บทที่ 681 นางเอกของเรื่องเดิม
เรื่องที่เวิงเหม่ยเจี่ยท้องได้กลายเป็นข่าวใหญ่ของฝั่งบ้านโจวขึ้นมาทันที
ตอนที่เหอเหมียนเหมียนโทรมา หลินชิงเหอก็แจ้งข่าวดีกับหล่อน ทันทีที่เหอเหมียนเหมียนวางสาย หล่อนก็ไปหาโจวเฉวี่ยน
และบอกด้วยความอิจฉาว่า พี่สะใภ้ใหญ่ท้อง
“อื้ม” โจวเฉวี่ยนพยักหน้าเรียบ ๆ
ปีนี้พี่ใหญ่เขาอายุ 24 และแต่งงานกับพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว การมีลูกจึงเป็นเรื่องที่ปกติมาก
“ถ้าเราสองคนมีลูกเหมือนกันก็คงดีนะคะ” เหอเหมียนเหมียนเอ่ยขึ้น
ขณะที่พูด หล่อนก็ส่งสายตาไปให้โจวเฉวี่ยนด้วย เขาทำหน้าเหนื่อยหน่ายนิดหน่อย “ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่เราจะมีลูก”
“ทำไมจะไม่เหมาะคะ? ทะเบียนสมรสก็จดแล้ว ตอนนี้เราคือสามีภรรยาถูกต้องตามกฎหมาย แค่ยังไม่ได้จัดงานเท่านั้น ที่จริงงดเว้นไปก็ได้” เหอเหมียนเหมียนเอ่ย
“ปีนี้ผมต้องออกเดินทาง ครั้งนี้จะยุ่งมาก เกรงว่าคงไม่มีเวลาดูแลคุณ รอให้อีกหน่อยรากฐานผมมั่นคงแล้วค่อยมีลูกเถอะ” โจวเฉวี่ยนกล่าว
การถูกส่งออกไปทำงานข้างนอกตามท้องถิ่นซึ่งคนในท้องถิ่นอยู่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะเข้าหาเลย ถึงเขาจะมาจากปักกิ่งก็เถอะ แต่ประโยคที่ว่ามังกรพลัดถิ่นยังแพ้งูเจ้าที่นั้นไม่ได้เป็นการพูดเล่น อย่างไรกองทัพใหญ่ของพวกเขาก็อยู่ที่นั่น
แน่นอนว่าตอนเขาไปต้องเปลืองแรงหน่อย แต่อีกฝ่ายคงไม่ทำให้เขาต้องลำบากมาก อย่างไรเสียก็รู้กันอยู่แล้วว่าเขาแค่ไปหาประสบการณ์ที่นั่น ไม่ได้แช่อยู่นาน
แต่ก็คงไม่สบายนักหรอก เวลาแบบนี้จะมีลูกได้อย่างไรกัน
เหอเหมียนเหมียนถอนหายใจ “ฉันเห็นมี่มี่แล้วชอบมาก ตอนนี้พี่สะใภ้ใหญ่ก็ท้องแล้ว เรากลับไม่เอาลูก”
“ตอนแรกผมคิดว่าคุณยังไม่อยากมีลูกเร็วขนาดนั้นซะอีก” โจวเฉวี่ยนมองหล่อนพลางกล่าว
ภรรยาคนนี้ของเขาหัวสมัยใหม่สุด ๆ และเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง นิสัยคุณหนูเอาแต่ใจตามแบบแผนเลยล่ะ แถมยังรักสนุกด้วย จนเขาคิดว่าหล่อนยังไม่อยากลงหลักปักฐานขนาดนั้น
ไม่คิดเลยว่านี่คิดจะมีลูกแล้ว
“นั่นก็เพราะเป็นคุณไงคะ” เหอเหมียนเหมียนเอ่ย
หล่อนชอบสามีตัวเองมาก ที่จริงหล่อนไม่เคยคิดเลยว่าจะชอบผู้ชายคนหนึ่งมากขนาดนี้ และเพราะชอบมาก แล้วยังเห็นน้องสาวเขาน่ารักปานนั้น ทำให้หล่อนมองเขาแล้วมามองตัวเอง พันธุกรรมแบบนี้ถ้ามีลูกสักคนก็คงไม่แย่นักหรอก
