ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 303 เปิดเทอม

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 303 เปิดเทอม

ตอนที่ 303 เปิดเทอม

หลิวเสวียข่ายมองฉินมู่หลานที่ยังเป็นวัยรุ่นและหน้าตางดงามที่อยู่ตรงหน้าแล้วยังคงประหลาดใจเล็กน้อย แม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยได้ยินเรื่องของเธอมาแล้ว แต่เมื่อได้พบหน้ากันก็ยังทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อ

“สวัสดีครับ สหายฉิน”

“สวัสดีค่ะ”

หลังจากทั้งสองคนนั่งลง สีหน้าของหลิวเสวียข่ายพลันจริงจัง จากนั้นเอ่ยถามอย่างจริงจังเช่นเดียวกับงานทั้งหมดก่อนหน้านี้ “สหายฉิน ผมได้อ่านแผนธุรกิจทั้งหมดของคุณแล้ว ผมรู้สึกว่ามันดีมาก แต่ผมยังมีข้อสงสัยเล็กน้อยในบางส่วน”

ขณะกล่าวก็หยิบแผนธุรกิจที่ฉินมู่หลานเขียนออกมา

“หัวหน้าหลิว หากมีคำถามอะไร คุณสามารถคุยกับฉันได้เลยค่ะ”

หลิวเสวียข่ายชี้ไปยังประเด็นที่มีความสงสัย

ฉินมู่หลานชำเลืองมองและยิ้มพลางกล่าว “การจัดแสดงหน้างานนี้ก็คือให้เหล่าพนักงานขายทั้งหมดใช้เครื่องสำอางของพวกเราแต่งหน้า ลูกค้าที่เข้ามาเลือกซื้อจะได้เห็นอย่างชัดเจน เพราะเครื่องสำอางเหล่านี้จะได้ผลลัพธ์อย่างไรนั้น มีเพียงแค่การเติมแต่งลงบนใบหน้าเท่านั้นถึงจะสามารถมองเห็นได้”

หลิวเสวียข่ายเห็นด้วยกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามเขายังคงกังวลเล็กน้อย

“ถ้าพนักงานขายแต่งหน้าไม่เป็นจะทำอย่างไร?” เมื่อวานนี้คุณอาสะใภ้ดูอ่อนเยาว์และสวยกว่าปกติจริงๆ แต่วันนี้คุณอาสะใภ้ที่เขาเห็นก่อนออกจากบ้านกลับดูยากที่จะอธิบายเป็นคำพูดสั้นๆ ทำได้เพียงกล่าวว่าแตกต่างจากเมื่อวานโดยสิ้นเชิง ทำให้เขากล่าวถึงสิ่งที่กังวลใจออกมา

ฉินมู่หลานส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดนี้

“เรื่องนี้หัวหน้าหลิววางใจได้ค่ะ ฉันหาคนแต่งหน้าไว้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นจะให้หล่อนแต่งหน้าให้กับพนักงานขาย ขณะเดียวกันหากมีลูกค้าเข้ามาและต้องการทดลองก็ให้หล่อนแต่งหน้าให้กับลูกค้าได้ทันที แต่…….” ฉินมู่หลานเอ่ยถามประโยคหนึ่ง “สามารถเพิ่มคนสักคนหนึ่งภายในห้างได้ไหมคะ?”

ก่อนหน้านี้เธอให้หรูฮวนติดต่อเยว่เจินจูแล้ว หากอีกฝ่ายตอบตกลงก็ให้หล่อนไปทำงานที่ห้างได้เลย

หลิวเสวียข่ายเห็นฉินมู่หลานคิดไว้เรียบร้อยแล้ว เขาพยักหน้าอย่างอดไม่ได้และเอ่ย “ได้ครับ เมื่อถึงเวลานั้นให้หล่อนเข้าไปทำงานภายในห้างเลย แต่ว่าคุณจะคำนวณเงินเดือนของหล่อนอย่างไร?”

ฉินมู่หลานเป็นคนจัดหาบุคคลเอง หากขาดช่างแต่งหน้าคนนี้ เครื่องสำอางเหล่านั้นก็จะไม่อาจปรากฏผลลัพธ์ที่ทำให้ผู้คนประหลาดใจได้ ดังนั้นเรื่องเงินเดือนจึงเป็นเรื่องยากที่จะระบุ

เรื่องนี้ฉินมู่หลานเคยคิดมาก่อน โดยวางแผนว่าจะให้เป็นเงินเดือนพื้นฐานบวกกับค่าคอมมิชชั่น จึงเอ่ยความคิดของตนเองออกไป

