ถ้าผมเกิดใหม่ใน RPG? (So What if it’s an RPG World !?) – ตอนที่ 20

ตอนที่ 20

สามชั่วโมงต่อมา ในที่สุดแผนของพวกเราก็สำเร็จก้าวแรก

แม่น้ำกว้างสองเมตรปรากฏตรงหน้าพวกเรา นี่แปลว่าการอาศัยสัมผัสด้านทิศทางของผมกับแผนที่ที่แสดงเพียงตำแหน่งแม่น้ำมายืนยันตำแหน่งของพวกเรานั้นไม่เป็นปัญหา

ถึงแม้ว่าแม่น้ำจะไหลเร็วมาก แต่คุณภาพน้ำกลับดีมาก ยืนอยู่ริมฝั่งก็สามารถมองเห็นก้นแม่น้ำและปลาตัวเล็กได้

ผมยื่นมือลงไปในน้ำ น้ำที่เย็นสดชื่นทำให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาในทันที

“ไม่ไหวแล้ว เหนื่อยจะตายแล้ว!”

ผมยังดื่มด่ำกับความงามของธรรมชาติ ข้างหลังกลับมีเสียงที่ทำให้หมดกำลังใจดังขึ้นมา ผมหันไปมองอย่างจนใจ กลับพบว่าฮีลกำลังพิงใต้ต้นไม้ข้างๆ อยู่ ท่าทางเหมือนกำลังจะตายแล้ว

กำลังกายของหมอนี่แย่แค่ไหนกันเนี่ย ปกติแล้วหมอนี่อยู่แต่บ้านอ่านหนังสือจริงๆ ใช่ไหม?

“ขอร้องล่ะ พวกเราแค่เดินมาตลอดทางนะ? ไม่ได้วิ่งสักหน่อย”

“เมื่อก่อนข้า…เคยเดินมากสุดก็แค่หนึ่งชั่วโมงเอง ไม่…เคยเดินนานขนาดนี้เลย”

อีกฝ่ายหอบไปด้วยตอบผมไปด้วย

โอ้ โธ่เอ๊ย ควรด่าเขาเรื่องชนชั้นสูงที่เอาแต่ใจเกินไปหรือว่าจริงจังในการอ่านหนังสือเกินไปดีล่ะ?

ถึงแม้หลังจากผมมาถึงโลกใบนี้แล้วกำลังกายจะดีกว่าเมื่อก่อนมาก แต่ว่า แม้ว่าเป็นเมื่อก่อนที่อยู่บ้านเป็นประจำ หากต้องเดินสี่ถึงห้าชั่วโมงก็ไม่มีปัญหาแน่นอน ไอ้หมอนี่เดินแค่สามชั่วโมงก็เหนื่อยจนเป็นแบบนี้แล้ว อ่อนแอเกินไปไหม?

“ช่างเถอะ ในเมื่อเห็นเป้าหมายแรกของพวกเราแล้วก็พักผ่อนเถอะ จากนั้นขอแค่พวกเราเดินตามแม่น้ำนี้ไป ก็คงไปถึงสถานที่น่าสงสัยแห่งนั้นได้ใช่ไหม?”

ถึงจะพูดแบบนี้ แต่ที่จริงแล้วผมก็ยังคงสงสัยในการตัดสินของตัวเอง

สถานที่น่าสงสัยแห่งนั้นควรค่าแก่การสำรวจ แต่ความจริงแล้วคงยากที่คนทั่วไปจะนึกถึงใช่ไหม? ยิ่งไปกว่านั้นก็คงไม่มีทางวาง ‘หัวใจคริสตัล’ ทั้งหมดไว้ที่นั่นที่เดียว ไม่งั้นคงทำให้คนอื่นเสียโอกาสที่จะสำเร็จไป

ยิ่งไปกว่านั้นปัญหาใหญ่ที่สุดในการตั้งทีมแบบพวกเขาก็คือการแจกจ่ายหัวใจคริสตัล ถ้าท้ายที่สุดจำนวนที่ได้รับไม่เท่ากับจำนวนคน ถึงตอนนั้นต้องเกิดปัญหาแน่นอน

แล้วคนที่มาฝึกฝนครั้งนี้ส่วนใหญ่ต่างก็เป็นชนชั้นสูง ต่อจากการแข่งขันด้านความแข็งแรงก็คือการแข่งขันด้านฐานะ เรื่องแบบนี้เป็นปัญหาที่สุด ผมจึงไม่อยากพบเจอ

นี่ก็เป็นสาเหตุที่ผมพยายามหลีกเลี่ยงทีมอื่น

ใช่แล้ว ตลอดทางที่มาผมสังเกตในป่ารอบด้านว่ามีชื่อของคนอื่นหรือไม่ ถ้ามองเห็นผมก็จะหลบเลี่ยง และแน่นอน ถ้าอีกฝ่ายเป็นสายดินกับสายพืชที่ใช้เวทหลบซ่อนลมหายใจ ผมก็คงไม่มีทางเลือก

ทว่า อาจารย์ที่ตามกลุ่มพวกผมกลับเดินตามอยู่ข้างหลังอย่างเปิดเผย ไม่ได้ใช้สกิลหรือเวทมนตร์ใดซ่อนตัวเองไว้

และเมื่อผมหันศีรษะกลับไปมองหลายครั้ง อีกฝ่ายก็น่าจะสังเกตว่าผมพบเขาแล้ว ผลคืออีกฝ่ายมักซ่อนตัวข้างหลังต้นไม้อยู่หลายครั้งในหนึ่งชั่วโมงนี้ แต่ก็ยังเดินตามมาตรงๆ

ตอนนี้ก็เป็นแบบนั้น ขณะนี้เขากำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ไกลออกไปห้าเมตร จ้องผลึกคริสตัลบนไม้คทาของตัวเองอย่างเหม่อลอย

อยากจะเข้าไปทักทายเขาจริงๆ แต่คิดแล้วก็ช่างมัน ยังไงซะเขาก็ต้องการแอบสะกดรอย ถ้าถูกผมจับได้ตอนนี้ อีกฝ่ายคงเขินแย่

ก่อนหน้านี้ฮีลก็พบอีกฝ่ายเช่นกัน ดูแล้วเขาก็คงสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายไม่แอบตามมา แต่ผมบอกเขาว่าทำเป็นไม่เห็นก็พอ

แล้วหมอนี่ก็ทำอย่างนั้นจริง

“ในเมื่อจะพัก ก็กินอะไรหน่อยสิ ข้าเตรียมอาหารมามากมายเลย”

จู่ๆ ฮีลก็พูดขึ้น เพิ่งหันมองไปที่เขา ก็เห็นเขายื่นของหวานมาให้

ใช่แล้ว มันคือของหวาน! แล้วยังดูเหมือนขนมที่อร่อยมากอีกด้วย! ระหว่างเค้กทุกชั้นมีครีมผลไม้แทรกอยู่ ด้านบนสุดยังตกแต่งด้วยช็อคโกแลตต่างๆ อีกด้วย

มันเป็นสิ่งที่แค่มองก็ทำให้ผมเต็มไปด้วยความอยากอาหาร ทำให้ผมหยุดไม่ได้จริงๆ แต่ผมก็ยังอยากบอกว่า…

พระเจ้า! หมอนี่หยิบอาหารออกมาจากตรงไหน!

รับเค้กมาโดยไม่รู้ตัว ฮีลก็เริ่มหยิบอาหารอย่างอื่นออกมาอีก

ของหวาน ขนม แล้วก็ขวดเก็บความร้อน หมอนี่คิดจะจัดงานเลี้ยงน้ำชาที่นี่เหรอ?

คนอื่นต่างก็กำลังหาสิ่งของกันอย่างสุดชีวิต นายกลับมีอารมณ์อะไรมานั่งดื่มชา!

จะว่าไป หมอนี่ก็เป็นชนชั้นสูง มีแหวนไว้เก็บของคงเป็นเรื่องปกติ ถึงผมจะได้มาวงหนึ่งตอนมาถึงที่นี่ ทั้งยังต้องเก็บซ่อนมันไว้ แต่เพื่อปิดบังสิ่งของที่ดีขนาดนี้ ผมจึงซื้อแหวนมิติที่ราคาค่อนข้างถูก แล้วเก็บเสื้อผ้าและยาไว้ในนั้นนิดหน่อย

แบบนี้ถึงจะโดนขโมยไปก็สูญเสียเงินเพียงเล็กน้อย ยังไงซะโลกใบนี้ก็ไม่มีฟังก์ชั่นมหัศจรรย์อย่างการตรวจเลือดจำแนกเจ้าของอยู่แล้ว

ทว่า…

ผมกลับเจอคนที่เก็บของหวานยกเซ็ตไว้ในแหวนเป็นครั้งแรก หมอนี่ต้องรวยแค่ไหนนะ!

“พวกเราแค่พักนิดหน่อย ทำไมนายต้องทำเหมือนจัดงานเลี้ยงล่ะ…นายเก็บของพวกนี้ไว้ในแหวน แล้วของที่ต้องใช้ล่ะ?”

“วางใจเถอะ ข้ายังมีแหวนอีกวง”

อีกฝ่ายตอบด้วยความเบิกบาน…ดูท่าหมอนี่คงให้ความสนใจกับการกินของหวานและการดื่มชา ซึ่งผมเห็นผู้ชายแบบนี้เป็นครั้งแรกจริงๆ

เฮ้อ…ช่างเถอะ ตามใจแล้วกัน ยังไงซะเค้กชิ้นนี้ก็ดูน่ากินจริงๆ

“อืม ใช่แล้ว…ฉันว่าเค้กก็ไม่เลว แต่หลังกินเสร็จพวกเราต้องเดินทางต่อแล้ว ไม่งั้นเมื่อไหร่จะไปถึงที่หมายล่ะ”

“เอ๋ ไม่ใช่ว่าพักสามชั่วโมงเหรอ?”

อีกฝ่ายมองผมด้วยใบหน้าเสียดาย…นี่มันสายตาอะไรกัน ทำไมผมมองแล้วรู้สึกว่าตัวเองผิดเลย!

ทำไมผู้ชายคนหนึ่งถึงมีแววตาเหมือนสัตว์ตัวน้อย ทั้งยังมีพลังทำลายล้างถึงขนาดนี้?

“ใครบอกว่าพักสามชั่วโมงล่ะ…อย่ามองฉันแบบนี้สิ…”

แต่อีกฝ่ายยังคงไม่คิดจะปล่อยผม…น่ากลัวจัง! หรือว่าหมอนี่มีเวทโจมตีทางจิตใจบางอย่างด้วย?

“เอาล่ะ…ได้ พักสองชั่วโมง แค่นี้พอแล้วนะ! แล้วระยะทางดูเหมือน…ต้องเดินอย่างน้อย 20 ชั่วโมงถึงจะไปถึงที่นั่น ถ้าพักตลอดคงไม่ได้”

“ได้ๆ งั้นก็พักสองชั่วโมงนะ ดื่มชาหน่อยไหม?”

“…แน่นอน”

ช่วยไม่ได้ เค้กมันหวานจนเกินไปนี่…

ขณะรับชา ผมรู้สึกเหมือนกับว่ามีคนเดินผ่านข้างหลังผม หมุนตัวไปมอง อาจารย์ที่เมื่อกี้ยังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ข้างๆ เดินมาข้างฮีลแล้ว

“เอาให้ข้าสักแก้วได้ไหม? ขอโทษที เมื่อกี้ข้าลืมพกน้ำมาด้วยตอนลงจากเรือเหาะ”

“ไม่มีปัญหาขอรับ”

ฮีลยังคงตอบพร้อมรอยยิ้ม

“เฮ้ยๆๆ คุณเป็นอาจารย์ผู้ดูแลจริงรึเปล่า? เดินมาขอดื่มชาแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ?”