ถึงอยากมีลูกเป็นก้อนน่ารัก ๆ แบบนั้นอย่างไรล่ะ
โจวเฉวี่ยนซึ้งกับคำพูดหล่อน เพราะเป็นเขา ถึงอยากมีลูกให้
ด้วยความซาบซึ้งนี่เอง เหอเหมียนเหมียนก็ขาสั่นนิดหน่อยขณะเดินกลับบ้าน…
มาพูดถึงฝั่งบ้านโจวบ้าง ตอนนี้หลินชิงเหอถึงขั้นเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้เด็ก ๆ ใส่แล้ว แต่จริง ๆ ไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไรมากนักหรอก
เพราะมีเสื้อผ้าเหลือจากสาวน้อยมี่มี่ ส่วนผ้าอ้อมทิ้งไปหมดแล้ว ค่อยตัดใหม่ก็ยังได้
ผ้าอ้อมมีปริมาณมากชนิดที่หนาเป็นตั้ง เสื้อผ้าก็ไม่น้อย มีแต่เนื้อผ้าดี ๆ ทั้งนั้น ดังนั้นไม่ต้องซื้อใหม่แล้ว ของพวกนี้มีพอให้ใส่ถึงตอนอายุ 1 ขวบเลยล่ะ
เสื้อผ้าเด็กไม่จำเป็นต้องถือมากว่าเป็นเสื้อของเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง พวกเขายังไม่รู้เรื่องเลย และที่หลินชิงเหอเคยเตรียมไว้ก็สามารถใส่ได้ทั้งสองเพศ แต่ที่โจวชิวไป๋ซื้อมานั้นมีแต่สีฉูดฉาด รสนิยมพวกผู้ชายนี่น่ากลัวจริง ๆ
หลินชิงเหอเตรียมของไว้เป็นกอง ทั้งหมดผ่านการซักจนสะอาดแล้วนำไปตากแห้งอย่างดี
สิ่งที่เธอเตรียมอยู่นั้นคุณแม่เวิงรู้หมด ตอนที่คุยโทรศัพท์กับเวิงเหม่ยเจี่ยจึงเอ่ยยิ้ม ๆ “ได้แม่สามีแบบนี้ อีกหน่อยลูกสบายแล้วล่ะ”
เวิงเหม่ยเจี่ยตอบยิ้ม ๆ “หนูสบายจริง ๆ ค่ะ อยู่บ้านมีแม่คอยตามใจ ไปอยู่บ้านสามีก็มีแม่สามีคอยเอ็นดูอีก”
คุณแม่เวิงหัวเราะตาม และกำชับเรื่องที่คนท้องต้องระวัง
ช่วงนี้ยังไม่ยุ่งมาก หลินชิงเหอจึงบอกให้เจ้าสามไปเยี่ยมที่กองทัพก่อน ซึ่งไม่ได้ไกลมากอยู่แล้ว นั่งรถไฟแค่ 2-3 วัน ขอแค่ไปดูแทนเธอหน่อย
เจ้าสามก็ไม่ว่าอะไร เขาหิ้วของที่แม่เขาเตรียมไว้แล้วนั่งรถไฟไปเลย
และบนรถไฟสายนี้ก็เกิดการโจรกรรมเล็ก ๆ ขึ้น แล้วเจ้าสามโจวกุยหลายเห็นกับตาว่ามีสาวน้อยคนหนึ่งจับเจ้าหัวขโมยทุ่มข้ามบ่าและกำราบขโมยได้อย่างช่ำชอง ทั้งยังหยิบกุญแจมือออกมาจากที่ไหนไม่รู้ล็อคอีกฝ่ายไว้
“รู้แต่แรกแล้วว่าพวกแกทำงานกันเป็นกลุ่ม ครั้งนี้ตั้งใจมาซุ่มจู่โจมพวกแก ยังกล้ามาขโมยเงินทองต่อหน้าต่อตาฉันอีกเหรอ?” สาวน้อยหน้าตาสะสวยแค่นเสียง
คนรอบ ๆ โห่ร้องไชโยกันหมด
โจวกุยหลายก็หันมองหล่อนเช่นกัน พอเห็นเขาก็แทบหลง สาวน้อยคนนี้สวยมากจริง ๆ