การคำนวณเงินเดือนแบบนี้ดูแปลกใหม่มาก ขณะเดียวกันก็กระตุ้นความกระตือรือร้นของพนักงานขายได้อีกด้วย ติดเพียงว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีตัวอย่างเช่นนี้มาก่อน หลิวเสวียข่ายจึงไม่สามารถตัดสินใจอย่างเด็ดขาดได้ “เรื่องนี้ผมยังต้องขอคำแนะนำจากหัวหน้าก่อน”

“ได้เลยค่ะ”

ฉินมู่หลานยิ้มพลางพยักหน้า

จากนั้นหลิวเสวียข่ายก็ถามถึงปัญหาการจัดหาสินค้าที่เขาเป็นกังวลมากที่สุด

“เรื่องนี้คุณสบายใจได้เลยค่ะ ตราบใดที่เครื่องสำอางของฉันเข้าไปวางขายในห้างได้ ฉันก็จะสร้างโรงงานขนาดเล็ก รับรองว่าจะจัดหาสินค้ามาได้เพียงพออย่างแน่นอน”

“แต่ว่า…… ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ผลิตกับโรงงานจะแตกต่างกับเครื่องสำอางที่คุณผลิตด้วยตัวเองหรือเปล่า”

ฉินมู่หลานส่ายศีรษะพลางเอ่ย “วางใจเถอะค่ะ คุณภาพสินค้าจะไม่แตกต่างกัน แต่ถึงอย่างนั้นฉันยังคงอบรมคนกลุ่มหนึ่งทำการผลิตเครื่องสำอางด้วยมือ และสิ่งของที่ทำด้วยมือเหล่านั้นจะแพงกว่าเล็กน้อย”

“ตกลง เรื่องเหล่านี้คุณตัดสินใจได้เลย แต่ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้มากที่เครื่องสำอางจะได้เข้าสู่ห้าง ดังนั้นคุณต้องเตรียมตัวล่วงหน้าให้พร้อม ผมหวังว่าเมื่อถึงวันที่สามารถนำเข้าห้างได้ คุณจะเตรียมเครื่องสำอางไว้เพียงพอต่อความต้องการ”

ฉินมู่หลานยิ้มพลางเอ่ยรับรอง “หัวหน้าหลิววางใจได้เลยค่ะ อีกเดี๋ยวเมื่อฉันกลับไปแล้วจะเริ่มเตรียมสินค้า จะไม่ทำพลาดอย่างแน่นอน”

“งั้นก็ดีครับ คุณกลับไปเตรียมตัวก่อน ผมเองก็จะนำแผนธุรกิจนี้ยื่นให้กับหัวหน้า”

หลังจากทั้งสองคนพูดคุยธุระเสร็จสิ้น แต่ละคนก็วางแผนกลับไปทำงานของตนเอง

กระนั้นก็มีสิ่งที่ฉินมู่หลานคาดไม่ถึง ทันทีที่เธอกลับมาถึงบ้าน เสิ่นหรูฮวนก็พาเยว่เจินจูมารออยู่ก่อนแล้ว

“มู่หลาน ในที่สุดก็กลับมาแล้ว พวกเรากำลังรอเธออยู่”

เสิ่นหรูฮวนยิ้มพลางเดินเข้ามา ขณะเดียวกันก็กล่าว “เดิมทีฉันอยากจะนัดเวลากับเธอ แต่เจินจูรอไม่ได้ หลังจากหล่อนเห็นเซ็ตเครื่องสำอางนั้นของฉัน หล่อนก็อยากพบเธอทันที”

ขณะนี้เยว่เจินจูจ้องมองฉินมู่หลานด้วยแววตาเป็นประกายและเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้น “คุณฉิน เครื่องสำอางเหล่านั้นคุณทำเองทั้งหมดเลยเหรอ คุณคิดอย่างไรถึงได้ทำสิ่งเหล่านั้นออกมา ทำไมคุณถึงเก่งขนาดนี้ เครื่องสำอางเหล่านั้นใช้อย่างไร คุณช่วยสอนฉันหน่อยได้ไหม คุณเสิ่นอธิบายฉันแล้ว แต่เมื่อฉันลองใช้กับหล่อน กลับไม่สามารถแต่งให้ได้ผลลัพธ์เหมือนกับคุณเลยค่ะ”

ฉินมู่หลานมองสีหน้าร้อนรนของเยว่เจินจู จากนั้นยิ้มพลางเอ่ย “ได้แน่นอนค่ะ”

เธอเห็นว่าเสิ่นหรูฮวนอยู่ในสภาพหน้าสดพอดี จึงยิ้มและกล่าว “หรูฮวน งั้นวันนี้ฉันจะแต่งหน้าให้เธออีกครั้งนะ”