อีกฝ่ายสวมฮู้ดอยู่ตลอดเลยมองเห็นไม่ชัด แต่ตอนนี้ผมมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนแล้ว

เส้นผมสีเขียวเข้ม แม้แต่ดวงตาก็เป็นสีเดียวกัน ใบหน้าไม่มีริ้วรอยใดๆ มุมปากมีรอยยิ้มชั่วร้ายเล็กน้อย

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นอาจารย์ที่แก่กว่าพวกเราแค่นิดเดียว แต่สิ่งที่เหมือนกับหัวหน้าคนก่อนหน้านั้น คือไม่ว่าจะเป็นชื่อ เลเวลหรือฉายาของหมอนี่ก็ล้วนเป็นเครื่องหมายคำถาม

“ไม่เป็นไรๆ ขอแค่ไม่มีพฤติกรรมช่วยพวกเจ้าก็ไม่นับว่าละเมิดกฎ อันที่จริง เจ้าก็พบข้าตั้งนานแล้วนี่? ทำไมไม่เข้ามาพูดคุยล่ะ?”

“ผู้ชายสามคนมีอะไรให้พูดล่ะ”

“สามคน…อย่างนี้นี่เอง แหม แบบนั้นก็ดีสิ วางใจเถอะ พูดคุยกับข้าก็ไม่นับเป็นเรื่องละเมิดกฎอะไร ข้าเป็นถึงคนที่ท่องกฎทั้งหมดในสถาบันได้อย่างแม่นยำ ขอเพียงไม่มีพฤติกรรมเกินกฎเกณฑ์ก็ถือว่าถูกกฎ ข้าคิดแบบนั้น เจ้าว่าไง”

หมอนี่ ทำไมผมถึงรู้สึกถึงกลิ่นอายของความอันธพาลจากตัวเขา…

“ใช่แล้ว ข้ารู้ชื่อของพวกเจ้าฟีลและฮีล แต่พวกเจ้าน่าจะยังไม่รู้ชื่อของข้าสินะ? ข้าชื่อว่าแรนดอล บูเคอริส เป็นอาจารย์ของชั้นเรียนสายวายุระดับสูง ฝากเนื้อฝากตัวด้วย”

คำที่อีกฝ่ายพูดดูไม่ใช่คำโกหก เพิ่งพูดจบ ข้อมูลของอีกฝ่ายก็แสดงออกมา

แรนดอล บูเคอริส

เลเวล ?? อาจารย์เวทสายวายุ ???

??? ??? ???

ดูท่าอาชีพของอีกฝ่ายคงไม่ได้มีแค่อย่างเดียว น่าเสียดายที่ผมมองไม่เห็น

ทว่า…หมอนี่กลับดูแล้วเหมือนพวกที่เข้ากันได้

“แปลว่า ขอเพียงไม่ทำเรื่องผิดกฎ ไม่ว่าทำเรื่องต่ำช้าแค่ไหนก็ไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“…”

อีกฝ่ายมองผมแล้วยิ้มออกมา

“ใช่แล้ว”

“ดีเลย งั้นคราวหน้าได้โปรดชี้แนะด้วย!”

จากการสังเกตในช่วงนี้ ก็นับว่าผมเข้าใจเรื่องการจำแนกสีชื่อของคนอื่นได้คร่าวๆ

ในกรณีทั่วไป ชื่อของคนอื่นจะเป็นสีขาว แต่ที่จริงแบบนั้นก็ไม่ดี เพราะถ้าเบื้องหลังของอีกฝ่ายขวางไว้ด้วยกำแพงสีขาว ผมก็แทบมองไม่เห็นอะไรเลย อย่าคิดว่าผมใช้เม้าส์เลื่อนไปคลิกขวาเพื่อสังเกตการณ์อีกฝ่ายได้ ถ้าทำได้ ผมคงรู้สึกขอบคุณระบบนี้

น่าเสียดายที่มันเป็นไปไม่ได้

แล้วก็ชื่อสีเหลือง ผมเคยเห็นแค่บนตัวผู้คุ้มกันเท่านั้น เมื่อพวกเขาเห็นผมแต่ไกล ก็จะเปลี่ยนเป็นชื่อสีเหลือง นั่นแปลว่าอีกฝ่ายระแวงผมอยู่ เมื่อยืนยันตัวตนของผมแล้ว อีกฝ่ายก็จะเปลี่ยนเป็นชื่อสีขาว

และอย่างที่สามคือสีแดง

จากการต่อสู้เป็นชุดในช่วงนี้ ข้อสรุปที่ได้ของผมคือชื่อสีแดงของอีกฝ่ายมีอยู่สองกรณี

กรณีแรกคือในกรณีที่ศัตรูเปิดการโจมตีผม ขอเพียงการโจมตีของอีกฝ่ายเกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าจะตีโดนผมหรือไม่ ชื่อของอีกฝ่ายก็จะกลายเป็นสีแดง

มันเป็นประโยชน์ต่อผมไม่น้อย ถ้าศัตรูล่องหนลอบโจมตีผมจากระยะไกล เมื่ออีกฝ่ายเล็งผม ชื่อจะกลายเป็นสีแดงทันที จากนั้นระบบเตือนภัยล่วงหน้าของผมก็จะทำสัญลักษณ์ลูกศรสีแดงไว้ ขอเพียงผมไม่ใจลอย การลอบโจมตีย่อมไม่สำเร็จ

อีกกรณีคือเมื่ออีกฝ่ายเกิดความอาฆาตต่อผม ใช่แล้ว ก็คือความอาฆาตแบบที่ต้องฆ่าผมให้ตาย ในตอนนั้นชื่อของอีกฝ่ายก็จะกลายเป็นสีแดงจนกว่าอีกฝ่ายจะไม่มีความอาฆาตต่อผมแล้ว

เหมือนในเกมลอบเร้น อีกฝ่ายจะตื่นตัวเมื่อพบคุณ จนกระทั่งอีกฝ่ายยืนยันว่าปลอดภัย

แน่นอน นอกจากนี้แล้วยังมีสถานะพิเศษอีกสองชนิดคือชื่อสีน้ำเงินและสีเขียว

ชื่อสีเขียวจะแสดงออกมากับเพื่อนที่ร่วมทีมกับคุณแล้ว ส่วนชื่อสีน้ำเงินคือคนที่อยู่สมาคมเดียวกับคุณ เหมือนหลังจากที่ผมเข้าร่วม ‘สมาคมปริศนาเรดลีฟ’ ตอนนี้ผมก็เห็นชื่อของฟาลันเป็นสีน้ำเงิน

สำหรับชื่อสีเขียวนั้นก็มีหนึ่งข้อกำหนดที่น่าสนใจมาก นั่นก็คือจะไม่ได้รับความเสียหายจากเพื่อนร่วมทีม แม้ว่าจะเป็นเวทมนตร์ที่ทรงพลังมากแค่ไหน ก็ไม่ได้รับผลกระทบทั้งสิ้น นอกจากเวทรักษาและเวทสถานะ

เรื่องนี้เหมือนกับที่เวทมนตร์ของตัวเองจะไม่สามารถทำร้ายตัวเองได้

ทว่าสถานการณ์ตอนนี้ชัดเจนอย่างมาก คนรอบๆ ต่างก็อาฆาตพวกเรา…อย่างน้อยก็อาฆาตผม

“อย่างไรทุกคนก็อยากชนะ เลยตื่นเต้นนิดหน่อยมั้ง”

“หวังว่า…จะเป็นแบบนั้นนะ”

ไม่งั้นชีวิตผมคงตกอยู่ในอันตรายแล้วล่ะ

“งั้นพวกเรามาตั้งทีมกันไหม ยังไงก็มี ‘หัวใจคริสตัล’ ทั้งหมดสิบชิ้น ถ้าพวกเราตั้งทีมกันก็คงแข็งแกร่งไม่น้อยเลยล่ะ”

“เอ๊ะ? เจ้าอยากอยู่ทีมเดียวกับข้าเหรอ?”

ดวงตาของฮีลเป็นประกายในพริบตา

“แน่นอนสิ! ฉันอยากอยู่แล้ว ทักษะการต่อสู้ของนายรวมกับความรู้เวทมนตร์ของฉัน พวกเราต้องหาหัวใจคริสตัลเจอแน่”

ฮีล เบลค กลายเป็นเพื่อมร่วมทีม ต้านทานคุณสมบัติลมเพิ่มขึ้น 5%

หลังเห็นการแจ้งเตือน ชื่อของฮีลก็กลายเป็นสีเขียว พอยืนยันแล้ว ผมก็มองสถานการณ์รอบๆ อีกครั้ง

คนอื่นก็เริ่มจับกลุ่มของตัวเอง ส่วนใหญ่แล้วเป็นการรวมกันของคุณสมบัติเดียวกัน

ในบรรดาคนที่ถูกส่งมาในครั้งนี้มีสายน้ำแข็งแค่หนึ่งคน ก็คือผม สายวายุหนึ่งคนก็คือฮีล นี่เป็นเพราะแต่ละคุณสมบัติจะต้องส่งคนมีความสามารถออกมาหนึ่งคน ส่วนตำแหน่งอื่นก็ถูกพวกชนชั้นสูงแย่งไปหมดแล้ว

เดิมทีฮีลก็เป็นชนชั้นสูง ซึ่งก็ไม่เป็นไร แต่ผมกลับไม่ใช่ เดิมทีองค์หญิงสโนว์ก็อยากจะมาด้วย แต่ยัยนั่นบอกว่าความอันตรายของกิจกรรมนี้ดูได้ไม่คุ้มเสีย เลยปฏิเสธไป

ผมจึงกลายเป็นสายน้ำแข็งเพียงหนึ่งเดียว

คนอื่นก็คือสายเพลิง 5 คน สายน้ำ 4 คน สายดิน 5 คน สายอสนี 5 คน สายพืช 5 คน สายอัญเชิญ 4 คน นอกจากสายอสนีหนึ่งคนที่เข้าร่วมกับทีมของสายเพลิง และสายพืชหนึ่งคนที่ไปเข้ากับทีมของสายอัญเชิญ คนอื่นก็ต่างจับกลุ่มอยู่ในทีมของตัวเอง…เดี๋ยวก่อน สายพืชคนนั้นดูเหมือนจะไม่ได้เข้าทีมสายอัญเชิญ มีคนที่ออกจากทีมเข้าป่าไปเลยทันทีด้วย!

แปลกจัง นี่มันเรื่องอะไร? นักเรียนสายอัญเชิญที่เหลือดูไม่มีท่าทีสนใจสักนิด มองดูหมอนั่นเข้าไปในป่าซะอย่างนั้น

เดิมทีผมอยากลองดูชื่อของหมอนั่นว่าเป็นยังไงเพื่อป้องกันการโจมตี แต่ว่า เงาร่างของอีกฝ่ายห่างผมเกินไป ผมเลยมองชื่อของเขาไม่ชัด

แต่ว่า ในพริบตาที่อีกฝ่ายเข้าป่า ชื่อของอีกฝ่ายก็กลายเป็นสีขาว

และขณะนั้น ผมเหมือนจะเห็นคำประหลาดบางอย่าง…เผ่า?

คำนี้จะปรากฏขึ้นแค่ภายใต้สถานการณ์พิเศษ นั่นก็คืออีกฝ่ายไม่ใช่มนุษย์!

แปลกจัง ในสถาบันมีคนอื่นที่ไม่ใช่เผ่ามนุษย์เหรอ? ก่อนหน้าก็ไม่เคยเห็นคนประเภทนี้ในสถาบันเลยนี่

แล้วผมไม่เคยมีโอกาสได้พบอีกฝ่ายหรอกเหรอ?

ยังไงซะพื้นที่ในสถาบันก็ใหญ่โต ถ้าสถานที่ที่อีกฝ่ายปรากฏตัวอยู่ไกลจากสถาบันเกินไป การไม่เจอเขาก็เป็นเรื่องปกติ

หรือว่าผมต้องพูดคุยกับทุกคนเหมือนกับตัวเอกในเกม The Legend of xxx1 หาเควสต์ที่ซ่อนไว้หรือแมกกาซีนประหลาด? นอกจากระบบจะให้อุปกรณ์ที่แข็งแกร่งที่สุดกับผม ไม่งั้นก็อย่าแม้แต่จะคิด

“เจ้ามองอะไรอยู่?”