และสาวน้อยคนนั้นก็มองมาทางเขาเช่นกัน เมื่อกี้ทุกคนวิ่งพล่านเพื่อหนีจากคน ๆ นี้เต็มรถไฟไปหมด จนขโมยเกือบฉวยโอกาสที่รถไฟจอดเทียบสถานีหนีไปได้ มีเพียงคน ๆ นี้ที่ยื่นขาสกัดขโมย
ชายหนุ่มคนนี้นอกจากจะมีน้ำใจแล้ว ยังหน้าตาหล่อเหลามากอีกด้วย
“ขอบคุณนายมากนะ” สาวน้อยรู้สึกดีมากในใจ จึงพูดกับโจวกุยหลาย
โจวกุยหลายเอ่ย “แค่ยื่นขาเท่านั้นแหละครับ”
คนอื่นเขาพูดกันว่าแค่ยื่นมือ เขากลับพูดว่าแค่ยื่นขา สาวน้อยถึงกับหลุดขำ ขณะนั้นเพื่อนร่วมทางอีกสองคนของหล่อนก็มาถึง และจับคน ๆ นั้นลงรถไป
เด็กสาวตามลงไปด้วย โจวกุยหลายนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ทันได้ถามชื่อเลย ไปทั้งแบบนี้ออกจะน่าเสียดายนะ
แต่เด็กสาวไม่ได้ไปไวขนาดนั้น หล่อนแค่ลงไปกำชับสองสามประโยคแล้วขึ้นรถมาใหม่
“เธอชื่ออะไรเหรอ รู้จักกันหน่อยไหม? เมื่อกี้ดูจากฝีมือเธอแล้วเธอน่าจะเก่งมาก ๆ เลยนะ” โจวกุยหลายเอ่ยยิ้ม ๆ
“ฉันชื่อจงฉิง จบจากโรงเรียนตำรวจ ฝีมือฉันไม่ถือว่าดีหรอก ในหน่วยพวกเรามีคนชื่อหานสวี้เจี๋ย คนนั้นสิถึงจะเรียกว่าฝีมือดี แต่อารมณ์ร้ายสุด ๆ เลยล่ะ” จงฉิงเบ้ปากพูด
“หานสวี้เจี๋ย?” โจวกุยหลายผงะ “พี่ชายผมก็มีเพื่อนที่ชื่อหานสวี้เจี๋ย เรียนโรงเรียนตำรวจเหมือนกัน”
จงฉิงคิดไม่ถึงอย่างเห็นได้ชัด จึงตั้งคำถามเขา โจวกุยหลายลองนึกดู ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เจอกันมาหลายปีแล้ว แต่ยังพอบอกลักษณะคร่าว ๆ ได้
หน้าตาหล่อ ตัวสูง เรื่องพวกนี้โดยรวมไป แต่ที่เด่นชัดที่สุดคือหานสวี้เจี๋ยมีไฝที่คอ
แล้วก็พูดถึงตำแหน่งบ้านเกิดหานสวี้เจี๋ย จึงมั่นใจว่าถูกคน
“ที่แท้นายรู้จักหัวหน้าหน่วยหานจริง ๆ เหรอเนี่ย” จงฉิงเอ่ยยิ้ม ๆ
โจวกุยหลายพยักหน้าและคุยกับหล่อนต่อ จงฉิงตามรถไปเรื่อย ๆ และคุยกันไปทั้งทาง หล่อนต้องรับผิดชอบความปลอดภัยของตู้รถอื่น ๆ จึงต้องลาดตระเวนเรื่อย ๆ
โจวกุยหลายเอาแอปเปิ้ลและกล้วยให้เธอจำนวนหนึ่ง จงฉิงรับไว้ ไม่ได้ปฏิเสธ
ตอนที่ลงจากรถไฟ โจวกุยหลายก็ให้เบอร์โทรศัพท์ที่บ้านกับหล่อนด้วย ตั้งใจจะฝากหล่อนช่วยเอาไปให้หานสวี้เจี๋ยหน่อย
“ฉันจะส่งต่อไปให้หัวหน้าหน่วยหานนะ นายวางใจได้เลย” จงฉิงกล่าว
“ช่างเป็นเด็กสาวที่น่ารักและตรงไปตรงมาดีจริง ๆ เลย แต่ทำไมต้องแซ่จงกันนะ?” หลังจากโจวกุยหลายลงรถไฟแล้ว เขาก็อุทานอย่างเหนื่อยใจ
เขาไม่ได้มัวเวิ่นเว้ออะไรมาก นั่งรถประจำทางอีกต่อเข้าอำเภอไป และต่อรถไฟอีกต่อจากอำเภอไปที่กองทัพ
เดินทางไป ๆ มา ๆ ระยะทางไม่ได้ใกล้เลย
………………………………………………………………………
บทที่ 682 กังจือกับหลินซิ่ว
หลินชิงเหอไม่รู้ว่าลูกชายตัวเองไปรู้จักพรหมลิขิตของตัวเองเข้า แถมยังทิ้งเบอร์โทรศัพท์ไว้ให้ด้วย นี่ถ้ารู้คงโมโหจนกระอักเลือดแน่นอน
เจ้าสามไปถึงที่นั่นแล้วโทรกลับมาที่บ้าน บอกว่าเดี๋ยวนี้พี่ใหญ่เขาไม่ต้องออกไปทำภารกิจแล้ว แต่ละวันนอกจากฝึกแล้วยังเหลือเวลาอยู่กับพี่สะใภ้ใหญ่ของเขาอีกมาก สภาพโดยรวมของพี่สะใภ้ใหญ่ก็ไม่เลว
หลินชิงเหอได้ยินแล้วก็สบายใจ และบอกให้เขากลับมา เพราะต้องลงใต้ไปดูใบชาแล้ว จึงค่อนข้างยุ่ง
เจ้าสามค้างที่นั่นสองวันและกลับบ้าน และคิดอยู่ว่าจะได้เจอเด็กสาวที่ชื่อจงฉิงไหม หล่อนคุยเก่งมากเลยล่ะ แถมยังมีนิสัยอ่อนโยนด้วย
ตอนแรกที่เพิ่งรู้จักกันนึกว่าหล่อนจะเป็นคนห้าว ๆ แต่ภายหลังรู้สึกจริง ๆ ว่าหล่อนเป็นเด็กสาวที่อ่อนโยนมาก
ตอนเจ้าสามกลับถึงปักกิ่ง เขาก็ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้แม่เขาฟัง ยังไงเสียแม่เขาได้บอกไว้แล้วว่าห้ามแต่งงานกับผู้หญิงแซ่จง นิสัยแม่เขาช่างเผด็จการเหลือเกิน เขาไม่กล้าขัดใจหรอก
แถมเขายังเพิ่งรู้จักเด็กสาวคนนั้น คงไม่ไปท้าทายแม่เขาเพื่อหล่อนหรอก
ร้านขายชาขายดีมาก ร้านไวน์ก็รายได้มั่นคง แต่เนื่องจากมีคนเฝ้าร้าน เจ้าสามก็ไม่จำเป็นต้องไปคุมร้านไวน์ หลินชิงเหอจึงส่งเขาลงใต้
เธอให้หม่าเฉิงหมินไปกับเขา บัดนี้หม่าเฉิงหมินยังอาศัยอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์ แต่ปีนี้มีการเปิดขายคอนโดมิเนียม ทำให้เขาเองก็นึกอยากได้เหมือนกัน
แต่มันแพงเกินไป ซื้อไม่ไหวจริง ๆ หลินชิงเหอก็บอกแล้วว่าถ้าเงินของเขาไม่พอเธอก็ให้เขายืมได้
ตั้งแต่หม่าเฉิงหมินทำงานให้เธอ เขาก็ทำด้วยความสุจริตมาตลอด และจัดการทุกอย่างได้เป็นอย่างดี หลินชิงเหอย่อมยินดีจะช่วยเหลือพนักงานเก่าแก่
ยังไงเสียด้วยการพัฒนาของสังคมตอนนี้ อะพาร์ตเมนต์ออกจะเป็นสภาพแวดล้อมที่แย่ไปหน่อย
ถ้ามีเงิน ใคร ๆ ก็อยากอยู่ที่ดีกว่านี้
ร้านเกี๊ยวที่คุณป้าหม่าเปิดกับลูกสะใภ้ของนางก็ขายดีใช้ได้ แน่นอนว่าได้เงินมาก้อนหนึ่งเหมือนกัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมาหม่าเฉิงหมินไม่เคยคิดจะเปลี่ยนอาชีพ ต่อให้เงินเดือนของเขาน้อยกว่าเงินที่แม่เขาและภรรยาเขาหาได้จากร้านเกี๊ยวมาก แต่เขาก็ชอบงานนี้
วันนั้นหลินชิงเหอกลับมาก็ได้ยินอาอี๋จ้าวบอกว่าที่บ้านโทรมา น้องสะใภ้สามหลินใช้โทรศัพท์ของพี่สะใภ้สามโจวโทรมา
หลินชิงเหอจึงโทรหาสะใภ้สามโจว ซึ่งหล่อนก็บอกว่า “ฟังจากที่น้องสะใภ้เธอพูดแล้ว หล่อนน่าจะอยากให้หลินซิ่วไปช่วยงานเธอ แล้วไปหาเขยที่ปักกิ่งน่ะ”
หลินชิงเหอหัวเราะ “เรื่องนั้นก็ต้องดูที่วาสนากันสิ”
สะใภ้สามโจวเอ่ย “ชิงเหอ เธอว่าแนะนำหลินซิ่วให้กังจือดีไหม ตอนนี้กังจือก็เป็นคนปักกิ่งแล้วนะ”
หลินชิงเหอผงะ ตอนแรกเธออยากแนะนำอาเตียลูกสาวอาอี๋จ้าวให้กังจือ แต่ปีนี้อาเตียมีแฟนแล้ว เพิ่งมีเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง
หลินชิงเหอจึงไม่เคยพูดเรื่องนี้ ถึงยังไงตอนนี้กังจือก็ไม่คิดอะไรด้านนี้เลยจริง ๆ
“เธอเองก็เห็นกังจือมาตั้งแต่เด็ก หลินซิ่วก็เป็นคนที่ฉันเห็นมาตั้งแต่เด็ก เรียนก็สูง คนก็ดี ปีนี้ก็จบแล้ว น้องสะใภ้เธอคิดไว้ว่าหลังจบก็ให้ไปเป็นนักบัญชีอะไรทำนองนั้นให้เธอ แต่ฉันเองก็เป็นแม่ จะไม่เข้าใจที่น้องสะใภ้เธอคาดการณ์ได้ยังไง แต่ตอนนี้กังจือเป็นคนปักกิ่งแล้วนะ” สะใภ้สามโจวกล่าว
หลินชิงเหอทำหน้าไม่ถูก เธอไม่เคยคิดจะจับคู่ให้หลานสาวและหลานชายตัวเองเลย แต่ที่พูดมาก็ถูก กังจือเป็นคนที่เธอเห็นมาแต่เด็ก ถ้าถามถึงเป้าหมายอันยิ่งใหญ่นั้นไม่มีหรอก แต่เป็นคนสุจริตเหมือนกับหู่จือพี่ชายเขา
เพื่อให้ตัวเองสามารถซื้อบ้านและลงหลักปักฐานที่นี่ได้ เขาต้องสู้ชีวิตขนาดไหน ยอมหาเช้ากินค่ำ คิดจะเก็บเงินสักก้อนภายใน 3 ปี แล้วซื้อคอนโดมิเนียมที่เป็นของเขาเพื่อลงหลักปักฐาน!
การมีบ้านมีร้านที่นี่ ต่อให้อนาคตจะแย่ แต่ฟาร์มแถบชานเมืองของเธอที่กำลังสร้างอยู่ก็ต้องการคนแล้ว ไม่มีกังวลว่าจะไม่มีอะไรให้ทำ
หลินชิงเหอจึงคิดว่าเรื่องนี้ไม่เลวจริง ๆ
“แต่กังจือยังไม่คิดเรื่องพวกนี้เลย พี่สะใภ้สามอย่าเพิ่งบอกใครนะ” หลินชิงเหอกล่าว
“กังจือไม่เด็กแล้วนะ ทำไมยังไม่คิดจะแต่งงานอีกหรอ” พี่สะใภ้สามโจวเอ่ย
หล่อนคิดเรื่องนี้ได้ก็เพราะคิดว่าเด็กสาวอย่างหลินซิ่วจะให้คนนอกได้ไปได้อย่างไร? ให้แต่งงานกับหลานอย่างกังจือจะไม่ดีกว่าหรือ?
หลินชิงเหอจึงเล่าเรื่องที่ตอนนี้กังจือดิ้นรนต่อสู้เพราะอยากซื้อบ้านให้หล่อนฟัง
สะใภ้สามโจวกลับไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่ “การซื้อบ้านไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในระยะสั้น ๆ บ้านที่นู่นออกจะแพงขนาดนั้น ฉันได้ยินจากอู่นีแล้วนะว่าต้องหนึ่งแสนหยวนขึ้นไป ถ้าซื้อไม่ไหวแล้วจะไม่แต่งงานตลอดชีวิตเลยรึไง? คบกันไปก่อนก็ได้ อีกหน่อยออกไปเช่าบ้านด้วยกันก็ได้นี่ บ้านเธอกว้างใหญ่ขนาดนั้น ไปขออยู่ด้วยก่อนก็ยังได้”
หลินชิงเหอหัวเราะ “ให้พวกเขาสองคนดู ๆ กันเองแล้วกันค่ะ ถ้าต่อกันติด ถึงตอนนั้นไม่ต้องให้เราช่วยอะไรหรอก ถ้าต่อไม่ติด เราก็ไม่ต้องเปลืองแรง”
ถึงจะพูดแบบนั้น แต่เธอก็ฝากพี่สะใภ้สามโจวไปบอกน้องสะใภ้สามหลินว่าได้ รอให้หลินซิ่วจบแล้วอยากมาปักกิ่งก็มา เธอจะรับไว้
น้องสะใภ้สามหลินดีใจมาก น้องสามหลินกลับมาแล้วหล่อนจึงบอกเรื่องนี้กับเขา “ฉันบอกแล้วว่าพี่สามไม่ว่าหรอกค่ะ อาซิ่วไปนู่นต้องช่วยงานได้แน่”
“คุณคิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าคุณคิดอะไรอยู่” น้องสามหลินมองหล่อนอย่างเหนื่อยใจ
น้องสะใภ้สามหลินเอ่ย “แล้วไม่ได้เหรอ? ถ้ามีที่เหมาะสมกัน ให้พี่สามแนะนำให้อาซิ่วสักคนก็ดีออกไม่ใช่เหรอคะ?”
ถ้าลูกสาวคนโตเป็นคนอ่านหนังสือไม่ออกและทำตัวไม่ดี หล่อนคงไม่กล้าเอ่ยปากแน่นอน แต่ลูกสาวคนโตจบวิทยาลัยนะ ไม่ถือว่าแย่ ไปอยู่นู่นก็ไม่ทำน้าของหล่อนขายหน้าหรอก
ส่วนเรื่องหาเขยปักกิ่ง น้องสะใภสามหลินตั้งใจแบบนั้นแหละ
มีแม่คนไหนไม่อยากให้ลูกสาวตัวเองได้แต่งกับคนดี ๆ บ้าง?
ด้านหลินชิงเหอก็เล่าเรื่องนี้ให้โจวชิงไป๋ฟัง โจวชิงไป๋ได้ยินแล้วหัวเราะ “พี่สะใภ้สามสายตาไม่เลว”
หลานสาวอย่างหลินซิ่วไม่ต้องพูดอะไรมาก ถ้าหลานชายเขาฝั่งนี้ได้แต่งด้วยต้องเป็นบุญแน่ ๆ
“ฉันให้อาซิ่วมาแล้วนะ ถึงตอนนั้นค่อยว่ากันว่าระหว่างหล่อนกับกังจือจะเป็นยังไง คุณให้กังจือย้ายกลับมา ไม่ต้องไปอยู่ที่บ้านตาเขาแล้ว บอกไปว่าจะได้ไม่ไปรบกวนคุณตา อยู่นี่เขาจะตื่นเช้าแค่ไหนก็ไม่รบกวน” หลินชิงเหอกล่าว
หลังจากนั้นก็เป็นฤดูร้อน ฤดูร้อนขายเสื้อผ้าง่ายที่สุด กังจือจึงไม่คิดจะขายซาลาเปาต่อแล้ว เขาจึงเชื่อฟังที่น้าเล็กพูดและกลับบ้าน
“กับข้าวบ้านคุณตาก็ดีนี่ ทำไมไปอยู่นู่นแป๊บเดียวผอมลงเยอะเลยล่ะ” หลินชิงเหอเอ่ย
“ยุ่งไปหน่อยน่ะครับ” กังจือบอกยิ้ม ๆ
หลินชิงเหอกล่าว “ถึงตอนนี้จะยังหนุ่มอยู่ แต่ก็ต้องดูแลสุขภาพด้วย คืนนี้ให้น้าตุ๋นกระเพาะปลาให้กิน เธอก็กินเยอะๆหน่อย”
“ครับ” กังจือยิ้มกว้าง
……………………………………………