“ได้เลย”

เสิ่นหรูฮวนย่อมตอบรับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข ใครไม่อยากสวยบ้างล่ะ

ฉินมู่หลานสาธิตเทคนิคการแต่งหน้าให้เยว่เจินจูในทันใด ลงมือไปพลางพูดอธิบายไปพลาง

เยว่เจินจูรับฟังด้วยความตั้งใจเป็นอย่างมาก กระทั่งฉินมู่หลานแต่งหน้าให้กับเสิ่นหรูฮวนเสร็จสิ้น หล่อนเองก็อดไม่ได้ที่อยากจะลองฝีมือดูบ้าง

“งั้นเธอก็ลองแต่งหน้าให้กับตัวเองดู”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เยว่เจินจูก็ลงมือทันที ก่อนหน้านี้หล่อนเคยเห็นประโยชน์ของเครื่องสำอางเหล่านี้มาก่อนแล้ว ขณะนี้จึงได้ลองใช้กับใบหน้าของตนเองจริงๆ จากนั้นก็สัมผัสได้ว่าเครื่องสำอางเหล่านี้ดีมากขนาดไหน “คุณฉิน คุณยอดเยี่ยมมากเลยจริงๆ คาดไม่ถึงว่าคุณจะสามารถผลิตเครื่องสำอางที่ดีขนาดนี้ออกมาได้ แตกต่างจากที่พวกเราใช้กันอยู่ตอนนี้อย่างสิ้นเชิง”

ครีมไวท์เทนนิ่งที่ใช้อยู่ตอนนี้มีเนื้อข้นหนืดเกลี่ยยาก แต่ครีมที่ฉินมู่หลานผลิตขึ้นมากลับซึมซาบเร็วในการปาดเพียงครั้งเดียวและยังเป็นมิตรกับผิวมาก ราวกับผิวของตนเองดีมาแต่เกิดอย่างไรอย่างนั้น

เมื่อสักครู่เยว่เจินจูสังเกตและจดจำขั้นตอนเหล่านั้นของฉินมู่หลานไว้แล้วอย่างละเอียด แม้ตอนแรกจะไม่คุ้นเคยนัก แต่เมื่อลงมือทำเรื่อยๆ เยว่เจินจูก็ลงมือทำได้อย่างราบรื่น

ฉินมู่หลานเห็นการกระทำของเยว่เจินจูแล้วพลันต้องร้องอุทาน หล่อนมองดูเพียงแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวก็สามารถใช้เครื่องสำอางเหล่านี้แต่งหน้าให้กับตนเองได้ดีมาก แม้แต่อายไลน์เนอร์ก็ยังเขียนได้สวยมาก

“ว้าว……เจินจู เธอเก่งมากและเธอก็สวยมากด้วย”

เสิ่นหรูฮวนเห็นแล้วพลันรู้สึกอิจฉา เมื่อวานเธอเห็นมู่หลานแต่งหน้าให้คนมากมาย แต่เธอยังคงทำไม่เป็น ในขณะที่เยว่เจินจูเห็นเพียงรอบเดียวก็สามารถทำได้แล้ว

เยว่เจินจูมองดูตัวเองภายในกระจกและรู้สึกพอใจมาก แต่ถึงอย่างไรหล่อนก็รู้ว่าสิ่งที่มีส่วนช่วยมากที่สุดยังคงเป็นเครื่องสำอางเหล่านี้ “เครื่องสำอางที่คุณฉินผลิตมามีคุณภาพดีมาก ฉันเลยแต่งหน้าตัวเองให้ออกมาสวยมากได้น่ะค่ะ”

“เพราะคุณมีพรสวรรค์ด้วยแหละค่ะ ไม่อย่างนั้นจะทำได้หลังจากที่ดูเพียงครั้งเดียวได้ยังไง”

ฉินมู่หลานยิ้มขณะเอ่ยชมเชย ขณะเดียวกันก็กล่าวถึงเรื่องที่ต้องการให้เยว่เจินจูไปทำงานที่ห้างสรรพสินค้า

เยว่เจินจูได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้าตื่นเต้น “จริงเหรอคะ คาดไม่ถึงเลยว่าฉันจะมีโอกาสไปทำงานที่ห้างสรรพสินค้า นั่นเป็นอาชีพการงานที่มั่นคงมาก ถ้าฉันไปทำงานที่นั่นได้ก็คงมีความสุขมาก”

เยว่เจินจูตอบตกลงโดยไม่คิดแม้แต่น้อย ฉินมู่หลานเองก็วางใจแล้ว เดิมทีคิดว่าจะต้องโน้มน้าวอีกฝ่ายอยู่นานเสียอีก “งั้นก็ยอดเยี่ยมเลย หากสินค้าเข้าห้างสรรพสินค้าได้ เมื่อถึงเวลานั้นต้องรบกวนให้เธอเข้าไปทำงานที่นั่นแล้ว”