ฮีลที่อยู่ข้างๆ ตบๆ ผมพร้อมถาม แล้วชี้ไปที่ด้านข้างเรือเหาะ

ผมมองไปทางนั้น อาจารย์ผู้รับผิดชอบการนำทีมหลายคนได้เรียกพวกเราให้รวมตัวตรงนั้น

ผมมองไปยังทางที่นักเวทอัญเชิญคนนั้นวิ่งเข้าป่าอีกครั้ง แต่ขณะนี้แม้แต่ชื่อของอีกฝ่ายก็มองไม่เห็นแล้ว

ช่วยไม่ได้ ช่างมันก่อนแล้วกัน เดี๋ยวหมอนั่นโดนจับได้ก็รู้ว่าเป็นใครเองแหละ?

แต่เรื่องราวกลับเกินความคาดคิดของผม ขณะที่รวมตัว จำนวนคนในสนามกลับมี 30 คน!

นี่เป็นจำนวนสรุปมาจากการตรวจสอบของอาจารย์ และไม่อาจถูกเล่นตุกติกได้

ถ้างั้นในทางกลับกัน ที่นี่ก็มี 30 คนตั้งแต่แรก และคนที่เดินหายไปก็ไม่ได้อยู่ใน 30 คนนี้!

น่าสนใจนี่ ดูเหมือนในการฝึกฝนครั้งนี้จะเกิดเรื่องน่าสนใจมากมาย นี่ก็หมายความว่าจะมีเควสต์ย่อยและค่าประสบการณ์เยอะแยะ!

ทว่าหากระบบสามารถแจ้งการรับเควสต์ได้ก็ดี ไม่อย่างนั้นคงไม่มีทิศทางของเควสต์เลย

และเรื่องที่อาจารย์ผู้นำบอกก็คล้ายกับที่ฮีลบอกผม สรุปสั้นๆ คือต้องตามหาตำแหน่งของหัวใจคริสตัล น่าเสียดายที่เกมตามหาของแบบนี้ไม่ใช่ของถนัดของผม

ทว่าเควสต์แบบนี้ถ้าไม่มีแสงกะพริบปรากฏออกมาในที่ที่มีไอเทม ก็จะมีการแจ้งเตือนในสถานที่ที่ต่างกันอย่างชัดเจน

แต่อันที่จริงผมยังพกของน่าสนใจมากด้วย และเชื่อว่าภายหลังต้องได้ใช้มันแน่นอน

“ไปเถอะ ฉัน…”

ขณะที่จะเรียกฮีลให้เดินทางเข้าป่า หน้าต่างข้อมูลก็เด้งขึ้นมา

เควสต์ย่อย : การฝึกฝนนอกสถานที่

เป้าหมายเควสต์ : ตามหาหัวใจคริสตัลให้เท่ากับจำนวนสมาชิกทีม

เป้าหมายรางวัลเพิ่มเติม : 1. ค้นหาเก้าสิบเก้าบททดสอบ 2. ค้นหาคนปริศนา (จำเป็นต้องทำเควสต์ย่อยอื่น)

รางวัล : ค่าประสบการณ์ 20,000

รางวัลเพิ่มเติม : ไม่ทราบ

มองเห็นแจ้งเตือนนี้ผมก็ไม่อาจสงบลงได้เป็นเวลานาน ยังไงซะเมื่อกี้ผมก็เพิ่งแขวะไปว่าเควสต์ไม่มีการแจ้งเตือนแล้วก็มีแจ้งเตือนเควสต์เด้งออกมา

พระเจ้ากำลังแอบมองผมอยู่รึไง?

1. ชื่อเกมแนว RPG เกมหนึ่ง

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา การฝึกฝนนอกสถานที่ก็มาถึงตามเวลาที่กำหนดไว้

ตอนรุ่งเช้าพวกเราก็นั่งอยู่บนเรือเหาะที่ดูคล้ายกับป้อมปราการลอยฟ้า บินไปยังสถานที่ฝึกฝน

รูปร่างของเรือเหาะคล้ายกับเรือเหาะส่วนใหญ่ที่อยู่ในเกม ด้านล่างดูเหมือนเป็นเรือ บางทีหากจอดลงบนน้ำก็สามารถแล่นต่อไปได้

วงเวทสองสามวงข้างล่างก็เผยให้เห็นแหล่งพลังงานขับเคลื่อนของมัน นี่เป็นสิ่งที่กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผมต่อโครงสร้างภายใน

แต่ตอนนี้ยังเข้าไปไม่ได้ ทำได้เพียงรอภายหลัง

เดิมทียังคิดชื่นชมทัศนียภาพรอบๆ บนดาดฟ้าเรือเหาะ ทว่าอยู่บนเรือเหาะได้ไม่ถึงสิบนาที ความรู้สึกที่สั่นสะเทือนราวกับรถไฟเหาะก็ทำให้ผมจำเป็นต้องซ่อนตัวอยู่ในห้องโดยสารเรือ ใช้เวลาที่เหลืออาศัยยาแก้วิงเวียนในคลังไอเทมไม่หยุด

ถ้าเป็นไปได้ ผมยอมนั่งรถไฟเหาะดีกว่าทนนั่งเรือเหาะแบบนี้อีก นี่มันเรือเหาะที่ไหนกัน เป็นเครื่องปั่นชัดๆ

อย่าให้ผมเจอนักออกแบบนะ ไม่งั้นหลังจากผมทำเครื่องซักผ้าสักเครื่องได้จะยัดเขาเข้าไปแน่นอน

เมื่อไปถึงจุดหมาย ผมแทบวิ่งหนึ่งร้อยเมตรพุ่งลงจากเรือเหาะ จากนั้นก็หยิบเอายาแก้สถานะวิงเวียนออกมาแล้วกลืนลงไป

ถึงแม้ว่าของนี่จะดื่มไม่ง่าย ทว่า เทียบกับความรู้สึกเมาเรือแล้ว ความรู้สึกตอนดื่มของนี่ยังดีซะกว่า

ในไม่ช้า นักเรียนคนอื่นก็ทยอยกันพุ่งลงมา นอกจากนักเรียนส่วนน้อยที่ค่อยๆ เดินลงมาแล้ว คนอื่นก็มีสภาพไม่ต่างจากผม

ยังไงซะแม้ว่าใช้ยาแก้วิงเวียนตอนอยู่ข้างบนก็ไม่มีผลเด่นชัด แม้จะแก้วิงเวียนก็แก้เพียงแค่ไม่กี่วินาที จากนั้นก็จะเข้าสู่สภาวะวิงเวียนอีกครั้ง

แต่มีไม่กี่คนที่จะพกยาฟื้นฟูและยาเวทมนตร์เยอะแบบผม คนส่วนมากดื่มยาบนเรือเหาะจนหมดแล้ว ตอนนี้ก็ทำได้เพียงอาเจียนไม่หยุดเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น

ยังดีที่ยาให้ผลรวดเร็วมาก แค่เวลาสั้นๆ ผมก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ ความรู้สึกอึดอัดหายเป็นปลิดทิ้ง

ผมไม่รู้ผลของยาเวทมนตร์ที่คนในโลกนี้ดื่ม แต่ยาที่ลาน่าสร้างมีผลดีกว่ายาทั่วไป แล้วยังราคาถูกมาก นี่ก็เป็นสาเหตุที่ผมซื้อมาเยอะมาก

แต่ไม่รู้ทำไมที่สถาบันยาของยัยนี่จึงยอดขายไม่ค่อยดีมาตลอด แต่ในฐานะที่เป็นเพื่อนก็ช่วยเหลือเธอไว้จะดีซะกว่า

หลังจากฟื้นฟูแล้ว ผมก็สังเกตรอบด้าน ทุกคนจับกลุ่มพิงอยู่ข้างเรือเหาะกัน ด้วยท่าทางดูทรมาน

แต่ผมก็มองเห็นคนรู้จักข้างในนั้น

“ฮีล ดื่มนี่จะได้ดีขึ้น”

นักเวทลมฮีล เบลค นักเวทลมอายุน้อยที่ขยันมาก ก่อนหน้านี้ยังรังควานให้ผมสอนวิธีต่อสู้ให้เขาอยู่ แต่เส้นโลกที่แตกต่างกัน ผมเลยไม่อาจชี้แนะได้

ฮีลเงยหน้าขึ้นช้าๆ ด้วยสีหน้าขาวซีด ดูแล้วการหมุนของเครื่องปั่นเมื่อกี้คงเปิดโลกใหม่แก่เขา ไม่ว่าทางร่างกายหรือจิตใจ

“ฟีล ขอบใจ”

ดื่มยาที่ผมให้ไปหนึ่งอึก ผมก็เห็นสัญลักษณ์วิงเวียนด้านข้างชื่อของเขาหายไปทันที ประสิทธิภาพของยานี่เร็วดีจริงๆ

“นี่…นี่มันยาแก้วิงเวียนเหรอ? ผลของมัน…”

ฮีลมองขวดในมืออย่างเหลือเชื่อ

“อืม นี่เป็นยาที่ลาน่าทำ ให้ผลดีทีเดียว”

“งั้นเหรอ…ที่แท้ข่าวลือก็เป็นจริงสินะ”

“ข่าวลือเหรอ?”

ผมได้กลิ่นของแผนชั่วร้าย

ฮีลมองรอบๆ พอมั่นใจว่าไม่มีคนมองมาทาางนี้ก็พูดกับผมด้วยเสียงเบา

“เจ้าเพิ่งมาได้แค่เดือนเดียวคงไม่รู้ เมื่อปีก่อนอุปกรณ์ที่ลาน่าสร้างเกิดการระเบิดเอง ทำให้นักเรียนชนชั้นสูงคนหนึ่งบาดเจ็บ ตั้งแต่นั้นยาและอุปกรณ์ที่มียอดขายดีมาตลอดของลาน่าก็ขายไม่ออกอีก”

“อย่างนี้นี่เอง แต่มีข่าวลือว่าจริงแล้วเป็นเพราะสิ่งของที่เธอสร้างราคาสูง เลยถูกใส่ร้ายไม่ใช่เหรอ?”

“ใช่แล้ว เจ้าเคยได้ยินข่าวลือนี้ด้วยเหรอ?”

“เปล่าหรอก แต่ฟังคำพูดของนายคร่าวๆ ก็เดาได้แล้ว”

ดูท่ากลับไปคงต้องปรึกษาเรื่องนี้กับลาน่าสักหน่อย ถึงการก่อเรื่องจะไม่ใช่สไตล์ผม แต่ในเมื่อเป็นเพื่อน รู้แล้วก็ไม่อาจนิ่งดูดาย

“เอาล่ะ อย่าเพิ่งพูดดีกว่า นายรู้อะไรเกี่ยวกับการฝึกฝนครั้งนี้ไหม? ฉันได้ยินแค่ต้องฝึกฝน แต่ไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไร”

เรื่องก็เป็นแบบนี้ ถึงอาจารย์แมรี่อยากให้ผมเข้าร่วมการฝึกฝน แต่กลับไม่บอกว่าผมต้องทำอะไร บอกแค่ในสถานการณ์ที่ไม่รู้เรื่องถึงจะพัฒนาความสามารถตัวเองได้ดียิ่งขึ้น นี่มันเสียสติชัดๆ ถึงเล่นเกมก็ยังต้องอ่านไกด์ไลน์ก่อนเลย

“เจ้าไม่รู้เหรอ? นักเวทอย่างพวกเรานอกจากทำการวิจัยหรือออกรบแล้ว เบื้องต้นก็ไม่มีอาชีพอื่นที่ทำได้ แต่สิ่งที่ทำได้ในสถาบันส่วนมากก็เป็นแค่การวิจัย วิชาการต่อสู้ภาคปฏิบัติกับการฝึกฝนเลยสำคัญขึ้นมาไง”

“แล้วประเด็นคือ…?”

“ดังนั้น จุดประสงค์ของการฝึกฝนก็เพื่อให้พวกเราพยายามพัฒนาความสามารถและทักษะในการใช้เวท ไม่ใช่แค่ด้านต่อสู้ แต่ยังมีด้านการประยุกต์ใช้เวทมนตร์ในการใช้ชีวิตด้วย”

“…”

หมายความว่าเพิ่มการใช้งานงั้นเหรอ? แต่…เวทมนตร์ของผมต่างก็อาศัยมาตรฐานของ ‘สกิล’ การใช้งานสำหรับผมก็คือการต่อสู้นี่

แต่หมอนี่พูดจาอ้อมค้อมซะจริง พูดมาตั้งเยอะแยะ ผมก็ยังไม่รู้ว่าตกลงให้พวกเราทำอะไรในการฝึกฝน

คงเห็นสีหน้าสงสัยของผม ฮีลจึงถอนหายใจแล้วพูดต่อ

“ก็คือ เราต้องใช้อุปกรณ์ที่จำกัดเพื่อค้นหาอุปกรณ์ที่ผู้อำนวยการทิ้งไว้ในป่าปิด…”

“เก้าสิบเก้าบททดสอบเหรอ?”

‘เก้าสิบเก้าบททดสอบ’ ตอนที่ผมออกจากดันเจี้ยนจนมาที่สถาบันเกรย์ พวกฟาลันก็กำลังค้นหาสิ่งนี้ที่ดันเจี้ยน ได้ยินว่าเป็นอุปกรณ์รูปร่างประหลาดเก้าสิบเก้าชิ้นที่ผู้อำนวยการแสนว่างทิ้งไว้ในดันเจี้ยนเมื่อหลายปีก่อน ที่ใช้เพื่อท้าทายนักเรียนโดยเฉพาะ

แค่ได้ยินว่าค้นหาอุปกรณ์ ผมก็นึกถึงสิ่งนี้

“เจ้าก็รู้จัก ‘เก้าสิบเก้าบททดสอบ’ ด้วยเหรอ? พวกเรายังไม่ไปค้นหาของขึ้นชื่อขนาดนั้นหรอก ถ้าหาของชิ้นนั้นได้แล้วจะสามารถขอสิ่งที่ต้องการกับผู้อำนวยการได้”

“งั้นเหรอ…”

จะว่าไปก็ถูก ยังไงซะมันก็มีแค่เก้าสิบเก้าชิ้น…

“แต่คราวนี้พวกเราจะฝึกฝนใน ‘ป่ากริฟฟิน’ ที่มี ‘เก้าสิบเก้าบททดสอบ’ ซ่อนไว้สามชิ้น แต่ความยากในการหายังลำบากกว่าหา ‘หัวใจคริสตัล’ ซะอีก”

หัวใจคริสตัลเหรอ? ฟังดูไม่เลวนี่

ทว่า ทำไมถึงรู้สึกว่าการฝึกฝนนี้ไม่เพียงแค่เพิ่มความสามารถการใช้เวทมนตร์…แล้วยังเพิ่มความสามารถในการเอาชีวิตรอดด้วยล่ะ?

“ฮีล หัวใจคริสตัลมีกี่ชิ้น?”

“ประมาณสิบชิ้นมั้ง?”

“แปลว่ามีสองในสามคนที่จะโดนคัดออกเหรอ…อย่าบอกนะว่าการฝึกฝนจะฆ่าคนก็ไม่เป็นไร…”

“ไม่ถึงขนาดนั้น อย่างไรก็ต้องมีอาจารย์ทำหน้าที่ดูแลอยู่ดี”

“งั้นเหรอ…”

มองรอบๆ ทำไมผมถึงรู้สึกว่าคนพวกนี้ไม่ประสงค์ดีล่ะ?

ไม่อย่างนั้น ทำไมชื่อของพวกเขาถึงเป็นสีแดง?

ถึงบอกว่าเป็นสถาบัน แต่รอบสถาบันก็ยังมีย่านอาศัยและย่านธุรกิจขนาดใหญ่อยู่

สถาบันเกรย์ตั้งอยู่กลางอาณาจักรมากมาย เป็นสถานศึกษาระดับสูงที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันเวทมนตร์ของอาณาจักรรอบด้าน และย่อมมีระยะห่างจากทุกอาณาจักรเป็นธรรมดา จึงจำเป็นสำหรับสถาบันที่จะมีเมืองเล็กๆ เป็นของตัวเอง

นักเรียนขั้นต้นส่วนหนึ่งก็ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองด้านนอก อย่างเช่นหอพักของผมก็อยู่ในหอพักนักเรียนอาคารเจ็ดที่อยู่นอกสถาบันเช่นกัน

ในเมืองมีครอบครัวของนักเรียนและอาจารย์อยู่มากมาย ยังไงซะการอยู่ใกล้กับสถาบันก็ยิ่งสะดวกสำหรับพวกเขา

ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากในเมืองจะจัดสรรของใช้ในชีวิตประจำวันกับความบันเทิงให้แล้ว ยังมีระบบเศรษฐกิจเป็นของตัวเองอีกด้วย ยังไงซะนักเรียนในสถาบันก็ต้องสร้างอุปกรณ์เวทมนตร์จำนวนมากเพื่อฝึกฝนทุกวันอยู่แล้ว แล้วยังมีคริสตัลเวทที่ต่างก็เป็นสินค้าที่ไม่เลวอีก

โดยทั่วไปสถาบันจะรับหน้าที่ขายสิ่งของเหล่านั้น แต่ก็มีคนอย่างลาน่าที่ซื้อวัตถุดิบมาผลิตด้วยตัวเอง เทียบกับราคาของสถาบัน ราคาที่ลาน่าเสนอจึงค่อนข้างจับต้องได้ทีเดียว

แน่นอน ในฐานะที่ผมผู้เป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุดของเธอ เลยไม่อาจบอกเธอเรื่องนี้ได้ ไม่งั้นผมจะใช้ยาสุรุ่ยสุร่ายแบบนี้ได้ยังไง?

และเป็นเพราะเมืองเล็กๆ ที่ล้อมรอบสถาบัน กลางดึกแบบนี้ย่อมเงียบสงบเป็นธรรมดา ยังไงซะโลกใบนี้ก็ไม่มีการเรียนด้วยตัวเองตอนดึก อย่างมากก็แค่คุณอยากอยู่ในห้องสมุดทั้งคืนเท่านั้น

แน่นอนว่าผมไม่ทำแบบนั้น ผมสามารถดูสถานะและคุณสมบัติของเวททั้งหมดที่ผมเคยเรียนมาผ่านหน้าต่าง ดังนั้นจึงไม่ต้องท่องอะไรพวกนั้น

แต่พวกที่ไม่เคยเรียนกับความรู้เฉพาะก็…คะแนนวิชาความรู้เวทมนตร์ทั่วไปของผมเลยน่าเศร้ามาตลอด

นอกจากไฟทาง บนถนนก็ไม่มีแสงอื่นอีก มองออกไป ชื่อของคนในเมืองต่างก็นิ่งสนิท มีเพียงชื่อของฟาลันที่เคลื่อนไปข้างหน้าไม่หยุด

คงไม่คิดจะออกจากพื้นที่เมืองหรอกนะ? ยัยนี่คิดจะทำอะไรกันแน่?

เนโครแมนเซอร์ที่ฆ่าคนเป็นแสนไปทำอะไรกลางดึก…ถึงให้ผมคิดเรื่องแบบนี้ก็คงไม่ได้คำตอบ เพราะคำตอบมีหลากหลายเกินไป

สิ่งที่แย่ที่สุดก็คือทำให้ทุกคนในละแวกนี้กลายเป็นอันเดด ยังไงซะปีกของผมก็มีความสามารถในการกลายเป็นอันเดดอยู่แล้ว ในฐานะนักเวทระดับสูงอย่างเธอ คงทำได้อย่างง่ายดาย?

แต่ถ้าเธอทำแบบนั้นจริง ไม่ว่ายังไงก็ต้องขัดขวางเธอ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าที่นี่มีสาวสวยตั้งเยอะแยะ ถ้ากลายเป็นอันเดดกันหมด มันคงไม่ใช่ RPG แต่เป็น Crisis on Earth-X1 ไม่ก็ฮีโร่ของ Crisis on Earth-X มากกว่า

ตอนหลังอาจดูเหมือน RPG แต่อย่าไปสนใจเรื่องรายละเอียดเลย

เอ๊ะ?

ผมหยุดลงทันที แล้วมองทุกชื่อรอบๆ ที่เห็นได้

เพียงแค่คิดเพ้อเจ้อนิดเดียว ชื่อของฟาลันที่อยู่ตรงหน้าเมื่อกี้ก็หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้!

เป็นไปได้ยังไง? แม้จะเข้าไปในอาคารไหนก็ไม่น่าหายไปกะทันหัน! ทำไมจู่ๆ ถึงหายไปล่ะ?

สาวเท้าเดินไปที่สี่แยกตรงหน้า ไม่ว่าทางไหน ก็ไม่มีใครสักคน มองยังไงก็ไม่เห็นเงาของเธอ

คลาดกันเหรอ?

ทันใดนั้น หมอกสีดำก็ลอยขึ้นมาจากข้างหลัง ทำให้ส่วนของปีกด้านขวาที่หุบอยู่สั่นไหวเล็กน้อย

ผมกดสกิล “โจมตี” ของนักรบอย่างรวดเร็ว พุ่งเข้าไปในบริเวณหมอกดำ แล้วกดสกิลนักฆ่า “มองเห็นในที่มืด”

เหมือนเห็นเงาคนยืนอยู่ข้างหลังหมอกดำ แต่ว่า…สัญชาตญาณบอกผมว่านั่นไม่ใช่ร่างกาย เพราะถ้าถูกร่างกายจู่โจม ชื่อของอีกฝ่ายจะแสดงออกมา แม้ไม่เห็นชื่อ ก็ยังเห็นเครื่องหมายคำถามได้อยู่ดี

แต่ในเมื่อมองไม่เห็น…งั้นก็อธิบายได้แค่สิ่งที่โจมตีผมไม่ใช่ร่างกายจริง แต่เป็นสิ่งที่คล้ายกับร่างแยก ผมเคยเรียนรู้เรื่องนี้จากฮีลในวิชาต่อสู้ภาคปฏิบัติ ยังไงซะสายวายุก็สามารถใช้เวทแยกร่างได้อยู่แล้ว ตอนนั้นร่างแยกแห่งวายุของเขาโจมตีผมจากทุกทิศทาง และผมก็จำแนกร่างกายได้จากชื่อบนศีรษะของเขา ดังนั้นจึงตอบสนองสกิลที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาได้อย่างง่ายดาย

ตอนนี้สถานการณ์เช่นเดียวกันปรากฏตรงหน้า ในเมื่อฝั่งตรงข้ามเป็นร่างแยก งั้นร่างกายก็ต้องอยู่ไม่ไกล

แม้ผมจะอยากต่อสู้กับไอ้นี่ แต่ว่า…ผมเดาได้ลางๆ ว่าอีกฝ่ายคือใคร ถ้าไม่เห็นอีกฝ่ายหายไป บวกกับที่อีกฝ่ายเป็นคนที่เลเวลอย่างผมไม่อาจกำจัดได้ ผมก็คงไม่รู้

“เอาล่ะ รุ่นพี่ฟาลัน ผมหาตัวคุณไม่เจอ ผมยอมแพ้แล้ว”

ผมตะโกนไปข้างหน้าเสียงดัง ผมเชื่อว่าอีกฝ่ายได้ยินแน่นอน

ทว่า…

อีกฝ่ายกลับไม่มีปฏิกิริยา ในทางกลับกัน ผมเหมือนได้ยินเสียงของการสะสมธาตุตอนร่ายเวท และใต้เสาไฟฝั่งตรงข้าม เขตวงเวทสีดำก็ปรากฏออกมา!

สีดำ?

ผมสลับเมนูสกิลลัดที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์อย่างรวดเร็วแล้ววางไว้ทางขวา เอาสกิลที่ไม่ใช่เวทมนตร์ไว้ทางซ้าย ปราสาทน้ำแข็งสามหลังก็ถูกสร้างขึ้นตรงหน้าผมอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน ผมก็คาบขวดยาเวทมนตร์ไว้ในปาก

ถึงแม้ดื่มของนี่ช้าๆ จำนวนการฟื้นฟูจะไม่มากเท่าดื่มรวดเดียว แต่กลับสามารถฟื้นฟูได้ต่อเนื่อง นี่เป็นผลจากการทดลองหลายครั้งของผม

เสียงอู้อี้ดังออกมาจากอีกด้านของกำแพงน้ำแข็ง ที่แท้กำแพงหิมะขาวก็ดูเหมือนกำลังถูกเจาะช้าๆ วัตถุสีดำดูเหมือนกำลังค่อยๆ ทะลุเข้ามา!

‘เร่งความเร็ว ธนูน้ำแข็ง!’

อีกฝ่ายเป็นนักเวทเช่นกัน ดูเหมือนจะเป็นนักเวทมืด ผมไม่เข้าใจเกี่ยวกับสายความมืดเลยทั้งสิ้น บุ่มบ่ามเข้าใกล้คงไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาดเท่าไหร่ ดึงระยะห่างได้แล้วค่อยหาโอกาสหลบหนีจะดีกว่า

ธนูน้ำแข็งจะสร้างหมอกน้ำแข็งขึ้นมาไม่ว่าจะโจมตีโดนอีกฝ่ายหรือถูกสกัดกั้นกลางทาง ถึงแม้ไม่ได้ทำให้ศัตรูเข้าสู่สถานะภาพเบลอ ทว่า บดบังทัศนวิสัยได้ก็เพียงพอแล้ว

ผมวิ่งไปทางถนนข้างหลังอย่างรวดเร็ว จำได้ว่าข้างนอกสองบล็อคนี้มียามรักษาการณ์อยู่ ขอเพียงไปถึงที่นั่น เบื้องต้นแล้วก็ไม่มีปัญหา

ทว่า ขณะผมกำลังวิ่งออกจากถนนนี้ ผมก็รู้สึกเหมือนกับถูกของบางสิ่งกระแทกเข้าที่หลัง ตรงหน้ามืดดำทันที

ตาบอด!

HP ไม่ลดแม้แต่น้อย มีเพียงแค่สัญลักษณ์ตาบอด

ในโลกนี้ถึงตาบอดแล้วก็ไม่ได้ลดการโจมตีโดนเป้าหมายอย่างง่ายดายขนาดนั้น แต่เป็นการสูญเสียการมองเห็นทั้งหมด

ผมดื่มยาเวทมนตร์ครึ่งหนึ่งแล้วโยนไปด้านหนึ่ง อีกมือหนึ่งก็รีบเอายาแก้ตาบอดออกมา ทว่า ในขณะที่ผมทำทั้งหมดนี้เสร็จ ผมก็สัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งจับเท้าผมไว้!

จบเห่แล้ว!

ความคิดนี้เพิ่งจะผุดเข้ามาในสมอง ผมก็รู้สึกว่าถูกบางสิ่งลากไปกับพื้นแล้วลากกลับไปข้างหลัง

ร่างกายที่กำลังสีไปบนพื้นไม่ใช่ความเจ็บธรรมดา! ในขณะเดียวกัน HP ก็ลดลงไม่หยุด!

เอาล่ะ! แกบังคับฉันเองนะ!

ในเมื่อเป็นสายความมืด งั้นสายแสงสว่างก็เป็นจุดอ่อนของแกสินะ?

ถึงแม้ว่าผมจะไม่มีเวทมนตร์สายแสงสว่าง ทว่า ผมก็มีของที่คล้ายกันอย่างหนึ่ง

ผมประกายความคิด บางสิ่งก็ปรากฏอยู่ในมือผมอย่างรวดเร็ว

หลังจากเปิดยาแก้ตาบอดแล้วเทบนหน้าอย่างรวดเร็ว ฉากรอบด้านก็ชัดเจนขึ้นมาอีกครั้ง ในขณะเดียวกัน ผมก็กดปุ่มบนของอีกอย่างในมือ แล้วโยนออกไปทางความมืด!

เริ่มด้วยแสงสีแดง จากนั้นรัศมีแสงสีขาวที่ส่องสว่างไปทั่วถนนก็กระจายออกมาจากส่วนลึกของถนนที่มืดมิด!

“ยินดีด้วย แกกลายเป็นผู้ทดสอบเบอร์หนึ่งของ ‘ระเบิดแสงที่ลาน่าสร้าง’”

นี่เป็นเรื่องเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ตอนที่ผมไปหาลาน่าแล้วเห็นเธอกำลังกลัดกลุ้มจากอะไรบางอย่าง พอมองอย่างตั้งใจถึงรู้ว่ายัยนี่กำลังลองใช้วัสดุราคาถูกสร้างอุปกรณ์เวทมนตร์

ถึงแม้ว่าที่นี่จะมีอุปกรณ์เวทที่สามารถปล่อยเวทมนตร์คุณสมบัติต่างกันได้ แต่ก็ค่อนข้างมีราคาแพง และดูเหมือนจะราคาสูงเสียดฟ้า ยังไงซะเวทมนตร์ที่พลังต่ำก็สิ้นเปลืองวัสดุและใช้ประโยชน์ได้ไม่มากนัก แต่ถึงแม้วัสดุที่ต้องใช้สำหรับอุปกรณ์เวทมนตร์ที่มีพลังมากจะมีอัตราส่วนประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับราคาใกล้เคียงกับเอฟเฟกต์ที่เกิดขึ้น แต่ว่า วัสดุที่ใช้กลับมีราคาสูงเสียดฟ้าเช่นกัน

ถ้าสร้างอุปกรณ์เวทราคาถูกออกมาได้ คงเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างแน่นอน!

ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าทำไมผมถึงเกิดสนใจขึ้นมา พูดเรื่องการสร้างระเบิดมือคร่าวๆ ให้ลาน่าฟัง ผลคือผ่านไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ เธอก็โยนของที่คล้ายกับระเบิดมือในสงครามโลกครั้งที่สองมาให้กองหนึ่ง

“เอาไปลองนะ จำไว้ว่ามาบอกผลลัพธ์ข้าด้วย!”

เธอพูดแบบนี้

“ใช้วัสดุอะไรน่ะเหรอ? ก็ใช้ผงคริสตัลเวทที่ถูกทิ้งเทลงไปน่ะสิ อย่างไรซะผงพวกนั้นก็ถูกเอาไปทิ้งหรือเพิ่มเป็นส่วนผสมสำหรับวาดกำแพงสถาบันอยู่แล้ว ถ้าใช้มันได้ก็จะดีที่สุด”

แต่นึกไม่ถึงว่า…

ระเบิดแฟลชมีประสิทธิภาพที่เยี่ยมจริงๆ

ผมรู้สึกได้ว่าสิ่งที่จับเท้าคลายออก จึงรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งออกไป

ทว่า กลับปะทะเข้ากับบางสิ่ง จากนั้นก็ถูกกอด!

“โธ่ บอกแล้วแท้ๆ ว่าคราวหน้าพี่สาวจะอยู่กับเจ้าเอง ทำไมถึงรีบแบบนี้ล่ะ?”

ขนาดของหน้าอกนี้และเสียงนี้…

“รุ่นพี่ฟาลัน”

“นี่ อยู่ข้างนอกเรียกข้าว่าเคห์ลานีเถอะ ไม่งั้นน้องสาวข้าคงไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดกับใครหรอกนะ”

รุ่นพี่ฟาลันพลิกตัวผม ถึงแม้ไม่ได้ปล่อยผม แต่ก็ทำให้ผมเห็นคนที่เธอพูดถึงเมื่อกี้

ในขณะเดียวกัน ผมก็ถูกต่อยเข้าเต็มท้อง!

“ออกจากอ้อมแขนของพี่สาวข้านะ! เจ้ามักมากสมควรตาย!”

ตรงหน้าเป็นเด็กสาวสวมชุดแม่มดตะวันตกตามแบบฉบับ ดวงตาสีฟ้าเต็มไปด้วยน้ำตา บริเวณปากบุ้ยจนเหมือนกับปลาทอง

มองเห็นท่าทางแบบนี้ของเธอ ผมไม่กล้าเชื่อจริงๆ ว่าเมื่อกี้คือยัยตัวเล็กนี่ที่ต่อสู้กับผม

แน่นอน ตอนเห็นเลเวลของเธอ ผมก็โล่งใจ

โอน่า เรดลีฟ เลเวล 25 นักเวทความมืด เป็นกลาง หยิ่งยโส ผู้ทำสัญญากับปีศาจ แม่มด เสียงสวรรค์แห่งความมืด นักฆ่าเวทมนตร์แห่งกองทัพกลางจักรวรรดิเอส

ถึงไม่เข้าใจฉายานี้แต่รู้สึกว่าเก่งมากจริงๆ!

คำอธิบายสกิล :

บุกทะลวง สกิลนักรบ ใช้มานา 50 หน่วย พุ่งออกไปด้วยความเร็ว 5 เท่าจากความเร็วเดิมเป็นเวลา 3 วินาที ปะทะศัตรูในระหว่างพุ่งจะสร้างความเสียหาย 1.5 เท่าจากพลังโจมตี หากเป้าหมายมีเลเวลไม่เกินกว่าคุณ 2 เลเวลจะสร้างผลมึนงงเป็นเวลา 3 วินาที

มองเห็นกลางคืน : สกิลโจร ใช้ 30 หน่วย เพิ่มการมองเห็นในเวลากลางคืน มองเห็นวัตถุทั้งหมดโดยรอบในระยะ 50 เมตร วัตถุที่เคลื่อนไหวในระยะ 100 เมตร เป็นเวลา 30 วินาที

1. Crisis on Earth-X เป็นซีรี่ส์ครอสโอเวอร์ของค่าย DC

ฟาลันวางไม้เท้าของตัวเองไว้ที่ด้านหนึ่ง แล้วหยิบวัตถุสีแดงออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

มีแสงสะท้อนเล็กน้อยบนนั้น เมื่อมองอย่างถี่ถ้วน สิ่งนั้นก็คือคริสตัลกะโหลกแดง! มีเครื่องมือแบบนี้…สมกับที่เป็นเนโครแมนเซอร์?

ฟาลันยื่นคริสตัลกะโหลกแดงมาบนร่างของผม และเริ่มสวดมนต์

“ความเกลียดชัง ส่งผลต่อชีวิต ความแค้นเคือง ส่งผลต่อโลก เส้นแบ่งของความเป็นและความตาย เชื่อมต่อกันด้วยมือของเทพแห่งอันเดด ‘เอส เดย์มอนด์’ และขาดจากกันด้วยมือของเทพเจ้า จงแตกสลาย เส้นแบ่งความเป็นและความตาย งานเลี้ยงแห่งความตาย!”

วัตถุสีดำเป็นสายค่อยๆ ไหลออกมาจากเบ้าตาและรูจมูกของกะโหลกตามคำพูดของฟาลัน แล้วหยดลงมาบนร่างของผมทีละนิด

น่ากลัวจัง มันคงไม่ใช่วิญญาณอาฆาตอะไรหรอกนะ?

ในพริบตาที่ของสีดำพวกนั้นไหลเข้ามา ผมก็รู้สึกเหมือนวิญญาณของผมถูกดึงไปที่ร่าง

ทีละนิดๆ ทีละก้าวๆ

ผมรู้สึกว่าผมถูกดึงเร็วขึ้นเรื่อยๆ จากนั้น ผมก็รู้สึกว่าวิญญาณของผมพุ่งไปยังร่างของผมเร็วยิ่งขึ้น แล้วผมก็รู้สึกถึงการสั่นไปทั้งร่าง ความอยากอาเจียนอย่างรุนแรงระเบิดออกมา พร้อมความปวดหัวและความอ่อนล้าสุดขีด!

จำได้ว่าครั้งก่อนที่มีความรู้สึกแบบนี้คือหลังจากเมาค้าง และตอนนี้ยังเลวร้ายกว่าครั้งนั้นไม่น้อย

ถึงไม่รู้ว่าทำไม แต่มันหมายความถึงความจริงอีกอย่าง คือผมกลับเข้าร่างแล้ว!

ผมลืมตาขึ้นทันที แต่สิ่งที่ผมเห็นกลับล่องลอยไม่หยุด เมื่อต้องการลุกขึ้นกลับพบว่าผมไม่อาจควบคุมร่างกายของตัวเองได้ เพิ่งคิดจะลุกขึ้นนั่งก็ล้มลงไป

บ้าเอ๊ย นี่มันอะไรกัน? หรือว่าผมเข้าสู่สภาวะวิงเวียน? แต่ทำไมถึงไม่มีไอคอนโผล่ขึ้นมาล่ะ?

ไม่ใช่แค่ไอคอนวิงเวียน แต่ไอคอนอื่นก็ไม่โผล่มาเลย ตอนนี้ผมไม่เพียงไม่รู้สึกว่าสถานการณ์ดีขึ้น ยิ่งกว่านั้น ผมยังรู้สึกถึงแรงกระตุ้นประหลาดที่ค่อยๆ ปะทุออกมาจากอกของผม

ไม่สบายเลย…

ทำไมถึงมีความรู้สึกแบบนี้…

“ฟีล! ฟีล! เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”

ไหล่สองข้างถูกฟาลันจับเอาไว้ แล้วเขย่าไม่หยุด

“เป็นมากเลยล่ะ…”

ผมอยากดิ้นรนจากการสั่นไหวที่ทำให้ผมรู้สึกแย่กว่าเดิม แต่ผมกลับยกมือไม่ขึ้น

นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?

ทำไมรู้สึกเหมือนโดนเผาเลย…

จากนั้น พลังงานนั้นก็เคลื่อนที่จากแผ่นอกไปยังแผ่นหลังของผมช้าๆ รู้สึกเหมือนบางอย่างแทงทะลุออกมาจากร่างกายของผม ความรู้สึกของการถูกทิ่มแทงเจ็บจนแม้แต่แรงจะร้องออกมาก็ยังไม่มี

ความเจ็บ รู้สึกได้เพียงความเจ็บ ความเจ็บที่เหมือนกับทิ่มแทงปอดและหัวใจ

และในขณะเดียวกัน ความคลุมเครือในตาก็ค่อยๆ หายไป ภาพรอบด้านค่อยๆ ชัดเจนขึ้น

ฟาลันกำลังยืนอยู่ตรงหน้าผม ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ มองผมเหมือนกับเห็นตัวประหลาดบางอย่าง

มันเรื่องอะไรกันแน่…

ขณะที่ผมกำลังสับสน นอกจากความเจ็บบนหลังที่ผมรู้สึก ยังดูเหมือนมีความรู้สึกแปลกบางอย่าง…

ลองจับความรู้สึกดู จู่ๆ ของบางอย่างก็ยืดจากด้านหลังมาตรงหน้าผม!

กระดูก…สีขาว!

“อ๊าๆๆๆๆ นี่มันอะไรเนี่ย!”

“ข้าก็ไม่รู้ แต่ของสิ่งนี้งอกมาจากข้างหลังของเจ้า”

“อะไรเนี่ย!?”

มองดูดีๆ กระดูกสีขาวยังคงเชื่อมอยู่ด้วยกัน ส่วนปลายสุดมีโครงสร้างแหลมคม รวมกับที่มันงอกออกมาจากหลัง งั้นก็เป็นไปได้แค่อย่างเดียว…

“นี่มัน…หรือว่ามันคือปีกที่สร้างจากกระดูก?”

“อืม ดูแล้วก็ใช่…แต่ข้าจำได้ว่านอกจากมังกรโบราณแล้ว ก็ไม่มีอันเดดอื่นใดที่งอกปีกเป็นกระดูกได้อีก…ยิ่งกว่านั้น ไม่เพียงแต่ปีกกระดูก ร่างกายฝั่งขวาของเจ้ายังมีสิ่งที่ไม่เหมือนกันงอกออกมาด้วย”

สิ่งที่ไม่เหมือนกัน?

“เดี๋ยวก่อน หลังฝั่งขวาของผมก็มีปีกเหรอ? แต่ผมรู้สึกเจ็บที่ฝั่งซ้ายอย่างเดียวนะ?”

ขณะที่ผมพูดแบบนี้ ผมก็รู้สึกว่าหลังฝั่งขวาเริ่มมีความรู้สึกเหมือนกับฝั่งซ้าย ลองควบคุมมันดูเล็กน้อย ปีกสีขาวข้างหนึ่งก็ยืดออกมาจากด้านขวาของผม

“พระเจ้า! นี่มันอะไรกันเนี่ย? ปีกเทวดาเหรอ? ทำไมกัน! ด้านซ้ายเป็นปีกกระดูกก็พอแล้ว ด้านขวาทำไมถึงเป็นปีกเทวดาได้เนี่ย!”

ปีกทั้งสองที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงเริ่มสะบัดภายใต้การควบคุมของผม ของสองสิ่งที่ต่างกันอย่างสุดขั้วแสดงอยู่ตรงหน้าผมพร้อมกัน มันเกิดอะไรกันแน่?

“ฟาลัน ทางที่ดีเธอควรอธิบายสักหน่อยว่าทำไมการคืนชีพของเธอถึงทำให้ฉันกลายเป็นแบบนี้”

ผมฝืนยิ้มมองฟาลันแล้วถาม

“คือว่า…ข้าก็ไม่รู้”

“คุณคิดว่าตอนพูดคำนี้ออกมาแล้วผมจะเชื่อเหรอ?”

“ฮ่าฮ่าฮ่า…”

ฟาลันยิ้มกระอักกระอ่วน แล้วพูดอย่างเสียใจ

“คือว่า…อันที่จริงถ้าใช้คาถาคืนชีพกับคนตาย…ถึงแม้อีกฝ่ายจะคืนชีพแล้ว แต่ก็เป็นการคืนชีพด้วยตัวตนคนตายที่มีชีวิต ก็หมายความว่าคนที่ถูกใช้คาถาคืนชีพ จะกลายเป็นอันเดด…”

“ผมก็ไม่แปลกใจ…”

นี่คือสาเหตุที่คาถาคืนชีพถูกจัดเป็นเวทอันเดดสินะ? เหมาะเจาะจริงๆ

ขณะผมยังสับสน ความรู้สึกประหลาดแบบนั้นก็พรั่งพรูมาอีกครั้ง!

“อ๊าอ๊าอ๊าอ๊าอ๊า!”

ผมร้องออกมาอย่างทรมาน และในขณะเดียวกัน หมอกสีดำและสีขาวก็ไหลทะลักออกมาจากร่างกายผม ลอยอยู่รอบๆ ตัวผม

“แย่แล้ว! เวลาจะหมดแล้ว! รีบเก็บปีกของเจ้ากลับไป!”

“เก็บกลับไป?”

ผมมองปีกประหลาดคู่นั้นและหมอกขาวดำบนตัว ถามอย่างสงสัย

“เก็บกลับไปยังไง?”

“ล้อกันเล่นรึเปล่าเนี่ย?!”

ขณะเธอพูดแบบนี้ หมอกดำที่ติดบนกำแพงก่อนหน้านี้ก็ค่อยๆ กระจายออกไป บางทีนี่คงเป็นสัญญาณเตือนว่าเขตแดนที่เธอตั้งเมื่อกี้กำลังจะไร้ผล

“ข้าจะช่วยเจ้าขจัดกลิ่นอายของอันเดด อีกเดี๋ยวเจ้าก็แกล้งทำเป็นเพิ่งตื่นมาก็พอ!”

จากนั้นเธอก็ยื่นมือออกมา

“คนตายผู้เงียบงัน!”

แสงสีขาวสามเส้นยิงออกมาจากมือเธอ จากนั้นลอยเข้าสู่ปีกกระดูกของผม พริบตาเดียว ปีกกระดูกก็หุบกลับเข้าไปอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงแค่ปีกสีขาวทางด้านขวาของผม

“จากนั้นก็เป็นสิ่งนี้ ขอให้เจ้าหลับไปอีกครั้ง”

พูดจบ เธอก็ปาบอลสีดำลงกับพื้น หมอกสีดำพุ่งออกมาจากข้างในแล้วปะทะบนตัวผม

ตรงหน้าเป็นสีดำ ผมรู้สึกว่าผมล้มลงไป ตรงหน้าปรากฏเวลานับถอยหลังของสถานะหมดสติ

ไม่ได้ผิดพลาดใช่ไหม…ฉันเพิ่งตื่นเมื่อกี้จะให้ฉันหมดสติไปอีก สมกับเป็นเนโครแมนเซอร์ที่ชั่วร้ายจริงๆ…

ในขณะเดียวกัน แถบแจ้งเตือนข้อมูลปรากฏอีกครั้ง

เผ่าพันธุ์เปลี่ยนจากมนุษย์เป็นเผ่าเทวดาศักดิ์สิทธิ์แห่งความตาย

ได้รับฉายา เทวดาแห่งความตาย

นี่มันเกิดอะไรขึ้น? แม้แต่เผ่าพันธุ์ก็เปลี่ยนไปด้วยเหรอ? มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?

โธ่เว้ย แม้แต่เป็นคนก็ไม่ให้เป็นเหรอ?

องค์หญิงสโนว์ ชื่อนี้แทบจะเคยได้ยินในทุกเกม ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นตัวละครที่น่ารักอีกด้วย

แต่องค์หญิงสโนว์ในโลกนี้ ผมไม่เห็นลักษณะที่คล้ายกันจากตัวคนคนนี้เลย

“คนที่ต่ำกว่าอัศวินอย่าพูดคุยกับข้า”

นี่เป็นประโยคเดียวที่องค์หญิงสโนว์พูดตอนแนะนำตัว นับแต่นั้น นอกจากเห็นเธอในห้องเรียนกับเห็นเธอเดินผ่านไปกับอัศวินประจำตัวในบริเวณสถาบันแล้ว เดือนนี้ผมก็ไม่เจอเธอเลย

ซวยแล้วๆ ผมเกลียดการเมืองกับการโค้งตัวคุกเข่าต่อหน้าคนอื่นที่สุด แล้วทำไมต้องให้ผมเจอมันพอดีด้วย บททดสอบที่โลกนี้ให้ผมยากเกินไปรึเปล่าเนี่ย?

ชิงค่าประสบการณ์ในการโจมตีครั้งสุดท้ายก็แล้ว และการร่วมทีมกับยัยนี่ ทั้งยังต้องกำหนดกลยุทธ์การต่อสู้ ยิ่งกว่านั้นยังให้ยัยนี่เป็นคนดำเนินการอีก มันจึงเป็นเรื่องที่ยากที่สุดของเควสต์นี้เลย แล้วยัง…การแข่งขันครั้งนี้มีเวลาเตรียมตัวแค่ประมาณหนึ่งเดือนเท่านั้น การร่วมมือกับเธอ…ถ้าไม่ให้สถานที่เก็บเลเวลจนถึงเลเวล 30 ผมก็คงหมดหนทางต่อเควสต์นี้ ยังไงซะตอนนี้ผมก็ใช้ได้แค่เวทน้ำแข็งเท่านั้น ถ้ายัยนี่รู้ว่าผมเรียนรู้สกิลทุกอย่างได้ คงชำแหละผมแน่!

ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องขององค์หญิงสโนว์ “สโนว์ อะฟังกัส” องค์หญิงองค์ที่สี่แห่งอาณาจักรเอส ชำนาญเวทแช่แข็งบริเวณกว้างในเวทมนตร์ธาตุน้ำแข็ง รูปร่างแบบโลลิ เส้นผมสีน้ำเงินที่มัดทวินเทลม้วนเป็นเกลียว ปกติมักเห็นเธอสวมชุดคลุมสั้นเลี่ยมน้ำเงิน ลวดลายบนนั้นดูซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง ซับซ้อนจนผมพูดได้แค่สมกับที่เป็นลูกคนรวย

“ถึงผมจะฝืนรับภารกิจนี้ได้ แต่ฝั่งองค์หญิงสโนว์…”

“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล อย่างไรซะมันก็เป็นความประสงค์ที่พ่อของนางถ่ายทอดมา”

“งั้นเหรอ…”

น่าแปลก ในเนื้อเรื่องตามปกติ คนที่เป็นองค์หญิงสี่มักแต่งงานเพื่อการเมืองเท่านั้น ถึงจะปรากฏตัวอย่างค่อนข้างพิเศษ แต่ก็เป็นคนที่ดิ้นรนเพื่อหลีกหนีชะตาอันน่าเศร้าของตัวเองอยู่ดี การที่ราชาให้ลูกสาวของตัวเองแข็งแกร่งขึ้น…เนื้อเรื่องแบบนี้ช่างน่าแปลกจริงๆ

แต่ในเมื่อเรื่องราวได้เกิดขึ้นแล้ว งั้นก็ทำได้เพียงฝืนทำไป ยังไงซะมันก็เป็นโอกาสดีของการทลายทางตันในการอัพเลเวล

ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นโอกาสให้ผมเข้าใจโลกใบนี้ให้ลึกซึ้งขึ้นด้วย ขณะเดียวกัน บางทีอาจได้เจอกับคนอย่างอาร์ย่ากับเดลที่มาจากโลกอื่นเหมือนผมก็ได้

ช่างไอ้โง่เดลนั่นเถอะ แต่ช่วงนี้อาร์ย่าจะเป็นยังไงบ้างนะ? ยัยนั่นถูกจำกัดความว่า ‘ชั่วร้าย’ ตั้งแต่เริ่ม บวกกับนิสัยอันหยาบคายแล้ว ชีวิตคงยากลำบากแน่ๆ เลย?

แต่ว่าสถานที่หลังจากออกจากหมู่บ้านฝึกหัดกลับดูเหมือนเป็นการสุ่มขึ้น ไม่แน่ยัยนั่นอาจอยู่ที่อีกฝั่งของทวีปก็เป็นได้…เฮ้อ มีวาสนาก็ได้เจอกันเองแหละ ไม่ใช่เหรอ?

สรุปแล้ว ตอนนี้มาคิดหาทางแก้ปัญหาตรงหน้าจะดีกว่า

“งั้นตกลงต้องวางแผนทำยังไง? ฟังคุณเล่าแบบนี้ การประลองครั้งนี้คงเป็นการต่อสู้แบบทีม งั้นอย่างน้อยผมก็ต้องเข้าใจความสามารถขององค์หญิงสโนว์ในระดับหนึ่งก็พอ…”

ขณะที่ผมกำลังบ่นอาจารย์แมรี่ จู่ๆ ประตูห้องทำงานก็ถูกผู้ชายสวมชุดเกราะหนัก แววตาดุร้ายสองคนเปิดออก ขณะเดียวกันเสียงเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากทางเดิน

“ดังนั้น ข้าจึงแหกกฎให้เจ้าเป็นพลเมืองคนเดียวที่พูดคุยกับข้าได้ ขอบคุณข้าซะเถอะ”

ไม่ต้องบอก ก็รู้ว่ายัยนี่คือองค์หญิงสโนว์

สโนว์ อะฟังกัส

นักเวทน้ำแข็งเลเวล 15 ความดี ผู้แข็งแกร่ง ทหารสอดแนมผู้หยิ่งยโส องค์หญิงสี่แห่งอาณาจักรเอส

???

นอกจากสัญลักษณ์คำถามด้านหลังสุด ผมก็ได้รับข้อมูลเบื้องต้นของตัวละครจากฉายาบนนั้น แต่ฉายานี้ทำให้ผมรู้สึกว่ามันไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ของเธอเท่าไหร่…

ยิ่งกว่านั้นเมื่อมองดูองครักษ์ข้างกายเธอเหล่านั้น ไม่มีใครมีเลเวลไม่ถึง 20 และผมก็ไม่อาจพูดได้ว่าอีกฝ่ายมีองครักษ์แบบนี้แค่สามคน ดูจากประสบการณ์การต่อสู้ของสามคนนี้ คงน่ากลัวว่าสามผู้แข็งแกร่งที่สุดในสถาบันเวทมนตร์เกรย์อีกมั้ง?

สังเกตเห็นสายตาที่จับจ้ององครักษ์ของเธอ องค์หญิงสโนว์ก็ถอนหายใจแล้วพูดขึ้นก่อน

“แดน พวกเจ้าออกไปรอก่อนเถอะ”

“องค์หญิง…คือ…”

“ไม่ต้องห่วง ข้ารู้ตัวดีอยู่แล้ว”

องครักษ์คนนั้นมองมาที่ผม พยักหน้าให้กัน จากนั้นก็ถอยออกไป

หลังจากปิดประตู องค์หญิงสโนว์ก็ถอนหายใจราวกับโล่งอก สะบัดมืออย่างไม่มีมารยาท แล้วกระโดดขึ้นไปนอนบนโซฟาทันที

เฮ้ยๆๆ! องค์หญิงของอาณาจักรกำลังทำอะไรเนี่ย! ถ้าชุดคลุมสั้นของเธอถกขึ้นอีกนิดก็เห็นกางเกงในแล้วนะ!

“ไอ้นี่ อย่ายืนทำหน้าซื่อบื้ออยู่ตรงนั้นสิ นั่งลง ไหนลองว่ามาซิ เจ้าอยากรู้อะไรบ้างในการประลองครั้งนี้ หรือต้องการแทรกแซงฝั่งของข้า แค่พูดมาก็พอ ขอเพียงไม่แหกกฎ ข้าจะพยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่”

ยัยนี่มันอะไรกันแน่ น้ำเสียงในการพูดจาแบบนี้ เหมือนกับนักเลงตามถนนเลย…ยัยนี่คือองค์หญิงในสถาบันที่ไม่เห็นใครในสายตาเมื่อก่อนหน้านี้จริงเหรอ?

“ไอ้เจ้านี่ จ้องคนอื่นมันเสียมารยาทนะ รู้ไหม!”

หรือจะบอกว่าสถานการณ์ในตอนนี้คือสันดานเดิมของยัยนี่?

“โทษที ผมแค่ตกใจนิดหน่อย…คิดไม่ถึงว่าองค์หญิงสโนว์ที่ดูเลือดเย็นอย่างก่อนหน้านี้จะมีนิสัยแบบนี้”

ผมหันหน้ามองไปยังอาจารย์แมรี่ กลับพบว่าเธอกำลังแอบหัวเราะ

อาจารย์รู้เรื่องนี้นานแล้วเหรอ? ยัยนี่ทำแต่เรื่องไม่น่าเชื่อถือตลอดเลย

“ฮึ่ม! เจ้าคิดว่าอำนาจราชาเป็นแค่อำนาจเหรอ? หลายครั้งที่เราทำได้แค่ฝืนใจทำตามกฎระเบียบเยอะแยะ ข้ายอมรับความแข็งแกร่งของเจ้าจริงๆ ในวิชาต่อสู้ภาคปฏิบัติ ความแม่นยำและการทำลายล้างของเวทเจ้าต่างก็อยู่ในระดับสูงที่สุด ถึงตัวเจ้าจะอ่อนแอไปหน่อย แต่กลับสามารถเอาชนะศัตรูได้”

“ได้รับคำชมจากองค์หญิงถือเป็นสิ่งที่หายากจริงๆ”

“งั้นก็ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันหน่อย ตกลงเจ้ามีแผนการอะไรต่อการประลองครั้งนี้?”

“ก่อนจะปรึกษาเรื่องนั้น ผมมีเรื่องหนึ่งที่อยากยืนยันกับองค์หญิง”

“เรื่องอะไร?”

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ พูด

“การต่อสู้ครั้งนี้ คุณหวังจะชนะ หรือพ่อของคุณหวังให้คุณชนะ?”

ไม่ทำเรื่องนี้ให้ชัดเจนไม่ได้ ถ้ายัยนี่ไม่มีสำนึกในการต่อสู้…มันก็เป็นการขายเพื่อนรวมทีมไม่ใช่เหรอ?

ดังนั้น ผมจึงกลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งในสถาบันเวทมนตร์เกรย์ ถึงจะไม่รู้ว่าฟาลันใช้วิธีอะไรให้ผมมีสถานะนักเรียนได้ แต่ในเมื่อเป้าหมายสำเร็จแล้วก็ไม่มีปัญหา

สำหรับเรื่องนี้ ผมมักให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มาตลอด ไม่ต้องรู้ขั้นตอนอื่นๆ จะดีกว่า

ยิ่งไปกว่านั้น ห้องสมุดของที่นี่เหมือนกับกรุสมบัติจริงๆ เวทมนตร์อะไรนู่นนี่ก็มีทั้งหมด ถึงตอนนี้ผมยังอยู่ในห้องเบื้องต้น หนังสือเวทที่อ่านได้จึงเป็นระดับต้นทั้งหมด ทว่าปฏิสัมพันธ์ระหว่างธาตุกลับให้ความเป็นไปได้ใหม่แก่ผม และยังไงซะ ผมก็อ่านหนังสือของคุณสมบัติทั้งหมดแล้ว

แต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะผมหาเวทมนตร์สายแสง สายมืด และสายอันเดดในห้องสมุดไม่เจอ

สำหรับเรื่องนี้ ผมได้ขอคำแนะนำจากฟาลัน ตอนนั้นผมจึงรู้ว่าที่แท้เวทมนตร์สามอย่างนั้นไม่ใช่เวทมนตร์ขั้นต้น ถึงเป็นสกิลฟื้นฟูสายแสงทั่วไปก็อยู่ในเวทมนตร์ขั้นกลาง แล้วตำราที่เกี่ยวข้องส่วนมากต่างก็อยู่ในโบสถ์

เบื้องต้นเวทมนตร์สายมืดถูกชนชั้นปกครองครอบครองไว้ เพราะผลกระทบของพวกมันมีเพียงการทำลาย จึงถูกใช้เป็นอาวุธให้บุคคลโดยเฉพาะศึกษาเท่านั้น

สายอันเดด? ถ้าคุณไม่อยากถูกทั้งโลกประกาศจับ ก็อย่าไปเรียนรู้มันเลยจะดีกว่า

ถึงผมจะอยากเรียนก็เถอะ

ผมเคยให้ฟาลันสอนผม แต่อีกฝ่ายก็ไม่ยอม

“มือใหม่อย่างเจ้าอาจเผลอปล่อยข้อมูลการเรียนก็ได้ ถ้าถูกจับได้พวกเราคงยุ่งแน่”

เธอพูดแบบนี้

ถึงไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องข้อมูลรั่วไหลหรือไม่ แต่ตอนนี้ไม่ก่อเรื่องในสถาบันก็คงดีกว่า

สรุปแล้ว นอกจากการขลุกอยู่กับสามผู้แข็งแกร่งที่สุดของสถาบัน ผมก็ถ่อมตนอย่างยิ่งอีกด้วย…

ไร้สาระน่า การอยู่กับสามคนนี้ไม่อาจถ่อมตัวได้หรอก! ตอนนี้การคุยกับคนอื่นก็ทำให้ผมรู้สึกถึงความหวาดกลัวในสายตาของอีกฝ่ายได้! ตกลงสามคนนี้ทำอะไรในสถาบันกันแน่เนี่ย!

ทว่า เพราะแบบนี้ผมถึงสามารถอ่านหนังสือเวทมนตร์ทั้งหมดในห้องสมุดอย่างเงียบๆ ได้ แม้กระทั่งสกิลนักดาบ อัศวิน ตลอดจนโจรก็สามารถเรียนรู้ได้ ยังไงซะที่นี่ก็เป็นสถาบัน หนังสืออ้างอิงเบื้องต้นจึงยังมีอยู่

เรียนไปเถอะ! ยังไงตอนนี้ก็รวบรวมสกิลเวทห้าสิบกว่าสกิลและสกิลอื่นอีกยี่สิบกว่าสกิลได้แล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงขีดจำกัดบนแถบสกิล สรุปแล้วคือเรียนไปก่อนค่อยว่ากันเถอะ

สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือการเรียนแบบนี้ไม่อาจเพิ่มค่าประสบการณ์ได้ หรือแปลว่าหนึ่งเดือนมานี้เลเวลของผมไม่เพิ่มขึ้นแม้แต่น้อย และยังคงอยู่ในระดับเดิม

ถึงจะมีวิชาประเภทการต่อสู้ภาคปฏิบัติ แต่ไม่รู้ว่าทำไมการต่อสู้ทุกครั้งกลับไม่มีค่าประสบการณ์ ถึงระดับการฝึกฝนที่ใช้สกิลจะเพิ่มขึ้น แต่กลับไม่มีค่าประสบการณ์เลย

แต่การเพิ่มระดับการฝึกฝนก็เป็นเรื่องดี ยังไงซะถ้าใช้ความคิดโดยตรงตอนผมใช้สกิล บางครั้งอาจจะมีโอกาสไม่สำเร็จ แต่พอเปิดหน้าจอสกิลกลับสามารถใช้ได้ร้อยเปอร์เซ็น

ดังนั้นการเพิ่มระดับการฝึกควบคุมความคิดจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ยังไงซะตอนผมใช้ดาบฟันคนก็ไม่อาจเปิดหน้าจอควบคุมได้อยู่แล้วนี่?

แต่ยังมีปัญหาอย่างหนึ่ง นั่นก็คือคะแนนทฤษฎีเวทมนตร์ของผมดูท่าจะไม่รอด

ผมไม่ใช่คนประเภทชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว ทั้งยังให้ผมเปลี่ยนจากโลกทัศน์วัตถุนิยมไปเป็นโลกทัศน์อัศจรรย์ของโลกเวทมนตร์ทันที เรื่องแบบนี้แม้แต่นิวตันก็เพิ่งทำได้ตอนแก่ ให้ผมยอมรับมันในเวลาหนึ่งเดือนคงยากจริงๆ

สิ่งที่น่ายินดีก็คือคะแนนการต่อสู้ภาคปฏิบัติของผมกลับทำได้ดีที่สุด อย่างน้อย ในชั้นเรียนของผมก็ไม่มีใครเอาชนะผมได้

ยังไงซะผมแค่ต้องกดหน้าจอเสมือนจริงก็ปล่อยสกิลได้แล้ว แต่คนอื่นกลับต้องใช้แรงอยู่สักพักกว่าจะปล่อยเวทมนตร์ได้ ผมเลยได้เปรียบเป็นธรรมดา

ทว่า…

คำวิจารณ์ของอาจารย์ที่ปรึกษาที่ว่า “ข้าเพิ่งเคยเห็นนักเรียนที่คะแนนการต่อสู้ภาคปฏิบัติดีกว่าคะแนนทฤษฎี” ทำให้ผมค่อนข้างสับสน และมีความรู้สึกเหมือนทำเรื่องไม่ดีบางอย่าง

แต่โดยรวมแล้ว การใช้ชีวิตในเดือนนี้ก็ค่อนข้างราบรื่น

“โย่ ฟีล อรุณสวัสดิ์”

ระหว่างทางมุ่งหน้าไปอาคารเรียน จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกชื่อผมดังมาจากข้างหลัง

เสียงนี้…คงเป็นฮีล

“อรุณสวัสดิ์ เอ๊ะ? เวลานี้แล้วนายยังไม่เข้าเรียนเหรอ?”

ฮีล เบลค เด็กหนุ่มเวทมนตร์สายวายุเลเวล 14 ผมสั้นสีเขียว ส่วนสูงหนึ่งเมตรหกสิบแปดเป็นนักเรียนข้างห้อง เคยพบกันตอนวิชาต่อสู้ภาคปฏิบัติก่อนหน้านี้ เป็นนักเรียนเวทสายวายุขั้นต้นที่มีคะแนนดีที่สุด และเคยต่อสู้กับเขามาก่อน

ถึงเลเวลของอีกฝ่ายจะสูงกว่าผม แต่ว่า การเขาที่ยังใช้เวทมนตร์ไม่คล่องแคล่วกลับพ่ายแพ้ต่อผมในการต่อสู้

ทว่ามันกลับทำให้พวกผมรู้จักกันมากขึ้น และดูเหมือนหมอนี่คิดว่าผมมีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ ยังไงซะสิ่งที่แตกต่างจากผม คือหมอนี่เป็นนักเวทที่แท้จริง

พูดอีกอย่างก็คือ เขาเป็นเด็กเนิร์ด

“ใช่แล้ว พอเลิกเรียนแล้วพวกเรามาสู้กันอีกครั้งเถอะ!”

“เอ๊ะ? เมื่อวานก็เพิ่งจะสู้กันไม่ใช่เหรอ? นายแค่ต้องฝึกความแม่นยำของตัวเองก็พอแล้ว”

ยังไงซะ อันที่จริงเกมที่ผมเชี่ยวชาญที่สุดไม่ใช่ RPG หรือเกมจำพวกการเคลื่อนไหว และแน่นอน ถึงผมจะรวมไปถึงเกมพัซเซิล (puzzle) แต่เกมที่ผมชอบที่สุดก็ยังคงเป็นเกมประเภทยิงปืน

ขอเพียงอยู่ในระยะสายตาของผม เวทมนตร์ของผมก็ไม่อาจผิดพลาดเพราะเรื่องความแม่นยำแน่ แต่แน่นอนว่าผมไม่อาจควบคุมปัจจัยด้านความรวดเร็วของฝ่ายตรงข้ามได้

“แต่ในบรรดาคนที่ข้ารู้จักก็มีแค่เจ้าที่บอกว่าข้าควรเพิ่มความแม่นยำยังไงนี่! เพื่อเป็นการชดเชย ข้าจะสอนทฤษฎีเวทมนตร์ให้เจ้า ข้ารู้ว่าคะแนนทฤษฎีของเจ้าแทบจะพอผ่านเท่านั้น แต่ข้าคะแนนเต็มเชียวนะ!”

“ใช่ๆๆ เจ้าเนิร์ด งั้นก็ฝากนายแล้วกัน”

“เนิร์ด คืออะไรเหรอ?”

“เอ่อ ราชาแห่งการเรียนรู้ อธิบายแบบนี้คงดีกว่ามั้ง?”

“ราชา…ข้าไม่กล้าหรอก”

อีกฝ่ายยิ้มๆ แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม

“ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมคะแนนการต่อสู้ภาคปฏิบัติของเจ้าถึงสูงกว่าภาคทฤษฎี ตกลงเจ้าทำสมาธิอย่างไรถึงเพิ่มความสามารถของตัวเองได้?”

เก็บเลเวลน่ะสิ…แต่แน่นอน ถึงพูดเรื่องแบบนี้ออกมาก็ไม่มีใครเข้าใจ

“ใครจะรู้ล่ะ ยังไงคนธรรมดาอย่างฉันก็ไม่รู้หรอก”

จะว่าไป หลังจากมาถึงสถาบัน ผมก็นับว่าได้เรียนรู้แนวคิดเรื่องลำดับชั้นของโลกใบนี้อย่างเต็มที่

ชนชั้นสูง ถึงจะไม่แข็งแกร่งก็ไม่ใช่พวกที่จะหาเรื่องพวกเขาตามอำเภอใจได้ ถ้าอีกฝ่ายเป็นเพียงชนชั้นสูงของอาณาจักรเล็กๆ อย่างเชอร์ฟาก็ดี เพราะเลเวลของราชาก็มีเพียงเท่านั้น ช่างมันเถอะ…แต่ว่า ถ้าเจอกับอาณาจักรที่มีประชากรนับสิบล้าน นั่นก็ยิ่งไม่สามารถหาเรื่องตามใจชอบจริงๆ

และตัวตนที่ผมใช้ตอนนี้คือพลเมืองของอาณาจักรเล็กๆ ที่เรียกว่าร็อธ เพราะงั้นฐานะก็ย่อมอนาถาเป็นธรรมดา

ทว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่ อย่างไรซะก็ยังมีชนชั้นสูงแบบฮีลที่ไขว่คว้าการเพิ่มความสามารถของตัวเอง รวมถึงสามคนที่แข็งแกร่งที่สุดของสถาบันปรากฏตัวอยู่รอบผมเป็นบางครั้ง ด้วยการใช้ชีวิตแบบถ่อมตนของผม เดือนนี้ผมจึงติดต่อกับชนชั้นสูงไม่มากเท่าไหร่

แต่เหตุการณ์การกลั่นแกล้งก็ยังคงเห็นได้ไม่น้อย ถึงผมก็อยากลองทำเรื่องอย่างการช่วยเหลือคนอื่น แต่ผู้คุ้มกันที่แอบซ่อนอยู่เหล่านั้นมีเลเวลสูงจนน่าตกใจ จนทำให้ผมต้องล่าถอยโดยไม่รู้ตัว

ถึงจะมองไม่เห็นพวกเขา แต่เลเวล 25 และอื่นๆ ที่ลอยตัวใหญ่อยู่กลางอากาศ ต่างก็เหมือนพวกที่สามารถปลิดชีพผมได้อย่างรวดเร็ว

“อย่าพูดแบบนี้สิ ถึงบางคนในบรรดาชนชั้นสูงจะทำเกินไปจริงๆ แต่ชนชั้นสูงส่วนใหญ่ก็ยังรักษากิริยาของชนชั้นสูงอยู่ดี!”

“ใช่ๆๆๆ ไม่เพียงแค่รักษากิริยา ยังหยิ่งยโสด้วย…”

“ฟีล!”

ช่วยไม่ได้ ถึงฮีลกับผมจะสนิทกัน แต่หมอนี่ก็เป็นชนชั้นสูงอยู่ดี

“เอาล่ะๆ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว ฉันต้องไปแล้ว ต้องเข้าเรียนล่ะ”

“อืม ข้าก็จะไปห้องสมุด ค่ำหน่อยค่อยไปหาเจ้าแล้วกัน”

ดูท่าวันนี้คงหนีไม่พ้น

“ได้ ไว้ติดต่อไปค่ำๆ”

ถ้าผมเกิดใหม่ใน RPG? (So What if it’s an RPG World !?)

ถ้าผมเกิดใหม่ใน RPG? (So What if it’s an RPG World !?)

Status: Ongoing

ผมตื่นขึ้นมาหน้าหมู่บ้านแปลกๆ แห่งหนึ่ง ผมลองคิดว่าก่อนหน้านี้ผมทำอะไรมาถึงมาอยู่ที่นี่ แต่ผมกลับนึกอะไรไม่ออก นอกจากชื่อของผม “หลิน ฟีล”

ผมเดินเข้าไปในหมู่บ้านเพื่อขอความช่วยเหลือ กลับพบว่าทุกคนในหมู่บ้านมีชื่อและหลอด HP ลอยอยู่เหนือศีรษะ

เอ๊ะ…ทำไมมันเหมือนเกม RPG จัง หรือว่า…ผมจะหลุดเข้ามาในเกม RPG?!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท