…ฟาลันไม่มีฉายาที่เกี่ยวกับสายช่องว่างเลยนี่ หรือมันจะเป็นอุปกรณ์?”
ผมเดินไปริมกำแพงอย่างรวดเร็ว แล้วมองจุดแสงหลายจุดนั้นดีๆ
บนกำแพงเรียบลื่นเหมือนจะสัมผัสของแข็งอันแหลมคมได้ ดูเหมือนเป็นคริสตัลเล็กๆ เกาะอยู่บนนั้น คริสตัลเวทช่องว่าง? ถึงเคยได้ยินว่าสามารถใช้คริสตัลเวทสร้างสิ่งของที่คล้ายกับกลไกเวทได้ แต่ผมกลับเห็นของจริงเป็นครั้งแรก
ได้ยินว่าการเปิดกลไกต้องรู้จักขั้นตอนการเปิด แต่เมื่อกี้อยู่ไกลเกินไปจนเห็นไม่ชัดน่ะสิ…
เห็นชื่อฟาลันค่อยๆ ไกลออกไป ก็ไม่มีเวลาให้ผมคิดแล้ว
“โทเท็มน้ำแข็ง!”
โทเท็มปรากฏออกมาผลักผมไปยังจุดที่สูงกว่ากำแพงเล็กน้อย ผมกระโดดไปด้านหน้า แล้วโดดลงไป
ถึงไม่รู้ว่าทำไมผมถึงใช้สกิลนักรบกับสกิลโจรมาผลาญมานา แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องไปซื้อยาชูกำลัง
หยิบขวดยาเวทมนตร์ออกมาเทลงไป กดเพิ่มความเร็วกับลอบเร้นอีกครั้ง ผมก็ไล่ตามไปทางฟาลันอย่างรวดเร็ว
การติดตั้งเพิ่มเติม :
เบาเหมือนขนนก : สกิลโจร ใช้มานา 30 ทำให้ความเร็วลดลง ตกลงจากที่สุดในระยะ 50 เมตรโดยไม่บาดเจ็บ
ลอบเร้น : สกิลโจร ใช้มานา 50 ลดอัตราการพบเห็นการเคลื่อนไหวทุกอย่าง 70% เป็นเวลาสิบนาที
เพิ่มความเร็ว : สกิลนักรบ ใช้มานา 70 เพิ่มความคล่องแคล่ว 30% เป็นเวลาสิบนาที
ภาพแฝง : สกิลโจร ใช้มานา 30 ใช้เมื่ออยู่ในสภาวะไม่เคลื่อนไหว ทั้งร่างจะล่องหน ใช้ได้นานสุดสามสิบนาที
หลังจากนับถอยหลังสถานะหมดสติสิ้นสุด การรับรู้ต่อสิ่งภายนอกก็ค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา
ข้างหลังไม่ใช่พื้นที่ให้ความรู้สึกเย็นแล้ว น่าจะถูกคนพามาไว้บนเตียง แต่ดูเหมือนร่างกายด้านขวาจะสูงขึ้น
ลุกขึ้นนั่งแล้วมองดูรอบด้าน คนมากมายยืนล้อมผมอยู่ ใบหน้าดูเต็มไปด้วยความจริงจัง
ผมลองควบคุมสิ่งที่อยู่ข้างหลัง อย่างที่คิดเลย ปีกสีขาวยืดออกมาจากหลัง
ทว่า ยังไงซะก่อนหน้านี้บนหลังผมก็ไม่มีอะไรอยู่เลย จู่ๆ กลับมีอะไรงอกออกมาจะควบคุมก็ค่อนข้างลำบาก สามารถขยับขึ้นลงซ้ายขวาได้ก็ไม่เลวแล้ว
ทว่า ปีกกระดูกด้านซ้ายกลับไม่มีการตอบสนอง ดูเหมือนเวทมนตร์ของฟาลันจะได้ผลมาก
“คือว่า มีใครบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?”
“เจ้าจำไม่ได้เหรอว่าเมื่อกี้เกิดเรื่องอะไร?”
ผู้พูดคือชายชราแสงที่พบก่อนหน้านี้ ซึ่งคือคนที่พาผมเข้ามาในห้องนี้
เขาพูดไปด้วยมองด้านข้างไปด้วย มองตามสายตาเขาไป บนกำแพงห้องมีรูขนาดใหญ่ รอบรูมีร่องรอยสีดำ ไม่รู้ว่าเกิดจากการระเบิดหรือเวทมนตร์
ในขณะนั้นผมก็สังเกตว่าบนเสื้อผ้ามีรูที่มีรอยสีดำคล้ายคลึงกัน ถ้าจำไม่ผิด บาดแผลบนตัวก่อนหน้าไม่ใช่แบบนี้ ก็หมายความว่า หลังจากผมสลบไปมันถึงปรากฏขึ้น…
สิ่งเดียวที่คิดได้ก็คือบอลดำที่ฟาลันใช้ตอนท้ายสุด
ตอนนี้เธอยืนอยู่ข้างยูบริล ชุดบนตัวกลับมาเป็นปกติแล้ว มองเห็นผมมองทางเธอ เธอจึงกะพริบตาใส่ผม จากนั้นก็ยิ้ม
“ที่นี่ที่ไหน? เรื่องสุดท้ายที่ฉันจำได้คือถูกอาร์ย่าแทง…”
อาร์ย่ายืนพิงกำแพงอยู่ในห้อง ได้ยินว่าผมพูดถึงเธอ เธอจึงมองผมแล้วแสดงสีหน้าไม่พอใจ
ขอร้องล่ะ หลังจากฆ่าฉันแล้วยังทำหน้าไม่พอใจอีก หรือว่าต้องแยกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยถึงจะพอใจ?
“อย่างงั้นเหรอ ข้าเข้าใจแล้ว”
ชายชราหยุดชั่วขณะ จากนั้นมองทางอาจารย์แมรี่ที่อยู่ข้างๆ แล้วหมุนตัวมาทางผม
“ข้าจะแนะนำตัวเองก่อน ข้าคือ ‘รีด ออแรนซี่’ เป็นหัวหน้าแผนกแสงสว่างของสถาบันเวทมนตร์เกรย์”
ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโส อีกฝ่ายจึงพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงการทักทาย จากนั้นจึงพูดต่อ
“อันดับแรกข้าต้องขออภัยเจ้า”
“ขออภัย?”
“ใช่ เพราะเวทมนตร์เขตแดนของสนามต่อสู้จริงเป็นข้าเองที่ออกแบบ ไม่รู้เป็นเพราะอะไรวันนี้ถึงไม่ได้ผลเท่าที่ควร จึงทำให้เจ้าบาดเจ็บ ข้าขอโทษจริงๆ”
“คุณเกรงใจไปแล้ว ยังไงซะตอนนี้ผมก็ไม่เป็นไรแล้ว เพราะงั้นคุณไม่ต้องกังวลหรอก”
ที่จริงไม่ใช่ความผิดของหมอนี่เลย เป็นเพราะผมไม่ใช่คนจากโลกนี้เขตแดนนั้นจึงไร้ผล แล้วอีกฝ่ายก็เป็นคนตำแหน่งสูงแบบหัวหน้าแผนก พูดสุภาพหน่อยก็ดี ยังไงซะแนวคิดเรื่องชนชั้นของโลกนี้ก็ยังค่อนข้างทรงพลัง
“อืม…”
อีกฝ่ายดูพอใจกับท่าทีของผม ถึงแม้ไม่ได้เอ่ยปากพูดออกมา แต่ผมเห็นได้จากหนวดของเขาที่โค้งขึ้นมาอย่างชัดเจน
“งั้น…ใครบอกฉันได้บ้างว่าทำไมถึงมีปีกงอกออกมา? แล้วยังมีแค่ข้างเดียว?”
“หรือมันเพิ่งงอกออกมาเมื่อกี้? ไม่ได้มีมาก่อนแล้ว?”
หัวหน้ารีดเดินเข้ามาทางผมอย่างแปลกใจ แต่หลังจากสังเกตเห็นท่าทีลืมตัวของตัวเองจึงถอยกลับไป
“แค่กแค่ก…เหตุผลเฉพาะเจาะจงนั้นข้าไม่รู้ แต่มันต้องเกี่ยวกับการเกือบตายแล้วคืนชีพของเจ้าแน่ ถึงเวทที่พวกข้ามีจะไม่อาจทำให้คนตายคืนชีพได้ แต่บางทีเทพธิดาแห่งแสงอาจใช้พลังช่วยเหลือเจ้าก็ได้”
ชายแก่โยงเก่งจริงๆ ถ้าผมไม่รู้ว่าเป็นเพราะคาถาคืนชีพของฟาลันผมถึงคืนชีพขึ้นมาได้ ไม่แน่อาจเชื่อไปแล้วจริงๆ
มองเห็นผมไม่ตอบสนอง เขาจึงพูดทันที
“เทวดาในตำนานล้วนเกิดจากการควบแน่นของแสง ตอนนี้บนตัวเจ้าปรากฏปีกขึ้น นั่นก็อธิบายได้ว่าเวทมนตร์แสงรวบรวมบนตัวเจ้าและทำให้เจ้าเกิดการเปลี่ยนแปลง เจ้าในตอนนี้ น่าจะเป็นครึ่งเทวดา”
“ครึ่งเทวดา?”
“อืม ทว่านี่เป็นแค่การคาดเดา ไม่อาจยืนยันได้จนกว่าจะมีข้อมูลเพิ่มเติม”
“วางใจเถอะ ข้าจะรายงานเรื่องนี้ทันที โบสถ์จะช่วยเจ้าหาสาเหตุแน่”
คนที่พูดคือยูบริล จะว่าไปเธอก็เป็นพาลาดิน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีฉายาผู้เคร่งครัดศาสนาอีก
“ข้าต้องพาอาร์ยากลับไปที่โรงเรียนโทโก้พร้อมกันด้วย”
“ทำไมถึงปล่อยให้ยัยฆาตกรนี่กลับไปด้วย!”
องค์หญิงสโนว์ที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดออกมา
“นางคือฆาตกรที่ทำให้ฟีลบาดเจ็บ!”
“ข้าเชื่อว่าโรงเรียนโทโก้จะลงโทษนางอย่างเหมาะสม…”
ยูบริลตอบ
“ลงโทษ? งั้นก็ควรขึ้นอยู่กับฟีลสิ!”
“เอาล่ะ!”
ผมขัดจังหวะพวกเธอ
“ทำตามที่ยูบริลบอกเถอะ ไม่เป็นไร อาร์ย่าเป็นเพื่อนฉัน ทั้งหมดก็แค่นี้แหละ”
“เจ้า…ฮึ่ม! ข้าไม่สนแล้ว!”
องค์หญิงสโนว์ทำท่าทางไม่สบอารมณ์ ทำหน้าบึ้งวิ่งออกไป
เป็นเด็กน้อยอย่างที่คิดเลย…
มองเห็นองค์หญิงสโนว์ออกจากห้องไป อาร์ย่าก็เดินมาข้างผม พูดเสียงเบา
“ขอบใจนะ มีเวลาว่างก็มาหาฉันที่โรงเรียนโทโก้ด้วย”
“รู้แล้ว จำไว้ว่าอย่าสร้างปัญหาอีกล่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องของนาย!”
พูดจบ เธอก็วิ่งออกไป บนใบหน้ายูบริลเต็มไปด้วยความจนใจ ยิ้มขอโทษให้ผมแล้วเดินตามอาร์ย่าออกไป
“แค่กแค่ก งั้นวันนี้ก็เท่านี้ เจ้ารักษาตัวอยู่ที่นี่ก่อน ถ้ามีปัญหาอะไรกับปีกนี้ก็มาหาข้าได้”
หลังจากหัวหน้ารีดพูดจบก็เดินออกไป คนที่เหลืออยู่ก็มีแค่ลาน่า ฟาลัน และอาจารย์แมรี่
“พักผ่อนๆ รักษาสภาวะในวันนี้ให้ดี พวกมือใหม่ในการแข่งขันชั้นปีไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า แต่อย่างไรซะก็ยังมีผู้แข็งแกร่งอยู่ ดังนั้นหลังจากหนึ่งสัปดาห์จะมีการฝึกนอกชั้นเรียน รักษาตัวให้ดีแล้วเตรียมตัวซะ”
“อาจารย์ ที่เขตแดนนั้นไร้ผลไม่ใช่ว่าคุณจงใจหรอกนะ?”
“อย่าใส่ความข้า! ข้าควบคุมดีแล้ว! อยากโทษก็ไปโทษตาแก่นั่น ได้ยินว่าเพื่อประหยัดเงิน ตอนทำเขตแดนก็เลยแอบลดวัสดุไปไม่น้อยเลย!”
“ช่างเถอะ ยังไงเขาก็เป็นถึงหัวหน้าแผนก”
“ข้าก็เป็นอาจารย์เจ้า! เจ้าโง่นี่!”
อาจารย์แมรี่เขกศีรษะผม แล้วมองทางพวกลาน่า
“พวกเจ้าก็อยู่กับไอ้โง่นี่ต่อเถอะ ข้าต้องกลับไปทำงานแล้ว เหลือเกินจริงๆ…”
ว่าไปแล้ว มองจากโพรงนั้นก็เห็นว่าข้างนอกฟ้ามืดแล้ว ผ่านเรื่องมากมายขนาดนี้ ตอนนี้คงเป็นตอนกลางดึกแล้วสิ
หลังจากอาจารย์ออกไป ลาน่าก็แอบยิ้มแล้ววิ่งเข้ามา
“ความรู้สึกตอนกลายเป็นมนุษย์นกมันเป็นยังไงนะ”
“ไม่รู้สึกหรอก…ว่าแต่เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“หลังจากเจ้าถูกแบกมาไว้ที่ห้องนี้เหรอ? ตอนนั้นพวกเรากำลังตรวจสอบเขตแดนที่ติดตั้งบนสนามต่อสู้จริง แต่จู่ๆ ตาแก่นั่นก็มองทางห้องนี้แบบจริงจัง ผ่านไปไม่กี่วินาที ก็เกิดระเบิดขึ้น ใช่ไหม”
“อืม”
ฟาลันพยักหน้า
ยัยนี่แกล้งทำเป็นสงบจนดูเป็นปกติจริงๆ น่ากลัวจัง
“ตอนที่พวกเรามาถึงที่นี่ ก็เห็นเจ้าที่มีปีกหนึ่งข้างนอนหมดสติอยู่ อาจารย์แมรี่กับหัวหน้ารีดเลยให้ปิดสถาบันทันที แล้วห้ามนักเรียนเข้าใกล้ที่นี่”
ดูท่ากลิ่นอายของอันเดดจะฟุ้งออกไปจริงๆ มันจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมฟาลันถึงรีบใช้บอลสีดำลูกนั้น
ทันใดนั้น ผมก็รู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย มองดูดีๆ ยัยลาน่ากำลังถอนปีกของผมมาก้านหนึ่งนี่เอง
ขน!
“เธอทำอะไรน่ะ!”
“ไม่มีอะไรร้ายแรงซะหน่อย ยังเหลือขนอีกตั้งเยอะ ไม่เป็นไรหรอกน่า”
ถือขนปีกของผมส่องกับแสงไฟ ลาน่าก็หัวเราะคิกคักแล้วหยิบขวดใบหนึ่งออกมาเก็บขนปีกเข้าไป
ถึงบอกให้เธอคืนผม เธอก็คงไม่ฟังสินะ? ถ้าหุบปีกได้ก็ดีสิ
หุบปีกเทวดาได้ไหมนะ?
ใช่ / ไม่
ขณะที่ผมคิดแบบนี้ หน้าต่างควบคุมอันคุ้นเคยก็เด้งออกมา
พระเจ้า ผมลืมเรื่องนี้ได้ยังไง!
“งั้นพวกเราไปก่อนล่ะ พรุ่งนี้เจอกัน พักผ่อนให้พอล่ะ”
ลาน่าที่ได้ขนปีกดูพึงพอใจอย่างมาก ดึงแขนฟาลันแล้วเดินออกไป
‘ข้าจะมาหาเจ้าตอนตีสาม’
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงวิญญาณของฟาลัน เงยหน้ามองไป พวกเธอก็ปิดประตูออกไปแล้ว
มาที่ห้องผู้ชายกลางดึกจะไม่เป็นไรจริงเหรอ? แต่อีกฝ่ายเป็นเนโครแมนเซอร์ ผมจึงไม่กล้าคิดเพ้อเจ้ออีก
เห็นชื่อของพวกเธอที่หลังกำแพงค่อยๆ ห่างออกไป ในที่สุดผมจึงถอนหายใจโล่งอก
เอาล่ะ ตอนนี้ผมก็สามารถวิเคราะห์ปีกได้อย่างสบายใจแล้ว!
แต่เดี๋ยวก่อน…
“ทำไมกำแพงห้องที่ผมอยู่ถึงมีรูเบ้อเร่อเลยล่ะ!”
“เฮ้ย ได้ยินข้าพูดไหม?”
ผมยังมองแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ดูไม่สมจริงที่ปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้า ทันใดนั้น เสียงเรียกอันดังก้องก็ลอดผ่านหูของผม
แต่ผมแยกแยะเสียงคนที่พูดอย่างรวดเร็ว
“ฟาลัน ทำไมคุณถึง…”
“อย่าลืมว่าข้าคือเนรโครแมนเซอร์ พูดคุยกับคนตายเป็นของถนัดข้าเลย แม้ว่าเป็นใกล้ตายก็คือการเข้าใกล้ความตายแล้ว งั้นข้าก็สามารถพูดคุยกับวิญญาณเจ้าได้ ไม่ใช่เหรอ~”
อีกฝ่ายมองผมที่อยู่กลางอากาศด้วยรอยยิ้ม ไม่ น่าจะบอกว่าวิญญาณของผมถึงจะถูก
“พูดแล้วก็ใช่…จะว่าไปพวกเธอเถียงอะไรกันอยู่?”
“คือว่า ข้าบอกได้แค่ว่าคนที่เจ้ารู้จักล้วนเป็นคนดี นอกจากคนที่ชื่อว่าอาร์ย่า ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่สนใจเรื่องอาการบาดเจ็บของเจ้าแม้แต่น้อย แต่คนอื่นต่างเป็นห่วงเจ้ามาก”
“มิน่าล่ะ พวกเธอกำลังลองใช้เวทรักษาผมอยู่เหรอ?”
แสงสีขาวบนสนามและแสงสีขาวสองเส้นที่ลงมาจากฟ้า นอกจากเวทรักษาผมก็คิดความเป็นไปได้อื่นไม่ออกอีกแล้ว
“ใช่แล้ว ทว่า พวกนางไม่มีทางทำได้”
ฟาลันพูดอย่างมั่นใจ
“ไม่มีทางทำได้?”
“ใช่แล้ว”
ฟาลันส่งยิ้มมีเลศนัยให้ผม จากนั้นก็พูดขึ้น
“ตามการสันนิษฐานของข้า เจ้าในตอนนี้ไม่ถือว่ามีชีวิตอยู่แล้ว ก็หมายความว่าเจ้าเป็นตายครึ่งหนึ่ง เวทรักษามีผลแค่กับคนที่มีชีวิตอยู่ หากตายไปแล้ว ก็อยู่ในเขตแดนของความตาย”
“ก็หมายความว่า คุณมีวิธีใช่ไหม?”
“ใช่แล้ว”
“ได้ๆ เคห์ลานีนักเวทนางฟ้าเนโครแมนเซอร์สุดสวยน่ารักผู้ยิ่งใหญ่ ขอถามว่าคุณมีวิธีช่วยให้ผมฟื้นคืนชีพได้ไหม?”
“ดูท่าเจ้าคงใจลอยตอนเรียนวิชาความรู้เวทมนตร์ทั่วไปสินะ เจ้าไม่รู้เหรอว่าในโลกนี้มีเพียงคาถาคืนชีพของเวทอันเดดของพวกเราที่สามารถชุบชีวิตคนตายได้?”
“คาถาคืนชีพ?”
ผมก็ว่าทำไมไม่เคยเห็นของแบบนี้ในหนังสือเลย ที่แท้คาถาคืนชีพเป็นส่วนหนึ่งของเวทอันเดดนี่เอง?
แต่ผมต้องยอมรับจริงๆ ว่าผมนอนหลับในวิชาความรู้เวทมนตร์ทั่วไป
“แต่ตอนนี้คุณก็ใช้ไม่ได้สินะ? การใช้เวทอันเดดต่อหน้าผู้คนอะไรแบบนี้”
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ข้าคิดว่าอีกไม่ช้าก็คงได้”
อีกฝ่ายหัวเราะอย่างมีความสุข ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ตามที่ผมรู้ ถ้ายัยนี่ไม่ได้ผลประโยชน์อะไร คงไม่ทำการเคลื่อนไหวแน่
แต่ผมรู้สึกแปลกใจต่อคาถาคืนชีพอย่างมาก ยังไงซะสำหรับคนบนโลกนี้แล้ว ถ้าจิตวิญญาณพวกเขาไม่แข็งแกร่ง กายเนื้อตายไปก็จะตายจริง
และเวทมนตร์ประหลาดอย่างคาถาคืนชีพ ทำไมถึงถูกประทับตรารวมกับเวทอันเดดล่ะ? ไม่เข้าใจจริงๆ
เรื่องราวไม่เกินความคาดหมายของฟาลัน หลังจากนั้นไม่นาน แสงสองเส้นที่ตกลงจากท้องฟ้าก็ค่อยๆ หายไป ขณะเดียวกัน เส้นสีขาวรอบพื้นที่ที่เชื่อมกับร่างของผมก็ค่อยๆ อ่อนแอลง
“พวกเขารู้แล้วว่าเวทรักษาธาตุแสงไม่ช่วยอะไรเจ้าสักนิด และกำลังจะย้ายเจ้าไปที่ห้องพยาบาลของสถาบัน”
มองไปตามสายตาของฟาลัน ผมก็มองไปที่ข้างๆ ร่างของผม
อาจารย์แมรี่กำลังพูดบางอย่างกับคนแก่ที่สวมชุดกันลมสีเข้มทั้งตัว แล้วชายกำยำสี่คนก็วิ่งเข้ามาในสนาม ยกร่างของผมขึ้น เดินออกไปจากสนาม
ขณะเดียวกัน คนแก่คนนั้นยังยื่นมือมาอัญเชิญเวทมนตร์บนร่างของผม ดูจากลวดลายแล้วคงเป็นเวทแสงแน่ๆ
สีหน้าของคนแก่ถูกหนวดเคราและเส้นผมปกคลุมจนเห็นการแสดงออกบนใบหน้าของเขาไม่ชัด แต่ว่า ดูจากการใช้เวทรักษาขั้นต้นแล้ว เขาดูเหมือนรู้ดีว่าเวทรักษาไม่ช่วยอะไรผม ตอนนี้เลยเพียงแค่ลองทำดูเท่านั้น
ผมมองไปที่แผ่นอกของเขาอย่างถี่ถ้วน ตรานักเวทบนนั้น…เขาเป็นนักเวทแสงแท้จริงด้วย
จะว่าไป ในโลกนี้นักเวทก็มีความแตกต่างด้านเลเวลอยู่ ผมไม่ได้ศึกษาจนมากมาย แต่เบื้องต้นแล้วคนที่อยู่ภายในเลเวล 20 จะได้รับตรานักเวทขั้นต้น ต่อมาก็คือนักเวทแท้ เลเวลสูงขึ้นอีกจะเป็นนักเวทปัญญาและนักเวทปฏิญาณ
แต่ว่า…ตอนนี้ไม่อาจตัดสินสถานะของเขาได้เลย เพราะตอนนี้แม้แต่ชื่อ สถานะ หรือข้อมูลอื่นของเขาก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม
เกินไปแล้ว! แถวเครื่องหมายคำถามนี่มันอะไรกัน!
ทว่า มันดูเหมือนตอบรับการสันนิษฐานเมื่อกี้ของผม เครื่องหมายคำถามบนศีรษะของอีกฝ่ายก็เกิดความเปลี่ยนแปลง
??? ??? เลเวล ?? นักเวทแสง นักเวทแท้ ??? ???
โธ่เอ๊ย หรือผมต้องไปหาเวทที่สามารถมองเห็นสถานะของคนอื่นได้? อย่างเช่นเวทจำพวกวินิจฉัยหรือเวทสำรวจ ไม่งั้นความสามารถในการมองเห็นสถานะของคนอื่นก็เสียเปล่าสิ?
มันกลับอธิบายได้ว่าเบื้องต้นแล้วผมจะมองไม่เห็นคนเลเวล 30 ขึ้นไป ไม่ใช่ไม่มี แต่เป็นผมเองที่มองไม่เห็นเลเวล
ดูท่าเลเวลที่สามารถเห็นได้คงมีจำกัด ดูแล้วการมองเห็นอาชีพและฉายาของอีกฝ่ายคงต้องมีเลเวลที่ต่างกันเล็กน้อย
“ข้าไม่ชอบกลิ่นบนตัวไอ้หมอนั่นเลย”
ฟาลันพูดแบบนี้
“เขาคงมีความสามารถยับยั้งคุณสินะ?”
“ฮึ่ม ก็เป็นแค่พวกที่คิดว่าตัวเองถูกเสมอเท่านั้นแหละ! วางใจเถอะ ข้าจะตามไปช่วยเจ้าเอง”
“คุณไม่รู้สึกว่าวันนี้คุณดูกระตือรือร้นไปหน่อยเหรอ?”
“ข้าแค่ต้องการใช้เวทอันเดดที่ไม่ได้ใช้มานานเท่านั้น”
ฟาลันยักไหล่ แล้วตามออกไป
ถึงผมจะไม่อาจควบคุมการลอยของวิญญาณผมได้ แต่ว่า หลังจากร่างของผมจากไปแล้ว ผมก็รู้สึกว่าผมคอยๆ ลอยตามไป
ไม่นาน พวกเราก็มาถึงห้องพยาบาลพิเศษของสถาบัน
ถึงบอกว่าเป็นห้องพยาบาล แต่ขณะเดียวกันยังเป็นอาคารวิจัยของนักเล่นแร่แปรธาตุ ถึงที่นี่จะมีห้องพยาบาล แต่ว่า การใช้ยาต่างๆ มารักษาในกรณีบางอย่างก็มีความจำเป็น ยังไงซะอาศัยเวทในการรักษาจนเกินไปจะไม่ดีต่อร่างกาย
ลองจินตนาการดูว่าคุณถูกคนฟันจนเป็นแผลแล้วใช้เวทมนตร์สมานแผลอย่างรวดเร็ว ฟันอีกครั้ง ก็สมานแผลอย่างรวดเร็วอีกครั้ง มันดูไม่ต่างอะไรจากการต้องโทษสูงสุดเลย
วางร่างของผมไว้บนเตียง ชายแก่ก็สั่งให้ชายกำยำพวกนั้นออกไป แล้วเดินมาข้างร่างของผม
พระเจ้า หมอนี่คงไม่ได้เป็นเกย์ใช่ไหม? เขาคิดจะทำอะไรกับร่างผม!
เห็นหนวดเคราที่สั่นไหวของเขา คงพูดบางอย่างแน่นอน แต่ผมไม่ได้ยินว่าไอ้หมอนี่พูดอะไรเลย บ้าเอ๊ย!
ผ่านไปสักพักหมอนั่นถึงพูดจบ พอเป็นคนแก่แล้วจะพูดมากงั้นเหรอ?
หมอนั่นส่ายศีรษะ แล้วหมุนตัวออกจากห้อง
ชื่อของเขาค่อยๆ ห่างออกจากห้องไป และอีกทางหนึ่ง ชื่อของอีกคนก็เข้ามาใกล้ช้าๆ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นฟาลัน
“ความเงียบของคนตาย”
ขณะเข้าห้อง ฟาลันได้ร่ายเวทอยู่ที่ประตู แล้วเดินเข้ามา
“เอาล่ะ ภายใต้เขตแดนเวทมนตร์นี้ คนข้างนอกจะไม่รู้สึกถึงเวทอันเดดของข้า และแน่นอน เวลามีจำกัด มันมีผลแค่สิบนาที แต่มันก็เพียงพอแล้ว”
ไฟสีดำโผล่ออกมาจากตัวฟาลันจากล่างขึ้นบน จากนั้น เคห์ลานี เนโครแมนเซอร์สีดำทั้งตัวก็ปรากฏตรงหน้าผม
“อื้ม กลิ่นของคนตายนี่ดีที่สุดเลย มาเถอะ พวกเรา เริ่ม~ กัน~ เลย~”
ถึงเป็นรอยยิ้มแบบเดียวกัน แต่รอยยิ้มของยัยนี่ในตอนนี้กลับทำให้ผมรู้สึกไม่ดี
อืม อันตรายสุดๆ!
เมื่อไปถึงห้องเรียน อาจารย์คนสวยของพวกผมก็เดินไปบนแท่นบรรยายแล้ว ผมฉวยโอกาสตอนเธอไม่เห็น รีบย่องเข้าไป
“วันนี้เข้าห้องตอนเข้าเรียนพอดีอีกแล้ว ดูท่าเมื่อคืนเจ้าคงขยันเรียนมากเลยสินะ”
ซวยแล้ว ยังโดนจับได้อีก
“ฮ่าๆๆ เปล่านะครับ”
ช่วยไม่ได้ ถ้าไม่ให้เหตุผลคงตายแน่
“คือเมื่อเช้าผมพบกับฮีลอีกแล้ว…”
“…”
อาจารย์จ้องผมตาเขม็ง แล้วถอนหายใจ
“เอาล่ะ ข้าจะลองพูดกับอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาดู คราวหน้าอย่ามาสายอีก!”
“ครับๆ”
“จริงจังหน่อย!”
“ครับ…”
ผมรีบหาที่นั่งลง หยิบสมุดที่เตรียมไว้ออกมาแล้วเริ่มจดบันทึก
อาจารย์ของพวกผมชื่อ “แมรี่ สเตป” เป็นซอร์เซอเรอร์ (Sorceror) สายน้ำแข็งเลเวล 26 อายุไม่แน่ชัด คาดว่าอายุระหว่างยี่สิบถึงสามสิบปี สัดส่วนไม่อาจคาดเดาได้ เพราะเธอสวมชุดคลุมยาว ฉายาไม่ทราบ เพราะมีแต่เครื่องหมายคำถาม
ผมเป็นสีฟ้าอ่อนมาก ดูให้ความรู้สึกขมุกขมัว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลจากการเพิ่มเวทมนตร์หรือไม่ แต่ปกติแล้วเธอมักจะซ่อนผมไว้ใต้ผ้าคลุม โธ่เอ๊ย สวยขนาดนี้แท้ๆ จะซ่อนไปทำไม
แต่จุดเด่นที่สุดของเธอไม่ใช่ความสวย แค่เป็นซอร์เซอเรอร์ก็สุดยอดแล้ว มันแตกต่างจากนักเวท อาชีพซอร์เซอเรอร์เป็นขั้นสูงของนักเวท นักเวทมีเพียงสติปัญญาที่เพิ่มเข้ามา ส่วนซอร์เซอเรอร์จะมีสติปัญญาและพลังจิตเพิ่มเข้ามาด้วย หรือแปลว่า ในซอร์เซอเรอร์จะมีเวทมนตร์พลังจิตสายใหม่หนึ่งอย่าง และเบื้องต้นถ้าพบกับการโจมตีเวทพลังจิต นักเวทธรรมดาก็มักถูกปราบปรามได้
แน่นอน อาจารย์แม่รี่ของพวกเราคือซอร์เซอเรอร์น้ำแข็ง เชี่ยวชาญเวทน้ำแข็ง แต่คุณดูสิ หากตอนที่นักเวทสองคนต่อสู้กัน ถ้าคนหนึ่งสามารถทำให้อีกคนได้รับการโจมตีทางจิตใจได้ หากอีกฝ่ายเล็งเวทไม่ได้ เรื่องที่เหลือก็คงง่ายดายแล้ว
ยังไงซะผมก็เคยลิ้มลองความรู้สึกแบบนั้น มันแย่กว่าเมาเหล้าซะอีก
แน่นอน มีนักเวทประเภทหนึ่งที่ไม่อาจได้รับการรบกวนทางจิตใจ นั่นก็คือเนโครแมนเซอร์ และน่าเสียดายที่ที่นี่มีแค่คนเดียว
“นาย ไปจีบรุ่นพี่โฟร์ไนท์มาอีกแล้วเหรอ!”
คนที่นั่งอยู่ข้างผมเป็นหนึ่งในเพื่อนซี้ที่รู้จักกันในชั้นเรียน ไคลน์ เคลลี่ เขามีความรู้สึกดีๆ ต่อลาน่ามาตลอด แต่เขามีเลเวลแค่ 13 การจะเข้าใกล้ลาน่าก็มีคงมีแต่ความตาย
แต่หมอนี่ก็มองโลกในแง่ดี เข้าใกล้ไม่ได้ ก็แค่หาคนที่เข้าใกล้ได้ก็ได้ไม่ใช่เหรอ? ดังนั้น หมอนี่เลยขอให้ผมซื้ออาหารเช้าจากลาน่า แน่นอนว่าจ่ายด้วยส่วนแบ่งของผม
ถึงแม้หมอนี่จะไม่ใช่ชนชั้นสูง แต่ตระกูลก็ทำการค้าใหญ่ เพราะงั้นก็เลยไม่เคยมีปัญหาเรื่องเงิน
“ยัยนั่น…คิดแต่เรื่องเงินทุกวัน ไม่เอาเวลาไปใส่ใจเรื่องอื่นนอกจากนั้นหรอก”
นอกจากเรื่องแกล้งคนน่ะ
“ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น…ฮ่าฮ่าฮ่า”
“ฟีล!”
ชิบหายแล้ว อาจารย์จะโกรธแล้ว!
“ไม่เกี่ยวกับผม หมอนี่มันหัวเราะใส่ผม!”
“…เลิกเรียนแล้วมาหาข้าที่ห้องทำงาน!”
“กะ…ก็ได้ครับ”
ช่วยไม่ได้ ถึงผมไม่ไป ตอนออกไปจากห้องเรียนก็คงโดนอาจารย์แมรี่คุมตัวไว้อยู่ดี
หลังจากจ้องไคลน์อย่างดุร้าย ผมก็ละสายตาไปทางแท่นบรรยายอีกครั้ง
หลังจากมาถึงที่นี่ ในที่สุดผมก็เข้าใจถึงระดับเทคโนโลยีของโลกนี้ ใช่แล้ว ระดับเทคโนโลยี ซึ่งของที่เดลวิจัยออกมาไม่ได้อยู่ในขอบเขตนี้
อันที่จริงโลกนี้ก็มีสิ่งที่คล้ายกับคอมพิวเตอร์ และคำเรียกของที่นี่ก็คือเครื่องวิเคราะห์กับดาต้าเทอร์มินัล
โดยทั่วไปแล้ว สองสิ่งนี้จะใช้ได้แค่ในสถาบัน ทว่า สิ่งของพวกนี้ก็สามารถซื้อได้ตามท้องตลาด
แต่ว่ามันมีขนาดใหญมาก ไม่มีทางพกพาแบบโน๊ตบุ๊คได้
และบนแท่นบรรยายของพวกเราก็มีหน้าจอขนาดใหญ่ ภาพเวทมนตร์ ข้อมูลเปรียบเทียบ ข้อมูลอ้างอิงอะไรทั้งหมดล้วนถูกแสดงไว้ สิ่งนี้ทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคย
อุปกรณ์ที่เยี่ยมที่สุดก็อยู่ที่ห้องสมุด และสิ่งที่ฟาลันใช้ดูข้อมูลประกาศจับของผมก่อนหน้านี้ก็คือของแบบนั้น
หากใช้สถาบันเป็นศูนย์กลาง เทอร์มินัลของห้องสมุดกลางเมืองรอบข้างต่างก็สามารถส่งต่อข้อมูลซึ่งกันและกันได้ นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมประกาศจับของผมถึงถูกส่งมา
ทว่า ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร โชคดีที่ไม่มีภาพเวทมนตร์เหลืออยู่ ไม่งั้นคงเป็นปัญหาแน่
ถ้าคิดอยากใช้คอมพิวเตอร์ของที่นี่เล่นเกมอะไรก็เลิกคิดได้เลย หน่วยประมวลผลของที่นี่ช้ากว่าเครื่องคิดเลขที่ผมเคยใช้ซะอีก อย่าหวังว่ามันจะใช้เล่นเกมได้ ยิ่งไปกว่านั้นความบันเทิงของที่นี่ก็ไม่ได้ล้ำหน้าขนาดนั้น
ยังไงซะสหพันธ์ทางเหนือของทวีปที่สร้างขึ้นโดยใช้สถาบันเวทมนตร์เกรย์กับโรงเรียนทหารโทโก้เป็นศูนย์กลางก็เพิ่งสงบมาได้ไม่ถึงห้าสิบปี ทั้งยังมีพวกชื่นชอบสงครามอย่างราชาแห่งอาณาจักรเชอร์ฟาเกิดขึ้นอยู่ตลอดอีกด้วย
ความสงบสุขหรืออะไรก็ตาม ก็เป็นแค่ของที่ถูกสร้างบนแผ่นกระดาษ อาจเสื่อมสลายด้วยเหตุผลที่ไม่คาดคิดได้ตลอดเวลา
อ่า น่ารำคาญเวลาแบบนี้ที่สุด หลังจากรวบรวมข่าวสารแบบนี้แล้ว เนื้อเรื่องหลักที่คิดได้เพียงอย่างเดียวก็มีแค่กระตุ้นสงคราม เส้นทางอื่นนอกเหนือจากนี้ผมก็ยังคิดไม่ออก
คงไม่มีทางมีจอมมารหรืออะไรปรากฏตัวหรอก…
…
บางทีอาจจะมีเนื้อเรื่องประหลาดเช่นจอมมารที่ออกไปทำงานพาร์ทไทม์ ผู้กล้าไม่มีเงินเลยไปทำงาน ลูกสาวของจอมมารไปทำงานอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นก็ได้
พอก่อน จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ
ฮ่าฮ่าฮ่า เควสต์หลักนะเควสต์หลัก ถึงแม้ไม่มีเควสต์หลักแต่ให้เควสต์ย่อยอะไรกับผมบ้างก็ได้ ผมอยากเรียนเวทมนตร์ระดับสูง! ถึงแม้จะไม่มีสกิลพวกล่องหน เทเลพอร์ตอะไรพวกนี้ ก็ให้ของพวกสกิลบินเอย ปืนแม่เหล็กไฟฟ้าเอย หรือของที่น่าสนุกอะไรบ้างเถอะ ทุกวันนี้มีแต่ธนูน้ำแข็ง บอลไฟ มีดพายุ ที่ดูยังไงก็เป็นแค่ของเด็กเล่น
ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังเห็นข้อมูลน่าสนใจเยอะแยะในฐานข้อมูลของห้องสมุด บนโลกนี้ยังมีเผ่าพันธุ์รูปร่างมนุษย์เผ่าอื่นอีก เช่นเอลฟ์ ออร์ค….เผ่าอื่นก็ช่างมัน แต่เอลฟ์กับสาวหูแมวต้องคุ้มค่าแก่การมองอย่างแน่นอน!
ต้องได้เห็นสิ่งมีชีวิตหายากสักหน่อยถึงจะมาโลกนี้อย่างไม่เสียเปล่า
คิดแล้วก็ตื่นเต้น แต่น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้พบ
ยังไงซะตามข้อมูลแล้ว เอลฟ์อาศัยอยู่ในป่าทางตะวันตก ส่วนออร์คส่วนใหญ่ก็อยู่ในเทือกเขาทางเหนือ และสองเผ่าพันธุ์นี้…จะว่ายังไงล่ะ ส่วนหนึ่งในนั้นยังต่อต้านมนุษย์ เหตุผลเป็นเพราะอะไรผมไม่ต้องอ่านต่อก็รู้ได้เลย เพราะงั้นเลยข้ามไปทันที
ทว่า ดูเหมือนที่นั่นจะน่ากลัวมาก เลเวลของผมแค่กะเอาด้วยตาก็รู้แล้วว่าเป็นการรนหาที่ตาย
เพราะงั้นตอนนี้ต้องเรียนให้ดีเพื่อเพิ่มเลเวลอยู่ในสถาบัน แล้วค่อยไปวุ่นวายกับปัญหานี้
“เอาล่ะ นี่คือเรื่องทั้งหมดสำหรับวันนี้ พวกเราค่อยพบกันที่สนามต่อสู้จริงภายหลัง ฟีล มาห้องทำงานข้า”
“ไปดีมาดีล่ะ”
ไคลน์ตบไหล่ผมแล้วพูด ผมจึงปัดมือเขาแล้วแค่นเสียง
“ความผิดนายไม่ใช่รึไง!”
“ข้าให้โอกาสเจ้าได้อยู่กับอาจารย์คนสวยเลยนะ”
“ชิ ฉันยังไม่สิ้นหวังถึงขนาดแม้แต่อาจารย์ก็ไม่ปล่อยไปหรอกนะ”
“ถ้าข้าบอกว่าเจ้าว่าอายุจริงของนางแค่ยี่สิบเอ็ดเท่านั้นล่ะ?”
“…”
ผมครุ่นคิดชั่วขณะแล้วพยักหน้า
“แบบนี้สิถึงเป็นเพื่อนกัน”
ผมเดินเข้ามาห้องทำงานของอาจารย์แมรี่ภายใต้สายตาเห็นใจของเพื่อนร่วมชั้น
ยัยนี่ก็ไม่ต่างจากพวกฟาลันเลย ทั่วทั้งห้องทำงานรกรุงรังจนไม่น่ามอง
หืม? ผมเหมือนเห็นชุดชั้นในสีม่วงอยู่ใต้กองหนังสือด้วย…แต่ว่าเงียบไว้คงดีกว่า หลังจากยืนยันอายุของอาจารย์ได้แล้วค่อยตัดสินใจอีกทีว่าจะเอาไปด้วยดีไหม
เธอ…มองยังไงก็ไม่เหมือนคนอายุยี่สิบเอ็ดเลย…
หลังจากเข้าประตูแล้วเธอก็เดินก้าวใหญ่ไปนั่งบนที่นั่งตัวเอง จากนั้น ก็ชี้ไปโซฟาด้านข้าง
ผมย่อมไปนั่งลงทันที นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมถูกเรียกมาในเดือนนี้ ทว่า เรื่องอย่างว่าไม่เคยเกิดขึ้นในห้องทำงานมาก่อน สิ่งที่เกินไปที่สุด ก็เพียงแค่สูบค่ามานาจนหมดต่อหน้าเธอ แล้ววิ่งรอบสนามอีกสิบรอบเท่านั้น
แต่ขณะที่ใช้เวทจนหมดนั้นช่างทรมานจริงๆ
“ที่เรียกเจ้ามาครั้งนี้ไม่มีเหตุผลอื่น ง่ายมาก แค่ชนะการแข่งขันชั้นปี”
“น่าจะไม่มีปัญหา…นอกจากจะพบสายเพลิง”
ผมตอบกลับทันที เพราะสายเพลิงชนะสายน้ำแข็ง
ถึงแม้เลเวลของผมจะค่อนข้างต่ำ ยิ่งไปกว่านั้นภาคทฤษฎีก็แย่ แต่ว่า ภาคปฏิบัตินั้นสำหรับผมแล้วก็ไม่มีปัญหา
“เจ้าตอบได้สบายเกินไปไหม? นี่เป็นถึงการแข่งขันชั้นปีเชียว”
อาจารย์แมรี่พูดอย่างไม่พอใจ
“ผม ก็ใช่”
ผมพยักหน้า ถอยกลับไปหนึ่งก้าว จากนั้นก็แสดงท่าทางประหลาดใจอย่างยิ่ง
“อะไรนะ! การแข่งขันชั้นปี! ให้ผมที่เพิ่งเข้าเรียนเข้าร่วมของแบบนี้จะดีเหรอ!”
“เอาเถอะๆ เสแสร้งจนข้าดูต่อไม่ไหว”
“คุณขอผมเองไม่ใช่เหรอ…”
อาจารย์แมรี่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา หนึ่งเดือนมานี้ การแขวะไปมาระหว่างผมกับอาจารย์แมรี่ไม่ได้มีแค่ครั้งสองครั้ง จนทุกคนต่างก็เคยชินแล้ว
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่ว่า ครั้งนี้เจ้า…ต้องอยู่ทีมเดียวกับองค์หญิงสโนว์ ยิ่งกว่านั้น จะต้องให้เธอเป็นคนโจมตีเอาชนะฝ่ายตรงข้าม อย่ามองข้าแบบนั้น เจ้าก็รู้ดี เรื่องการเมืองอะไรพวกนั้นน่ะ”
“ขอถามว่าผมไม่เข้าร่วมได้ไหม?”
“ไม่ได้ มันเกี่ยวโยงไปถึงการทำงานของข้า เจ้าคิดว่าชั้นเรียนของพวกเรายังมีใครมีความสามารถในการต่อสู้ภาคปฏิบัติที่แข็งแกร่งเท่าเจ้าอีกเหรอ? ไม่เยอะเลย อย่างน้อยชนะสนามเดียวก็พอแล้ว ใช่แล้ว ข้าลืมบอก ถ้าเจ้าไม่เข้าร่วม ข้าจะคอยตามเจ้า จากนั้นจะให้เจ้าใช้ชีวิตตามปกติไม่ได้”
เวทมนตร์ของยัยนี่ทำได้แน่นอน “อาจารย์ ทำไมผมคุณต้องมาเป็นอาจารย์ด้วยล่ะ? ผมว่าคุณไปสมัครเป็นโจรก็คงไม่มีปัญหา”
ผมพูดด้วยความจริงใจ
“ข้าขอรับน้ำใจของเจ้า แต่ว่า…”
อีกฝ่ายยิ้ม
“การเป็นอาจารย์ทำให้ทรมานคนอื่นได้อย่างถูกกฎหมายไง”
“ก็ได้ คุณชนะแล้ว”
พระเจ้าช่วย เควสต์ย่อยนี่…ยากเกินไปรึเปล่าเนี่ย?