“ไม่รบกวน ไม่รบกวนเลยสักนิดเดียวค่ะ ฉันต้องขอบคุณคุณที่ช่วยเหลือฉันขนาดนี้”

“งั้นก็ดีเลย พวกเราตกลงกันตามนี้” หลังจากนั้นฉินมู่หลานก็เอ่ยถามถึงที่อยู่อาศัยของเยว่เจินจู เพื่อความสะดวกสบายต่อการพบเจอหล่อน

หลังแยกจากเสิ่นหรูฮวนและเยว่เจินจู ฉินมู่หลานก็ไปดูเด็กทั้งสองคน ก่อนจะทุ่มเทแรงใจแรงกายทั้งหมดให้กับการผลิตเครื่องสำอาง เธอต้องเตรียมสินค้าล่วงหน้าจำนวนหนึ่ง หลังจากเข้าสู่ห้างสรรพสินค้าแล้วจะได้ขายออกทันท่วงที

อย่างไรก็ตามฉินมู่หลานทำเพียงคนเดียวและไม่สามารถจัดการได้อย่างว่องไว เพื่อที่จะผลิตให้ได้มากยิ่งขึ้น เธอจึงทำงานจนกระทั่งเวลาล่วงเลยถึงเที่ยงคืน สุดท้ายก็ค่อยไปพักผ่อน

“มู่หลาน ตื่นเร็วเข้า วันนี้คุณต้องไปรายงานตัวแล้ว”

เซี่ยเจ๋อหลี่เขย่าตัวฉินมู่หลานที่ยังคงหลับสนิท อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทุกข์ใจเล็กน้อย “หลายวันมานี้คุณเหนื่อยเกินไปแล้ว”

ฉินมู่หลานลืมตาขึ้นอย่างสะลึมสะลือและนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ต้องไปมหาวิทยาลัยแล้ว ทันใดนั้นก็เบิกตาโพลง รีบลุกขึ้นไปอาบน้ำทันที เมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสองคนไม่อยู่ที่เตียงแล้วก็รีบเอ่ยถาม “เด็กๆ ตื่นกันแล้วเหรอ?”

“พวกเขาทั้งสองคนตื่นตั้งแต่เช้าแล้ว ตอนนี้แม่ชงนมให้พวกเขาเรียบร้อย จะได้ไม่รบกวนคุณ”

ฉินมู่หลานพยักหน้าเมื่อได้ยินเช่นนั้น ขณะเดียวกันก็ยิ้มและเอ่ย “พวกเขาคงปวดใจกับแม่ไม่น้อยนะคะ พอหย่านมแล้วก็งอแงตั้งสองวัน แต่หลังจากนั้นก็ดื่มนมผงอย่างเชื่อฟัง”

ส่วนตัวเธอเองก็ดื่มนมมอลต์ตลอดทั้งวัน ทำให้การหย่านมเป็นไปอย่างราบรื่น

“ใช่แล้ว เด็กทั้งสองคนเชื่อฟังมากจริงๆ”

หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก คนหนึ่งไปทำงาน คนหนึ่งไปมหาวิทยาลัย

“พี่ พี่เร็วหน่อย พวกเราต้องรีบออกจากบ้านแล้ว”

ฉินเคอวั่งเห็นว่าฉินมู่หลานมาแล้ว เขาก็รีบเรียก ขณะนี้เขารู้สึกตื่นเต้นมาก ในที่สุดก็ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว

ฉินมู่หลานได้ยินแล้วก็ตอบกลับ “เสร็จแล้วๆ ฉันรู้แล้ว ให้ฉันกินซาลาเปาก่อน” เธอเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จากนั้นมองฉินเคอวั่งและกล่าว “เสร็จแล้วเคอวั่ง พวกเราออกเดินทางกันเถอะ”

ฉินเจี้ยนเซ่อและเจี่ยงสือเหิงต่างก็เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “มู่หลาน เคอวั่ง ให้พวกเราไปส่งพวกเธอไหม”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ พวกเราไปกันเองได้ มหาวิทยาลัยของฉันกับเคอวั่งอยู่ใกล้กันมาก ฉันไปส่งเคอวั่งที่คณะของเขาก่อน จากนั้นฉันค่อยไปรายงานตัวค่ะ” ฉินมู่หลานกล่าวและเอ่ยลาเด็กทั้งสองคน จากนั้นก็ดึงฉินเคอวั่งออกไปอย่างเร่งรีบ

“เฮ้……. ไม่ต้องจริงๆ เหรอ”

ฉินเจี้ยนเซ่อเอ่ยอย่างเสียดายเล็กน้อย เดิมทีเขาอยากจะไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยของลูกชายและลูกสาวสักหน่อย

เจี่ยงสือเหิงกลับยิ้มพร้อมกับตบไหล่ของฉินเจี้ยนเซ่อและเอ่ย “ครั้งหน้าพวกเราไปเยี่ยมชมมหาวิทยาลัยของพวกเขาสองพี่น้องเองก็ได้”

“ตกลง”

ฉินเจี้ยนเซ่อตอบรับทันที หลังจากนั้นต่างคนต่างก็แยกย้ายไปจัดการธุระของตนเอง

ทางด้านฉินมู่หลานได้ส่งฉินเคอวั่งบริเวณประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยชิงหัว ก่อนเอ่ยกำชับเขาว่า “เคอวั่ง ถ้านายเลิกเรียนก่อนก็ไปรอฉันที่ประตูทางเข้ามหาวิทยาลัยของพวกเรา แต่ถ้าฉันเลิกเรียนก่อน ฉันจะมาหานายนะ”

“ตกลงครับ”

ฉินเคอวั่งพยักหน้าอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเดินเข้าประตูมหาวิทยาลัยด้วยสีหน้าโหยหา

เมื่อฉินมู่หลานเห็นว่าน้องชายเข้าไปแล้ว เธอก็รีบเดินทางไปมหาวิทยาลัยปักกิ่ง หลังจากที่มาถึงก็จ้องมองไปยังประตูมหาวิทยาลัยอันสง่างามตรงหน้าด้วยแววตากระตือรือร้นมีชีวิตชีวา “มหาวิทยาลัยจ๋า ฉันมาแล้ว”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

มู่หลานเก่งเทพไปไหนอะ ผลิตเครื่องสำอางเองมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ แล้วมาผลิตก่อนจะรายงานตัวเข้ามหาวิทยาลัยวันแรกอีก

ไหหม่า(海馬)

ตอนที่ 300 วางแผน

ตอนที่ 300 วางแผน

ฉินมู่หลานได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เธอหันไปมองผู้หญิงรูปหน้ากลมคนนั้น ก่อนจะเอ่ยถาม “คุณน้า มีช่องทางที่จะนำเอาสินค้าไปวางขายในร้านค้าของพวกคนจีนโพ้นทะเลได้เหรอคะ?”

ในตอนนี้ ถงทิงผิงที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยแนะนำทันที “มู่หลาน นี่คือฮั่วเหม่ยอิน เป็นสะใภ้รองของตะกูลหลิว หลิวเสวียข่ายหลานชายของหล่อนทำงานอยู่ในกระทรวงพาณิชย์ ก็คงมีช่องทางอยู่แล้วล่ะจ้ะ”

หลังจากพูดจบก็หันมองฮั่วเหม่ยอินและเอ่ยถามอย่างช่วยไม่ได้ “เหม่ยอิน เธอให้มู่หลานนำสินค้าพวกนี้ไปวางขายที่ร้านค้าของพวกชาวจีนโพ้นทะเลได้เหรอ?”

“ได้หรือไม่ฉันยังไม่แน่ใจ แต่ก็จะลองดู ถ้าทำได้จริง พวกเราทุกคนก็จะได้หาซื้อได้สะดวก ไม่ต้องมาหยิบเครื่องสำอางพวกนี้กลับไปทีละชิ้นสองชิ้น และฉันเชื่อว่าคงมีหลายคนอยากจะซื้อเพิ่มแน่นอน เพราะเครื่องสำอางพวกนี้มันดีจริง ๆ”

แต่หลังจากพูดจบ หล่อนก็หันมองฉินมู่หลานด้วยความลังเลก่อนจะเอ่ยถาม “มู่หลาน ถ้าวางขายได้แล้ว เธอจะผลิตสินค้าให้พอวางขายได้ไหม?”

ตอนแรกหล่อนไม่คิดจะนำเครื่องสำอางพวกนี้ไปวางขายในร้านค้าของพวกชาวจีนโพ้นทะเลเลย แต่เมื่อได้ยินถงทิงผิงพูดว่าฉินมู่หลานเคยผลิตยาแล้วส่งออกไปขายทั่วประเทศมาแล้ว นี่แสดงให้เห็นว่าเธอมีความสามารถมากแค่ไหน หากเป็นเช่นนั้น เครื่องสำอางของเธอก็ต้องน่าทึ่งมากเช่นกัน และนั่นคือตอนที่หล่อนมีความคิดนี้ขึ้นมา

ฉินมู่หลานได้ยินคำพูดของฮั่วเหม่ยอิน ก็ยิ้มแล้วพยักหน้าบอกตามตรง “ได้แน่นอนค่ะ ถ้าขายตามร้านค้าของพวกชาวจีนโพ้นทะเลได้จริง ฉันรับรองได้ค่ะว่าปริมาณของสินค้ามีเพียงพอแน่นอน”

หลังจากพูด ฉินมู่หลานก็ผุดความคิดอื่นขึ้นมา

“จริง ๆ แล้วเครื่องสำอางพวกนี้เอาไปวางขายในร้านค้าของประเทศเพื่อนบ้านได้เหมือนกัน ถึงตอนนั้นก็จะได้ขายออกพร้อมกันทั้งสองทาง ก็จะสามารถช่วยหารายได้ที่เป็นค่าเงินต่างประเทศได้ด้วย ฉันรับรองได้เลยค่ะว่าเครื่องสำอางของฉันดีกว่าของต่างประเทศแน่นอน” เธอผลิตของพวกนี้ ล้ำหน้ากว่าอุตสาหกรรมเครื่องสำอางในปัจจุบันทั้งหมดอย่างแน่นอน ตอนนี้เมื่อได้มีโอกาสนี้แล้ว เธอจึงอยากจะทำงานให้ดี

ฮั่วเหม่ยอินรู้สึกสงสัยนิดหน่อยเมื่อได้ยินแบบนี้ เพราะในใจของใครหลายคนในตอนนี้ล้วนคิดว่าสินค้าของต่างประเทศดีกว่าสินค้าในประเทศ หล่อนยอมรับว่าเครื่งสำอางของฉินมู่หลานดีมากก็จริง แต่หากจะบอกว่าดีกว่าของต่างประเทศจริง ๆ หล่อนก็ยังคงมีข้อกังขาอยู่บ้างนิดหน่อย

ฉินมู่หลานมองเห็นความสงสัยของฮั่วเหม่ยอินออกเป็นธรรมดา เธอจึงเอ่ยพูดตามตรงพร้อมรอยยิ้ม “น้าฮั่วคะ เดี๋ยวฉันจะบอกส่วนผสมของเครื่องสำอางพวกนี้ให้ฟังค่ะ”

พูดจบฉินมู่หลานก็เอ่ยแนะนำเครื่องสำอางพวกนี้ทั้งหมด หลังจากนั้นเธอก็หยิบกระจกขึ้นมาแล้ววางเอาไว้ตรงหน้าฮั่วเหม่ยอิน ก่อนจะพูด “น้าฮั่ว น้าลองดูการแต่งแต้มบนใบหน้าของน้าอีกรอบก็ได้ค่ะ ฉันเชื่อว่าพอน้าได้ออกไปพบกับพวกเพื่อนชาวจีนโพ้นทะเลรวมถึงพวกชาวต่างชาติพวกนั้น น้ารู้สึกว่าการแต่งแต้มบนใบหน้าของน้าดูด้อยกว่าของพวกเขาหรือเปล่าล่ะคะ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ฮั่วเหม่ยอินก็พิจารณาหน้าตาของตัวเองในตอนนี้อย่างถี่ถ้วน

แต่หล่อนต้องยอมรับว่าตัวเองดูสวยขึ้นจริง เหมือนหน้าตาดูเด็กลงประมาณสิบปี ใบหน้าดูเรียบเนียนเกลี้ยงเกลา นอกจากนี้ยังดูมีมิติอยู่ไม่น้อย ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพราะเครื่องสำอางของฉินมู่หลาน

ในตอนนี้ หลายคนที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยตาม “เหม่ยอิน เครื่องสำอางพวกนี้ดีกว่าของต่างประเทศแน่นอน เธอเคยเห็นเครื่องสำอางอะไรทำให้หน้าดูเด็กลงได้ขนาดนี้ไหมล่ะ เครื่องสำอางที่ฉินมู่หลานเป็นคนผลิตทำแบบนี้ได้ อีกอย่างเธอลองคิดถึงสิ่งที่ฉินมู่หลานเคยทำก่อนหน้านี้สิ ยาวิเศษพวกนั้นที่เธอทำก็สรรพคุณอัศจรรย์มาก ถ้าอย่างนั้นเครื่องสำอางที่เธอผลิตก็ต้องน่าทึ่งมากเช่นกันแหละ บางทีมันอาจดีต่อผิวของพวกเราด้วยนะ”

เมื่อได้ยินแบบนี้ หลายคนก็หันมองฉินมู่หลาน ก่อนจะเอ่ยถามอย่างช่วยไม่ได้ “มู่หลาน เครื่องสำอางพวกนี้ดีต่อผิวด้วยใช่ไหม?”

ฉินมู่หลานยิ้มแล้วพยักหน้า ก่อนจะบอกกล่าว “ใช่ค่ะ เครื่องสำอางของฉันมีส่วนผสมของสมุนไพรชนิดพิเศษ สามารถบำรุงผิวไปในตัวได้ด้วย เครื่องสำอางบางตัวใช้ไปเรื่อย ๆ ใบหน้าอาจจะขาวผ่องขึ้นได้ แต่อาจจะมีสารอันตรายเจือปนอยู่ด้วย ดังนั้นหลังจากที่บางคนใช้แล้วลบเครื่องสำอางออก ผิวก็จะหมองคล้ำ รูขุมขนกว้างขึ้น และผิวก็จะแย่ลงเรื่อย ๆ ด้วยค่ะ”

ในตอนนี้ หลายคนต่างมองไปทางฉินมู่หลาน

“มู่หลาน ฉันก็เคยได้ยินเรื่องแบบนี้ ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเครื่องสำอางใช่ไหม ผิวของฉันถึงได้แย่ลงเรื่อย ๆ”

“ใช่แล้วๆ ตอนที่ซื้อ ทุกคนต่างว่าดี แต่พอใช้แล้วกลับไม่ใช่แบบนั้นเลย”

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ก่อนหน้านี้ฉันเองก็เคยผลิตยามาก่อน จึงเข้มงวดกับการทำเครื่องสำอางมาก ฉันใส่ใจทุกขั้นตอนรายละเอียด ตอนแรกฉันไม่คิดจะทำเครื่องสำอางเลยค่ะ แต่ครั้งล่าสุดที่งานแต่งของหรูฮวน ฉันก็พบว่าเครื่องสำอางมีน้อยชิ้นเกินไป เลยคิดที่จะผลิตมันให้หล่อนเพียงแค่นิดหน่อยเท่านั้น ไม่คิดว่าทุกคนจะถูกใจค่ะ”

“มู่หลาน เธอควรจะคิดเรื่องนี้ตั้งนานแล้ว ดูสิว่าเครื่องสำอางของเธอดีขนาดไหน”

“ใช่แล้ว ๆ ดีมากเลย แต่ว่ามีน้อยไปหน่อย เราอยากซื้อก็หาซื้อไม่ได้”

ในตอนนี้ คนอื่นต่างพากันหันมองฮั่วเหม่ยอิน ก่อนจะตบบ่าหล่อนแล้วพูดว่า “เหม่ยอิน ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับเธอแล้ว ถ้าเธอไปโน้มน้าวหลานชายได้ อย่างนั้นต่อไปพวกเราก็จะได้ไปซื้อมาใช้กันได้สะดวก”

ทันใดนั้น ฮั่วเหม่ยอินก็รู้สึกว่าหนทางช่างยาวไกลนัก

“ได้ ฉันจะตั้งใจพยายามอย่างหนักนะ”

ฉินมู่หลานมองฮั่วเหม่ยอินด้วยรอยยิ้มก่อนจะเอ่ย “น้าฮั่วคะ ถ้าจะเสนอสินค้าไปขายที่ร้านค้าของชาวจีนโพ้นทะเลกับทางประเทศเพื่อนบ้าน ก็จะต้องมีแผนธุรกิจค่ะ น้ารอสักครู่นะคะ เดี๋ยวฉันเขียนแผนเสร็จ แล้วจะฝากให้น้านำไปให้หลานชายของน้า”

ฉินมู่หลานไม่ได้คาดคิดเช่นกันว่าสุดท้ายแล้วเรื่องนี้จะเป็นธุระของหลิวเสวียข่าย เมื่อวานเพิ่งเห็นเขามาดูตัวกับเริ่นม่านลี่ ช่างเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝันเลยจริง ๆ

ฮั่วเหม่ยอินเห็นฉินมู่หลานจะเขียนแผนธุรกิจ จึงรู้สึกว่าเธอมีความเป็นมืออาชีพมาก

“อย่างนั้นก็ดี เดี๋ยวฉันรอเธอเขียนแผนธุรกิจเสร็จ แล้วจะเอาไปเสนอให้หลานชายฟัง แต่เธอจะใช้เวลาเขียนแผนธุรกิจนานแค่ไหนเหรอ?”

ฉินมู่หลานยกยิ้มแล้วเอ่ย “น้าฮั่วไม่ต้องห่วงค่ะ ใช้เวลาไม่นานหรอก ตอนนี้ฉันเริ่มเขียนได้เลย เดี๋ยวเขียนเสร็จจะเอาให้น้าทันทีเลยค่ะ”

หลังจากพูดจบ เธอก็หันไปมองแล้วเอ่ยถามถงทิงผิง “น้าถง มีดินสอกับกระดาษไหมคะ?”

“มี มีอยู่แล้ว”

ถงทิงผิงยิ้มแล้วหยิบปากกากับกระดาษออกมา ก่อนจะส่งให้ฉินมู่หลาน

ฉินมู่หลานรู้แนวทางการตลาดเยอะมาก จึงสามารถเขียนแผนธุรกิจได้อย่างสบาย เธอเขียนวิธีการทั้งหมดที่คิดว่าดีที่สุด ขณะเดียวกันก็เน้นไปที่เรื่องการแนะนำผลิตภัณฑ์ของตัวเองด้วย อย่างในเรื่องการบำรุงผิวและส่วนผสมอันล้ำค่าในเครื่องสำอาง ซึ่งทั้งหมดนี้คือจุดขายของเธอ

หลังจากเขียนเสร็จ ฉินมู่หลานก็ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ส่งมันให้ฮั่วเหม่ยอินแล้วพูดขึ้น “น้าฮั่วคะ ถ้าอย่างนั้นรบกวนน้าด้วยนะคะ แต่ทางที่ดีอย่าเพิ่งล้างเครื่องสำอางบนหน้าออก เอาไว้รอให้หลิวเสวียข่ายเห็นก่อนแล้วค่อยล้างออกก็ได้ค่ะ เพราะปกติคนเราก็ต้องการที่จะทราบผลลัพธ์ของผลิตภัณฑ์อยู่แล้ว”

ฮั่วเหม่ยอินได้ยินแบบนี้ก็หัวเราะขึ้นมา ก่อนจะบอกกล่าว “ไม่ต้องห่วงมู่หลาน ฉันยังไม่ล้างแน่นอน ฉันแทบอยากจะนอนไปทั้งที่แต่งหน้าอยู่นี่เลยล่ะ”

เมื่อได้ยินแบบนั้น ฉินมู่หลานก็รีบหันมองทุกคนแล้วพูดขึ้น “คุณน้าที่รักทั้งหลายคะ ถึงแม้ว่าเครื่องสำอางพวกนี้จะมีสารบำรุงผิวก็ตาม แต่กลางคืนก่อนเข้านอนก็ควรล้างหน้าให้สะอาด ไม่อย่างนั้นรูขุมขนจะอุดตันได้นะคะ”

เมื่อเห็นฉินมู่หลานพูดแบบนั้น หลายคนก็พยักหน้าด้วยความเสียใจ

“แต่ว่า พวกเราจะไปหาแต่งได้อีกที่ไหนล่ะ?”

“ไม่เป็นไรค่ะ ถ้ามีคำถามอะไรก็มาถามฉันได้เลย ตอนนี้ฉันอยู่ที่บ้านพ่อบุญธรรม อยูตรงถนนซอยแปดค่ะ”

“ได้ พวกเราจะไปหาเธอแน่นอน”

เสิ่นหรูฮวนแวะมาพบฉินมู่หลานในช่วงเวลาสั้น ๆ หลังเขียนแผนเสร็จ และไม่คิดว่าทุกคนจะชอบขนาดนี้ จึงได้แต่รู้สึกว่าเธอเก่งมาก “มู่หลาน เธอเก่งจังเลย”

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็ยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “จริง ๆ แล้วมันก็ดีนะ แต่เธอช่วยติดต่อช่างแต่งหน้าเยว่เจินจูที่มาแต่งหน้าให้เธอครั้งล่าสุดเมื่อวันงานแต่งให้หน่อยได้ไหม?”

ถึงจะไม่รู้ว่าเยว่เจินจูจะทำอะไรได้ แต่เสิ่นหรูฮวนก็ยังคงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้สิ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี เดี๋ยวเธอช่วยนัดออกไปเจอกันข้างนอกหน่อย ฉันอยากจะคุยธุระกับหล่อน”

“ได้เลย”

หลังจากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกัยต่ออีกไม่กี่คำ แล้วฉินมู่หลานก็จากไป

และเมื่อฮั่วเหม่ยอินเห็นว่าฉินมู่หลานกลับไปแล้ว หล่อนก็ดำเนินการตามแผนและบอกลาทุกคน “ทุกคน ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะ รอฟังข่าวดีจากฉันด้วยล่ะ”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

แผนธุรกิจเริ่มเป็นรูปเป็นร่างแล้ว แต่ก็เห็นเค้าลางความวุ่นวายแล้วเหมือนกัน

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก [嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住] ผู้แต่ง : 钰儿 เรื่องย่อ หลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท